รีวิวเที่ยวอัมพวา แม่กลอง ชมวิถีชีวิตริมคลอง แสนสุขอุรา เดินย้ำตลาดน้ำกินผักปลา รื่นกายยายิ่งนักเชียว |
เมื่อช่วงวันที่ 23-24 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา เดี๊ยนได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวแม่กลองและตลาดน้ำอัมพวาอีกครั้งค่ะ พอได้มาเที่ยวครั้งนี้ ก็ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้วค่ะ จำได้ว่า 10 กว่าปีได้แล้วกระมังค่ะ ที่เดี๊ยนไม่ได้มาเที่ยวอัมพวาเลย จำได้ว่าอัมพวาในยุคช่วงที่ยังไม่บูมมาก ไม่มีเทคโนโลยี 4 ซ่า 5 จี ในช่วงนั้นการมาเที่ยวอัมพวาถือว่ามีเสน่ห์อย่างมาก ยิ่งช่วงฤดูหน้าร้อนแบบนี้ เดี๊ยนนึกถึงเลยค่ะ ต้องไปทานลิ้นจี่แม่กลอง อุ้ย..รสชาติหวานฉ่ำ ชื่นจิต ชื่นใจ ชื่นยันไปถึงทรวงอกทรวงในเลยเชียวค่ะ
สมัยแต่ก่อนหากได้เดินทางไปทางภาคใต้ ริมสองฝั่งข้างทาง เมื่อข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองมา จะมีลิ้นจี้ขายขนาดอยู่ฝั่งข้างทางให้ได้ซื้อไปเป็นของฝากกันค่ะ แต่มาถึงยุคนี้ หาได้มีลิ้นจี่แม่กลองให้สัมผัสไม่ มีแต่ต้นลิ่นจี่ให้เชยชม หาได้มีกลิ่นและรสชาติมาดอมดมไม่ ก็เพราะด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ก็เลยอดได้ดื่มด่ำรสชาติความไฉไลกันไป แต่มีหนึ่งอยากที่ยังมีอยู่เป็นสุดยอดของฝากทุกฤดูกาล หากเดี๊ยนได้แวะมาทำธุรที่แม่กลองหรืออัมพวาคราใด สุดยอดของฝากที่ขึ้นชื่อลือชาของเมืองนี้ ก็ต้องยกให้ปลาทูแม่กลองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ต้องหน้างอคอหักเท่านั้นค่ะ การันตีได้เลยว่าเป็นปลาทูที่มีคุณภาพ สดใหม่ เนื้อแน่นๆ เอาทอดทำกับข้าวปลาอร่อยแซ่บยิ่งกว่าปลาร้าในใหอีกนะค่ะ ถ้าใครที่จะไปซื้อปลาทูแม่กลอง เห็นปลาทูตัวใหนหน้าสวย คอตรง อย่าริไปซื้อไปทำอาหารเด็ดขาดนะค่ะ เพราะรสชาติไม่อร่อยแน่นอนค๊า คิคิคิ.....
ในช่วงหน้าร้อนเมษาแบบนี้ เป็นเดือนที่ร้อนได้โล่ห์จริงๆค่ะ ร้อนแบบเว่อร์วังอลังการสะท้านโลกาจริง ตอนนี้องศาเซลเซียลเนี่ยนะค่ะ แตะไปเฉียด 45 องศาได้แล้วกระมังค่ะ ถ้าให้แน่จริง ขอพระอาทิตย์ช่วยเจิดจริสเปล่งความร้อนเอาให้ถึง 1000 องศาเลยค๊า ร้อนตับแตก จนอยากจะแหกอก ถอดเสื้อเปลือยกายจริงๆค่ะ แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ร้อนจนเหงื่อจะไหล หรือไคล่จะยอยลงมาเต็มตัวเพียงใด แต่เมื่อเลือดและชีพจรลงฝาเท้าแล้ว ยังไงเดี๊ยนก็ต้องเก้าเท้าออกเดินทางค่ะ เพราะเดือนนี้ เดี๊ยนยังไม่ได้เดินทางออกนอกกรุงเทพเลย อยากจะไปใช้สตุ้งสตังไปทำบุญไหว้พระ ตามประสาคนมีอายุสักหน่อยค่ะ คงไม่ได้ไปลั๊นลา ตามประสาวัยซะรุ่นเหมือนยุค 80 แล้วค่ะ....ตอนแรกเดี๊ยนเองก็กะวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวช่วงสงกรานต์ แต่ดูแล้วคงไม่ไหวแน่ๆค่ะ เพราะเป็นช่วง Long Holiday ติดกับ long weekend ด้วย เดี๊ยนว่าคนต้องแน่นทลักทะลุตลาดอัมพวาแน่นอน เดี๊ยนเลยขอตัดสินใจไปช่วงหลังสงกรานต์ดีกว่าค่ะ ดูน่าจะดีกว่าเยอะเลย เพราะไม่ต้องไปแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว สบายใจกว่าเยอะค่ะ แต่พอได้เดินทางมาอัมพวาครั้งนี้อีกครั้ง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวฝรั่งมังข้าก็ยังเดินกันเที่ยวแน่นถนัดตาเหมือนเดิมค่ะ เนื่องจากเป็นหยุดสุดสัปดาห์ด้วยกระมังค่ะ อีกอย่างตลาดอัมพวา ก็เปิดทุกเสาร์ อาทิตย์ด้วย คนก็แน่นเหมือนเดิม
หากจะเอ่ยถึงเมืองอัมพวา คงไม่มีใครไม่รู้จักอำเภอนี้นะค่ะ อำเภอเล็กๆในจังหวัดสมุทรสงคราม แต่มีความงดงามด้านวิถีชีวิตและสถาปัตยกรรมบ้านเรือนไม้เก่าๆอยู่ติดริมคลอง หากได้ไปเยือน เหมือนแต่ใช้ชีวิตให้ช้าลง เรือนไม้เก่าๆมีสังกะสีทั้งสนิมสีแดงดำ ดูได้อารมณ์เดอะมิวสิคคอลมากค่ะ ที่อำเภออัมพวาแห่งนี้ มีเสน่ห์ที่ตราตรึง ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่งชาวไทยและชาวฝรั่งมังข้า คือตลาดน้ำอัมพวาที่โด่งดังไม่แพ้ตลาดน้ำคลองดำเนินสะดวกเลยค่ะ เพียงแต่ตลาดน้ำแห่งนี้ ขายของทีเฉพาะช่วงบ่ายๆค่ำๆเพื่อให้นักท่องเที่ยวมาดื่มด่ำกันให้ได้อารมณ์สุดเริ่ดเลอวังอลังการสะท้านโลกา จนทุกคนต้องแห่แหนกันมาเชยชมให้สุขสมอุรา เต้นเป็นจังหวะช่ะช่ะช่า ให้บ้ากันไปเลยค๊า....
หากมีเวลาวางแผนไว้วันหยุดสุปดาห์นี้ ไม่รู้จะไปเที่ยวใหน ก็มาตะแล๊ดแต๊ดแต๋ เที่ยวอัมพวานะค่ะ จะมาค้างคืน หรือว่าไปกลับก็ได้ จะนั่งรถตู้แบบเดี๊ยนมา หรือขับรถอีแต๋นส่วนตัวของท่านก็ได้
สำหรับการไปเที่ยวครั้งนี้ เดี๊ยนเองก็ได้สวมรอยเป็นนักท่องเที่ยวฉายเดี่ยว แนวแบกเป้ เดินทางคนเดียวก็เที่ยวสนุกได้ ใกล้กรุงเทพด้วย โดยเดี๊ยนได้ไปพักโรงแรมแบบโฮมสเตย์ริมคลองอัมพวา ราคาหลักร้อย 1 คืนค่ะ เพราะเดี๊ยนเองก็อยากไปเป็นสาวชาวสวนอัมพวา ใส่หมวกงอบ พายเรือแจว ขายแห้วให้นักท่องเที่ยวได้ทาน คงสุขสำราญกันยิ่งนักเชียว พายเรือไปดูได้อารมณ์คลาสสิคช่างสุขสมน่าอภิรมย์ยิ่งนักค่ะ และที่ยิ่งน่าตื่นเต้นยิ่งนักก็คงต้องไปดูตลาดร่มหุบค่ะ ที่เป็นตลาดมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลล้า จนฝรั่งมังข้าต้องดูให้เห็นเป็นบุญตาสักครั้ง.....
