รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อนตอนที่ 4 เดินตามรอยระเบิดนิวเคลียร์เมืองฮิโรชิม่า นั่งรถไฟ JR ไปสะพานคินไตเคียว กินก๋วยเตี๋ยวอร่อยแซ่บเว่อร์จ้า |
และเพื่อไม่ให้สาเวเลีย เสียเวลาการพร่ำเพร้อพรรณาไปมากกว่านี้ เดี๊ยนเองก็ขอมาเคาะแป้นพิมพ์ เล่าเรื่องราวรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูร้อนต่อกันเลยนะค่ะ เพราะคงใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะเขียนให้ครบทั้ง 14 ตอนค่ะ
และเพื่อไม่ให้สับสนและงวยงงและเกิดความต่อเนื่อง เดี๊ยนอยากให้ทุกๆท่านเข้าไปดูบล็อกรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นก่อนนี้ได้ค่ะ จะได้ไม่ปวดหัวและปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เผื่ออยากจะลองไปเที่ยวตะไลแนวๆชะโงกทัวร์แบบนี้ดูค่ะ รับรองว่าได้สลายไขมันจนหุ่นผอม ร้อนแรงจับใจไฉไลสุดเก๋แน่นอนค่ะ
ตอนที่ 1 : รีวิวเที่ยวเมืองวาคายาม่า ไปลั๊ลลานั่งรถไฟแมวเหมียวทามะสุดน่ารัก คลิ๊กดูที่เว็ป khunnaiver.blogspot.com/2017/07/1.html
ตอนที่ 2 : รีวิวเที่ยวเมืองคาโกชิม่า นั่งรถไฟลั๊นลาไปอบทรายร้อน งามออนซอนแท้เด้ คลิ๊กดูที่เว็ป khunnaiver.blogspot.com/2017/07/2.html
ตอนที่ 3 : รีวิวท่องเที่ยวเมืองฟูกุโอกะ ชมเทศกาลยามากาสะในฤดูร้อน งามอรชร หาดทรายสวย รวยเสน่หา คลิ๊กดูที่เว็ป http://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/3.html
ที่พักเมื่อคืนนี้พักค้าง ห้องพักหลักร้อยที่โรงแรม Hiroshima peace hotel โดยรวมถือว่าดีเลยค่ะ ใกล้สถานีรถไฟ JR คลิ๊กดูรายละเอียดได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/8LBFx5 |
สำหรับใครที่มองหาโรงแรมที่พักราคาถูก หลักร้อย มีงบน้อย อยากได้ที่พักใกล้สถานีรถไฟ JR ก็แวะมาพักค้างที่โรงแรม Hiroshima peace hotel ได้ค่ะ เข้าไปดูรายละเอียดห้องพักเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/8LBFx5
หลังจากที่เมื่อวานนี้ ดิฉันได้ไปเดินชมเทศกาลประจำปีของเมืองฟูกุโอกะมานะค่ะ มาวันนี้ เปลี่ยนแนวการท่องเที่ยวค่ะ ขอมายวนยีศึกษาย้อนหลัง ชมเมืองประวัติศาสตร์ที่โลกต้องจารึกอย่างเมืองฮิโรชิม่าค่ะ
ทานอาหารเช้าที่โรงแรม Hiroshima Peace Hotel |
สรุปแผนการเดินทาง รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูร้อน 14 วันค่ะ เริ่มต้นเที่ยวเมืองวาคายาม่า สุดปลายทางแบกเป้ลั๊ลลาที่เมืองบิเอะ ฟูราโน่ค่ะ |
ล็อบบี้โรงแรม Hiroshima peace hotels สภาพโดยรวมถือว่าสะอาดสะอ้านดีมาก รีวิวที่พักแห่งนี้เดี๊ยนให้ผ่านค่ะ |
ในช่วงเช้าของวันนี้จะไปเที่ยวที่ใหนก่อนดี ตอนแรกวางแผนจะไปปราสาทฮิโรชิม่าค่ะ แต่ดูเวลาแล้วคงไม่พอแน่ๆค่ะ เดี๊ยนเลยตัดสินใจขอไปตามรอยศึกษาประวัติศาสตร์สงครามโลกอีกครั้ง กับการไปเยือนอนุสรณ์สถาน สวนสันติภาพ ซึ่งเป็นสถานที่เรียนรู้ และมี Automic Dome Bomb ที่ยังคงเหลืออยู่ให้เห็นอยู่ถึงปัจจุบันค่ะ มาทีนี้ เหมือนได้มาย้อนวัย เรียนวิชาสังคมศึกษา เกี่ยวโลกของเราอีกครั้งเลยค่ะ
โดยวิธีการเดินทางนะค่ะ ดิฉันออกจากโรงแรมที่พัก มารอข้ามทางม้าลายไปยังสถานีรถไฟ Yogokawa ค่ะ
การเดินทางไปยัง สวนสันติภาพนะค่ะ ไปได้ไม่ยากค่ะ คือการนั่งรถทรัมค่ะ แต่ดิฉันไม่ค่อยถนัดเรียกทรัมเท่าไหร่เลยค่ะ ชอบเรียกรถรางมากกว่าค่ะ ดูคลาสสิคโบราณดีค่ะ
ขึ้นรถรางเบอร์ 7 จากสถานีรถไฟ Yogokawa ไปลงที่ป้ายสถานี Gembaku Dome Mae ค่ะ
ค่าโดยสารนั่งรถรางไปยังประมาณ 160 เยน ก็ไม่แพงนะค่ะ พอรับได้ค่ะ
วิ่งมาไม่นานค่ะ ประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ ป้ายจอดรถประจำสถานี Gembaku Dome Mae
เดินออกจากสถานีไม่กี่ก้าวก็เห็น อะโตมิคบอมโดม (Atomic Bomb Dome) หรือโดมปรมาณู ซากอาคารที่ยังคงเหลืออยู่จากแรงระเบิดนิวเคลียร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1945 ค่ะ ถือเป็นแลนด์มาร์คยอดนิยมที่ดึงดูดตาและตราตรึงใจ นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ ที่ได้มาเที่ยวเมืองฮิโรชิม่าเลยนะค่ะ
หากใครมาเมืองนี้ ไม่ได้มาถ่ายรูปคู่ตึกโดมนี้ ถือว่ามาไม่ถึงเมืองฮิโรชิม่าค่ะ เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่โลกจารึกไว้เป็นอนุสรณ์ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวระบ่ม ทุกข์ตรมหมองไหม้ ดั่งไฟสุ่มทรวงจริงๆค่ะ
โดมปรมาณู เป็นซากอาคารที่ยังคงทิ้งร่องรอย และความเจ็บปวดรวดร้าวระบมทุกข์ตรมหมองใหม้ ให้คนได้ศึกษาถึงประวัติความโหดร้ายของการแรงระเบิดนิวเคลียร์ที่เผาทำล้ายล้างที่สิ่งทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองค่ะ
มีข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะ มาให้ทุกๆท่านอ่านกันค่ะ
อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะ หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า โดมปรมาณู (ญี่ปุ่น: 原爆ドーム Gembakudōmu ?; อังกฤษ: Atomic Bomb Dome) ตั้งอยู่ในเมืองฮิโระชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ในอาณาเขตของสวนสันติภาพฮิโระชิมะได้รับการก่อตั้งเป็นอนุสรณ์ในปี พ.ศ. 2539 และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีเดียวกัน
อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะเป็นอาคารที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางการระเบิดมากที่สุดในบรรดาอาคารที่ยังตั้งทนต่อแรงระเบิด ตัวอาคารได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพหลังจากถูกระเบิด ปัจจุบันได้กลายเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงพลังทำลายล้างของระเบิดปรมาณู และเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในสันติภาพและการต่อต้านการใช้อาวุธปรมาณู
ในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เวลา 8 นาฬิกา 15 นาที ระเบิดปรมาณูลิตเติลบอยระเบิดห่างจากโดมปรมาณูทางทิศตะวันออก 150 เมตร และสูงเหนือพื้นดิน 580 เมตรสันนิษฐานว่า 1 วินาทีหลังจากที่ลิตเติลบอยระเบิดอาคารก็พังทลาย แม้ว่าส่วนอาคารทั้ง 3 ชั้นจะพังทลายเกือบทั้งหมด แต่ส่วนโดมตรงกลางและกำแพงโดยรอบกลับรอดมาได้ เพราะแรงระเบิดนั้นเกิดขึ้นเหนืออาคารพอดี[8] คาดว่าเจ้าหน้าที่ประมาณ 30 คนที่อยู่ในอาคารเสียชีวิตทั้งหมด
โดมปรมาณูกลายเป็นที่รู้จักในฐานะของสัญลักษณ์ความโหดร้ายของระเบิดปรมาณู
