รีวิวเที่ยวเมืองสุพรรณบุรี ไหว้พระแสนสุขขีที่วัดป่าเลไลย์ ปั่นจักรยานไปบึงฉวาก แวะซื้อของฝากที่ตลาดสามชุก มีแต่ความสุขใจไฉไลเริ่ดเว่อร์ |
ก็กลับมาอีกครั้งสำหรับรีวิวท่องเที่ยวตะลุยเดี่ยว ประจำเดือนธันวาคม ปี 2559 ค่ะ รู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกินนะค่ะ แต่ก็รู้สึกดีมากๆค่ะ ที่มีกลุ่มคนที่รักการอ่านบล็อกของเดี๊ยนเข้ามาสอดส่อง มาเหน็บมาแนม มาติเตียน คอมเพลน บล็อกแนวๆกากของเดี๊ยนให้มีสีสัน มีชีวิตชีวา ไม่ร้างลาเลือนไปนะค่ะ ทำให้เดี๊ยนมีกำลังใจเดินทางท่องเที่ยว โน้นนี้นั้น ไปเรื่อยเปื่อยค่ะ ถือว่าเป็นงานอดิเกรฆ่าเวลาไปนะค่ะ
สำหรับรีวิวท่องเที่ยวเดือนนี้นะค่ะ ดิฉันเองก็ไม่ได้บินถลาเล่นลม สุขสมอุราขึ้นเหนือลงใต้หรอกค่ะ เพราะถึงแม้วันลาพักร้อนจะเหลือเฟือ แต่ก็ไม่ได้ลายาว เพราะสิ้นปีนี้ ก็มัวยุ่งอีรุงตุงนังสังกะตุง มานั่งปวดกะบาลหัวกับการปิดงบ บัญชี ภาษี การตลาด ก็เลยยุ่งเสียจริงๆ ค่ะ แหงนดูปฎิทินอุ้ยตายจะสิ้นปีแล้วค่ะ ก่อนจะสิ้นปีก็เลยวางแผนไปพักผ่อนเดินย่องท่องเที่ยวในภาคกลางเนี่ยแหละค่ะ ตอนแรกกะจะไปขึ้นเหนือ แต่เห็นคนเที่ยวกันเยอะเสียเหลือ เดี๊ยนเลยขอไม่ตามกระแสไปยังเมืองเหนือ ตัดสินใจมานั่งเรือแบบไม่เบื่อเที่ยวที่ภาคกลางดีกว่า น่าจะเริ่ดสะแมนแตนกว่าเยอะเลยค่ะ
รีวิวเที่ยวเมืองสุพรรณบุรี จรลีไปท่องริมแม่น้ำตามสายนที สุขเกษมเปรมปรีเริ่ดสะแมนแตนเว่อร์ |
เมืองสุพรรณบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดเลยค่ะ เพราะยังคงเป็นจังหวัดที่ยังคงกลิ่นอายสไตล์ความเป็นภาคกลางได้ดีที่สุดอีกแห่ง และมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาแสนยาวนานหลายร้อยปี มีมนต์เสน่ห์สุดตราตรึาตะลึงตึงตึงไปทั่วทั้งโลกล้าโลกา จนชาวฝรั่งมังข้าต้องตามมาเชยชม ให้สุขสมดั่งอุรา มีสำเนียงเสียงภาษา ส่อลั๊นลาเสนาะไพเราะหู กระทู้ถึงห้วงหฤทัย จนต้องอยากไปเดินแวะชม แวะเที่ยวตามสถานที่สำคัญต่างสักครั้งเชียวล่ะค่ะ....
ทริปเที่ยวเมืองสุพรรณบุรีนี้ ตัวเดี๊ยนเองก็ไม่ได้แพลนไว้ล่วงหน้ามากค่ะ เป็นทริปที่กระชันชิดมาก วางแผนก่อนไป 1 วัน จริงๆไปสุพรรณและผ่านสุพรรณบุรีก็หลายครั้งนะค่ะ แต่ก็ไม่เคยเที่ยวสุพรรณบุรีแบบจริงๆจังสักที ก็เลยวางแผนไปค้างคืน พักผ่อมริมแม่น้ำท่าจีนสัก 1 คืน เป็นทริป 2 วัน 1 คืน มาครั้งนี้ขอจัดตามสถานที่อันโดดเด่นสักครั้งค่ะ โดยเฉพาะการไปบึงฉวากค่ะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังมานานมากๆ แต่เดี๊ยนเองก็ไม่มีโอกาสไปสักที ครั้งนี้ได้มีโอกาสแวะไป ก็งดงามจับใจตะลึงตึงตึงจริงๆค่ะ นอกจากนี้ก็ได้มีโอกาสได้ไปนั่งท่องเรือล่องจุ๊นที่แม่น้ำท่าจีน ในอำเภอสามชุก ก็แสนสุขใจได้ไหว้พระ เรียนรู้ไป เริ่ดจริงๆค่ะ
เอาละค่ะ....เพื่อไม่ให้สาเวเลีย เสียเวลากับการบ่อพร่ำเพร้อไปมากกว่านี้ เดี๊ยนขอมารีวิวเดินทางท่องเทียวเมืองสุพรรณบุรี ให้ทุกท่านได้อ่านฆ่าเวลากันนะค่ะ และเขียนบล็อกนี้ไว้ไปไดอารี่ เผื่อสำหรับท่านที่ยังไม่เคยมาเที่ยวเมืองสุพรรณบุรี ก็ได้อ่าน เกิดอยากมาเที่ยวเมืองนี้ ก็ลองแพ็คกระเป๋ามาเดินยวนยีเมืองนี้ดูสักครั้งนะค่ะ เดี๊ยนรับรองว่า เริ่ดสะแมนแตนเว่อร์วังอลังการสะท้านโลกาอย่างแน่นอนค่ะ
ก่อนจะเข้ารีวิว เดียวจะเบื่อกันเสียก่อน เดี๊ยนเลยขอสรุป ทริปรีวิวเที่ยวเมืองสุพรรณบุรี แวะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆดังนี้ค่ะ (ฉบับเที่ยวแบบไม่มีรถส่วนตัวค่ะ นั่งรถตู้โดยสารไปได้ง่ายๆ)
วันแรก เดือน ธันวาคม 2559 (ออกเดินทางช่วงบ่าย)
- เดินทางนั่งรถตู้จากกรุงเทพ เข้าเมืองสุพรรณ นั่งรถ 2 แถวต่อไป ไหว้พระที่วัดป่าเลไลย์
- แวะต่อไปยังศาลหลักเมืองสุพรรณบุรี สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งที่่ใครมาเมืองสุพรรณบุรี ต้องแวะถ่ายรูปคู่มังกรยักษ์
- นั่งรถตุ๊กๆไป ศูนย์เรียนรู้วิถีชาวนาไทยที่บ้านเฮียใช้ เป็นศูนย์เรียนรู้ที่ดีมากๆ น่าไปทีสุดแนะนำค่ะ
- เดินทางด้วยรถตู้โดยสารจากเมืองสุพรรณ ไปยังอำเภอเดิมบางนางบวช แวะพักค้างคืน รีสอร์ท ริมแม่น้ำท่าจีน 1 คืน
วันที่สอง เดือน ธ.ค.2559