เอ้าล่ะค่ะ เดี๊ยนเองก็ร่ายบรรยายมาซ่ะยาวเหยียด เวิ้นเว้อจริงๆค่ะ ขอมาสรุปทริปการเดินทางไปเที่ยวแม่กลอง อัมพวา ทริปนี้เน้นกินจริงๆค่ะ ใจจริงอยากลดความอ้วน แต่พอมาเห็นของกินแล้ว ก็ตะบะแตกจริงๆค่ะ ของที่แม่กลองน่าทานทั้งน๊านเลยค่ะ มาทริปนี้เลยมีแต่กินกับกิน ตอนนี้เดี๊ยนก็อ้วนเป็นอึงอ่างแล้วค่ะ จริงแล้วตั้งใจอย่างมากนะค่ะ ว่าเดี๊ยนจะมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์โน้นนี้นั้นด้วย พอเอาเข้าจริงๆก็ไม่ไปเลย ก็เลยเป็นทริปที่ไม่ค่อยจะมีสาระอะไรเลย ไปเที่ยวแบบชิว เรื่อยเปื่อยมากๆ ออกจากกรุงเทพทีก็บ่ายแล้ว ไปถึงอัมพวาก็บ่ายแก่เกือบพลบค่ำ ไปนั่งเรือไหว้พระก็ได้แค่ 4 วัดเองค่ะ มีดังนี้ค่ะ
วันที่ 23 เมษายน 2559
14.00 น. เดินทางออกจากกรุงเทพ ไปอัมพวาค่ะ นั่งรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัย ค่าตั่วโดยสาร 80 บาท
15.30 น. ถึงอำเภออัมพวา ก็เดินลัดเลาะริมฝั่งคลอง หาซื้อของกินค่ะ
17.00 น. นั่งเรือไหว้พระทำบุญ 5 วัด ค่าโดยสารนั่งเรือ 50 บาทค่ะ พอได้นั่งเรือที เรือนี้ก็เอียงแทบคว่ำเลยค่ะ เพราะน้ำหนักของเดี๊ยนที่เต็มไปด้วยไขมันรอบกาย สงสัยต้องลดน้ำหนักให้ได้แล้วกระมัง รู้สึกเป็นภาระนักท่องเที่ยวคนอื่นที่ต้องมาค่อยนั่งให้บาลานซ์สมดุลเสมอตลอดการเที่ยวทางเรือ...การนั่งเรือไหว้พระทำบุญไปได้แค่ 4 วัด ขาดไป 1 วัดค่ะ คนขับเรือบอกว่าขอติดไว้ก่อนนะ เนื่องจากเย็นมากๆจนจะพลบค่ำแล้ว หากมีโอกาสมาอีกครั้ง คนขับบอกว่าจะพาไปเที่ยวให้ครบ 5 วัดค๊า สงสัยต้องไปอีกรอบแล้วกระมังค่ะ เพราะยังไม่ไหว้ไม่ครบตามโปรแกรม
- นั่งเรือไปวัดแรก คือวัดบางนางลี่ใหญ่
- วัดที่สองไปวัดบางคุ้ง
- วัดที่สามไปวัดเกษรสรณาราม
- วัดที่สี่ ไปวัดบางกุ้ง วัดโด่งดังที่มีต้นโพธิ์ปกคลุมอุโบสถ
- ขาดไป 1 วัดค่ะ มิรู้ได้ว่าคนขับเรือจะพาไปที่ใด คราวหลังต้องไปเที่ยวอัมพวาแต่หัววัน จะได้เที่ยวให้ครบครัน
18.30 น. เดินลัดลัดริมคลอง หาซื้อของกิน อาหารตอนเย็น
20.00 น. เช็คอินน์เข้าไปที่พัก NR homestay ที่พักราคาหลักร้อย ติดริมคลองอัมพวา ราคาคืนละ 660 บาท รวมอาหารเช้า ก็เข้านอน ตอนแรกกะว่าวางแผนไว้ ตอนค่ำๆจะนั่งเรือไปดูหิ่งห้อย แต่เจ้าของบ้านบอก มีหิ่งห้อยให้ดูน้อยมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อน เดี๊ยนเลยงดโปรแกรมดูหิ่งห้อย ยอมมานั่งอ้อยสร้อยอยู่ริมคลองดีกว่าค่ะ ก่อนจะเข้านอนพักผ่อนเอนกาย บรรทมหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
วันที่ 24 เมษายน 2559
7.30 น. ตื่นสายไปหน่อยค่ะ อดได้ใส่บาตรเลย เสียดายจัง เลยต้องนั่งซดข้าวต้มไปแทนค่ะ เป็นอาหารมื้อเช้า มีขนมปัง ชา กาแฟ
8.00 น. เดี๊ยนออกไปที่ถนนใหญ่ นั่งรถ 2 แถว ไปแม่กลอง ราคาโดยสาร 8 บาท เพื่อไปชมตลาดร่มหุบอันโด่งดังค่ะ
8.45 น. เสียงรถไฟปู๊นๆเข้าเทียบชานชลา ได้ชมความอะเมซิ่งของตลาดร่มหุบที่โด่งดังไปทั่วโลกาพอรถไฟมา แม่ค้าพ่อค้าก็พากันหุบร่มจริงๆไม่มีใครยอมกางร่มขวางทางรถไฟเลยแม้แต่ร้านเดียว พอรถไฟไป ก็กางร่มกลับคืน ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติค่ะ
9.00 น. ไปไหว้พระที่วัดหลวงพ่อบ้านแหลม วัดคู่บ้านคู่เมืองแม่กลอง และเดินลัดเลาะซื้อของกิน ที่ตลาดแม่กลอง
9.40 น. เดินทางกลับอัมพวา นั่งรถ 2 แถว ค่าโดยสาร 8 บาท
10.00 น. ถึงที่พัก อาบน้ำ อาบท่า ทำการเช็คเอาท์ออกจากที่พัก
11.00 น. เดินลัดเลาะซื้อของฝากที่ตลาดน้ำอัมพวา ซื้อขนม นม เนย ปลาทูหน้างอคอหัก ไปเป็นของฝากให้เจ้าคุณแม่ที่บ้านค่ะ
12.00 น. เดินทางกลับกรุงเทพ นั่งรถตู้ไปลงอนุสาวรีย์ชัย ค่าโดยสาร 80 บาท
สรุปทริปนี้หมดงบไปประมาณ 2000 กว่าบาท เสียเงินเยอะที่สุดไปกับการกิน และก็กินค่ะ ทานเยอะมาก น้ำหนักไม่ลงซักที เคยตั้งใจจะลดแล้ว รู้สึกน้ำหนักยิ่งเพิ่ม ตอนนี้เป็นอ้วนปริ พุงปลิ้นตลอดเลยค่ะ ดูไม่งามเอาเสียเลย กลับกรุงเทพไปคงต้องตั้งใจใหม่ ไปเข้าฟิสหนง ฟิสเนตดู หรือไปโยคง โยคะ น่าจะช่วยลดน้ำหนักได้บ้างค๊า
ประมวลภาพเดินทางท่องเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา ภาพไหว้พระทำบุญ 4 วัด ขาดไป 1วัด ภาพที่พักริมคลอง และภาพตลาดร่มหุบที่แม่กลอง ภาพอาจไม่สวยฉะลูดบาดตาค่ะ เพราะกล้องถ่ายรูปมันเก่าและกากมากแล้วค่ะ
วันที่ 23 เมษายน เดี๊ยนนั่งรถตู้ออกจากกรุงเทพ ไปขึ้นรถตรงอนุสาวรีย์ชัย ค่ารถตู้โดยสาร 80 บาทค่ะ
ตอนไปขึ้นรถตู้ นั่งรถให้ผู้โดยสารเต็ม อากาศร้อนมากๆ เหงื่อท่วมตัวเลย กลิ่นน้ำหอมบวกกับกลิ่นเหงื่อกลิ่นหอมยวนหยีเข้ากันได้ดีจริงๆค่ จนนึกไม่อยากเข้าไปนั่งในรถตู้เลย
เดี๊ยนเองเคยเห็นเพื่อนฝรั่งมาเล่าให้ฟังนะค่ะ เพราะเพื่อนของเดี๊ญน เคยมาเที่ยวและมาดูตลาดร่มหุบที่แม่กลองแห่งนี้ นางบอกว่า มันดูอะเมซิ่งมากๆ บ้านยูทำได้ไงเนี่ย ขายของอยู่บนทางเดินรถไฟ ไม่กลัวรถเฉียวเอาไปกินหรือไร ที่ตลาดแม่กลอง ทั้งพ่อแม่ค้าจะนำสินค้ามาขาย มีทั้งของแห้ง ของสด เรียงรายวางขายริมทางรถไฟ มีร่มผ้าใบหลากสี กางไว้เดินหลบแดด แต่พอรถไฟปู้นๆมา ก็หุบร่มลงทันที ตอนรถไฟด่วนจี่ไป ก็กางร่มกลับคืนทันใด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งคนขายและลูกค้าก็เดินจับจ่ายซื้อของในตลาดกันเป็นปกติ.....เดี๊ยนได้ฟังก็ดูตื่นเต้นไปตาม เดี๊ยนเองแวะมาแม่กลองอยู่บ่อยครั้ง ไม่ค่อยจะพิศวาสอะไรเลย อาจเป็นเพราะเป็นวิถีชีวิตของคนที่แม่กลองด้วยกระมัง แต่พอคุณเพื่อนของเดี๊ยนบรรยายซะน่าตื่นเต้นแบบนี้ เดี๊ยนก็เลยอยากไปชมสักครั้งค่ะ ดูสิว่าจะตื่นเต้นใหมหนา และที่พลาดไม่ได้หากไปเมืองแม่กลอง ก็คือการไปไหว้หลวงพ่อบ้านแหลม พระคู่บ้านคู่เมืองแม่กลองมาช้านาน ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟแม่กลองค่ะ ใครได้มาเยือนตลาดแห่งนี้ มีแต่ของสดๆทั้งนั้นเลยค่ะ โดยเฉพาะปลาทะเล ปลาเปลอ กุ้งกั๊ง ดังหอย วางขายกันเป็นตะกร้าๆ ราคา
ค่าโดยสาร 80 บาท เป็นรถตู้สายดำเนินสะดวก แวะเข้าแม่กลอง อัมพวา และไปสุดที่ดำเนินสะดวกค่ะ
ยิ่งเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ตลาดน้ำแห่งนี้ก็จะมีแม่ค้าสาวสวยๆมาพายเรือขายก๋วยเตี๋ยว
นมเปรี่ยว น้ำชา ดื่มแล้วรสชาติก็ซาบซ่าไปถึงทรวงใน
มีทั้งอาหารคาวหวานมาให้ได้เลือกซื้อ เลือกทาน ยกมาขายกันอยู่ริมธาร
ริมคลอง เห็นแล้วต้องควักเงินซื้อของ
เพราะแต่ละอย่างน่าลิ้มลองยิ่งนักเชียว
ในช่วงยามเย็นนักท่องเที่ยวดูแน่นถนัดตา ต้องระวังหน่อยหนา
เดียวพลาดท่าเดินตกคลอง
หากมาอัมพวาทั้งทีต้องไปนั่งเรือไหว้พระกันสักครั้งค่ะ ไปลดความตระหนี่
ไปทำบุญ ทำทาน ปล่อยนก ปล่อยปลา ก็ช่างสุขสมน่าอภิมย์ยิ่งนัก
นอกจากนี้แล้วที่อัมพวา ยังมีสวนผลหมากรากไม้ ให้ไปลิ้มลอง
ไม่ว่าจะเป็นสวนมะพร้าว มะนาวรสซี๊ด และวัดที่โด่งดังที่ใครๆก็ต้องไปชมคือ
วัดนาคปรก ที่มีต้นโพธิ์เกาะตามผนังวัด ดูแล้วโบราณมีความขลังแบบไทยๆ
ที่หาที่ใดเหมือนไม่ ถือเป็นที่อันซีนของนักท่องเที่ยวต้องไปเชยชม
และกราบไหว้พระพุทธรูปสมัยอยุธยาที่อยู่คู่ค้ำฟ้ามานานกว่า 400 ปี
ให้นักท่องเที่ยวได้ปิดทององค์พระและทำบุญกันสักครั้งค่ะ
พอมือค่ำก็ไปนั่งเรือดูหิ่งห้อยน้อย ก็ได้อีกบรรยากาศค่ะ....