แต่ชาวเมืองกลับอยากให้ทำลายทิ้ง เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้นึกถึงความโหดร้ายของการทิ้งระเบิด จึงทำให้มีการถกเถียงกันว่าควรจะอนุรักษ์หรือทำลาย เทศบาลเมืองฮิโระชิมะในขณะนั้นไม่เห็นด้วยกับการอนุรักษ์ด้วยสาเหตุที่ว่าการอนุรักษ์ทำให้เกิดภาระทางการเงินมาก และต้องการใช้ทรัพยากรที่จำกัดไปในการฟื้นฟูเมืองมากกว่า แต่เมื่ออิจิโร คะวะโมะโตะ นักต่อสู้เพื่อสันติภาพ ได้อ่านข้อความว่า "ศูนย์ประชาสัมพันธ์เชิงอุตสาหกรรมที่น่าสงสารนั้นคงจะประกาศให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของระเบิดปรมาณูตลอดไป" ในอนุทินของฮิโระโกะ คะจิยะมะ เด็กสาวซึ่งเสียชีวิตใน พ.ศ. 2503 ด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เขาจึงเริ่มการรณรงค์ให้อนุรักษ์โดมประมาณูไว้จนในพ.ศ. 2509 สภาเทศบาลเมืองฮิโระชิมะก็ลงความเห็นให้อนุรักษ์โดมปรมาณูไว้ตลอดไป ในการระดมทุนสำหรับการก่อสร้างเพื่อเก็บรักษาโดมปรมาณู สามารถรวบรวมเงินจากชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศและชาวต่างชาติทั่วโลกได้ถึง 66 ล้านเยน การซ่อมแซมครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2510 และเสร็จสิ้นในวันที่ 5 สิงหาคม ในปีเดียวกัน
ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจากเว็ป https://th.wikipedia.org/wiki/อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะ
โดยแต่เดินนั้นนะค่ะ โดมปรมาณูเดิมได้ก่อสร้างเป็น ศูนย์การประชุมพาณิชยกรรมแห่งฮิโระชิมะ (ญี่ปุ่น: 広島県物産陳列館) เพื่อพัฒนาการตลาดของผลิตภัณฑ์ของเมืองฮิโระชิมะ ซึ่งเป็นเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในฐานะเมืองสงคราม เพราะเป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการในสมัยสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง
ภาพอาคารเดิม ก่อนจะถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย เหลือแต่ซากอย่างที่เห็นในปัจจุบันค่ะ
จังหวัดฮิโระชิมะอนุมัติการก่อสร้างใน พ.ศ. 2453 และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2457 ตัวอาคารเดิมออกแบบโดยสถาปนิกชาวเชกชื่อว่า Jan Letzel สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2458 เปิดใช้งานในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2464 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์จัดแสดงสินค้าแห่งฮิโระชิมะ และในปี พ.ศ. 2476 เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น ศูนย์ประชาสัมพันธ์เชิงอุตสาหกรรมแห่งฮิโระชิมะ ภายในศูนย์แห่งนี้มีการแสดงและวางขายสินค้าที่ผลิตในฮิโระชิมะ รวมทั้งแสดงงานศิลปะต่างๆ แต่เมื่อสงครามเริ่มทวีความรุนแรง การแสดงสินค้าก็ลดลงจนเลิกไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2487
พอระเบิดนิวเคลียร์ลงก็เหลือแต่ซากตามภาพเลยค่ะ
การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโระชิมะและนะงะซะกิ เป็นการโจมตีจักรวรรดิญี่ปุ่นด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่สอง โดยคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฮร์รี เอส. ทรูแมน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม และวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากการโจมตีทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่าง ๆ 67 เมืองของญี่ปุ่นอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกันถึง 6 เดือน สหรัฐอเมริกาจึงได้ทิ้ง "ระเบิดปรมาณู" หรือที่เรียกในปัจจุบันว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่มีชื่อเล่นเรียกว่า "เด็กน้อย" หรือ "ลิตเติลบอย" ใส่เมืองฮิโระชิมะในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488
ตามด้วย "ชายอ้วน" หรือ "แฟตแมน" ลูกที่สองใส่เมืองนะงะซะกิโดยให้จุดระเบิดที่ระดับสูงเหนือเมืองเล็กน้อย นับเป็นระเบิดนิวเคลียร์เพียง 2 ลูกเท่านั้นที่นำมาใช้ในประวัติศาสตร์การทำสงคราม
การระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ฮิโระชิมะ 140,000 คนและที่นะงะซะกิ 80,000 คน
โดยนับถึงปลายปี พ.ศ. 2488 จำนวนคนที่เสียชีวิตทันทีในวันที่ระเบิดลงมีจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนที่กล่าวนี้ และในระยะต่อมาก็ยังมีผู้เสียชีวิตด้วยการบาดเจ็บหรือจากการรับกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดอีกนับหมื่นคน ผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดในทั้ง 2 เมืองเป็นพลเรือนหลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองเป็นเวลา 6 วัน ญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงครามต่อฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่นับเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2488
ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก https://th.wikipedia.org/wiki/การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโระชิมะและนะงะซะกิ
มองไปด้านใน ยังเห็นก้อนอิฐ ซากที่ยังคงเหลืออยู่ ดูแล้วเศร้าใจ ดูข้างใน วังเวง ไม่มีความครืนเครงอะไรเลยนะค่ะ
พอได้เห็นแบบนี้แล้ว ไม่อยากให้มีการก่อสงครามอีกเลยค่ะ
บรรยากาศโดยรอบโดมปรมาณูก็ดูร่มรืนย์ ชืนกายสบายตาดี แต่ว่าแดดทอแสงออร่า ร้อนแรงจับใจเชียวค่ะ เล่นเอาดิฉันเดินเหงื่อไหลซิกซิกเลยค่ะ
หลังจากสงครามยุติลง ญี่ปุ่นประกาศแพ้สงคราม
และผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้น เรียกจุดที่ระเบิดถูกทิ้งลงใส่ฮิโระชิมะ ว่า "ฮิบะกุชะ" ในภาษาญี่ปุ่นหรือแปลเป็นภาษาไทยว่า "จุดระเบิดที่มีผลกระทบต่อชาวญี่ปุ่น" ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงมีนโยบายต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และประกาศเจตนาให้โลกรู้ว่า ญี่ปุ่นมีนโยบายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ในวันที่ 31 เดือนมีนาคม 2551 "ฮิบะกุชะ" มีรายชื่อผู้เสียชีวิตจากทั้งสองเมืองของญี่ปุ่น ที่ถูกจารึกไว้ประมาณ 243,692 คน และในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน มีรายชื่อผู้เสียชีวิตที่ถูกจารึกไว้เพิ่มขึ้นมากกว่า 400,000 คน โดยแบ่งออกเป็นเมืองฮิโระชิมะ 258,310 คน และเมืองนะงะซะกิ 145,984 คน
ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก https://th.wikipedia.org/wiki/การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโระชิมะและนะงะซะกิ
มีน้ำพุสวยๆกำลังพ่นน้ำให้ความเย็นค่ะ
นกกระเรียนเป็นอีกเสมือนหนึ่งตัวแทนแห่งสันติภาพค่ะ
นกกระเรียนที่พับแล้วจะถูกนำมาเรียง
มีแม่น้ำโมโตยาสุไหลผ่านค่ะบรรยากาศงดงาม ร้านรานจับใจค่ะ
ดิฉันเดินข้ามสะพานไปยังอีกฝั่ง ซึ่งเป็นสวนสันติภาพค่ะ
มองเห็นท้องฟ้าสดใส และบรรยากาศโดยรอบก็สะอาดสะอ้าน
มองเห็นอาคารโดมปรมาณูจากอีกฝั่งของแม่น้ำโมโทยาสุ (Motoyasu river)ค่ะ
ภาพที่ติดอยู่นี้ ดูชัดกว่าภาพฝั่งโน้นมากนะค่ะ
มีเรือท่องเที่ยวแล่นผ่านมา มีการโบกไม้โบกมือด้วยนะค่ะ
อนุสรณ์สันติภาพค่ะ กับการพับกระดาษให้เป็นนกกระเรียนให้ครบ 1000 ตัว ที่มาอยู่ที่นี้เลยค่ะ
ที่มาของของการพับนกกระเรียน 1000 ตัวอยู่ที่เมืองนี้เองค่ะ