- ช่วงเช้า ปันจักรยานจากที่พักในบ้านนางบวช ระยะทาง 15 กิโล ปั่นไปบึงฉวาก
- ช่วงบ่าย เช็คเอาท์จากที่พัก ออกเดินทางไปตลาดสามชุก หาอาหารรับประทาน
- นั่งเรือในแม่น้ำท่าจีน ไปไหว้พระที่วัดสามชุก
- เดินช๊อปปิ้งซื้อของฝาก เดินทางกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพค่ะ
เริ่มต้นเลยค่ะ.... ช่วงบ่ายของวันศุกร์ สุดสัปดาห์ เป็นวันธรรมดาที่คนยังทำงาน แต่ดิฉันขอบายๆ ลาพักร้อนประจำเดือนมาท่องเที่ยวค่ะ......ดิฉันนั่งรถตู้โดยสารออกจากกรุงเทพ มุ่งหน้าเมืองสู่สุ่พรรณบุรี ค่าโดยสาร 80 บาทค่ะ
ใช้เวลานั่งรถตู้จากกรุงเทพมาไม่นานก็ถึงเมืองสุพรรณบุรีแล้วค่ะ รถตู้โดยสารจอดที่สถานีขนส่ง จากนั้นก็นั่งรถสองแถวรอบเมือง ค่าโดยสาร 10 บาท ไปยังวัดป่าเลไลย์ เป็นวัดที่ใครก็แล้วแต่ที่แวะมาเมืองสุพรรณบุรี ต้องแวะมากราบไหว้ พระขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อตนเองและครอบครัวค่ะ
เข้ามาแล้ว ก็จุดธูปกราบพระขอพร ด้านนอกอุโบสถก่อนนะค่ะ
จากนั้นก็เข้าไปกราบไหว้หลวงพ่อโต ด้านในค่ะ หล่วงพ่อโต ใหญ่โตสมชื่อจริงๆนะค่ะ
ประวัติวัดป่าเลไลย์ :
วัดป่าเลไลยก์วรวิหารนั้นสร้างขึ้นในสมัยที่เมืองสุพรรณบุรีรุ่งเรือง ในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้ากาแตทรงให้มอญน้อยมาบูรณะวัดป่าเลไลยก์ภายหลัง พ.ศ. 1724
ประชาชนมานมัสการ “หลวงพ่อโต” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารสูงเด่นเห็นแต่ไกล เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิ องค์พระสูง 23.46 เมตร รอบองค์ 11.20 เมตร ภายในองค์พระพุทธรูปนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลาย จำนวน 36 องค์ จึงเป็นพระพุทธรูปที่เคารพศรัทธาของชาวเมืองสุพรรณและนักเดินทางต่างถิ่นมากราบไหว้กันอย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ
ประชาชนมานมัสการ “หลวงพ่อโต” ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหารสูงเด่นเห็นแต่ไกล เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทองสุพรรณภูมิ องค์พระสูง 23.46 เมตร รอบองค์ 11.20 เมตร ภายในองค์พระพุทธรูปนี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลาย จำนวน 36 องค์ จึงเป็นพระพุทธรูปที่เคารพศรัทธาของชาวเมืองสุพรรณและนักเดินทางต่างถิ่นมากราบไหว้กันอย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ
วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่ที่ ถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรีชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า วัดป่า ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตปางป่าเลไลยก์เดิมหลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ต่อมาได้มีการบูรณะและทำเป็นปางป่าเลไลยก์ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
วัดป่าเลไลยก์วรวิหารเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ระดับวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่หน้าบันของวิหารวัดป่าเลไลยก์มีเครื่องหมายพระมหามกุฎอยู่ระหว่างฉัตรคู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จธุดงค์มาพบสมัยยังผนวชอยู่ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงมาปฏิสังขรณ์
วัดป่าเลไลยก์วรวิหารเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ระดับวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่หน้าบันของวิหารวัดป่าเลไลยก์มีเครื่องหมายพระมหามกุฎอยู่ระหว่างฉัตรคู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จธุดงค์มาพบสมัยยังผนวชอยู่ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วจึงทรงมาปฏิสังขรณ์
(ขอบพระคุณข้อมูลจากสารานุกรมเสรีวิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร)
หลังจากที่ไหว้พระทำบุญ ที่วัดป่าเลไลย์เสร็จแล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็นั่งรถสองแถวจากหน้าวัดป่าเลไลย์มายังสถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดใจถัดไป ที่ใครก็ต้องแวะมาชม นั้นก็คือ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ค่ะ