นั่งรถตู้ไม่นานมากนัก หายใจเข้า และก็หายใจออกประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เดินทางถึงอำเภออัมพวาค่ะเป็นอำเภอท่องเที่ยวยอดนิยมสุดคลาสสิคใกล้ สไตล์ภาคกล๊าง ภาคกลาง ค่ะ จริงเดินทางไปกลับเอาก็ได้นะค่ะ แต่ถ้าอยากสัมผัสวิถีชีวิตคนแม่กลอง อยากไปเป็นแม่ค้าใส่หมวกงอบ พายเรือแจว ถือตะกร้าผลหมากรากไม้ ก็ต้องสะพายกระเป๋ามาพักที่นี้ดูสักคืน รับรองจะระรื่นชื่นจิตใจค่ะ
ตลาดน้ำอัมพวา สมัยแต่ก่อนโน้นตอนมาเที่ยวยุคแรกๆ ยังไม่มีสะพานแห่งนี้เลยค่ะ
เดี๊ยนเดินมาตอนแรก จะสั่งก๋วยเตี๋ยวทานสักหน่อย แต่ที่นั่งยังไม่ว่างเลย เผอิญได้ยินเสียงโทรโข่งประกาศ ปาว ปาว ว่าเรือไกล้ออกแล้วค่ะ ไหว้พระ 5 วัน คนละ 50 บาท ก็เลยขอหยุดสต๊อปตรงท่าเรือบ้านคุณย่าเนี่ยแหละค่ะ ก็เลยจ่ายเงินค่าเรือ 50 บาท เพื่อไปโปรแกรมนั่งเรือไหว้พระทำบุญ ทำทานค่ะ
ตอนกำลังจะลงไปนั่งที่เรือเนี่ยนะค่ะ เรือแทบจะคว่ำเลยค่ะ
เพราะรู้สึกว่าเดี๊ยนน้ำหนักเยอะไปกระมัง
จนคนขับเรือก็พยายามประคองเรือไว้ให้สมดุลเชียว และบอกให้เดี๊ยนมานั่งตรงกลาง
บอกให้ช่วยเป็นผู้ที่รักษาสมดุลให้น่อย ห้ามเอนเอียงไปทานใดทางหนึ่งนะ
ไม่งั้นเรือพลิบคว่ำขึ้นมา ได้อาบน้ำที่คลองอัมพวานี่แน่เลยค่ะ
ตอนกำลังจะลงไปนั่งที่เรือเนี่ยนะค่ะ เรือแทบจะคว่ำเลยค่ะ
เพราะรู้สึกว่าเดี๊ยนน้ำหนักเยอะไปกระมัง
จนคนขับเรือก็พยายามประคองเรือไว้ให้สมดุลเชียว และบอกให้เดี๊ยนมานั่งตรงกลาง
บอกให้ช่วยเป็นผู้ที่รักษาสมดุลให้น่อย ห้ามเอนเอียงไปทานใดทางหนึ่งนะ
ไม่งั้นเรือพลิบคว่ำขึ้นมา ได้อาบน้ำที่คลองอัมพวานี่แน่เลยค่ะ
นั่งรอไม่นานนัก ก็มีนักท่องเที่ยวมานั่งเต็มเรือเลย เดี๊ยนค่อยขยับตัวเองมาอยู่ด้านซ้ายริมเรือ เพราะมีคุณผู้ชายอีกท่านนึง ก็อวบเท่าๆกับเดี๊ยนเนี่ยนะค่ะ ก็เลยมีคนช่วยรักษาสมดุลเรือ ไม่งั้นคงไม่ได้มาถ่ายรูปกากๆมาลงเว็ปบล๊อกแน่ๆค่ะ
ตอนนั้่งเรือไป คนขับเรือเป็นคุณลุง พูดจาเสียงหวาน ฟังชัด มีเหนอหน่อยๆ ฉบับคนภาคกลางค่ะ นอกจากจะเป็นคนขับเรือแล้วนะค่ะ คุณลุงยังมีหน้าที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของสถานที่แต่ละแห่งให้ฟังด้วยค่ะ แต่เดี๊ยนก็พยายามตั้งใจฟังมาก ตอนขับเรือไปน้ำก็กระเซ็น กระเด็นใส่หน้า ลมพัดโชยเย็นซ่าไปถึงทรวงใน มีเสียงเครื่องยนต์ดังวืนวืน กลบเสียงคุณลุงที่กำลังพูดให้นักท่องเที่ยวได้ฟัง เดี๊ยนก็เลยฟังรู้เรืองบ้าง ไม่รู้เรืองบ้าง แต่ก็พยายามจะนำเรืองมาประติดประต่อกันโดยเฉพาะที่คุณลุงคนขับเรือเล่าให้ฟังบอกว่า "ที่ชื่อจังหวัดสมุทรสงคราม นี้มีที่มา ชื่อก็บอกอยู่แล้วหนาว่า สงคราม สมัยแต่ก่อนที่แห่งนี้ มีการสู้รบกันบ่อย ก็เลยตั้งชื่อให้จังหวัดนี้ว่า จังหวัดสมุทรสงคราม " เออเข้าใจง่ายดีนะค่ะ เดี๊ยนเองก็คิดว่า เป็นชื่อของเจ้าขุนมูลนาย นามสกง นามสกุลคนดังเอามาตั้งที่ ใหนได้มาจากสิ่งนี้นี่เอง พึงรู้ เป็นความรู้ที่ดีเยี่ยม เข้าใจง่ายสู้ ไม่ต้องแปลค่ะ
โดยเฉพาะที่คุณลุงคนขับเรือเล่าให้ฟังบอกว่า "ที่ชื่อจังหวัดสมุทรสงคราม นี้มีที่มา ชื่อก็บอกอยู่แล้วหนาว่า สงคราม สมัยแต่ก่อนที่แห่งนี้ มีการสู้รบกันบ่อย ก็เลยตั้งชื่อให้จังหวัดนี้ว่า จังหวัดสมุทรสงคราม " เออเข้าใจง่ายดีนะค่ะ เดี๊ยนเองก็คิดว่า เป็นชื่อของเจ้าขุนมูลนาย นามสกง นามสกุลคนดังเอามาตั้งที่ ใหนได้มาจากสิ่งนี้นี่เอง พึงรู้ เป็นความรู้ที่ดีเยี่ยม เข้าใจง่ายสู้ ไม่ต้องแปลค่ะ
คุณลุงคนขับเรือ ขับเรือแล่นออกจากคลองอัมพวา เข้าสู่แม่น้ำแม่กลอง บรรยากาศวิวทิวทัศน์สวยงาม มีบ้านเรือนริมน้ำ ชาวบ้าน วัดวาอาราม และเรือท่องเที่ยวลอยลำอยู่บนแม่น้ำสายชีวิตแห่งนี้ ดูช่างสุขเกษมเปรมปรีกันจริงนักเชียว
คุณลุงคนขับเรือ ขับเรือแล่นออกจากคลองอัมพวา เข้าสู่แม่น้ำแม่กลอง
บรรยากาศวิวทิวทัศน์สวยงาม มีบ้านเรือนริมน้ำ ชาวบ้าน วัดวาอาราม
และเรือท่องเที่ยวลอยลำอยู่บนแม่น้ำสายชีวิตแห่งนี้
ดูช่างสุขเกษมเปรมปรีกันจริงนักเชียว
วัดนี้อยู่ไม่ไกลจากคลองอัมพวามากนักค่ะ แต่ก็เดินไปไม่ได้นะค่ะ ต้องนั่งเรือ หรือว่ายน้ำข้ามไปค่ะ คุณลุงคนขับบอกว่า วัดนี้ให้เวลาไม่เกิน 20 นาทีนะจ๊ะ โดยการไปเที่ยวแต่ละวัดจะมีเวลาให้ค่ะ คงไปเอ้อระเหยลอยลม คงจะไม่ได้ ต้องกำหนดฟิกตามเวลาค่ะ ไม่งั้นเดี่ยวเที่ยวไม่ครบค่ะ
เข้าไปไหว้พระในอุโบสถ เงียบ สงบดีมากๆ เหมาะกับการมานั่งทำใจ ให้ผ่อนคลาย ปลดปลอยความกระวนกระวายออกจากห้วงจิต
วัดที่สองมาไหว้พระที่วัดท้องคุ้ง
มากราบพระขอพรหลวงพ่อโต วัดดังอีกแห่งที่จะต้องมากราบไหว้ ปิดทอง ทำบุญตามกำลังศรัทธาค่ะ พอได้ทำบุญแล้วก็อิ่มเอิมใจค่ะ
โบสถ์วัดบางคุ้ง มีความวิจิตรบรรจงประดับประดาไปด้วยบุปผา ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ สวยงามตามฉบับแบบวัดไทยแท้ ทีมีศิลปะงดงาม ประดุจดั่งเพชรอยู่บนสรวงสวรรค์เลอล้ำค่า จะเทียบเป็นเงินตราหาได้ไม่
บรรยากาศยามเย็นๆ แสงพระอาทิตย์ เจิดจรัสทอแสงเปล่งประกายสู่ห้วงนพรัตนธารธารา ส่องแสงระยิบระยับประดับบนผิวน้ำดุจนภาลัย สว่างสดใส งดงามจริงๆนักเชียว
แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวเพียงใด แต่พี่น้องเราชาวไทยก็มิได้หวั่น ต่อความร้อน ยิ่งทำบุญทีไร รู้สึกเย็นขึ้นทุกขณะตาทีเดียวเชียว
ใกล้เพลาต้นเย็น พระอาทิตย์เริ่มอัสดงลงแลลับ ลมพัดจับโบกพริ้วปลิวไหว ทรงผมเดี๊ยนทำมาเป็นกระบังก็พังไปทันใด กลับไปที่ห้องพัก ค่อยทำใหม่ได้ ให้งามนับจับตากว่าเดิม
นั่งเรือไปรับลมเย็น ช่วยคลายร้อนได้เยอะ...ใกล้เพลาต้นเย็น พระอาทิตย์เริ่มอัสดงลงแลลับ ลมพัดจับโบกพริ้วปลิวไหว ทรงผมเดี๊ยนทำมาเป็นกระบังก็พังไปทันใด กลับไปที่ห้องพัก ค่อยทำใหม่ได้ ให้งามนับจับตากว่าเดิม