ต้นกำเนิดเริ่มจาก ซะดะโกะ ซะซะกิ (ญี่ปุ่น: 佐々木 禎子 Sasaki Sadako: 7 มกราคม 2486 – 25 ตุลาคม 2498) เป็นเด็กหญิงชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ใกล้กับสะพานมิซาสะในจังหวัดฮิโระชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ขณะนั้นเธอมีอายุได้เพียง 12 ปี เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงที่ฮิโระชิมะ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 แต่เธอรอดชีวิต ซะดะโกะเป็นเด็กแข็งแรงอีกทั้งเป็นนักกีฬา ในปี พ.ศ. 2497 เมื่อมีอายุได้ 11 ปี ขณะกำลังซ้อมวิ่ง เธอรู้สึกมึนหัวแล้วล้มลง แพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นหนึ่งในผลสืบเนื่องจากระเบิดนิวเคลียร์
เพื่อนของซะดะโกะได้เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับตำนานที่ว่า ถ้าใครพับนกกระดาษได้ครบหนึ่งพันตัว จะได้สิ่งที่ตนต้องการ ซะดะโกะหวังว่านี่อาจช่วยให้เธอหายป่วยและกับมาวิ่งได้อีกครั้ง เธอใช้เวลา 14 เดือนในโรงพยาบาล และพับนกมากกว่า 1,300 ตัว ก่อนที่จะเสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 12 ปี (ในเรื่องเล่าที่ค่อนข้างแพร่หลายกล่าวว่าเธอพับนกได้แค่ 644 ตัวก่อนจะเสียชีวิต และเพื่อนของเธอพับนกให้เธอจนครบหนึ่งพันตัว และฝังนกเหล่านั้นพร้อมกับร่างของเธอ) ปัจจุบันที่ฐานอนุสาวรีย์ของเธอในบริเวณอนุสรณ์สถานสันติภาพ ฮิโระชิมะ ผู้คนจากทั่วโลกยังคงแวะเวียน นำพวงมาลัยนกกระเรียนกระดาษมาวางเพื่อระลึกถึงเธอ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงคราม
ตรงหัวมุมเชิงสะพาน มีศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวด้วยค่ะ เข้าไปข้างในไม่ผิดหวัง มีข้อมูลโบว์ชัวร์ภาษาไทยให้ด้วยนะค่ะ ดีเริ่ดมากๆนะค่ะ
เห็นหนูน้อย น่าจะเป็นนักเรียนอนุบาล น่ารักเชียวค่ะ เดินเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียนร้อยเรียบ เนี๊ยบจริงๆค่ะ
อนุสรณ์สันติภาพ มุมนี้มีนักท่องเที่ยวมาอย่างไม่ขาดสายเลยนะค่ะ
หลังจากได้เดินดูอาคาร โดมปรมาณูแล้วนะค่ะ ดิฉันก็เดินมาอีกหน่อยก็จะเห็นอนุเสาวรีย์สำหรับผู้เสียชีวิต โดยจะมีการลงทะเบียนรายชื่อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายซึ่งมีมากกว่า 220,000 รายชื่อ
มองทะลุไปตรงที่อนุสาวรีย์แห่งนี้จะ มองเห็นโดมปรมาณูพอดีเป๊ะเลยค่ะ
โซนนี้น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์ฮิโรชิม่า
ระหว่างจะเดินไปพิพิธภัณฑ์สวนสันติภาพฮิโรชิม่านะค่ะ ก็เห็นนักเรียน นักศึกษากำลังเดินลั๊ลลากันออกมาจากพิพิธภัณฑ์ค่ะ
ถึงแล้วค่ะ พิพิธภัณฑ์ที่แสดงเกี่ยวกับเรื่องราวของระเบิดปรมาณูที่มาถล่มเมืองฮิโรชิม่า เข้าไปดูพิษร้ายของระเบิด Little boy ลูกเดียว ทำให้ชาวเมืองฮิโรชิม่า เสียชีวิตไปหลายแสนคนเลยค่ะ และสภาพบ้านเมืองทั้งก่อนหน้า และหลังที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เสียค่าธรรมเนียมเข้าชม 200 เยนค่ะ (Hiroshima Peace Memorail Museum)
และทางเจ้าหน้าที่ แจ้งขอให้ดิฉันงดถ่ายรูปค่ะ เพราะเสียงกดชัตเตอร์ของเดี๊ยน ดังแก๊กๆๆ ดิฉันเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากทุกๆท่านค่ะ ถือเป็นมารยาทในการเข้าชมค่ะ เพราะบรรยากาศด้านใน ค่อนข้างจะเงียบ และหดหู่มากๆค่ะ เป็นภาพที่ดูแล้วรู้สึกเจ็บปวดแทนเลยค่ะ เพราะด้านใน เป็นภาพผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากสารกัมมันตรังสีที่บางคนต้องทนทุกข์มรมานมากๆค่ะ และภาพผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ตัวใหม้เป็นตอตะโก้เลยค่ะ
หลังจากได้เดินชมในพิพิธภัณฑ์สันภาพฮิโรชิม่าแล้วนะค่ะ ดิฉันก็เดินออกจากพิพิธภัณฑ์มานั่งชมดอกม้ง ดอกไม้บานๆให้ชื่นกาย สบายตาขึ้นมาหน่อยนะค่ะ
และหลังจากที่ได้เดินศึกษาประวัติศาสตร์สงครามโลกอันเจ็บปวดรวดร้าวระบมแล้วนะค่ะ ก็ได้เวลาเดินต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปแล้วค่ะ นั้นก็คือ สะพาน 5 โค้ง คินโตเคียว(kintaikyo bridge)ดิฉันเลยมาที่ป้ายจอดรถรางประจำสถานีเดิมค่ะ
บ้านเมืองถนนหนทางดูเป็นระเบียบ เรียบร้อยสะอาด สะอ้านดีเหลือเกินค่ะ
มองไปอีกฝั่งก็เป็นแม่น้ำ ตึกโดมปรมาณูและสวนสันติภาพค่ะ
มาขึ้นที่ป้ายจอดรถรางรับผู้โดยสารระหว่างทางประจำสถานี Genbaku Dome Mea เพื่อนั่งรถกลับไปสถานี Yogokawa ค่ะ
หากกลัวหลงดูตามแผนที่ ที่ติดไว้ในป้ายรถประจำสถานีจอดรับผู้โดยสารระหว่างได้เลยค่ะ
นั่งรถรางเบอร์ 7 คันนี้แหละค่ะ แต่ว่าต้องรถอีกขบวนเพราะอยู่คนละฝั่งค่ะ
ดิฉันนั่งรถรางเบอร์ 7 จาก สถานีโดมปรมาณูไม่นานก็ถึง สถานี Yogokawaสถานีรถไฟ Yogokawa ค่ะ
พอมาถึงดิฉันก็มารอขึ้นรถไฟจากสถานี Yogokawa ไป ยังเมือง Iwakuni เพื่อที่จะได้นำพาดิฉันไปชมสะพาน 5 โค้งที่สวยงามที่สุดในโลกค่ะ
นั่งรถไฟข้ามแม่น้ำอันกว้างใหญ่ กับท้องฟ้าแจ่มใส และแดดทอแสงเรไร
ใหนๆก็มาเที่ยวทั้งที เดี๊ยนเลยขอมาแนะนำ วิธีการเดินทางไปชมสะพานคินไตเคียวมาฝากค่ะ
เริ่มต้นนั่งรถไฟจากสถานี Yogokawa มาลงที่ สถานี Iwakuni
จากนั้นเดินออกจากสถานีรถไฟ JR iwakuni ไปขึ้นรถบัสโดยสารสาย 21 รถบัสจะไปหยุดปลายทางที่สะพานคินโตเคียวเลย
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ สถานี Iwakuni รถไฟตรงเวลาเป๊ะเว่อร์
ถึงสถานีรถไฟ JR Iwakuni station
พอมาถึงที่เมืองนี้แล้วนะค่ะ ก็ต้องมารถขึ้นรถบัสโดยสาร เพื่อต่อไปยังสะพานคินไตเคียวค่ะ ซึ่งที่สถานีรถไฟ Iwakuni จะมีรถบัสโดยสารมารับไปถึงสะพานคินไตเคียวเลยค่ะ ให้ไปรอที่จุดขึ้นรถบัสโดยสารนะค่ะ
แต่ตอนมาถึงสถานีดิฉันก็ยังงนะค่ะ ไม่รู้จะขึ้นรถคันใหนดี เพราะมีหลายคัน เลยถามคนแถวนั้นเอาค่ะ พูดคำว่า คินไตเคียว เดียวเค้าก็ชี้ให้เราขึ้นเองค่ะ ตอนอ่านข้อมูลในเนตบอกมีรถบัสโดยสาร เดี๊ยนก็คิดว่ามีคันเดียว แต่มีหลายคันและแต่ละคันไปยังเมืองที่ต่างกันค่ะ
ถามคนที่นั้น บอกให้ขึ้นรถเมลล์โดยสาร สาย 21 ค่ะ ตามภาพเลยค่ะ
หากนำแบงค์มา ก็นำแบงค์ไปแลกตรงด้านหน้าคนขับได้เลยค่ะ จะได้เหรียญออกมาเป็นกะตักเลยค่ะ เอาไว้จ่ายค่าโดยสารค่ะ
นั่งรถเมลล์โดยสาร สาย 21 มาไม่นานก็ถึงแล้วค่ะ สะพาน Kintaikyo
เห็นสะพานแล้วค่ะ 5 โค้งจริงๆค่ะ แต่ดูรูปภาพในอินเตอร์ดูโค้งกว่านี้มากนะค่ะ
สะพานไม้โค้งทอดยาวข้ามแม่น้ำนิชิกิ (Nishiki)
บรรยากาศโดยรอบที่ดิฉันยืนอยู่จะเป็นฝั่งของเมือง ประวัติเกี่ยวกับสะพานคินไตเคียว
สะพานคินไตเคียวแห่งสร้างขึ้นในปี 1673 ถือเป็น 1 ใน 3 สะพานที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่นค่ะ (ร่วมกับสะพานชินเคียว(Shinkyo Bridge) ที่เมืองนิกโก้ และสะพานซารุฮาชิ(Saru-hashi Bridge)ที่โอสึกิ)