นั่งรถสองแถวจากวัดป่าเลไลย์ไม่ไกลนัก ก็ถึงแล้วค่ะ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งที่ใครก็แล้วแต่แวะมาเมืองสุพรรณบุรี ต้องจลีแวะมาชมที่แห่งนี้ ประดุจได้ไปเดินอยู่เมืองจีนค่ะ เพราะมีการเนรมิตร สร้างสรรค์ได้อย่างสวยงามเว่อร์วังอลังการยิ่งนักเชียวค่ะ
เดินจากหน้าปากซอยเข้าไปที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองด้านใน ต้องเห็นมังกรยักษ์โดดเด่นเป็นสง่า ใหญ่โตเว่อร์วังอลังการมากๆเลยค่ะ สำหรับครั้งนี้เดี๊ยนเองก็มาศาลหลักเมืองนี้เป็นครั้งที่สองแล้วค่ะ ถือว่ามาไหว้เจ้าพ่อหลักเมือง และมาเดินชมความงามของศิลปะจีนทีศาลแห่งนี้นะค่ะ
เดินเท้าจากปากซอยไม่ไกลนัก ก็ถึงแล้วค่ะ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ก่อนเข้าไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง แวะมาเดินที่หมู่บ้านมังกรสวรรค์ก่อนนะค่ะ พอเดินเข้ามา จุดแรกเลยก็คือ หมู่บ้านมังกรสวรรค์ เป็นหมู่บ้านที่สร้างขึ้นเหมือนเมืองจีนเลยค่ะ ด้านในก็จะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ขายของที่ระลึกนะค่ะ วันที่ดิฉันเดินทางมา นักท่องเที่ยวน้อยมากๆค่ะ เงียบกริบเชียว แต่ถ้าหากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนต้องเยอะกว่านี้แน่ค่ะ เพราะจำได้เมื่อหลายปีก่อนโน้น มาช่วงวันหยุด สถานที่แห่งนี้ นักท่องเที่ยวเยอะมากๆค่ะ
เดินมาที่หมู่บ้านมังกรสวรรค์ เหมือนได้มาอยู่เมืองจีนเลยนะค่ะ ดีจังไม่ต้องไปถึงเมืองจีน แวะมาศาลหลักเมืองสุพรรณบุรี ก็เหมือนได้ท่องเที่ยวเมืองจีนเลยค่ะ
หมู่บ้านมังกรสวรรค์ ในวันธรรมดา ดูช่างเงียบเหงา แต่ก็มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกเปิดกันตามปกติค่ะ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว ถ่ายรูปกันประปรายค่ะ แต่ก็ดีไม่วุ่นวาย แต่ก็เห็นใจคนขายของในนี้ เพราะคนน้อยเสียเหลือเกินนะค่ะหมู่บ้านมังกรสวรรค์ ในวันธรรมดา ดูช่างเงียบเหงา แต่ก็มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกเปิดกันตามปกติค่ะ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว ถ่ายรูปกันประปรายค่ะ แต่ก็ดีไม่วุ่นวาย แต่ก็เห็นใจคนขายของในนี้ เพราะคนน้อยเสียเหลือเกินนะค่ะ
มีปลาให้ดูด้วยนะค่ะ รู้สึกว่าเยอะกว่าตอนที่มาเที่ยวครั้งแรกเสียอีกค่ะ
ประวัติโดยย่อ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี :
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของชาวสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของจังหวัดสุพรรณบุรี ตำบลรั้วใหญ่ ภายในตัวศาล ประดิษฐาน "เจ้าพ่อหลักเมือง" ซึ่งเป็นเทวรูปพระพิษณุนารายณ์ 4 กร อายุราว พุทธศตวรรษที่ 12-14 หรือประมาณ 1300-1400 ปีมาแล้ว เมื่อ 160 ปีมาแล้ว คาดว่าชาวจีนเป็นผู้พบเจ้าพ่อหลักเมือง จมโคลนอยู่ริมคลองจึงอัญเชิญขึ้น พร้อมสร้างศาลให้เป็นที่ประทับ และ พ.ศ.2435 สมเด็จกรมเจ้าพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณทรงสักการะเจ้าพ่อหลักเมือง และประทานทรัพย์ให้ส่วนหนึ่ง และต่อมาในปี พ.ศ.2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสต้นทรงกระทำพลีกรรมเจ้าพ่อหลักเมือง และพระราชทานทรัพย์ ก่อเขื่อนรอบเนินศาล ทำชานที่บูชา สร้างกำแพงแก้ว ต่อศาลออกมาข้างหน้า ในปี 2538 สร้างมังกรที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อจัดเป็น พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร มีระฆังสำริดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และในปี 2555 สร้างเทพเจ้า ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน
เดินชมโดยรอบ มารอบนี้ ต้องแวะไปหอชมวิวครั้ง เพราะครั้งที่แล้ว ขึ้นไปไม่ได้ คนแน่นมากๆ มาครั้งนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยค่ะ
เดินชมโดยรอบ มารอบนี้ ต้องแวะไปหอชมวิวครั้ง เพราะครั้งที่แล้ว ขึ้นไปไม่ได้ คนแน่นมากๆ มาครั้งนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยค่ะ วิวทิวทัศน์โดยรอบศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จำลองได้ เหมือนอยู่เมืองจีนเป๊ะเลยค่ะ