เรือแล่นต่อไปอีกไกลค่ะ อันนี้ ใกลกว่าเดิม คุณลุงคนขับโบก โยกสบัดพัดหางเรือลงแม่น้ำกลอง แล่นเรือเสียงแต๊ด แต๊ด กำลังจะพาเดี๊ยนและนักท่องเที่ยวที่นั่งเรือลำนี้ไปวัดที่ 4 ค่ะ....นั้นก็คือ วัดบางกุ้ง เป็นวัดที่โด่งดังมากๆ เพราะเป็นวัดที่มีอุโบสถหรือโบสถ์เก่าแก่มีต้นโพธิ์ปกคลุม และถือเป็น Unseen ที่นั่งท่องเที่ยวต่างชาตินิยมต้องมาไหว้พระและถ่ายรูปที่วัดนี้ให้เป็นบุญตาสักครั้งค่ะ เดี๊ยนเองก็มาวัดนี้ ถือเป็นครั้งที่สองแล้วค่ะกำลังเดินแล่นเรือผ่าน เอ้าคุณลุงก็มาอธิบายอีก บอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของเจ้าขุนมูลนายสมัยก่อน ทรงบ้านก็ยังเป็นแบบนี้มาแต่ใหนแต่ไร ดูเหมือนบ้านในนวนิยายละครเลยค่ะ
เดินขึ้นจากท่าเรือมา จะผ่านสวนสัตว์น้อยๆให้ได้ชมและให้อาหารกัน ก่อนที่เดี๊ยนจะเดินมาอีกไม่กี่ร้อยเม็ดก็ถึงวัดบางกุ้งแล้วค่ะ
ถึงแล้วค่ะ วัดบางกุ้ง..ที่อุโบสถจะไม่ได้อยู่ติดแม่น้ำนะค่ะ ต้องเดินข้ามสวนสัตว์ขนาดย่อมมาอีก ซึ่งหากเดินทางขึ้นที่ท่าเรือมาก็จะได้ผ่านเห็น สัตว์หลากหลายชนิด รอต้อนรับให้ท่ได้ชมค่ะ ตอนเดี๊ยนเดินขึ้นมาจากท่าเรือเข้ามาในเขตวัด ก็ตกกะใจ เห็นควาย เห็นจระเข้า หมูป่า และอื่นๆ บลาๆๆ
เดี๊ยนเดินมาถึงโบส์ถเก่า มีเสน่ห์ตรงที่มีต้นโพธ์ปกคลุมเนี่ยแหละค่ะ เป็นวัดที่เก่าแก่มากนะค่ะ มีอายุนานถึง 400 ปีเลยเชียว ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ถือเป็น Unseen อีกแห่งในเมืองไทย ที่ชาวฝรั่งมังข้าก็นั่งเรือบินมาชมวัดแห่งนี้ มีพระประทานอยู่ด้านใน มาถึงก็ต้องไปไหว้พระ ปิดทองค่ะ
สมัยแต่ก่อน ที่นี้ก็คือค่ายบางกุ้ง
ภายในอุโบสถมีการส่อปูนเสริมโครงเก่าให้คงอยู่ รองรับน้ำหนักต้นโพธิ์ ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
องค์พระถูกปิดด้วยทองทั้งองค์เลยค่ะ
ถ้าไม่มีต้นโพธิ์ต้นนี้ ก็คงไม่ได้เป็นวัด Unseen แน่ๆเลยค่ะ
ไหว้พระปิดทองที่วัดบางกุ้ง เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางไปที่ท่าเรือแล้วค่ะ
ตอนเดินกลับก็มาซื้ออาหารให้น้องแพะ สักหน่อยค่ะ
จระเข้ที่นี้ไม่กินผัก ไม่กินขนมปังนะค่ะ อย่าไปยื่นอาหารให้นะค่ะ เดียวจระเข้งอน เป็นจระเข้ไม่กินอาหารมังสวิรัต แสดงว่าต้องมีจระเข้บางตัวกินผักแน่ๆเลยค่ะ อยากเห็นเหมือนกันจระเข้กินผัก คงน่ารักน่าดูค่ะ
จระเข้ที่นี้ไม่กินผัก ไม่กินขนมปังนะค่ะ อย่าไปยื่นอาหารให้นะค่ะ
เดียวจระเข้งอน เป็นจระเข้ไม่กินอาหารมังสวิรัต
แสดงว่าต้องมีจระเข้บางตัวกินผักแน่ๆเลยค่ะ อยากเห็นเหมือนกันจระเข้กินผัก
คงน่ารักน่าดูค่ะ
สงสารคุณจระเข้เหมือนกันนะค่ะ อ้าปากค้าง รอคนให้อาหาร แต่ก็ยังไม่มีใครให้อาหารเลย
สงสารสัตว์ทุกตัวในนี้จังเลย อยู่แต่ในกรงคงจะน่าเบื่อน่าดูเลย น่าจะให้ออกมาเล่นกับนักท่องเที่ยวได้ คงจะดีไม่น้อยค่ะ (มองในแง่บวกค่ะ ถ้าเรื่องจริง คงทำไม่ได้แน่)
เพลาก็ตกเย็นมากๆแล้ว...คุณลุงคนขับเรือ บังคับหางเรือลงแม่น้ำแม่กลอง พาเดี๊ยนและนักท่องเที่ยวอื่นที่จอยมาด้วยกัน ชมบรรยากาศบ้านริมน้ำแม่กลอง เป็นวิถีชีวิตของชาวแม่กลองที่อยู่คู่แม่น้ำแห่งนี้มาเนิ่นนานหลายร้อยปี ตั้งแต่รุ่นปู่ รู่นย่า จากรุ่นสู่รุ่น บางบ้านยังเป็นทรงไม้เรือนไทยผุพัง ดูแล้วมีมนต์ขลังยิ่งนัก บางบ้านก็ปรับเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม ถูกทำเป็นที่พักโรงแรม โฮมสเตย์ เพื่อรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางก้นมาอย่างไม่ขาดสายเลย
เพลาก็ตกเย็นมากๆแล้ว...คุณลุงคนขับเรือ บังคับหางเรือลงแม่น้ำแม่กลอง
พาเดี๊ยนและนักท่องเที่ยวอื่นที่จอยมาด้วยกัน ชมบรรยากาศบ้านริมน้ำแม่กลอง
เป็นวิถีชีวิตของชาวแม่กลองที่อยู่คู่แม่น้ำแห่งนี้มาเนิ่นนานหลายร้อยปี
ตั้งแต่รุ่นปู่ รู่นย่า จากรุ่นสู่รุ่น บางบ้านยังเป็นทรงไม้เรือนไทยผุพัง
ดูแล้วมีมนต์ขลังยิ่งนัก บางบ้านก็ปรับเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม
ถูกทำเป็นที่พักโรงแรม โฮมสเตย์
เพื่อรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางก้นมาอย่างไม่ขาดสายเลย
ที่นี้มีต้นบางลำพูอยู่เรียงรายริมแม่น้ำแม่กลอง คุณลุงคนขับเรือ บังเรือไปก็พูดไป บอกว่า ต้นบางลำพูเป็นไม้เนื้ออ่อน ไม่สามารถเอามาสร้างเป็นบ้านเรือนได้ แต่นิยมเอาต้นบางลำพูไปทำเป็นจุกขวดเล้าเมาสุเรา หรือจุดขวดไวน์ ที่ใช้ปิดได้มิดสนิทเชียว
ที่นี้มีต้นบางลำพูอยู่เรียงรายริมแม่น้ำแม่กลอง คุณลุงคนขับเรือ
บังเรือไปก็พูดไป บอกว่า ต้นบางลำพูเป็นไม้เนื้ออ่อน
ไม่สามารถเอามาสร้างเป็นบ้านเรือนได้
แต่นิยมเอาต้นบางลำพูไปทำเป็นจุกขวดเล้าเมาสุเรา หรือจุดขวดไวน์
ที่ใช้ปิดได้มิดสนิทเชียว
เวลาใกล้จะพลบค่ำ เย็นมากๆแล้ว คุณลุงคนขับเรือก็แล่นเรือช้าๆไปเรื่อย เข้าคลองอัมพวา พร้อมขอโทษลูกค้าบอกว่า ขอติดไว้ก่อน 1 วัด รอบหน้าฟ้าใหม่ หากมีโอกาสอีกคงจะได้มาเที่ยวอีกครั้ง..เดี๊ยนว่าก็คงต้องให้อภัยคุณลุงค่ะ เพราะตกเพลาเย็น พระอาทิตย์อัสดงลงแลลับหมดแล้วค๊า
ช่วงเย็นที่ตลาดน้ำอัมพวาก็คับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวเยอะมากๆค่ะ ดูมีสีสันมากๆค่ะ
แล่นเรือมาเข้าสู่คลองอัมพวา สีสันริมคลอง ทั้งแม่ค้าพายเรือและ นักท่องเที่ยว ร้องเสียงเจี้ยวจ้าว ดูคึกคักมากๆ
สีสันของตลาดแห่งนี้คงต้องยกให้แม่ค้าขายอาหารบนเรือ มีนักท่องเที่ยวนั่งทานริมคลอง ถ้าให้นั่งยองๆ เดี๊ยนว่าได้อารมณ์สุดชิค แอนด์ ชิวมากๆ
คุณลุงคนขับเรือหรือบังคับเรือ ขับเรือได้อารมณ์ทั้งนุ่มนวล และนิ่มลึกมากๆค่ะ น้ำเเป็นผู้ที่บรรยายวัดโน้น วัดนี้ เสียงพูดดังฟังชัด มีสำเนียงเหนอๆตามสไตล์ชาวภาคกลาง เสียงน่าฟังไพเราะ