โดยสะะพานแห่งนี้ใช้วิธีสร้างแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว โดยการเข้าชิ้นด้วยสลัก มีทั้งหมด 5 โค้ง แผนการก่อสร้างสะพานล้มเลิกเมื่อครั้งที่ถูกกระแสน้ำในแม่น้ำนิชิกิทำลาย หลังจากนั้นจึงได้มีแผนการสร้างสะพานที่แข็งแรงกว่าเดิมโดย Kikkawa Hiroyoshi ขุนนางศักดินาที่ 3 ของเมืองอิวาคุนิ ตัวสะพานมีความยาว 193 เมตร แต่ละโค้งกว้าง 5 เมตร และวงโค้งบนสุดสูงจากแม่น้ำประมาณ 12 เมตร หลังจากที่สะพานสร้างเสร็จในปี 1673 ยังคงสภาพเดิมจนมีอายุถึงปี 1950 จึงถูกพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงพัดถล่ม ในระหว่างนั้นญี่ปุ่นอยู่ในช่วงสงคราม การบำรุงรักษาสมบัติที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมก็ถูกละเลย สะพานที่พังจึงไม่มีการซ่อมแซมเกือบ 400 ปี หลังจากนั้นไม่นานชาวบ้านก็เริ่มทำการฟื้นฟูสะพานที่เป็นหัวใจของเมืองขึ้น เสร็จสมบูรณ์ในปี 1953 เมื่อเร็วๆนี้สะพานคินไตเคียวได้รับการบูรณะเป็นครั้งแรกหลังจากที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ปี 2004 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 2 ร้อยล้านเยน โดยผู้เข้าชมจะต้องจ่ายค่าเดินผ่านด้วย
ใบซากุระย้อยกิ่งก้านลงมา สวยงามเชียงค่ะ ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไผ้พลิ คงจะสวยกว่านี้มากนค่ะ และสะพานแห่งนี้คงจะคับคั่งไปด้วยผู้คนเยอะเลยค่ะ
บรรยากาศโดยรอบสวยงาม มีภูเขารายล้อมเป็นฉาก
น้ำในแม่น้ำคงน้อย มีรถยนต์ รถบัสไปจอดในแม่น้ำ
ถึงแม้แดดจะร้อน แต่ก็ยังมีลดพัดเย็นๆค่อยช่วยบรรเทาความร้อน
ในช่วงที่ดิฉันมาเที่ยวที่นี้ นักท่องเที่ยวค่อนข้างน้อย ไม่เยอะมาก อาจจะเป็นเพราะเป็นช่วงวันธรรมดาค่ะ
เดินลงไปดูน้ำในแม่น้ำใต้สะพานค่ะ
สะะพานแห่งนี้ใช้วิธีสร้างแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว โดยการเข้าชิ้นด้วยสลัก มีทั้งหมด 5 โค้ง
เห็นคนกำลังตกปลาด้วยค่ ะ
น้ำในแม่น้ำ นิชิกิใสวิ้งเชียวค่ะ น่าลงไปเล่นมากๆค่ะ
เดินลงมาใต้สะพาน ลมพัดเย็นดีกว่าอยู่บนสะพานอีกนะค่ะ แถมเห็นแม่น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลาด้วยค่ะ ดูน่าจะอุดมสมบูรณ์มากๆนะค่ะ
ใหนๆมาเที่ยวชมสะพานทั้งที ก็ต้องขอข้ามสะพานเค้าหน่อยค่ะ โดยมีค่าธรรมเนียมบำรุงข้ามสะพานแห่งนี้ด้วยค่ะ อยู่ที่ 300 เยนค่ะ บรรยากาศบนสะพาน ลมพัดเย็นๆ กับแสงแดดที่ร้อนแรงใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ
ถึงแม้แดดร้อน แต่บรรยากาศโดยรอบเมืองนี้ ก็รายล้อมไปด้วยหุบเขาสีเขียวขจี มีต้นซากุระเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำนิชิกิค่ะ
เป็นสะพานไม้ที่ยังดูคงความเก่าขลังมากนะค่ะ
เวลาเดินขึ้นสะพาน ต้องระวังนิดนึงนะค่ะ ไม่งั้นหัวขมัมลงได้ค่ะ เวลาเดินต้องเดินตามขั้นค่ะ มาเดินสะพานนี้เหมือนได้ย้อนยุคไปสมัยโบราณอะไรมาณนั้นค่ะ เหมือนเดินขึ้นลงเนินค่ะ ถ้าเดินข้ามขั้นต้องระวังค่ะ ตอนอิชั้นเดินสะดุดไปหลายขั้นเหมือนกัน
มองเห็นคนกำลงตกปลา ดูท่าจะได้ปลาหลายตัวเลยนะค่ะ
แม่น้ำนิชิกิในฤดูร้อน ก็งดงามเขียวชะอุ่มออนซอนไม่เบาเลยนะค่ะ
พอเดินข้ามมาถึงก็จะเป็นร้านขายอาหาร ขายไอศกรีมน่ากินมากๆค่ะ และเป็นทางเดินเข้าไปสวนย่อม สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ อยู่ในเขตปราสาทอิวะกุนิค่ะ
เดินเข้ามาด้านในก็จะเป็นสวน Kikko Park ค่ะ อยู่ในสวนค่ะ
เดินมาก็จะเห็นน้ำพุกำลังพ่นน้ำเป็นละอองฟองฟิ้ว ลิ่วละล่องเลยค่ะ แต่เดี๊ยนเดินมาถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้เดินต่อไปเลยค่ะ เพราะท้องเริ่มร้องแล้วค่ะ ก็เลยเดินกลับไปยังสะพานคินไตเคียว ซึ่งมีร้่านอาหารอยู่ค่ะ ขอไปหาอะไรกินมื้อเที่่ยงนี้ค่ะ
เดินกลับมาหาอะไรทานที่เชิงสะพานคินไตเคียวค่ะ เหลือบไปเห็นร้านขายซูชิค่ะ น่าทานมากค่ะ ราคากล่องละ 500 เยนค่ะ
เป็นซูชิพิเศษของอาหารท้องถิ่นที่นี้เลยนะค่ะ นั่นก็คือ อิวะคุนิซูชิ
ซูชิที่นี้ไม่มีเหมือนซูชิที่อื่นนะค่ะ เพราะมันคืออิวะคุนิซูชิค่ะ (IwakuniZushi)
สำหรับ อิวะคุนิซูชิ เป็นการนำข้าวซูชิมาผสมกับรากบัว, เห็ดชิตะเกะ, ไข่ฝอย,ปลาอาจิ และอื่นๆ คั่นด้วยผักใบเขียว วางซ้อนๆกันหลายๆชั้นลงข้างในกล่องไม้ปิดฝา และจะมีคนคอยกดบนฝาให้อัดเข้ากันแน่นๆ ทำครั้งหนึ่งจะแบ่งออกมาได้ปริมาณสำหรับ 10 คนเลยทีเดียว
กล่าวกันว่าเมื่อสมัยก่อนจะใช้วิธีนี้เป็นวิธีการบรรจุอาหาร เพื่อขนเข้าไปให้แก่คนในประสาทในยามที่กำลังมีสงคราม เพราะปราสาทอิวะคุนินั้นอยู่บนเขา จะส่งของอะไรก็ยากลำบาก จึงได้กักตุนเสบียงอาหารเอาไว้ในกล่องแล้วก็ค่อยๆ แบ่งทานกันค่ะ
ขอบพระคุณข้อมูลเครดิตดีๆจาก : http://www.jnto.or.th/newsletter/kintaikyo/
ได้มาแล้วค่ะ ลองเปิดแกะทานดูสิ ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรบ้างค่ะ บ้างคนก็เรียกซูชินี้ว่า ซูชิสงครามโลกค่ะ เพราะเป็นซูชิที่ทำขึ้นในยามเกิดศึกสงคราม
แกะออกมาหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ โรยหน้าด้วยไข่กับรากบัว สีสันดูน่าทานเชียวค่ะ
พอได้ลิ้มลองรสชาติแล้วก็อร่อยดีค่ะ เป็นซูชิที่รสชาติไม่เหมือนที่อื่นเลย รสออกหวานๆเปรี้ยวๆเค็มๆค่ะ ไม่ได้กลมกล่อมเลย จะหวานก็หวาน จะเปรี้ยวก็เปรี้ยว ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะ แต่ก็ทานจะหมดกล่องเลยนะค่ะ เอาเป็นว่ารสชาติอร่อยดี ถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของการได้ลิ้มลองซูชิของเมืองนี้ค่ะ แต่ทานแล้ว ก็อยู่ท้องมากนะค่ะ ดูก้อนเล็กๆกะจิ๋วหลิ่ว ที่ลดความหิวโหยได้เยอะเชียวค่ะ
มานั่งทานซูชิรสอร่อ ริมแม่น้ำนิชิงิ บรรยากาศดี๊ดีนะค่ะ เงียบสงบ สยบความครืนเครงดีมากๆค่ะ
มานั่งริมใต้ต้นซากุระ ริมแม่น้ำนิชิกิ มองไปอีกฝั่งจะเป็นบ้านเรือน
ส่วนที่ดิฉันนั่งอยู่จะเป็นฝั่งด้านทางไปปราสาทอิวาคุนิค่ะ มองเห็นคนกำลังจูงน้องหมาลงไปในน้ำ ไม่รู้น้องหมาหิวน้ำ หรืออยากเล่นน้ำไม่รู้นะค่ะ
มีโคงฟง โคมไฟ ประดับประดา สวยระย้าจับใจเชียวค่ะ
ท้องฟ้าในช่วงบ่ายนี้ เริ่มจะสดใสแล้วค่ะ ท่ามกลางแดดที่ทอดุจไฟส่องสี อัคคีทอแสง ฤทธิ์ร้อนแรงน่าอัศจรรย์เชียวค่ะ แดดทอแสงดุจไฟส่องสี อัคคีทอแสง ฤทธิ์ร้อนแรงน่าอัศจรรย์เชียวค่ะ เดีียนเดินลัดเลาะชมวิวชิวๆไปเรื่อยเปื่อยค่ะ
เชิงสะพานไม้ ดูแข็งแกร่งน่าดูนะค่ะ ท่ามกลางแดดทอแสงดุจไฟส่องสี อัคคีทอแสง ฤทธิ์ร้อนแรงน่าอัศจรรย์เชียวค่ะ
เดี๊ยนนั่งชมบรรยากาศอยู่ในนี้ได้สักพัก แหงนดูนาฬิกา ไอ้หย่า!! ได้เวลาต้องจรลีไปที่อื่นต่อแล้วค่ะ
เลยเดินข้ามสะพานจากฝั่งปราสาทอิวะคุกินกลับไปยังฝั่งเมือง เพื่อขึ้นรถบัสค่ะ
เวลาเดินสะพานนี้ หากใครมาก็ไม่พลาด มีมุมมุ้งมิ้ง โน้นนี้นั้นให้ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยค่ะ เอาไปลงไอจง ไอจี ให้รื่นรมย์ฤดี ยวนยีตามเทคโนโลยีสมัยนิยม
กลับมายังฝังเมือง ได้เวลาเดินทางกลับไปยังสถานี Iwakuni แล้วค่ะ ก็นั่งรถบัสโดยสารเบอร์เดิมค่ะ คือเบอร์ 21
รอบนี้โชดดีค่ะ ได้นั่งรถบัสโดยสารแนวๆวินเทจ น่ารักฟรุ้งฟริ้ง ตุ้งติ้งเชียวค่ะ
ด้านในตกแต่งสวยงาม เป็นไม้ ที่นั่งก็บุด้วยผ้า เบาะรองนั่งนุ่มเชียวค่ะ ต่างจากรถคันก่อนหน้านี้เลยนะคะ