เห็นมังกรยักษ์ กำลังพ่นน้ำไหลย้อยหลงมา เด่นสะง่ายิ้มร่าเชียวค่ะ ถือเป็นจุดท่องเที่ยวและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วสารทิศให้มาที่ศาลแห่งนี้อย่างไม่ขาดสายเลย
เดี๊ยนเดินออกจากหมู่บ้านมังกรสวรรค์ เดินถัดมาอีกหน่อยก็เป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เมื่อมาถึงแล้วต้องเข้าไปกราบไหว้สักการะค่ะ
เดี๊ยนเดินออกจากหมู่บ้านมังกรสวรรค์ เดินถัดมาอีกหน่อยก็เป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เมื่อมาถึงแล้วต้องเข้าไปกราบไหว้สักการะค่ะ
หลังจากไหว้เจ้าพ่อหลักเมืองแล้ว โดยรอบก็จะเป็นจุดเดินชม พักผ่อนหย่อนใจ มีหอเทียนอันเหมิน มีหอระฆัง และเจดีย์ 7 ชั้นค่ะ แต่ละจุดช่างสร้างสรรค์ได้อย่างสวยงาม ประดุจเหมือนได้ย่างกรายอยู่บนสรวงสรรค์จริงๆค่ะ
สภาพแวดล้อมโดยรอบสวยงามสไตล์จีนแท้ๆจริงค่ะ นอกจากได้มากราบไหว้เจ้าพ่อหลักเมืองแล้ว ก็ยังถือเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ได้ดีทีเดียวค่ะ
สภาพแวดล้อมโดยรอบสวยงามสไตล์จีนแท้ๆจริงค่ะ นอกจากได้มากราบไหว้เจ้าพ่อหลักเมืองแล้ว ก็ยังถือเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ได้ดีทีเดียวค่ะ
และหลังจากที่ดิฉันได้ท่องเที่ยวกราบไหว้ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีแล้วนะค่ะ ก็เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวถัดไปนั้นก็คือ ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย หรือบ้านเฮียใช้ค่ะ ห่างออกจากเมืองมาน่าจะประมาณ 6-7 กิโลเมตรได้ค่ะ เดี๊ยนตัดสินใจเลือกนั่งใช้บริการรถตุ๊กๆค่ะ จะได้กระจายค่าใช้จ่ายไปสู่คนขับตุ๊กๆ ให้มีรายได้ด้วยค่ะ
ถึงแล้วค่ะ พิพิธภัณฑ์ศูนย์เรียนรู้วิถีชาวนาไทย (เฮียใช้) ที่เป็นทั้งโรงสีข้าวและใช้พื้นที่เหลือให้เกิดประโยชน์สร้างเป็นศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนาไทยค่ะ เดี๊ยนเองก็เพิ่งเคยมาที่นี้ครั้งแรกเลยนะค่ะเนี่ย เข้ามาก็เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านทรงไทย งดงามตามฉบับไทยจริงๆค่ะ ก่อนหน้าพึงไปเมืองจีนมา อ้าว.....ตอนนี้กลับมาเมืองไทยแล้วค่ะ เร็วดุจดั่งสายฟ้าฟาดเลยนะค่ะ ภายในพิพิธภัณฑ์จะเป็นศูนย์เรียนรู้วิถีขอวชาวไทย และชาวนา มีการแสดงเครื่องใช้ และความเป็นอยู่ของชาวไทยภาคกลาง ก็จัดแสดงไว้ที่นี้ค่ะ
จุดแรกที่แวะ ณ ที่นี้แห่งก่อนไปยัง จุดอื่นเลยนะค่ะ ต้องไปเรือนศูนย์รวมใจดวงใจทั้งชาติค่ะ
แวะขึ้นชมภายในบ้านเรือนไทยค่ะ สวยงาม เย็นสบาย สไตล์ไทยแท้จริงๆค่ะ ภายในก็มีการจัดแสดง การตกแต่ง ข้าวของเครื่องใช้ของวิถีชาวไทยภาคกลางไว้ ณ เรือนแห่งนี้ค่ะ ดูร่มเย็นน่าอยู่มากๆค่ะ สวยงามเว่อร์วังอลังการแบบไทยจ๋า เหมือนเรือนขุนช้างขุนแผนเลยนะค่ะ
ภายในห้องนอน
บางห้องก็จัดแสงข้าวของเครื่องใช้นะค่ะ อย่างเช่นห้องนี้ก็ห้องแสดงตะเกียง มีตะเกียงเก่าแก่รุ่นคราวปู่ คราวพ่อ มาแสดงไว้ให้เข้าไปเดินชมกันอย่างน่าสนใจเชียวค่ะ แต่อย่าเผลอไปจับแตะสัมผัสและถูกับตะเกรียงเข้าล่ะ เดียวมียักษ์โผล่ออกจากตะเกียงค่ะ
หลังจากที่ได้เดินชมด้านบนอย่างจุใจแล้วนะค่ะเดี๊ยนก็เดินลงมาด้านล่าง เห็นมีกรุ๊ปทัวร์มาศึกษาดูงาน กำลังฟังการบรรยายการโม้แป้งอยู่ค่ะ ขอเข้าไปดูสักหน่อยค่ะ
เครื่องโม่แป้งโบราณค่ะ .... เดี๊ยนจำได้สมัยเรียน คุณครูให้ทำขนมครก ก็ใช้เครื่องเนี่ยแหละค่ะ โม้ข้าวสารขาวให้กลายเป็นแป้ง เทข้าวสารใส่ในรูดตามด้วยน้ำแล้วหมุนๆ ติ๊ว ติ๊ว ให้หินโม่แป้งให้ละเอียดนะค่ะ จำได้โม่แป้งกว่าจะได้แป้ง แล้วจะได้กินขนมครก ก็ปาไปครึ่งค่อนวันเลยค่ะ....เห็นเครื่องโม่แล้วคิดถึงตอนสมัยยังละอ่อนนะค่ะ
หลังจากแวะเรือนวิถีไทยแล้ว ก็แวะมาเรือนแม่โพสพค่ะ มากราบไหว้พระแม่โพสพ ถือเป็นแม่ของชาวนาไทย ที่ประจำอยู่ในต้นข้าว การนับถือพระแม่โพสพเป็นผู้ดูแลต้นข้าวให้เจริญงอกงาม
ประวัติแม่โพสพ :
คนไทยเชื่อว่าข้าวที่เป็นสิ่งที่มีบุญคุณ มีจิตวิญญาณ มีเทพธิดามีชื่อว่า "แม่โพสพ" ประจำอยู่ในต้นข้าว แม่โพสพ แม่โพสพเป็นผู้ดูแลต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ถ้าผู้ใดได้ทำพิธีตามคติความเชื่อและบูชากราบไหว้แม่โพสแล้ว จะทำให้ผู้นั้นร่ำรวยและอุดมสมบูรณ์