ตลาดน้ำอัมพวา เป็นตลาดที่มีชื่อเสียงมากๆ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและเทศ ต่างก็แห่แหนกันมาชม ช็อป กิน และเที่ยวสัมผัสวิถีริมคลองแห่งนี้ค่ะ
ตกเพลาเย็น ก็คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่ดูจะเยอะกว่าแม่ค้า พ่อค้า ร้านขายของฝากเสียอีก เดินกันพัลวันทีเนี่ยนะค่ะ โดยเฉพาะยิ่งวันเสาร์ อาทิตย์ หนาแน่นกันจริงๆค่ะ
ที่ตลาดน้ำแห่งนี้ มีทั้งของกิน ของฝากหลากหลายอย่าง ทั้งปลาย่าง ปลาทูเข่งตัวเบ๊งๆ น่าซื้อทั้งนั้นเลย เดี๊ยนเดินลัดเลาะริมคลองอัมพวา เพื่อหาของกินค่ะ ผ่านของฝากหลายร้านก็ยังไม่ซื้อแต่อย่างใด สำรวจไปก่อน แล้วค่อยแวะมาใหม่ค่ะ
ของฝากทั้งขนมนมเนย อาหารคาวหวาน ดูน่ากิน น่ารักประทานทั้งนั้นเลย เป็นอาหารที่เพิ่มคอลเลสเตอรอลได้ดีเชียว
บางร้านริมคลองแห่งนี้ก็ถูกดัดแปลงเป็น ร้านค้ามินิสโตร์เล็กๆ ดูน่ารักพรุ้งพริ้ง แต่ยังคงเสน่ห์สไตล์แบบบ้านริมคลองไว้ ให้ผู้คนได้มาเดินช๊อป หรือมาถ่ายรูปกันค่ะ
เดี๊ยนได้ซื้อขนมใส่ไส้มาทานค่ะ เป็นขนมของโปรดเดี๊ยนเลย หากินที่ต่างประเทศไม่ได้นะค่ะ มีขายในเมืองไทยเท่านั้น เป็นขนมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น รูปทรงสามเหลี่ยมเจียดด้วยก้านและใบมะพร้าวทรงสูง ถือจับได้ถนัดมือ ขนมใส่ใส้มะพร้าวมีแป้งห่อด้านใน แกะกินออกมามีกลิ่นหอมๆของมะพร้าว อร่อยจริงนักเชียว...เสน่ห์ขนมไทย ไม่แพ้ที่ใดในโลกเลยค่ะ
แวะนั่งทานก๋วยเตี๋ยวกะลา 20 บาท รสชาติอร่อยใช้ได้ค่ะ สองคำก็หมดแล้ว เดียวไปทานอันอื่นอีก ทานโน้น ทานนี้ จุกจิ๊ก ถือเป็นการกระจายรายได้ให้ชุมชนและร้านค้า รวมทั้งได้เพิ่มคาร์โบไฮเดรตให้ตัวเองด้วยค่ะ......เดี๊ยนได้ซื้อขนมใส่ไส้มาทานค่ะ เป็นขนมของโปรดเดี๊ยนเลย
หากินที่ต่างประเทศไม่ได้นะค่ะ มีขายในเมืองไทยเท่านั้น
เป็นขนมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น
รูปทรงสามเหลี่ยมเจียดด้วยก้านและใบมะพร้าวทรงสูง ถือจับได้ถนัดมือ ขนมใส่ใส้มะพร้าวมีแป้งห่อด้านใน แกะกินออกมามีกลิ่นหอมๆของมะพร้าว อร่อยจริงนักเชียว...เสน่ห์ขนมไทย ไม่แพ้ที่ใดในโลกเลยค่ะ
แวะทานก๋วยเตี๋ยวอิ่ม ใกล้มีร้านขายลอดช่องใบเตย ป้ายติดไว้ว่าสูตรอัมพวาแท้ๆ น่าลอง เลยแวะเข้าไปทานดีกว่าค่ะ..ร้านนี้มีคุณน้า 2 ท่านกำลังช่วยรับลูกค้า ดูมีอายุแล้ว แต่ก็ทมัดทะแมงมากๆ มีความคล่องแคล่วว่องไว กว่าเด็กหนุ่มสาวสมัยนี้เสียอีก
น่าทานมากๆค่ะ กลิ่นหอมของน้ำตาลมะพร้าวและแตงไทย หอมเตะจมูก มีข้าวเหนียวดำ น้ำแข็งใส พอตักเข้าปากไป เคี้ยวกรุบกริบได้รสชาติที่หวานกำลังได้ ไม่จี๊ดจ๊าดเกินไป อร่อยมากๆ เอาไปเลยค่ะ 5 ล้าน ดาว...
เดี๊ยนเดินไปเรื่อย ท่ามกลางนักท่องเที่ยว ที่มีแต่จะมีทวีเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ ยิ่งตกเย็น คนก็ยิ่งเยอะ
เดี๊ยนเดินไปเรื่อย ท่ามกลางนักท่องเที่ยว ที่มีแต่จะมีทวีเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ ยิ่งตกเย็น คนก็ยิ่งเยอะ
ตอนหัวค่ำ เดี๊ยนตัดสินใจเดินทางไปเช็คอินน์ เอากระเป๋าเป้ไปที่ห้องพักก่อน แล้วค่อยออกมาเดินตลาดใหม่ค่ะ โดยที่พักที่เดี๊ยนจองไว้นั้น ก็อยู่ไกลจากที่ตลาดประมาณ 1 กิโลกว่าๆได้ค่ะ จริงๆแล้วเดี๊ยนตั้งใจไว้ว่าจะพักตรงตลาดเลย แต่เป็นคนชอบอะไรเงียบๆ เลยขอไปพักไกลตลาดหน่อย ขอแบบบ้านสวนริมคลอง เลยไปจองไว้ซ่ะไกลเชียว
ระหว่างกำลังจะเดินไปที่พัก ก็ผ่านโรงแรม 5 ดาว ชื่อโรงแรมชัยบุรีศรีอัมพวา ดูหรูหรามากๆ โดดเด่นเป็นสง่า อลังการและอลังเกินยิ่งนัก มีป้ายบอกว่าแวะเข้าชมได้ฟรี แสดงว่าต่อไปเสียตังค์ใช่ใหม ใหนๆมาทั้งทีแล้ว ขอแวะเข้าไปชมด้านในดีกว่าค่ะ
ระหว่างกำลังจะเดินไปที่พัก ก็ผ่านโรงแรม 5 ดาว ชื่อโรงแรมชัยบุรีศรีอัมพวา
ดูหรูหรามากๆ โดดเด่นเป็นสง่า อลังการและอลังเกินยิ่งนัก
มีป้ายบอกว่าแวะเข้าชมได้ฟรี แสดงว่าต่อไปเสียตังค์ใช่ใหม ใหนๆมาทั้งทีแล้ว
ขอแวะเข้าไปชมด้านในดีกว่าค่ะ
เดี๊ยนเดินทางจากตลาดน้ำอัมพวา มาไม่ไกลนัก เลยโรงแรมชูชัยบุรีมาหน่อย ก็ถึงที่พักที่ได้จองผ่านอะโกด้าไว้แล้วค่ะ เป็นโฮมสเตย์ติดริมแม่น้ำ ราคาหลักร้อย ไม่หรูหรา ไม่ไฮโซ แต่ราคาโอ้โฮ้ถูกใจเดี๊ยนจริงๆค่ะ ราคาที่ได้จองไว้คืนละ 660 บาทรวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน เดี๊ยนมาค้างที่นี้หนึ่งคืน ก็ราคาเดียวกันค่ะ
ทางเดินเข้าที่พักตอนกลางคืนดูมืดไปหน่อย แต่ก็ยังมีแสงนีออนส่องให้เห็นเส้นทางค่ะ
เดินทางมาก็เจอป้ายที่พักเขียนไว้ ชื่อ NR homestay ดูเป็นที่พักแนวบ้านสวนติดริมแม่น้ำ แต่ห้องพักที่เดี๊ยนจองไว้นั้น เป็นบังกะโลหลังนึงเลยค่ะ เดี๊ยนเข้าไปติดต่อขอเช็คอินน์ที่พักกับทางเจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิง เป็นเจ้าของบ้านก็ต้อนรับทักทายยิ้มแย้ม อัธยาศัยดีมากค่ะ
เดี๊ยนได้กุญแจบ้านพักบังกะโลราคาหลักร้อยมา ก็มาเปิดห้อง ถือว่าห้องยังดูใหม่เลยค่ะ มีที่นอน มีหมอน 2 ใบ ผ้าห่ม 2 ผืน ในห้องพักมีเครื่องปรับอากาศให้ค่ะ มีห้องน้ำส่วนตัวให้ค่ะ แต่ดูที่นอนกับหมอนเก่ามากๆ ลองไปนั่งบนที่นอนดู ที่นอนบุ๋มไปเลยค่ะ ไม่มีสปริงนะคะเนี่ยะ ส่วนหมอนก็ฟีบลีบไปเลย ต้องเอาหมอน 2 ใบมาร่วมกันถ้าจะดีกว่า แต่ก็เอาเถอะค่ะ ราคาที่พักหลักร้อยก็คงจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่มากนัก
ห้องน้ำส่วนตัวค่ะ ไม่มีสบู่ ไม่มีแชมพูนะค่ะ ใครที่จะมาพักแนวโฮมสเตย์ เตรียมลูกอมโบตั๋น ยาสีฟันคอลเกต สบู่วิเศษ แล้วก็แชมพูแฟซ่ามาด้วยนะค่ะ
เนื่องจากที่ห้องพักไม่มีตู้เย็น เนี่ยแหละค่ะ ตู้เย็นเคลื่อนที่เอาไว้ใส่น้ำและอาหารของคาวหรือขนมใส่ใส้ที่เดี๊ยนซื้อมาจากตลาดน้ำอัมพวาก็เอามาแช่ในนี้ไว้ก่อนค่ะ