นั่งรถมาไม่นานก็ถึงแล้วค่ะ สถานี อิวะคุนิ
จากนั้นก็นั่งรถไฟจากสถานี Iwakuni ไปยังแหล่งท่องเที่ยวถัดไปนั้นก็คือ เกาะมิยาจิมะ (Miyajima)
วิธีการเดินทาง
- นั่งรถไฟ JR จากสถานี Iwakuni มาลงที่สถานี Miyajima ใช้เวลาไม่นานค่ะประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ
นั่งรถไฟเจอาร์ถึงสถานี miyajima จะมีป้ายบอกทางไปเรือเฟอรี่เลยค่ะ
ส่วนระยะทางจากรถไฟ JR สถานี Miyajimaguchi ไปยังท่าเรือก็ไม่ได้ไกลเลยนะค่ะ มองจากสถานีรถไฟไปก็เห็นแล้วค่ะ ท่าเรือข้ามไปยังเกาะมิยาจิมะค่ะ
เดี๊ยนเดินไปตามทางป้า่ยที่เค้าบอกค่ะ แนะนำค่ะถ้าไม่อยากติดไฟแดงนานนะค่ะ แนะนำเดินลงใต้อุโมงค์ข้ามไปได้ค่ะ
เดินลงตรงนี้ ขึ้นตรงนี้ อาจงงๆไปบ้าง แต่ก็ไปถึงได้อย่างรวดเร็วค่ะ
เดินมาแป๊บเดียวก็ถึงแล้วค่ะ ระหว่างทางมีร้านขายขนมนมเนย อบเชยไข่กรอบ กลิ่นหอมหวนเยายวนน่าทานเชียวค่ะ มีแต่ของกินน่ารับประทาน และต้องควักตังซื้อค่ะ
พอถึงท่าเรือ ก็ไม่ต้องพร่ำเพรือมากค่ะ รีบควักบัตร JR ขึ้นมาใช้ค่ะ เพราะที่ท่าเรืออยู่ในเครือรถไฟ jr ค่ะ ก็เลยสามารถนำบัตร JR มาใช้ได้ค่ะ แค่แสดงบัตรอาญานี้ให้เจ้าหน้าที่ก็จะผ่านประตูมาได้อย่างง่ายดายค่ะระหว่างทางเดินรถขึ้นเรือเห็นป้ายน้องกวางน้อย น่ารักพรุ้งพริ้งมุ้งมิ้งตุ้งติ้งค่อยต้อนรับกค่ะ
เข้าแถวรอขึ้นเรือเฟอรี่ข้ามฟากค่ะ
รอไม่นานเรือเฟอรี่ลำใหญ่ก็มารับแล้วค่ะ เรือเฟอรี่ที่ญี่ปุ่นที่ได้นั่งมาแต่ละลำ ตั้งแต่ได้นั่งที่เมืองคาโกชิม่า และก็ได้มานั่งอีกที่มิยาจิมะ ดูลำใหญ๊ใหญ่ ยังกะเรือสำราญเลยค่ะ เรือเฟอรี่ขนาดเดียวกันเป๊ะเด๊ะๆค่ะ
ขึ้้นเรือมาไม่นาน เรือเฟอรี่ก็สตาร์ทเครื่องบึ้นๆๆ ออกจากท่าเรือเพื่อข้ามไปยังเกาะมิยาจิมะค่ะ มองไปเห็นท่าเรือ และวิวเมืองดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเชียวค่ะ
บรรยากาศบนเรือ มองเห็นวิวเมือง ที่ใหญ่โตโอฬารเชียวค่ะ ส่วนเรือของอีกฝั่งจะเป็นเรือข้ามไปยังเกาะ miyajima เหมือนกันนะค่ะ แต่ไม่ได้อยู่ในเครือ JRค่ะ
เดี๊ยนตัดสินใจขึ้นมานั่งบนดาดฟ้าของเรือ เพราะลมพัดเย็นดีกว่า
เรือแล่นออกจากท่า มองเห็นทัศนียภาพฉากหลังของเมืองดูสวยงาม ร้าวรานใจจริงๆค่ะ
บรรยากาศบนเรือลมพัดเย๊น เย็น อากาศดี๊ดีค่ะ มองเห็นเรือเร็วกำลังแล่นจรลีมาด้วยค่ะ
มองไปอีกฝั่งของเกาะก็เห็นแล้วค่ะ แลนค์มาร์คของเกาะนี้ เสาโทริอิสีแดง เด่นตระหง่านอยู่ริมทะเล ถือเป็นสถานทีท่องเที่ยวที่ดึงดูดตาและตราตรึงใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก ต้องมาชะโงกชมกันสักครั้งค่ะ
นั่งเรือมาไม่นานก็ถึงแล้วค่ะ ท่าเรือเกาะมิยาจิมะ
เดินออกมาในเมืองบรรยากาศก็จะคลาคล้ำไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายเลยค่ะ
ที่พิเศษบนเกาะนี้ คงจะเป็นน้องกวางน้อย เดินมุ้งมิ้งค่อยมาต้อนรับ ขับสู้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกาะนี้ค่ะ
เห็นกวางที่เกาะแห่งนี้แล้ว ก็นึกถึงกวางที่เมืองนาราเลยค่ะ
กวางที่เกาะมิยาจิม่าแห่งนี้ เป็นสัตว์ประจำถิ่นในเกาะนี้ค่ะ
ดูกวางน้อย น่าจะเดินหาอะไรทานนะค่ะ
พอมาถึงดิฉันก็ไม่รีรอ เดินต่อไปยังแลนด์มาร์คและไฮไลท์ของเมืองนี้ คือ เสาโทริสีแดง ร้อนแรงจับใจ
ระหว่างเดินมาก็เห็นเจ้่ากวางน้อยตัวนี้ คงจะหิวน่าดูนะค่ะ กำลังเลียน้ำ
น้องกวางกำลังหยอกล้อกับนักท่องเที่ยว แต่เดินไปก็เสียวๆเหมือนกันนะค่ะ
เพราะเดี๊ยนก็กลัวมันจะเอาเขามาขวิดเข้าค่ะ เพราะบางตัวก็มีเขาหงอกออกมาเป็นอาวุธค่ะ
บางตัวก็ให้จับและดูเป็นมิตรมากๆนะค่ะ ดูเจ้ากวางนี้ตัวนี้สงสัยอยากทานขนมนะค่ะ ให้จับด้วยค่ะ น่ารักเชียวค่ะ
เดินมาระหว่างก็จะเห็นชายหาดเลียบฝั่งเสาโทริอิสีแดง ตระหง่ายอยู่กลางทะเลค่ะ
บรรยากาศทางเดินกับนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศค่ะ
เดินจากท่าเรือ ชมวิวทะเล โอ่ละเห่น้องกวางน้องไม่นานก็เห็นแลวค่ะ เสาโทริอิสีแดง แลนด์มาร์คที่สวยงามอีกแห่งของประเทศญี่ปุ่น ที่ดึงดูดตาและตราตรึงใจนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลกให้มาชะโงกชมกันค่ะ
สำหรับโทริอิสีแดงนี้เป็นของศาลเจ้าอิสึกุชิมะค่ะ
ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ (厳島神社 Itsukushima Jinja) เป็นศาลเจ้าลัทธิชินโตบนเกาะอิสึกุชิมะ เมืองฮะสึไกชิ จังหวัดฮิโระชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยกฐานะอาคารต่าง ๆ ในศาลเจ้าให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น
ขึ้นไปชมความงามด้านบนค่ะ
จะเห็นวิหารสีแดง สวยงามเชียวค่ะ
รำหว่างทางเดินเห็นน้องกวางน้อย ไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงเนินเขาด้วยค่ะ สงสัยมันจะติดอยู่ที่ต้นไม้
ใหนก็มาถึงแล้ว เข้าไปไหว้ศาลเจ้าด้านในและชมความงามของศาลแห่งนี้ค่ะ
ค่าธรรมเนียมเข้าชมศาลเจ้าอิสึกุชิมะ (Itsukushima Jinja) 300 เยนค่ะ
เข้ามาในศาลเจ้าก็ต้องล้างมือก่อนนะค่ะ เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ทั้งใจและกายก่อนเข้าไปด้านในค่ะ
มาเรียนรู้ประวัติของศาลเจ้าอิสึกุชิมะ (Itsukushima Shrine)
ประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าย้อนหลังไปได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 การก่อสร้างสำเร็จจนมีลักษณะอย่างในปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 1711 โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากแม่ทัพคิโยโมริ ศาลเจ้าแห่งนี้เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของเกาะ ในอดีตชาวบ้านสามัญชนจะถูกห้ามไม่ให้ย่างเท้าขึ้นบนเกาะ และต้องเดินทางโดยเรือผ่านเสาประตูที่ลอยอยู่กลางทะเล
บรรยากาศในศาลเจ้าอิสึกุชิมะ อร่ามฉามฉ่องไปด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามและสีแดงส้ม ร้อนแรงอร่ามจับตาคณานับจริงๆค่ะ
สถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นสวยงาม ตามแบบฉบับดั้งเดิมค่ะ
เดินออกมาก็จะเห็นเสาโทริอิ โดดเด่นตระหง่านอยู่กลางทะเลเลยค่ะ
มาถึงมุมนี้ถือเป็นมุมไฮไลท์เลยค่ะ
เสาโทะริอิของศาลเจ้าอิสึกุชิมะเป็นจุดท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น และทิวทัศน์ของเสาประตูที่อยู่หน้าภูเขามิเซนบนเกาะ ยังได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในสามทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น (Three Views of Japan) เสาโทะริอิถูกสร้างขึ้นในบริเวณนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1711 แต่เสาที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2418 ตัวเสาทำจากไม้การบูร มีความสูงประมาณ 16 เมตร มีเสาเล็ก ๆ เป็นฐานรองอีก 4 เสา