จะเข้าไปถ่ายรูปนี้แบบตรงๆถ่ายไม่ไม่ได้เลยค่ะ พื้นที่แคบมาก รูปร่างของเดี๊ยนใหญ่เกินจะเข้าไปได้ค่ะ เลยถ่ายรูปนี้เอียงเอาค่ะ
ประวัติแม่โพสพ :
คนไทยเชื่อว่าข้าวที่เป็นสิ่งที่มีบุญคุณ มีจิตวิญญาณ มีเทพธิดามีชื่อว่า "แม่โพสพ" ประจำอยู่ในต้นข้าว แม่โพสพ แม่โพสพเป็นผู้ดูแลต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ถ้าผู้ใดได้ทำพิธีตามคติความเชื่อและบูชากราบไหว้แม่โพสแล้ว จะทำให้ผู้นั้นร่ำรวยและอุดมสมบูรณ์
ภาพสมเด็จพระเทพฯ ทรงฟ้อนรำร่วมกับประชาชน เป็นภาพที่ดูแล้วมีความสุขยิ่งนัก มีในหลวง พระราชินี ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ และสมเด็จพระเจ้าหัววชิราลงกรณ์ฯ ร่วมเสด็จเยี่ยมเยือนประชาชนด้วย ทุกคนที่มาเฝ้ารับเสด็จต่างยิ้มแย้มและมีความสุขยิ่งนัก
ในจุดนี้ก็แสดงกรรมวิธีการปลูกข้าวตั้งเริ่มต้น หว่านต้นกล้า ดำนา ไปจนถึงกระทั่งการเก็บเกี่ยวข้าวค่ะ พร้อมแสดงพันธ์ข้าวชนิดต่างให้ได้เรียนรู้กันค่ะ
ควายไทยถือเป็นสัตว์เลี้ยงไว้ใช้ไถนาแต่โบราณ ปัจจุบันก็หาคนนำควายมาไถนากันยากแล้วค่ะ มีแต่ไปใช้ควายเหล็กกันเสียหมดค่ะ ที่นี้ก็เลยอนุรักษ์ควายไว้ให้ดูกันค่ะ อย่างเช่นควายที่ยืนอยู่นี้ ยืนแข็งไม่กระดิกหางเอาเสียเลยค่ะ สงสัยโดยสะกดจิตเสียกระมังค่ะ (เป็นควายปลอมที่ลอกเลียนได้เหมือนเชียวค่ะ)
มีควายจริงให้ดูด้วยนะค่ะ นอนแอ็งแม๊งอยู่ในโคลนต้มค่ะ มีวัวอยู่ในคอก
ต้นกล้าของชาวนาไทย
รอระยะเวลาให้ข้าวออกร่วง และสุกงอมเต็มที่ค่ะ เม็ดข้าวออกร่วงจากสีเขียวอ่อนจนแก่เป็นสีเหลืองท่อง โค้งอ่อนช้อยงดงาม พร้อมให้เก็บเกี่ยวผลิตผล ส่งไปขายให้ชาวไทยได้กินกันทั่วประเทศ และส่งออกไปทั่วโลก
รอระยะเวลาให้ข้าวออกร่วง และสุกงอมเต็มที่ค่ะ เม็ดข้าวออกร่วงจากสีเขียวอ่อนจนแก่เป็นสีเหลืองท่อง โค้งอ่อนช้อยงดงาม พร้อมให้เก็บเกี่ยวผลิตผล ส่งไปขายให้ชาวไทยได้กินกันทั่วประเทศ และส่งออกไปทั่วโลก
ระยะเวลาจนข้าวออกรวงเป็นสีทองสุขงอมเต็มที่ก็เก็บเกี่ยวค่ะ
เก็บเกี่ยวข้าว มาที่นี้ได้ดูกรรมวิธีการปลูกข้าวแบบเบ็ดเสร็จ แต่กว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ด เดี๊ยนว่า ชาวนาคงเหนื่อยกันน่าดูเลยค่ะ เดี๊ยนนับถือชาวนาจริงๆค่ะ มีความอดทนกันมากๆ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินกันสุดๆไปเลย
ก่อนจะเดินทางกลับไปในตัวเมืองสุพรรณ ก็เจอป้ายคติความรู้ ถ่ายมาให้ท่านได้อ่านดู เพื่อกระหนักถึงชาวนาและข้าวไทยค่ะ
- จิตวิญญาณ คือ ความเคารพ ความศรัทธา ความมุ่งมั่น
- ชนชาติไทยรู้วิธีการปลูกข้าวมากกว่า 5000 ปี
- ข้าว 1 ทัพพี มีพลังงานเท่ากับ 80 กิโลแคลอรี่
- ข้าวในจานท่านเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของชาวนา
- ชาวนา คือ ผู้ทรงคุณค่าของชาติไทย
หลังจากที่ได้เต็มอิ่มเดินเรียนรู้วิถีไทยแล้ว ตกเย็น เดี๊ยนก็เดินทางออกจากเมืองสุพรรณ มุ่งหน้าไปยังอำเภอเดิมบางนางบวชค่ะ เพื่อไปค้างที่นั้น 1 คืนค่ะ
นั่งรถตู้โดยสาร ถึงเขตอำเภอเดิมบางนางบวช รถตู้ก็จอดให้เดี๊ยนลงปากทางหน้าป้าย รีสอร์ท เพื่อเดินไปยังที่พักค่ะ ระยะทางจากปากซอยมายังที่พักก็น่าจะประมาณ 800 เมตร เกือบกิโลเมตรได้ค่ะ
ข้ามสะพานนางบวช ผ่านทุ่งนามา ช่วงฤดูหนาวแบบนี้ ชาวสุพรรณที่บ้านนางบวช ก็ปลูกข้าวนาปรังนะค่ะ
เปิด Google map เดินตามมาจนถึงทีพักค่ะ พักคืนนี้ ที่ธารระริน วิลล่า เห็นรีวิวใน agoda ดีเยี่ยม เลยลองขอมาพักค้างใช้บริการดูสักคืนค่ะ
ภายในที่พักเป็นบ้านสวนผลไม้ ร่มรืนย์ดีค่ะ
ที่พักอยู่ติดริมน้ำ บรรยากาศดี เงียบสงบ น่าพักดีค่ะ มีพนักงานออกมาต้อนรับ ยิ้มแย้มแจ่มใสดีค่ะ
ที่พักติดริมแม่น้ำท่าจีน เงียบสงบ ลมพัดเย็นดี เหมาะสำหรับพักผ่อนค่ะ
ได้เวลาเช็คอินน์ เข้าห้องพัก ได้กุญแจ ลองมาเปิดห้องพักดูสิค่ะว่าดีใหม๊ เดี๊ยนจองห้องพักแบบธรรมดาไม่ติดแม่น้ำ เพราะมานอนคนเดียว ราคาห้องพักตกคืนละ 1080 บาท รวมอาหารเช้า
ในห้องพักก็มีทีวี ตู้เย็น มินิบาร์ น้ำดื่มฟรีให้ตั้ง 4 ขวดเลยค่ะ