ยังดีมีที่วางของ เป็นโต๊ะเครื่องแป้ง และวางสัมภาระได้ค่ะ ถือว่าเหมาะสมกับราคาที่จ่ายไปค่ะ ห้องนอนเป็นส่วนตัวเป็นบ้านพักแบบหลังไปเลย เงียบดี เดี๊ยนชอบค่ะ
มีทีวีเครื่องเล็กให้ดูนะค่ะ ถึงแม้เครื่องจะเล็ก แต่ก็มีเคเบิ้ลช่องโน้นนี้นั้นให้ดูครบค่ะ เริ่ดมากๆ เล็กแต่แจ๋ว
เดี๊ยนเดินออกจากบ้านพักบังกะโลในสวน เดินมาที่ริมคลองอัมพวาของบ้านพัก มองเห็นโรงแรมชัยบุรีอยู่ใกล้ๆแค่นี้เองค่ะ
อาหารเย็นมื้อนี้จัดไปค่ะ ไข่ทอดชะอม จิ้มกับน้ำพริกกะปิ และก็ปลาทูต้มเค็มทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเริ่ดเว่อร์ค่ะ ถ้าจะให้ดีขอปลาทูตัวใหญ่หน่อยก็ดีค่ะ ปลาทูแม่กลอง เนื่อแน่นๆ อร่อยชนะเลิศค่ะ
อาหารเย็นมื้อนี้จัดไปค่ะ ไข่ทอดชะอม จิ้มกับน้ำพริกกะปิ และก็ปลาทูต้มเค็มทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเริ่ดเว่อร์ค่ะ ถ้าจะให้ดีขอปลาทูตัวใหญ่หน่อยก็ดีค่ะ ปลาทูแม่กลอง เนื่อแน่นๆ อร่อยชนะเลิศค่ะ
ทานอาหารอิ่มแล้ว ยังไม่พอค่ะ ออกจากร้านมา เดินมาเจอเมี่ยงคำ จัดไปค่ะ 1 ไม้
ขนมทาร์ตไข่ วางเรียงรายอยู่บนถาดตรงทางเดินริมคลองอัมพวา ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวน เย้ายวนให้น้ำลายไหล ไม่ทันไร เดี๊ยนก็ไปควักสตังค์ออกมาจากกระเป๋า เอามาจ่ายแม่ค้า จัดไป 1 ตะกร้าเล็กๆ เป็นขนมรสเด็ดแสนอร่อยค่ะ
ขนมทาร์ตไข่ วางเรียงรายอยู่บนถาดตรงทางเดินริมคลองอัมพวา
ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวน เย้ายวนให้น้ำลายไหล ไม่ทันไร
เดี๊ยนก็ไปควักสตังค์ออกมาจากกระเป๋า เอามาจ่ายแม่ค้า จัดไป 1 ตะกร้าเล็กๆ
เป็นขนมรสเด็ดแสนอร่อยค่ะ
นั่งริมคลองอัมพวา ดูดดื่มน้ำโอเลี้ยงเย็นๆ เอาเมี่ยงคำที่เห็นๆ มาจิ้มกับทาร์ตไข่รสชาติ แหม่มันช่างแปลกไฉไลอะไรเช่นนี้
หลังจากเดี๊ยนทานอาหารเดินย่ำตลาดน้ำอัมพวา หาซื้อของกินจนพุงปลิ้นแล้ว ก็เดินทางกลับที่พัก อาบน้ำแต่งตัวเข้านอน ตอนเอาตัวลงนอน รู้สึกที่นอนบุ๋มยุบตัวลงไปเลย รู้สึกว่าเป็นที่นอนผ่านการใช้งานมาเยอะ เป็นที่นอนไม่มีสปริงค่ะ ถ้าให้ดี ถ้าที่นอนปรับเป็นที่นอนแบบดูเอ้ได้เหมือนโรงแรมทั่วไปจะเริ่ดมาก แต่ก็เอาเถอะค่ะ ถือว่ามาพักโฮมสเตย์ เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศได้รสชาติไปอีกแบบนะค่ะ
วันที่ 24 เมษายน 2559
เดี๊ยนตื่นแต่เช้า แต่เป็นตอนเช้าที่สายมากๆ ตั้งใจว่าจะไปใส่บาตรพระแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เอาไว้คราวหลังแล้วกันค่ะ
ตื่นเช้าขึ้นมาก็เห็นมะเฟืองอยู่ริมห้องพัก อยากมาเด็ดจิมเกลือเสียจริง
ที่ล้างมืออยู่ด้านนอนห้องค่ะ
มีต้นมะเฟืองอยู่ใกล้ๆ ตอนกำลังจะล้างมือ กลิ่นของมะเฟืองใกล้สุกงอม โชยกลิ่นหอมยิ่งนัก
ภายในห้องพัก
ห้องพักดูโปร่งโล่งสบายตา เป็นบังกะโลในบ้านสวนริมคลอง ทรงกะทัดรัด ราคาถูกดีค่ะ
มีที่ให้ออกกำลังกายด้วยนะค่ะ
มีมุมโต๊ะนั่งเล่น หรือจะเอาอาหารข้างนอกมาทาน เจ้าของบ้านก็ไม่ว่ากัน
มีต้นไม้รอบๆที่พัก บรรยากาศดี ร่มรื่น ดูสุขสม น่าอภิรมย์ ยิ่งนักค่ะ
มีเครื่องเล่นออกกำลังกายตอนเช้าๆ ใครเป็นคนรักสุขภาพ ตื่นมาก็มาออกกำลังกายได้เลย ไม่ต้องไปฟิสเนตแพงๆ
เดินไปดูบ้านหลังอื่นสิค่ะ ดูบ้านพักหลังนี้ก็ธรรมดา แต่ไม่เห็นมีลูกค้าพักเลย หรือว่าเช็คเอาท์ออกไปเสียแล้ว
น้องแมวยืนขวางตรงซุ้มประตู
ทางเข้าภายในที่พัก NR homestay
ทางเดินออกไปนอกบ้าน
แต่ก่อนคุณพี่เจ้าของบอกว่า เป็นสวนผลหมากรากไม้ และสวนมะพร้าว พอเริ่มมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ก็เลยปลูกบ้านเป็นโฮมสเตย์ ให้นักท่องเที่ยวได้มาใช้บริการกันค่ะ
เดี๊ยนเดินชมนก ชมไม้ ชมสวนมะพร้าว มีโน้น มีนี้ ให้ดู ต้นม้ง ต้นไม้ สีเขียวดูแล้วสดชื่นระรื่นนัยตา หมู่มวลผึ้งภมรออกมาเด็ดดอมเอาน้ำตาลหอมๆจากเกษรดอกไม้ไป ดูเลิศเลอศิวิลาศศิวิลัยยิ่งนัก เดี๊ยนเดินชมนก ชมไม้ ชมสวนมะพร้าว มีโน้น มีนี้ ให้ดู ต้นม้ง ต้นไม้ สีเขียวดูแล้วสดชื่นระรื่นนัยตา หมู่มวลผึ้งภมรออกมาเด็ดดอมเอาน้ำตาลหอมๆจากเกษรดอกไม้ไป ดูเลิศเลอศิวิลาศศิวิลัยยิ่งนัก
ส้มจี๊ดก็มีให้เห็นในสวน ถึงแม้อากาศจะร้อนเพียงใด ก็ยังมีผลไม้เป็นส้มจี๊ดเล็กให้ได้เด็ดทานค่ะ
ต้นปาล์มชวา สูงเริ่งรากับผู้คนและนักท่องเที่ยว
เดี๊ยนเดินเข้าไปที่มุมห้องอาหารของที่พัก เพื่อไปรับประทานอาหารเช้า
ขณะเดินเข้าไป มีต้นม้ง ต้นไม้ เป็นพันธ์ไม้ประดับ โดยเฉพาะมีหนวดฤาษีย้อยลง ตอบรับสดับผู้คนให้ยลโฉม ดูน่าเล้าโลมจิต โลมใจยิ่งนัก
มุมบ้านข้าวหมา มีเขียนป้ายบอกว่า
ใครที่มาอัมพวา ต้องการเที่ยวแบบไม่อยากเดิน ก็สามารถปั่นจักรยง จักรยาน เที่ยวอัมพวาได้ค่ะ
ได้เวลาทานอาหารเช้าแล้วค่ะ พอมาถึงตรงนี้ เหมือนว่าได้อยู่ที่บ้านเลย เพราะก็ไม่ได้ตกแต่งอะไรให้มีดีไซน์มากนัก เป็นบ้านพักธรรมดา ให้ความรู้สึกเหมือนว่ามานอนบ้าน ไม่ต้องอลังการมากนัก เดี๊ยนชอบค่ะ จัดไปเลยเก๋ๆเท่ห์ๆแนวๆ
สงสัยเดี๊ยนตื่นมาที่โซนร้านอาหารเช้าไปกระมัง ยังไม่มีคนมาเลย
ชุดใส่บาตร อาหารแห้ง 20 บาท เสียดายค่ะ มาไม่ทันเมื่อเช้า
ขณะนั่งรออาหารเช้า ก็มานั่งริมคลองตอนเช้าๆ อากาศดีมากๆ มีลมพัดโบกโชยเย็นๆ นั่งเห็นเรือแล่นไปมา มีทั้งเรือพายขายของกิน แล่นให้เห็นกันเป็นวิถีชีวิตริมคลองของคนที่นี้
ขณะนั่งรออาหารเช้า ก็มานั่งริมคลองตอนเช้าๆ อากาศดีมากๆ มีลมพัดโบกโชยเย็นๆ นั่งเห็นเรือแล่นไปมา มีทั้งเรือพายขายของกิน แล่นให้เห็นกันเป็นวิถีชีวิตริมคลองของคนที่นี้
บ้านไม้หลังนี้ ดูเก่ากึ๊กเชียว แต่ก็ให้อารมณ์เดอะมิวสิคคอลมากๆเลยค่ะ
ชาวบ้านกำลังจับจ่ายซื้อของ มองไปแต่ไกลๆ น่าจะกำลังซื้อไข่ไก่
มองเข้าไปในบ้านของเจ้าของโฮมสเตย์ เห็นแล้วคิดถึงบ้านต่างจังหวัดทันทีค่ะ