ในเวลาที่น้ำขึ้น เสาโทะริอิจะดูเหมือนลอยอยู่กลางทะเล เมื่อน้ำลง จะปรากฏให้เห็นพื้นโคลนเลนที่เสาตั้งอยู่ และสามารถเดินเท้าไปจากเกาะได้ ผู้มาเยือนมักจะวางเหรียญเงินไว้ที่ขารองเสาแล้วอธิษฐานขอพร การเก็บหอยเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เป็นนิยมเวลาน้ำลง และเวลากลางคืนจะมีแสงไฟจากชายฝั่งส่องไปที่เสาให้ดูงดงามยิ่งขึ้น
การรักษาความสะอาดบริสุทธิ์ในศาลเจ้าถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนปี พ.ศ. 2421 ภายในศาลเจ้าจะไม่มีการอนุญาตให้มีการเกิดและการตาย แม้จนทุกวันนี้การฝังศพบนเกาะก็ยังเป็นสิ่งต้องห้าม
ในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2547 ศาลเจ้าถูกพายุไต้ฝุ่นซงด่าพัดจนเสียหายหนัก ทางเดินและหลังคาอาคารถูกทำลาย ทำให้ต้องปิดศาลเจ้าชั่วคราว แล้วเปิดให้เข้าชมอีกครั้งในปี พ.ศ. 2549 แต่ก็ยังคงต้องดำเนินการซ่อมแซมต่อไป
ขอบพระคุณข้อมูลอ้างอิงดีๆจากเว็ป https://th.wikipedia.org/wiki/ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ
มุมที่ดิฉันมายืนตรงนี้ จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นนิยมกันมาถ่ายรูปตรงนี้มากค่ะ จนเป็นจุดไฮไลท์ ต้องเข้าแถวรอคิวถ่ายเลยล่ะค่ะ
เวลาถ่ายรูปมุมไฮไลท์ที่คนเยอะนะค่ะ หากมากันสองคน อีกคนที่เรียงแถวรอถ่ายอยู่ ก็จะเป็นคนอาสาถ่ายให้ด้วย ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยค่ะ และพออีกฝ่ายถ่ายรูปให้เสร็จ ฝั่งคนที่ถูกถ่ายรูปให้ก็แสดงการขอบคุณด้วยการโค้งคำนับอย่างอ่อนโยนและงดงาม และกล่าวคำว่า อาริกะโตะ ไซอิมัน ฟังแล้วน่าประทับใจมากๆนะค่ะ
เวลาจะถ่ายรูปต้องหาช่วงเวลาถ่ายรูปช่วงที่คนยังไม่เข้ามาค่ะ ว่าจะรอคิวถ่ายนะค่ะ แต่ดิฉันขึ้อายไม่อยากขึ้นกล้องค่ะ เลยแอบถ่ายอยู่แต่ไกลๆค่ะ
น้ำทะเลเริ่มลดลงแล้วนะค่ะ แต่ก็ยังไม่เห็นดวงอาทิตย์อัสดงเลยค่ะ
ดิฉันเดินเข้ามาด้านใน เพื่อไหว้เจ้าด้านในค่ะ มองไปทางใหนก็มีแต่สีแดงแรงฤทธิ์จริงๆค่ะ
หลังจากที่ได้ไหว้เทพเจ้าด้านในแล้วนะค่ะ ดิฉันก็เดินมาอีกฝั่งค่ะเดินมาอีกฝั่ง ก็มองเห็นน้ำทะเลเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว จนเห็นผืนทราย งดงามพร่างพรายดุจสายน้ำทิพย์เลยค่ะ
ช่วงบ่ายแก่ๆ เดี๊ยนเลยเดินเหยียบย้ำบนผืนทรายที่น้ำทะเลกำลังเหือดแห้ง เพื่อไปชมเสาโทะริสีแดงว่าจะใหญ่โตโอฬาร ร้านรานถึงทรวงในแค่ใหนค่ะ
ช่วงบ่ายแก่ๆ เดี๊ยนเลยเดินเหยียบย้ำบนผืนทรายที่น้ำทะเลกำลังเหือดแห้ง เพื่อไปชมเสาโทะริสีแดงว่าจะใหญ่โตโอฬาร ร้านรานถึงทรวงในแค่ใหนค่ะ
เดินลงมาต้องระวังหน่อยค่ะ เดียวหอยทิ่มเท้าเอาค่ะ ใครใส่เกิบอีแตะมาระวังเด้อจ้า
มีหอย มีปูอยู่มากมาย พร่างพรายอยู่เต็มชายหาดและจากที่น้ำลดค่ะ
พอน้ำลด เดินลงมาแล้ว เสาโทะริอิสีส้มแดง งามร้อนแรงและใหญ่โตจริงๆค่ะ
ศาลเจ้าอิสีกุชิมะได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่
20 เมื่อปี พ.ศ. 2539 ที่เมืองเมรีดา ประเทศเม็กซิโก
ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้
- เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์
-
เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง
ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน
ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง
หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
หรือบนพื้นที่ใด ๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
-
เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา
ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
- มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์สวยงามสมค่ำล่ำลือ และเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่งดงามอีกแห่ง อยู่ติดริมทะเล บรรยากาศโอ้ละเห่เลชา ลั๊ลลาจับใจ งามวิไลด้วยกวางน้อย สวยหยดย้อยเสาโทริอิ ดอกไม้ก็ผลิบานร้านรานใจจริงๆค่ะ
บรรยากาศยามเย็นๆ พระอาทิตย์เริ่มจะบ่ายคล้อยลง แต่ก็ยังมองหาอัสดงไม่เจอเลยค่ะ ไม่รู้จะฝั่งฟากใหนนะค่ะ
ลมทะเลพัดโชยยามเย็นๆ ณ เกาะมิยาจิมะ (เกาะมิยาจิมาะ)ค่ะ เกาะศักดิ์สิทธิ์
ตามที่ได้กล่าวไว้ค่ะว่า การรักษาความสะอาดบริสุทธิ์ในศาลเจ้าถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ โดยในก่อนปี พ.ศ. 2421 ภายในศาลเจ้าจะไม่มีการอนุญาตให้มีการเกิดและการตาย แม้จนทุกวันนี้การฝังศพบนเกาะก็ยังเป็นสิ่งต้องห้ามค่ะ แสดงว่าถ้ามีคนตายบนเกาะนี้ ฝังที่นี้ไม่ได้นะค่ะ ต้องหอบใส่เรือข้ามไปฝั่งที่อื่นเลยค่ะ
หลังจากได้ชื่นชมความงามของบรรยากาศทัศนียภาพอันสวยงามของเสาโทะริอิแล้วนะค่ะ แหงนดูนาฬิกาก็ได้เพลาเดินทางกลับแล้วค่ะ
เดินขยับมาเรื่อย ก็เริ่มเมื่อยเลยนั่งพักสักแป๊บค่ะ
พอหายเมื่อยขาแล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็มาเดินลั๊ลลาต่อ มาช๊อปปิ้งซื้อของกินในเมืองนี้ดูสิว่า จะอร่อยเริ่ดสะแมนแตนแค่ใหนค่ะ
ของฝากขึ้นชื่อแห่งเกาะมิยาจิม่า คงเป็นขนมรูปใบไม้ หรือเรียกว่าขนมโมมิจิมันจูค่ะ
ใหนมาเกาะนี้ทั้งที ต้องไม่พลาด ต้องซื้อมาลิ้มลองดูสักอันค่ะ เห็นเค้ากำลังทำขนมกันอยู่เลยค่ะ กลิ่นหอยโชย เตะจมูกน่ากินมากๆ
ราคาก็มีหลากหลายให้เลือกเลยค่ะ ตกชิ้นละ 90 เยนค่ะ
เดี๊ยนซื้อมาลิ้มลอง 1 ชิ้นค่ะขนมโมมิจิมันจู รสดั้งเดิม ขนมรูปใบไม้ น่ารักมุ้งมิ้ง น่าทานเชียวค่ะ
พอได้กัดและลิ้มลองแล้ว รสชาติอร่อยเริ่ดสะแมนแตนมากๆค่ะ ใส้ถั่วหวานหอมกำลังดี แป้งนุ่มยวนยีจับใจ ทานแล้วก็อยากทานอีกนะค่ะ
เดินเลาะตามร้านขายของฝากในเกาะนี้ ก็อยากได้ตุ๊กตากวางน้อย น่ารักจังเลยค่ะบรรยากาศร้านค้า ร้านขายขนมและของฝากในเกาะมิยาจิม่ายามเย็น มีนักท่องเที่ยวออกมาเดินกันอยู่เรื่อยๆเลยค่ะ ถึงแม้อาจจะบางตาไปบ้างก็ตามค่ะ
เดินมาเห็นทั้งน้องกวาง และหนุ่มน้อย งามหยดย้อยกันทั้งสองเลยนะค่ะ
หลังจากได้ชื่นชมความงามของเกาะมิยาจิม่าแล้วนะค่ะ ตอนเย็นๆ เดี๊ยนก็เดินทางกลับเมืองฮิโรชิม่าค่ะ โดยนั่งรถไฟ JR จากสถานี Miyaimaguchi เดินทางกลับมายังสถานี Yogokawa เมืองฮิโรชิม่าค่ะ
เนื่องจากเวลายังเหลืออยู่ค่ะ โดยช่วงเย็นๆวันนี้ ขอมาฉิมพลี นั่งพักชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Hiroshima Orizuru Tower หนึ่งในจุดชมวิวเมืองฮิโรชิม่า และชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามอีกแห่งค่ะ
เห็นว่าพึ่งเปิด เดี๊ยนเลยขอมาเจิมหน่อยค่ะ ราคาค่าเข้าไปชมวิวด้านบน อยู่ที่ 1100 เยนค่ะ
พอขึ้นมาก็ไม่ผิดหวังนะค่ะ เห็นความโอ่อ่าและความสวยงามของชั้นบนกับสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยดูเรียบหรู ดูอลังการ สวยงามมากๆค่ะ กับพระอาทิตย์ที่กำลังจะอัสดงลงแลลับ สวยระยับจับจ้วงสู่นัยดวงตาให้บ้าคลั่งเอยค่ะ....ใครที่เป็นมือโปรถ่ายรูปสวยๆ ลองแวะมาถ่ายรูป จูบวิวสวยๆกันดูนะค่ะ แต่เสียดายที่นี้เค้าไม่อนุญาติให้นำขาตั้งกล้องขึ้นมาค่ะ มีที่นั่งกว้างขวางใหญ่โตโอฬาร
เวลาเปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 20.00 น.