มีตู้เสือผ้า ห้องน้ำในตัว มีไฟฉายให้ด้วย โอเค เดี๊ยนให้ผ่าน รับไปเลย 5 ล้านดาวสำหรับห้องพักค่ะ เหลืออาหารเช้าจะเป็นยังไงบ้างหนอ
มีจักรยานให้ปั่นฟรีด้วยนะค่ะ ตกเย็นพลบค่ำ เดี๊ยนเลยปั่นไปหาอะไรทานที่ชุมชนตลาดบ้านนางบวช
-----------------------------------------------------------------------------------------
เดี๊ยนตื่นแต่เช่าตรู่ หลังจากที่เมื่อวาน ช่วงบ่ายได้เดินทางท่องเที่ยวยังเมืองสุพรรณบุรี ก่อนเดินทางจรลีมานอนพักริมแม่น้ำแบบวิถีไทยๆ ที่อำเภอเดิมบางนางบวชค่ะ
อากาศตอนเช้าที่นี้ ลมพัดเย็นดีนักค่ะ ไม่ร้อน และก็ไม่หนาวจนเกินไป กำลังดีทีเดียวค่ะ เดี๊ยนตื่นจากที่นอน ออกมาเดินเล่นริมแม่น้ำ รอทานอาหารเช้าค่ะ เพราะวันนี้ มีทริปต้องเดินทางไปบึงฉวากค่ะ
บรรยากาศยามเช้า ณ ที่พักมีม้านั่งสำหรับเด็กหลายตัวเชียวค่ะ น่าจะเหมาะสำหรับครอบครัวและเด็กน้อยมากๆนะค่ะ เห็นน่ารักและน่านั่งมาก อยากแอบไปนั่งดูเหมือนเกรง ถ้านั่งลง เป็นต้องพังโครมแน่เลยค่ะ เพราะน้ำหนักตัวเดี๊ยนที่อวบอั๋นถ้านั่งไปต้องได้มีเสียตังซื้อม้านั่งใหม่ให้ที่พักเป็นแน่กระมัง
มีม้านั่งสำหรับเด็กหลายตัวเชียวค่ะ น่าจะเหมาะสำหรับครอบครัวและเด็กน้อยมากๆนะค่ะ เห็นน่ารักและน่านั่งมาก อยากแอบไปนั่งดูเหมือนเกรง ถ้านั่งลง เป็นต้องพังโครมแน่เลยค่ะ เพราะน้ำหนักตัวเดี๊ยนที่อวบอั๋นถ้านั่งไปต้องได้มีเสียตังซื้อม้านั่งใหม่ให้ที่พักเป็นแน่กระมัง
เดินนั่งรับลม ชมวิวทิวทัศน์ลั๊นลา ไหลเอื่อยเลื้อยระย้าที่ริมแม่น้ำท่าจีน อันแสนเงียบงัด ช่วยขจัดความครืนเครง บรรเลงดวงฤทัยให้สุขใจเริ่ดเว่อร์
เดินนั่งรับลม ชมวิวทิวทัศน์ลั๊นลา ไหลเอื่อยเลื้อยระย้าที่ริมแม่น้ำท่าจีน อันแสนเงียบงัด ช่วยขจัดความครืนเครง บรรเลงดวงฤทัยให้สุขใจเริ่ดเว่อร์
เวลา 7.30 น.พนักงานก็เอาอาหารมาเสริฟแล้วค่ะ เป็นไข่กระทะ มีข้าวเหนียวหมูย่างให้ด้วย ผลไม้เป็นแตงโม ส่วนขนมปังก็ปิ้งเองเลยค่ะ เครื่องดื่มชา กาแฟ โอวัลตินก็ง่ายๆ สบายๆชิวๆค่ะ .....อาหารรสชาติอร่อยใช้ได้เลยค่ะ แค่ทานข้าวเหนียวหมูย่างก็อิ่มแล้ว แต่เดี๊ยนกระเพาะใหญ่เลยจัดไป ทั้งขนมปัง ทั้งไข่กระทะ ทั้งกล้วยอีก อิ่มแน่นกระเพาะสุดๆเลยค่ะ รู้สึกว่าตัวเองลดความอ้วนและน้ำหนักตัวไม่เคยได้เลย เพราะยับยั้งช่างใจการกินที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะกิเลศมันอยู่ในกระเพาะร้อง จ๊อก จ๊อก ตลอดเลยค่ะ
เวลา 7.30 น.พนักงานก็เอาอาหารมาเสริฟแล้วค่ะ เป็นไข่กระทะ มีข้าวเหนียวหมูย่างให้ด้วย ผลไม้เป็นแตงโม ส่วนขนมปังก็ปิ้งเองเลยค่ะ เครื่องดื่มชา กาแฟ โอวัลตินก็ง่ายๆ สบายๆชิวๆค่ะ .....อาหารรสชาติอร่อยใช้ได้เลยค่ะ แค่ทานข้าวเหนียวหมูย่างก็อิ่มแล้ว แต่เดี๊ยนกระเพาะใหญ่เลยจัดไป ทั้งขนมปัง ทั้งไข่กระทะ ทั้งกล้วยอีก อิ่มแน่นกระเพาะสุดๆเลยค่ะ รู้สึกว่าตัวเองลดความอ้วนและน้ำหนักตัวไม่เคยได้เลย เพราะยับยั้งช่างใจการกินที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะกิเลศมันอยู่ในกระเพาะร้อง จ๊อก จ๊อก ตลอดเลยค่ะ
ทานข้าวอิ่มแล้ว เดี๊ยนเลยออกไปพายเรือ ช่วยให้บริหารกระเพาะให้ย่อยอาหารให้มากขึ้นค่ะ
ทานข้าวอิ่มแล้ว เดี๊ยนเลยออกไปพายเรือ ช่วยให้บริหารกระเพาะให้ย่อยอาหารให้มากขึ้นค่ะ...เรือที่รีสอร์ทนี้ ลำใหญ่เหมือนกันนะค่ะ เดี๊ยนออกฝีพายไป ก็ต้านกระแสน้ำไม่ไหวเลยค่ะ เกรงเรือจะคว่ำเอา พายออกจากรีสอร์ท ไม่ถึงเมตรก็ พายเรือกลับค่ะ เพราะต้องใช้แรงแขนเยอะพอสมควรค่ะ เหมาะสำหรับพายกัน 2 คนนะค่ะ
เดี๊ยนเลิกพายเรือ มาเดินดูนกในกรงดีกว่าค่ะ เห็นร้องแต่ปลูกแต่เช้าเชียวค่ะ
เดี๊ยนเลิกพายเรือ มาเดินดูนกในกรงดีกว่าค่ะ เห็นร้องแต่ปลูกแต่เช้าเชียวค่ะ
ทริปวันนี้ตอนเช้าวางแผนไปบึงฉวากค่ะ สำหรับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวมาเที่ยวแบบเดี๊ยนนะค่ะ ก็ปั่นจักรยานสองล้อเนี่ยแหละค่ะ ไปบึงฉวาก ระยะทางจากที่พักไปบึงฉวากก็ไกลพอสมควรค่ะ ประมาณ 17 กิโลได้ค่ะ เปิดดูระยะจาก google map วัดจากที่พักไปถึงบึงฉวากค่ะ แต่ก็ปั่นไปเรื่อยค่ะ อากาศตอนเช้าไม่ร้อนค่ะ
ปั่นจักรยานไปเรื่อย เหมือนว่าอยู่ในช่วงหน้าฝนเลยนะค่ะ เนี่ยช่วงหน้าหนาว ชาวเดิมบางนางบวชในพื้นที่นี้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักค่ะ เพราะทำนาปรังกันเต็มเกือบพื้นที่เชียวค่ะ