เดี๊ยนนั่งชมบรรยากาศริมคลองไปเรื่อยเปื่อย นึกขึ้นมาได้ว่า ไอ้หย่า เดี๊ยนลืมขนมของโปรดแช่ไว้ในตู้เย็นน้อยในกระติกค่ะ ก็เลยต้องกลับไปที่ห้องพักไปหยิบมาทานเป็นอาหารเช้าด้วยกันค่ะ เปิดถังน้ำแข็งขึ้นมา น้ำแข็งยังไม่ละลายมากนัก แต่ก็ช่วยรักษาสถานะของขนมให้คงอยู่ไม่ให้เน่าเสียไปค่ะ
เดี๊ยนนั่งชมบรรยากาศริมคลองไปเรื่อยเปื่อย นึกขึ้นมาได้ว่า ไอ้หย่า เดี๊ยนลืมขนมของโปรดแช่ไว้ในตู้เย็นน้อยในกระติกค่ะ ก็เลยต้องกลับไปที่ห้องพักไปหยิบมาทานเป็นอาหารเช้าด้วยกันค่ะ เปิดถังน้ำแข็งขึ้นมา น้ำแข็งยังไม่ละลายมากนัก แต่ก็ช่วยรักษาสถานะของขนมให้คงอยู่ไม่ให้เน่าเสียไปค่ะ
มาแล้วค่ะ อาหารมื้อเช้านี้เป็นข้าวต้ม มื้อเบาๆค่ะ
ไปปิ้งขนมรอเลยค่ะ กรุณาปิ้งขนมปังก่อนทาแยมค่ะ เขียนป้ายบอกแจ้งไว้ แสดงว่ามีคนอุตะริทาแยมแล้วเอาไปปิ้ง โอ้ยทำไปได้นะค่ะ
อาหารเช้ามื้อนี้จัดไป ทั้งข้าวต้มหมูไม่ทรงเครื่อง แต่มาทำเครื่องเอาเองค่ะ มีขนมปังไม่ปิ้งแล้วค่ะ เพราะปิ้งทีไรก็ดำปี๋ เลยทานแบบสีขาวๆนี่แหละ เริ่ดสุดๆค่ะ
ทานข้าวต้มอิ่มไปแล้ว แต่เดี๊ยนยังไม่อิ่มพอ เติมต่อด้วยการทานขนมปังค่ะ เอามาสอดใส้กับขนมใส่ใส้ ไม่งงนะคะ ขนมปังสอดใส้กับขนมใส่ไส้ ห่อทานตักเข้าปาก รสชาติดูพิลึกชอบกล แต่ก็อร่อยล้นเลอเลิศมากค๊า เป็นการประยุกต์ขนมไทยกับขนมของชาวฝรั่งมังข้าให้มีความทันสมัยขึ้น
เดี๊ยนนั่งทานอาหารอิ่มไม่นาน แหงนดูนาฬิกาในข้อมือจะ 8 โมงแล้วค่ะ ได้เวลาเดินทางไปแม่กลองแล้วค่ะ เพื่อไปชมความตื่นเต้นอะเมซซิ่งของตลาดร่มหุบค่ะ
เดี๊ยนเดินออกจากที่พัก ข้ามถนนมารอรถ 2 แถว ที่ศาลาหน้าวัดจุฬามณีค่ะ เพื่อเดินทางไปแม่กลอง ระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลน่าจะได้ค่ะ
ภายในรถ 2 แถว มีผู้โดยสารขึ้นลงไม่ขาดสายเลยค่ะ
นั่งรถ 2 แถว ไม่นานนักก็ถึงแล้วค่ะ ตลาดแม่กลอง
เดินเข้ามาก็เป็นตลาดที่อยู่ติดรางรถไฟเลย มีริ่มกางออกมา ตอนนี้ร่มยังไม่หุบ เป็นตลาดร่มกางอยู่ มีพ่อค้าแม่ค้าชาวแม่กลองขายของหลายอย่าง เดินไปส่วนใหญ่เป็นของสดๆทั้งนั้นเลยค่ะ ทั้งผัก ผลไม้ อาหารแห้ง อาหารสด อาหารทะเล ขนม นมเนย มีหมดค่ะ
เดี๊ยนนั่งชมบรรยากาศริมคลองไปเรื่อยเปื่อย นึกขึ้นมาได้ว่า ไอ้หย่า เดี๊ยนลืมขนมของโปรดแช่ไว้ในตู้เย็นน้อยในกระติกค่ะ ก็เลยต้องกลับไปที่ห้องพักไปหยิบมาทานเป็นอาหารเช้าด้วยกันค่ะ เปิดถังน้ำแข็งขึ้นมา น้ำแข็งยังไม่ละลายมากนัก แต่ก็ช่วยรักษาสถานะของขนมให้คงอยู่ไม่ให้เน่าเสียไปค่ะ
อาหารทะเลก็ดูสดใหม่ น่าซื้อเอาไปต้มยำทำแกง น่าจะอร่อยเริ่ดค่ะ
ปลาสลิดพิชิตนารีนี้ วางอยู่บนตะแกรงไม้ไผ่ ก็น่าซื้อเอาไปทอดทำข้าวผัด จิ้มกับน้ำตาลอัดรสชาติน่าจะจัดว่าอร่อยค่ะ
ปลาทูหอมแม่กลอง ของฝากจากที่นี้เลยค่ะ ราคาก็ไม่ได้แพงเลย
ปลาทูเข่งที่นี้ดูท่าทางจะสดมาก ราคาถูกกว่าที่กรุงเทพอีกกระมัง น่าซื้อมากๆค่ะ ใครที่กำลังแวะมาเที่ยวแม่กลอง ก็แวะซื้อไปสักเข่ง สองเข่ง หรือจะเอาไปหลายร้อยเข่งเลยก็ได้นะค่ะ
เวลา 8.30 น.เสียงโทรโข่งของเจ้าหน้าที่รถไฟประกาศ แสดงว่า รถไฟใกล้มาแล้วค่ะ แม่ค้าหลายๆร้านที่ขายของริมทางรถไฟ เริ่มจะหุบร่มผ้าใบกันแล้วค่ะ
จากที่เห็นเป็นร่มผ้าใบหลากสีเป็นตลาดร่มกางอยู่ ตอนนี้ก็เป็นตลาดร่มหุบสมชื่อแล้วค่ะ ดูแล้วไปก็สะอาดตายิ่งนัก รถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนเข้ามา ได้ยินเสียงปู๊นๆมาแต่ไกลๆ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ดูตื่นเต้นกันมากๆ บางคนถึงกับจับจองที่มุมดีๆ ไว้ถ่ายรูป หรือบันทึกวีดีโอเลยก็มี เสียงเจี้ยวจ้าวของพ่อค้าแม่ค้า บอกให้นักท่องเทียว หลบเข้ามาด้านใน เพราะเดียวรถไฟมาแล้ว เกิดพลาดท่า โดนรถไฟเฉียวเอาไปกิน
จากที่เห็นเป็นร่มผ้าใบหลากสีเป็นตลาดร่มกางอยู่ ตอนนี้ก็เป็นตลาดร่มหุบสมชื่อแล้วค่ะ ดูแล้วไปก็สะอาดตายิ่งนัก รถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนเข้ามา ได้ยินเสียงปู๊นๆมาแต่ไกลๆ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ดูตื่นเต้นกันมากๆ บางคนถึงกับจับจองที่มุมดีๆ ไว้ถ่ายรูป หรือบันทึกวีดีโอเลยก็มี เสียงเจี้ยวจ้าวของพ่อค้าแม่ค้า บอกให้นักท่องเทียว หลบเข้ามาด้านใน เพราะเดียวรถไฟมาแล้ว เกิดพลาดท่า โดนรถไฟเฉียวเอาไปกิน
มาแล้วค่ะ..รถไฟมา ตามา ตามีตา มีนา มีหู มียาย มานีมานะมีตา ตามารถไฟ..รถไฟกำลังแล่นเข้าสถานีแม่กลอง ดูเป็นภาพที่น่าตื่นเต้นมากๆค่ะ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ที่ยืนอยู่ใกล้ๆเดี๊ยน ร้องสุโค่ย ถ่ายรูปที กดชัตเตอร์ ดังแช่ะแช่ะ อีกมือหนึ่งก็ถ่ายวีดีโอ ดูเป็นที่แปลกตายิ่งนัก และถูกใจชอบฝรั่งมังข้าหลายคนกระมัง เดี๊ยนเองก็พึงเคยเห็นค่ะ เพราะเคยมาเที่ยวแม่กลอง เห็นรถไฟผ่านก็ไม่ได้พิศวาสอะไรมากนัก แต่พอมายืนอยู่ตรงนี้ตื่นเต้นมากๆ เพราะยืนอยู่ตรงร้านขายหมู่สดๆ มุมก็แคบๆ กลัวมากๆ ว่า่จะโดนรถไฟเฉียวเอาไปกิน
มาแล้วค่ะ..รถไฟมา ตามา ตามีตา มีนา มีหู มียาย มานีมานะมีตา ตามารถไฟ..รถไฟกำลังแล่นเข้าสถานีแม่กลอง ดูเป็นภาพที่น่าตื่นเต้นมากๆค่ะ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ที่ยืนอยู่ใกล้ๆเดี๊ยน ร้องสุโค่ย ถ่ายรูปที กดชัตเตอร์ ดังแช่ะแช่ะ อีกมือหนึ่งก็ถ่ายวีดีโอ ดูเป็นที่แปลกตายิ่งนัก และถูกใจชอบฝรั่งมังข้าหลายคนกระมัง เดี๊ยนเองก็พึงเคยเห็นค่ะ เพราะเคยมาเที่ยวแม่กลอง เห็นรถไฟผ่านก็ไม่ได้พิศวาสอะไรมากนัก แต่พอมายืนอยู่ตรงนี้ตื่นเต้นมากๆ เพราะยืนอยู่ตรงร้านขายหมู่สดๆ มุมก็แคบๆ กลัวมากๆ ว่า่จะโดนรถไฟเฉียวเอาไปกิน
รถไฟแล่นเข้ามา มองไกลๆ ดูช้านะค่ะ แต่พอแล่นเข้ามา ดูเร็วมากๆนะค่ะ