ใครที่ชื่นชอบบรรยากาศชิวๆ กับวิวอันสวย และสถาปัตยกรรมอันเรียบหรูดูโก้เก๋เก๋ งามไฉไลไฮโซ ต้องมาเฮโลกันที่วิวบนดาดฟ้าแห่งนี้ค่ะ
มีเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังฤษได้ ค่อยดูและถ่ายรูปให้ค่ะ ถ้าคุณมาคนเดียวไม่ต้องห่วง ว่าจะต้องใช้ไม้เซลฟี่ เพราะมีพนักงานดีๆ ค่อยเป็นสารถีถ่ายรูปสวยๆ งามๆไปลงในไอจง ไอจีให้ค่ะ
พระอาทิตย์สีแดง งดงามอย่างแรงค่ะ
ที่นั่งชมวิวเมืองฮิโรชิม่าค่ะ
มองไปก็เห็นวิวเมือง วิวทะเลและภูเขา งดงามดุจเงาพระจันทร์ค่ะ
ข้างบนอากาศดี๊ดี ลมพัดเย็นๆค่ะ
เสียดายมีลวดขึงกันไว้ มองผ่านทะลุลวด เห็นวิวเมืองฮิโรชิม่า
มองเห็นวิวโดมปรมาณูอยู่ใกล้ๆตรงข้างหน้านี้เองค่ะ
นั่งชมวิวกับวิวสวยๆด้านบนนี้
ด้านบนก็มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาชมอยู่เรื่อยๆเลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวแห่งใหม่ ที่เหมาะสำหรับคนรักการท่องเที่ยว ชมวิวทัศนียภาพเมือง
สถาปัตยกรรมดูทันสมัย ใหญ่โตโอ่โถ่ง สวยงามดีค่ะ
นอกจากนี้แล้วนะค่ะ ยังมีกิจกรรมให้ได้ทำด้วยค่ะ
ที่ชั้นล่างรองลงมามีกิจกรรมให้ทำด้วยการสอนพับนกกระเรียนในรูปแบบต่างๆค่ะ
กิจกรรมคือการพับนกกระเรียนกระดาษค่ะ จะได้แผ่นกระดาษมาเป็นแบบนี้ค่ะ
มองจากตึกห้องกิจกรรมพับนกในตึก Orizuru Tower เห็นรถราและไฟก็จะเปล่งไฮไลท์กันแล้วค่ะ
หลังจากได้นั่งชมชิวๆ ชมวิวสวยๆของเมืองฮิโรชิม่าที่ Orizuru Tower ไปแล้วนะค่ะ และจากตึกชมวิวไม่ไกลนัก เดินมาอีกสักพักไม่ถึงกิโลก็จะถึงย่านแหล่งช๊อปปิ้งในเมืองฮิโรชิม่านั้นก็คือ ย่านฮอนโดริค่ะ
ถนนช๊อปปิ้งยามหัวค่ำในเมืองฮิโรชิม่า มีร้านคง ร้านค้าให้เลือกเดินช๊อปซื้อหาของถูกใจกันหลายร้านเลยค่ะ แต่บางร้านก็เริ่มทยอยปิดแล้วค่ะ
ดิฉันเดินชมถนนช๊อปปิ้งในย่าน hondori ไม่นาน ก็เดินวนผ่านมาตั้งหลักที่จุดเดิม ตรงเชิงสะพานใกล้ๆ Orizuru tower ป้ายรถรางสถานี Gembaku Dome เพื่อมาดู Light up ของโดมปรมาณูค่ะ
ภาพบรรยากาศแม่น้ำโมโตยาสุ (Motoyasu river) กับโดมปรมาณู สวยงามมากๆค่ะเป็นภาพถ่ายสุดท้ายของทริปมาเทียวเมืองฮิโรชิม่าแล้วค่ะ หลังจากนั้นเดี๊ยนก็นั่งรถราง กลับไปยังสถานีโยโกกาว่า
เพื่อไปเอากระเป๋าที่โรงแรม
- เดินทางจาก Yokogawa ไปลงที่ สถานี Hiroshima
- จากนั้นก็นั่งรถไฟ Shinakansen จากสถานี Hiroshima มาที่เมือง Okayama เพื่อมาพักค้างที่เมืองนี้ค่ะ
นั่งรถไฟ Shinakansen จากสถานี Hiroshima มาที่เมือง Okayama ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึงค่ะ
ดิฉันเดินแบกเป้ออกจากสถานีรถไฟโอคายาม่า มายังที่พัก ระหว่างเดินมาก็ผ่านแหล่งช๊อปปิ้งอันคึกคักและครึนครืนเครง มีสีสันบรรเลงจับใจมากๆนะค่ะ มีนักเดินทางและนักท่องเที่ยวเดินกันอย่างละลานตาค่ะ
โอคายาม่าในช่วงดึกของวันที่ 14 ก.ค.เป็นเมืองราตรี ยามดึกดึน ก็ยังมีวัยรง วัยรุ่น วัยซน เด็กแนวออกมาเดินแซวสาวๆก็อยู่อย่างคึกๆคักๆ ตึ๊กๆตั๊กๆมากๆค่ะ และระหว่างทางเดินไปโรงแรม ก็เป็นคลองแม่น้ำใสไหลเย็นๆเอื่อยๆ เดินเรื่อยๆไปยังโรงแรมที่พักค่ะ
พอถึงเมืองโอคายาม่าก็เดินจากสถานีรถไฟ JR มาอีก 1 กิโลกว่าๆ ผ่านถนนคนเดินแหล่งช๊อปปิ้งในเมืองมาอีกไม่ไกลก็ถึงที่พักค่ะ โดยที่พักคืนนี้ พักแบบห้องแคปซูลค่ะ
ก่อนจะเข้าห้องพัก เริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ ปวดหลังมากๆค่ะ ขอเติมพลัง ทานอาหารเย็นค่ะ กับข้าวมื้อนี้ ชื่ออะไรไม่รู้ เอาเป็นว่าเป็นข้าวราดแกงแล้วกันค่ะ ทานกับไข่ต้มพออิ่มก็พอจะได้ไม่เปลืองค่ะ
และห้องพักคืนนี้ เดี๊ยนได้เลือกจองที่พักแบบห้องแคปซูลแบบห้องส่วนตัว แต่เป็นห้องน้ำรวมนะค่ะ ในห้องก็มีที่นอน มีที่วางสัมภาระ และมีเก้าอี้นั่ง มีที่วางของให้ด้วยค่ะ คือสะดวกกว่าค่ะ จองตัดบัตรเครดิตไปแล้ว ราคา 1000 บาทค่ะ
ในห้องแคปซูลส่วนตัว มีโคมไฟ ที่สำหรับวางของ เก้าอี้
มีผ้าขนหนูหให้ด้วยนะค่ะ ในห้องเขียนไว้ว่า Non smoking room ค่ะ
และพออาบน้ำเสร็จสับ หัวถึงหมอน ก็นอนหลับปุ๋ยแบบสลลไสลเลยค่ะ
จบทริป 1 วันเที่ยวเมืองฮิโรชิม่าค่ะ บรรยากาศงดงามดุจอำพรรณดั่งสวรรค์ชั้นฟ้ามาลาดินจริงๆค่ะ ทั้งได้ความรู้ ได้บรรยากาศและทัศนียภาพวิวอันสวยงาม ร้าวรานจับใจ งามไฉไลสุดเก๋ เทห์ซ่ะไม่เบาเชียวค่ะ
และเมืองท่องเที่ยวถัดไปก็คือเมืองโอคายาม่าค่ะ รอติดตามกันนะค่ะ จะพยายามเขียนให้จบทั้ง 14 ตอนโดยเร็วค่ะ
สำหรับรีวิวท่องเที่ยวเมืองฮิโรชิม่าในบล็อกนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ค่ะ เดี๊ยนหวังว่าคงเป็นบล็อกที่มีประโยชน์และเป็นแรงกระตุ้นให้ท่านออกมาเดินทางท่องเที่ยวบ้างไม่มากก็น้อยนะค่ะ หากข้อมูลดังกล่าวมีข้อผิดพลาด ชื่อ และข้อมูลไม่ถูกต้อง พิมพ์ผิดๆ ตกๆหล่นๆประการใด ดิฉันเองต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ
ขอบพระคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่สละเวลาอันมีค่าเข้ามาลั๊นลาเปิดสไลด์ดูกันค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
บล็อกเกอร์สมัครเล่น
-------------------------------------------------------------
รวมบทความบล๊อกเที่ยวเดือนละ 1 ครั้ง มีดังนี้ค่ะ(จะทยอยอัพเดทเรื่อยๆค่ะ เว็ปบล็อกจะได้ไม่ร้างค่ะ)
แนะนำโรงแรมในนาโกย่า ใกล้สถานีรถไฟ ราคาสุดประหยัด คลิ๊กดูข้อมูลที่พักค่ะ>> |
แนะนำโรงแรมโตเกียวเปิดใหม่ปี 2108 สำหรับคู่รัก คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูข้อมูลได้ที่บล็อก : http://bit.ly/2L3Nivv
โรงแรมในเมืองฮาโกดาเตะ สุดน่ารัก แถมราคาถูกอีกด้วย คลิ๊กดูข้อมูลที่พักค่ะ>> |
หรือดูข้อมูลได้ที่เว็ปบล็อก : http://bit.ly/2EMob0W
แนะนำโรงแรมในซัปโปโร ห้องนอนคู่ดูโอ้ ใกล้สถานีรถไฟ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
บล็อกรีวิวเที่ยวแม่กำปอง ต้องลองมาสักครั้ง อากาศดีปังเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
รีวิวเที่ยวประจำเดือน ก.ค.2560 เที่ยวญี่ปุ่นตอนจบ สรุปค่าใช้จ่าย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 13 นอนค้างโตเกียว นั่งรถไฟไปเที่ยวคามากุระ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