ระหว่างทางปั่นจักรยานไป ก็เห็นชาวนาใช้ควายเล็กไถนา เพื่อเตรียมหว่านข้าวด้วยค่ะ
ปั่นจักรยานมาเกือบ 1 ชั่วโมง ระยะทางไกลพอสมควร แต่ปั่นจักรยานมาเรื่อยก็ถึงแล้วค่ะ บึงฉวาก
บึงฉวากถึงสักทีนะค่ะ ปั่นมาจนเหงื่อท่วมตัวเลยค่ะ...เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งในเมืองสุพรรณบุรี ที่มีมานานแสนนาน แต่เดี๊ยนก็พึงเคยมาครั้งแรกเนี่ยแหละค่ะ
ปั่นจักรยานรอบบึงฉวาก โดยไฮไลท์ในบึงฉวาก คงหนีไม่พ้น พิพิธภัณฑ์แสดงสัตว์น้ำค่ะ ที่เป็นอุโมงค์ปลาขนาดใหญ่ให้เดินชมกันค่ะ แต่ถ้าใครมาเที่ยวที่นี้ อยู่เที่ยวได้เกือบทั้งวันเลยค่ะ เพราะมีสถานท่องเที่ยวให้เดินชมกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสวนสัตว์ อุทยานผักพื้นบ้าน และมีสถานแสดงพันธ์สัตว์น้ำที่ใหญ่โตอลังการ
ประวัติบึงฉวาก :
บึงฉวาก หรือชื่อเต็มๆ ว่าบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ แต่ก่อนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำท่าจีน แต่เกิดการทับถมของตะกอนดินโคลนเป็นเวลานาน ทำให้ส่วนหนึ่งของแม่น้ำแยกตัวออกมาเป็นบึงรูปโค้งขนาดใหญ่ มีความสมบูรณ์เป็นแหล่งหากินของนกและสัตว์ป่านานาชนิด ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี และชัยนาท บนพื้นที่รวมกว่า 2000 ไร่ ในวันที่ 26 มีนาคม 2526 บึงฉวากได้รับการประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า และถูกจัดให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่มีความสำคัญระดับชาติ ตามอนุสัญญาแรมซาร์ และในปี 2537 จังหวัดสุพรรณบุรี โดย ฯพณฯ บรรหาร ศิลปะอาชา ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดทำโครงการพัฒนาบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติเพื่อเป็นการฉลองในวโรกาศที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ 50 ปี โดยเริ่มขุดรอบบึงจนสามารถกักเก็บน้ำได้มากถึง 10 ล้าน ลูกบาศก์เมตร หล่อเลี้ยงพื้นที่การเกษตรได้ 6500 ไร่ และพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นที่ตั้งของหน่วยงานและแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ต่างๆมากมาย
โดยภายในสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติเป็นหน่วยงานขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี ภายในแบ่งเป็น 3 อาคาร ได้แก่
อาคารแสดงสัตว์น้ำหลังที่ 1 จัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำจืดและสัตว์น้ำเค็ม ทั้งพันธุ์ปลาไทย และพันธุ์ปลาต่างประเทศกว่า 50 ชนิด
อาคารแสดงสัตว์น้ำหลังที่ 2
ประกอบด้วยตู้ปลาขนาดใหญ่สวยงามบรรจุน้ำได้กว่า 400 ลูกบาศก์เมตร
และมีอุโมงค์ความยาวประมาณ 8.5 เมตร
ถือว่าเป็นอุโมงค์ปลาน้ำจืดแห่งแรกของประเทศไทย ชมสาธิตการให้อาหารปลา
สำหรับการแสดงตู้ปลาใหญ่มีเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
ทั้งหมด 4 รอบ ตั้งแต่เวลา 10.30-16.00 น.
อาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำหลังที่ 3 (สวรรค์แห่งโลกใต้ทะเล) จัดแสดงพันธุ์ปลาทะเลหายาก มีอุโมงค์ปลาและบันไดเลื่อนยาว 75 เมตร เพื่อให้ได้ศึกษาสภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ทะเลอย่างใกล้ชิด
ขอขอบพระคุณข้อมูจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยค่ะ
แผนที่ในบึงฉวาก
ปั่นจักรยานก็ผ่านสวนสัตว์บึงฉวาก เป็นสถานที่แสดงสัตว์ป่านานาพันธ์ ให้ไปเดิมชมกัน ทั้งเสือ สิงห์ กระทิง แรด ลิง ค้าง บาง ชะนี กูปรี ก็มีให้เดินชมดูกันมากมายค่ะ
มีสวนสนุกด้วยเหรอค่ะ ม้าโยกแน่นิ่งเชียวค่ะ
ปั่นจักรยานมาอีกหน่อยก็ถึงแล้วค่ะ สถานแสดงพันธ์สัตว์น้ำบึงฉวาก
จักรยานที่ปั่นมารู้สึกยางเริ่มจะแบนๆแล้วค่ะ ค่าบัตรเข้าชมผู้ใหญ่ 30 บาทค่ะ
ระหว่างทางเข้านะค่ะ วันที่เดี๊ยนเดินทางไป ก็มีการจัดซุ้มรับวันปีใหม่ ปี 2560 ค่ะ
ระหว่างทางเข้านะค่ะ วันที่เดี๊ยนเดินทางไป ก็มีการจัดซุ้มรับวันปีใหม่ ปี 2560 ค่ะ