รถไฟแล่นไปเข้าที่สถานีแม่กลอง ตลาดร่มหุบตอนนี้ กำลังจะกลายเป็นตลาดร่มกางเหมือนเดิม แม่ค้าพ่อค้าแม่กลองทยอยกางร่มผ้าใบออกมาเหมือนเดิม เพื่อหลบแดดอันร้อนแรง
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติค่ะ เป็นวิถีชีวิตของคนที่นี้ ที่ขายสินค้าอยู่คู่ริมทางรถไฟมานานหลายปีมากๆ
ปลาทูเข่งละ 15 บาท น่าทานมากๆค่ะ
แดดเริ่มร้อน เดี๊ยนเดินตามทารถไฟ ออกจากตลาดมาไม่ไกลนัก ก็จะเป็นสถานีรถไฟแม่กลองค่ะ
แดดเริ่มร้อน เดี๊ยนเดินตามทารถไฟ ออกจากตลาดมาไม่ไกลนัก ก็จะเป็นสถานีรถไฟแม่กลองค่ะสถานีรถไฟแม่กลอง เป็นสถานีรถไฟปลายทางของที่นี้ค่ะ
ประวัติความเป็นมาของตลาดเก่าแม่กลองค่ะ
ประวัติความเป็นมาของทางรถไฟสายแม่กลองค่ะ
รถไฟสายแม่กลอง เป็นรถไฟสายโบกี้สั้นๆ เดินทางออกจากธนบุรีบางกอกน้อย เป็นรถไฟที่มีเสน่ห์ยิ่งนัก หากใครมีเวลานะค่ะ ลองนั่งรถไฟจากกรุงเทพมาเที่ยวแม่กลอง ก็ได้อีกบรรยากาศที่ดีไม่น้อยค่ะ
รถไฟสายแม่กลอง เป็นรถไฟสายโบกี้สั้นๆ เดินทางออกจากธนบุรีบางกอกน้อย เป็นรถไฟที่มีเสน่ห์ยิ่งนัก หากใครมีเวลานะค่ะ ลองนั่งรถไฟจากกรุงเทพมาเที่ยวแม่กลอง ก็ได้อีกบรรยากาศที่ดีไม่น้อยค่ะ
สุดปลายทางรางรถไฟสายแม่กลองค่ะ
ตอนเย็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ที่นี้ถูกจัดให้เป็นถนนคนเดินมนต์รักแม่กลองค่ะ
ไม่ไกลจากสถานีแม่กลองมากนัก เดินมาอีกนิดเดียวก็ถึงวัดเพชรสุทรวรวิหาร หรือที่รู้จักกันว่า วัดหลวงพ่อบ้านแหลมค่ะ เป็นพระคู่บ้านคูเมืองชาวแม่กลองมาเนิ่นนาน มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพมากๆ ใหนๆก็มาแล้ว ต้องเข้าไปไหว้พระปิดทองหลวงพ่อวัดบ้านแหลมเลยค่ะ จะได้ไม่เสียโอกาส เพื่อจะได้ทำบุญทำทานอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และขอให้ชีวิตมีสิ่งที่เป็นสิริมงคลค่ะ
ไม่ไกลจากสถานีแม่กลองมากนัก เดินมาอีกนิดเดียวก็ถึงวัดเพชรสุทรวรวิหาร
หรือที่รู้จักกันว่า วัดหลวงพ่อบ้านแหลมค่ะ
เป็นพระคู่บ้านคูเมืองชาวแม่กลองมาเนิ่นนาน
มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพมากๆ ใหนๆก็มาแล้ว
ต้องเข้าไปไหว้พระปิดทองหลวงพ่อวัดบ้านแหลมเลยค่ะ จะได้ไม่เสียโอกาส
เพื่อจะได้ทำบุญทำทานอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
และขอให้ชีวิตมีสิ่งที่เป็นสิริมงคลค่ะ คาถาบูชาหลวงพ่อวัดบ้านแหลมค่ะ
เดินเข้าไปที่ด้านพระอุโบสถเพื่อเข้าไปปิดทององค์ประธานค่ะ
เสร็จจากไหว้พระปิดทองแล้ว เดี๊ยนก็ชักเริ่มหิวอีกแล้ว สงสัยข้าวต้มเมื่อเช้านี้เอาไม่อยู่เป็นแน่แท้ เลยขอมาทานข้าวมันไก่สักหน่อย เห็นร้านนี้คนเยอะจัง น่าจะอร่อย เลยจัดไป 1 ชามค่ะ
เสร็จจากไหว้พระปิดทองแล้ว เดี๊ยนก็ชักเริ่มหิวอีกแล้ว
สงสัยข้าวต้มเมื่อเช้านี้เอาไม่อยู่เป็นแน่แท้
เลยขอมาทานข้าวมันไก่สักหน่อย เห็นร้านนี้คนเยอะจัง น่าจะอร่อย เลยจัดไป 1
ชามค่ะ
ทานข้าวเสร็จก็ไปเดินดูบรรยากาศรอบๆ ริมแม่น้ำแม่กลอง ก่อนจะเดินกลับไปที่ท่ารถตรงตลาด เพื่อนั่งรถกลับอัมพวาค่ะ ค่าโดยสารก็ 8 บาท เหมือนเดิมค่ะ ทานข้าวเสร็จก็ไปเดินดูบรรยากาศรอบๆ ริมแม่น้ำแม่กลอง ก่อนจะเดินกลับไปที่ท่ารถตรงตลาด เพื่อนั่งรถกลับอัมพวาค่ะ ค่าโดยสารก็ 8 บาท เหมือนเดิมค่ะ
เดี๊ยนเดินกลับเข้ามายังที่พักเพื่อมาอาบน้ำ และเก็บสัมภาระค่ะ เพื่อจะได้เช็คเอาท์ออกจากที่พักค่ะ
เดี๊ยนเดินกลับเข้ามายังที่พักเพื่อมาอาบน้ำ และเก็บสัมภาระค่ะ เพื่อจะได้เช็คเอาท์ออกจากที่พักค่ะ
เดินลัดเลาะออกมาจากบ้านพักโฮมสเตย์เดินตรงมาที่พักวัดพระยาญาติ เพื่อข้ามสะพานมายังอีกฝั่งค่ะ
เดี๊ยนเดินลัดเลาะเลียบริมคลองอัมพวา มุ่งหน้าไปยังร้านขายสินค้าของฝาก ซึ่งมีหลายร้าน ทยอยเปิดกันเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว
บรรยากาศริมคลองอัมพวาในช่วงหน้าร้อน ร้อนได้ใจจริงๆค่ะ
ผ่านร้านค้าหลายร้าน เริ่มทยอดเปิดกันค่ะ
เดินไปก็ถ่ายรูปไป ร้านค้าเริ่มทยอดแง้มประตูออกมารับนักท่องเที่ยว
เดินไปหาซื้อของฝากไปค่ะ ถ้าจะอันใหนถูกใจก็ซื้อเลยค่ะ คงไม่วกกลับมาแล้วค่ะ
คลองอัมพวาในช่วงยามกลางวัน มีแม่ค้าเริ่มพายเรือแจวออกมาขายของตนเอง บ้างก็เป็นขนม บ้างก็เป็นผลไม้ บ้างก็เป็นก๋วยเตี่ยว อาหารคาวหวาน นักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยมากันแล้วค่ะ
ขนมไทยใส่ในหม้อดินก็น่าทานมากๆค่ะ
เดี๊ยนเดินไปเรื่อย ก็ซับเหงื่อไปเรื่อยๆ อีกมือนึงก็ถือถุงของฝาก มีทั้งขนม นมเนย ต้องซื้อไปฝากคนที่บ้านและที่ทำงานด้วยค่ะ
ไม่พลาดหากมาแม่กลอง ต้องซื้อปลาทูกลับไปด้วยค่ะ ต้องเป็นปลาทู หน้างอ คอหักเท่านั้นนะค่ะ ถ้าเจอปลาทูหน้าตรง คอตั้งคอสวย อย่าได้ไปซื้อทานนะค่ะ เดียวไม่อร่อยค๊า
ตอนเที่ยงเป๊ะเลย เดี๊ยนก็เดินมาที่ท่ารถตู้อนุสาวรีย์ อยู่ใกล้ๆกับเชิงสะพาน เพื่อซื้อตั๋วรถโดยสารกลับกรุงเทพค่ะ ได้เที่ยวเวลา 12.20 ค่ะ
เดี๊ยนเดินทางออกจากอัมพวาตอนเที่ยง ถึงกรุงเทพตอนบ่าย 3 โมงโดยสวัสดิภาพ...จบทริปรำลึกความหลังเที่ยวอัมพวาปี 2559 กับอากาศอันร้อนฉาว ร้าวไปถึงทรวงในค่ะ ต้องขอขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาติดตามอ่านรีวิวอันยาวเหยียดของเดี๊ยนนะค่ะ เดี๊ยนหวังว่ารีวิวนี้คงมีประโยชน์ต่อผู้ที่ยังไม่เคยไปอัมพวาไม่มากก็น้อย หรือคงทำให้หลายคนๆที่เคยไปอัมพวา คงคิดถึงอัมพวาอยู่ได้ไปเที่ยวอัมพวาอีกครั้ง หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอนค่ะ
นักเขียนบล๊อกเกอร์มื้อสมัครเล่นค่ะ
-------------------------------------------------
บทความบล็อกอื่นๆ มีดังนี้
อัพเดทที่พักดอนหอยหลอด และที่พักใกล้เคียง ราคาประหยัด ลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูข้อมูลที่พักได้ที่เว็ปบล็อก : http://bit.ly/2ONvMBO
0 ความคิดเห็น