10 ที่พักโอซาก้า ราคาถูกสุดๆ ใกล้สถานีรถไฟ JR คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 11 ขี่จักรยานชมไร่นาเมืองบิเอะ สวยเป๊ะเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 7 รีวิวการเดินทางไปหลังคาญี่ปุ่นด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 5 เดินลั๊ลลาดูเมืองเก่าคุราชิกิ ชมใบไม้ผลิสวยเริ่ด คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 3 ท่องเมืองฟูกุโอกะ ชมเทศกาลยามากาสะ งามเริ่ด คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 2 นั่งไฟออนซอนไปอบทรายร้อนที่อิบูชูกิ คลิ๊กดูค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 1 นั่งรถไฟแมวทามะ แวะพักชมปราสาทสวย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
วิธีการวางแผนเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเองมาฝาก คลิ๊กดูค่ะ>> |
ล่องเรือไทยในภาคกลาง งามสะพร่างดุจสายน้ำทิพย์ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
10 อันดับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองไทย คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
รวมอุทยานแห่งชาติยอดนิยมในเมืองไทย ต้องตามไปชมให้ชื่นใจ คลิ๊กดูค่ะ>> |
รวมเขื่อนยอดนิยมในเมืองไทย ที่ต้องไปชมสักครั้ง คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
7 ที่เที่ยวช่วงหน้าฝนปีนี้ น่าจรลี หนีงานไปร้าวรานสุดๆค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวนครพนม เม.ย.60 ขับมอเตอร์ไซต์ไปมูลนิธิคนชราที่ท่าอุเทน คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวระยอง มี.ค. 60 ท่องเกาะเสม็ด นั่งกินเห็ดอร่อยเริ่ดเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวเพชรบุรี ก.พ.60 ไปฉิมพลีที่เขาวัง รำลึกความหลังหาดเจ้าสำราญ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวแอบเที่ยวเมืองโฮจิมินห์ครึ่งวัน นั่งสุขสันต์ริมแม่น้ำไซ่ง่อน คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
รวมภาพงานเที่ยวเมืองไทยปี 2560 ณ สวนลุมพีนี เริ่ดสะแมนแตนอีหลีเด้อจ้า คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวสุพรรณบุรี ปั่นจักรยานแสนสุขขีไปบึงฉวาก คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
รวมไหว้พระ 9 วัดในเมืองเก่าเชียงใหม่ เอาใจคนชอบทำบุญค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
แนะนำวัดในเมืองเก่าเชียงใหม่ เอาใจคนอยากไปไหว้พระทำบุญ 9 วัด ปั่นจักรยานใกล้ๆรอบเมืองเชียงใหม่ แสนสุขใจเริ่ดเว่อร์ คลิ๊กดูรายละเอียดวัดและแผนที่ค่ะ>>
รวมสถานที่ท่องเที่ยวเมืองเชียงราย มีที่ใหนบ้าง คลิ๊กดูข้อมูลท่องเที่ยวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวสงขลา-หาดใหญ่ ขับสองล้อท่องไป ไฉไลเริ่ดเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวสงขลา หาดใหญ่ เดือน พ.ย.2559 ขับมอเตอร์ไซต์ไปทำทานที่มูลนิธิคนชรา แวะไปลั๊นลาไหว้พระที่เขาคอหงส์ ชมอาทิตย์อัสดงลงงามชนะเลิศ คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
ฮวมสถานที่แอ่วดอยอินทนนท์ งามแต้ๆเจ้า คลิ๊กดูข้อมูลท่องเที่ยวค่ะ>> |
รวมสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตบนดอยอินทนนท์ ไปแอ่วกี่หน บ่เก้ยบ่นว่าเบื่อเลยเจ้า ลองแวะไปเที่ยวกันดูนะค่ะ คลิ๊กดูข้อมูลท่องเที่ยวดอยอินทนนท์ค่ะ>>
พิพิธภัณฑ์เรียนรู้ในกรุงเทพ เสพแล้วดีเว่อร์ คลิ๊กดูพิพิธภัณฑ์ค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวเมืองเลย แวะไปเดินชมเชยที่เชียงคาน ยลตระการยอดภูกระดึง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวภูกระดึง 4-6
ต.ค.2559 รำลึกความหลังครั้งวันวาน
แวะผ่านไปค้างที่เมืองเลย ก่อนไปนั่งรำเพยที่เชียงคาน คลิ๊กดูภาพรีวิวเดินทางค่ะ>>
รีวิวเที่ยวปัว-น่าน ขับมอเตอร์ไซต์แว๊นไปดอยภูคา คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวปัว-น่าน วันที่ 21-23 ก.ย.59 นอนพักชมทุ่งนาเขียวสดสีงามวิไล ขับมอเตอร์ไซต์แว๊นไปที่ดอยภูคา จิบน้ำชาชมวิวเบิกฟ้า สวยเลอค่ายิ่งนักเอย คลิ๊กดูรีวิวการเดินทางค่ะ>>
รีวิวเที่ยวอุทัยธานี เลาะริมน้ำสะแกกรัง นั่งดูวิถีชีวิตสุดชิวเว่อร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
รีวิวทริปเที่ยวอุบล ยลตระการงานแห่เทียนพรรษา ไปลั๊นลาที่ผาแต้ม คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
รีวิวทริปเที่ยวตรัง 3 วัน 2 คืน ขับมอเตอร์ไซต์ตะล่อนทัวร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวจันทบุรี 2 วัน 1 คืน เดินลัดเลาะชุมชนเก่าริมฝั่งน้ำ คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวอัมพวา เดินย้ำตลาดน้ำ ชมตลาดร่มหุบแม่คลอง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวเกาะเกร็ดครึ่งวัน เพราะเดี๊ยนนั้นอยากกินข้าวแช่ คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
บล๊อกสุขสันต์วันสงกรานต์ประจำปี 2559 มาให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวหัวหิน วันที่ 19-20 มี.ค.2559 คลิ๊กดูรีวิวตามภาพเดินทางค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวเกาะสีชัง แวะรำลึกความหลังหาดบางแสน เดือน ก.พ.59 คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ |
รีวิวเที่ยวเกาะสีชัง
เดือน ก.พ.59 แวะรำลึกความหลังที่หาดบางแสน
ทำบุญไหว้พระแสนอิ่มอุรา คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวเชียงใหม่ ม.ค.59 ไหว้พระ 9 วัด คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางค่ะ>> |
ประมวลภาพงานเที่ยวเมืองไทยปี 2559 คลิ๊กดูภาพค่ะ >> |
รีวิวเที่ยวเชียงราย ธ.ค.2558 ขับมอเตอร์ไซต์ไปดอยตุงคลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวลุยเดี่ยวเที่ยวสุโขทัย ตอนที่ 2 (ตอนจบ) ปั่นจักรยานเที่ยวรอบอุทยานเมืองเก่า ได้ความรู้ดีเว่อร์ เหมือนย้อนวัยมาเรียนสังคมศึกษาอีกครั้ง คลิ๊กอ่านรีวิวค่ะ>>
เดินลัดเลาะเที่ยวสุโขทัย ตอนที่ 1 งานลอยกระทงในคืนเดือนเพ็ญ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวหัวหิน เดือน พ.ย. 58 เยือนอุทยานราภักดิ์ คลิ๊กดูรีวิวตามภาพเดินทาง>> |
รีวิวเที่ยวศรีสะเกษ ไปงานแห่ต้นดอกไม้ของเผ่าสวย คลิ๊กดูประเพณี>> |
รีวิวเที่ยวแบกเป้ ปีกเขาช้างเผือกด้วยตัวเอง ที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ คลิ๊กอ่านรีวิวค่ะ>
0 ความคิดเห็น