มาจุดแรก แวะไปพิพิธภัณฑ์แสดงสัตว์น้ำจืดค่ะ ก็ตึกนี้ก็แสดงพันธ์สัตว์น้ำชนิดต่างที่เป็นปลาน้ำจืดให้ไว้ชม และศึกษากันค่ะ
ปลาบางชนิดก็ไม่เคยเห็นนะค่ะ
ปลาบางชนิดที่เคยเห็น เมื่อนำมาอยู่ในตู้ ก็สวยงาม แวววาวยิ่งนักเชียวค่ะ
ปลาแต่ละชนิดสวยทั้งนั้นเลยค่ะ
มีอุโมงปลาขนาดเล็กด้วยนะค่ะ
ปลาหลากหลายสายพันธ์ แหวกว่ายต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ก็สงสารมันนะค่ะ มันอยู่แต่ในตู้ ถ้ามันออกมาเดินสวัสดีนักท่องเที่ยวได้ก็คงจะดี ไม่ต้องเบื่อถูกขังอยู่ในตู้ค่ะ
ออกจากตึกแสดงพันธ์สัตว์น้ำจืด ก็เตรียมไปชมหมู่มัจฉาปลาใต้ทะเลค่ะ ระหว่างนั้น เหลือบไปเห็น ปลาอเมซอนยักษ์ นอนแน่นิ่งอยู่ในตัวนะค่ะ มันตัวใหญ่มากๆ แต่ก็สงสารมันนะค่ะ มันอยู่แต่ในตู้ ถ้ามันออกมาเดินสวัสดีนักท่องเที่ยวได้ก็คงจะดี ไม่ต้องเบื่อถูกขังอยู่ในตู้ค่ะ
ซื้อตั๋วบัตรเข้าชมอีกครั้ง อีกตึกเป็นศูนย์แสดงพันธ์สัตว์น้ำใต้ทะเลค่ะ อันนี้เห็นต้องเสียตังเพิ่มซื้ออีก 150 บาทค่ะ
ค่าเข้าชม 150 บาทค่ะ
พอเดินเข้ามาก็ต้องร้อง ว้าว...เพราะเป็นอุโมงให้เดินดูปลาใต้ทะเลนานพันธ์ ประดุจดั่งเหมือนไปอยู่ใต้ท้องทะเลเลยนะค่ะ เห็นมีรอบให้อาหารปลาด้วยค่ะ ช่วง 10.30 น. เดี๊ยนก็ไปถึงเวลานั้นพอดี ก็ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่มาแหวกว่ายกับหมู่ปลาให้อาหารเลยค่ะ หรือว่าโดนปลาฉลากกินไปแล้ว
สวยงามจริงๆนะค่ะ ตู้กระจกกับน้ำส่องแสงสีฟ้าใสแพรวพราว สกาวรุ่งโรจน์ช่วงโชติชัชวาลย์ อร่ามจับตาคณานับยิ่งนักค่ะ เสมือนหนึ่งดั่งเป็นนางเงือก ไปเดินแหวก เดินว่าย อยู่ในวังเวียนวน จมในบาดาล จนไม่อยากโพล่ผ่านออกจากห้วงบาดาลนี้เลยค่ะ เพราะมีมัจฉาแหวกว่ายไปมา สวยลั๊นลาจับใจ โดยเฉพาะปลาฉลามนั้นไซร์ มีฟันกรรไกรที่แหลมบาดใจยิ่งนักเชียวค่ะ.....
เป็นอุโมงทางเดินบันใดเลื่อน ทันสมัยมากๆนะค่ะ มองเห็นปลาแหวกว่ายไปๆมาๆ ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ไปในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อนปีใหม่ เห็นบางตากันเหลือเกินค่ะ เห็นมีรอบให้อาหารปลาด้วยค่ะ ช่วง 10.30 น. เดี๊ยนก็ไปถึงเวลานั้นพอดี ก็ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่มาแหวกว่ายกับหมู่ปลาให้อาหารเลยค่ะ หรือว่าโดนปลาฉลากกินไปแล้ว
สวยงามจริงๆนะค่ะ ตู้กระจกกับน้ำส่องแสงสีฟ้าใสแพรวพราว สกาวรุ่งโรจน์ช่วงโชติชัชวาลย์ อร่ามจับตาคณานับยิ่งนักค่ะ เสมือนหนึ่งดั่งเป็นนางเงือก ไปเดินแหวก เดินว่าย อยู่ในวังเวียนวน จมในบาดาล จนไม่อยากโพล่ผ่านออกจากห้วงบาดาลนี้เลยค่ะ เพราะมีมัจฉาแหวกว่ายไปมา สวยลั๊นลาจับใจ โดยเฉพาะปลาฉลามนั้นไซร์ มีฟันกรรไกรที่แหลมบาดใจยิ่งนักเชียวค่ะ.....
ปลาฉลาม ถือเป็นปลาที่โดดเด่นที่สุดในนี้เลยค่ะ ถ้ามันหลุดแหวกออกจากตู้กระจก มาต้อนรับผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาชมได้ คงจะดีและตื่นเต้นกันไม่น้อยเลยค่ะ เพราะตัวใหญ่ๆทั้งนั้น ฟันมันก็แหลมมากๆค่ะ น่ารักดีนะค่ะ
สวยงามจริงๆนะค่ะ ตู้กระจกกับน้ำส่องแสงสีฟ้าใสแพรวพราว สกาวรุ่งโรจน์ช่วงโชติชัชวาลย์ อร่ามจับตาคณานับยิ่งนักค่ะ เสมือนหนึ่งดั่งเป็นนางเงือก ไปเดินแหวก เดินว่าย อยู่ในวังเวียนวน จมในบาดาล จนไม่อยากโพล่ผ่านออกจากห้วงบาดาลนี้เลยค่ะ เพราะมีมัจฉาแหวกว่ายไปมา สวยลั๊นลาจับใจ โดยเฉพาะปลาฉลามนั้นไซร์ มีฟันกรรไกรที่แหลมบาดใจยิ่งนักเชียวค่ะ.....
หลังจากเดินอยู่ในวังบาดาลใต้ทะเล ในอุโมงค์แสดงพันธ์สัตว์น้ำอย่างจุใจนะค่ะ ใกล้ๆก็เป็นฟาร์มจระเข้น้อยๆ เห็นไปเดินย่อยอาหารกันค่ะ
จระเข้ตัวเล็ก ตัวใหญ่ ว่ายอยู่ในน้ำสำราญฤทัยยิ่งนักค่ะ
ดิฉันใช่เวลาท่องเที่ยวอยู่ในบึงฉวากไม่นาน ก็ได้เวลาลั๊นลาปั่นจักรยานกลับแล้วค่ะ เพราะต้องไปเช็คเอาท์ออกจากที่พักค่ะ ตอนปั่นกลับรู้สึกว่า แดดร้อนเปรี้ยงปร้างมากๆค่ะ แต่เดี๊ยนก็สู่ปั่นออกจากบึงฉวากกลับที่พักโดยปลอดภัยค่ะ ท่ามกลางเหงื่อที่เปียกโชก คงจะลดน้ำหนักได้เยอะเลยค่ะ
ก่อนจะรีบอาบน้ำและเช็ดเอาท์เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายของทริปนี้ค่ะ
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งสุดท้ายของจังหวัดสุพรรณบุรี คงหนีไม่พ้นการช๊อปปิ้ง ซื้อของฝาก ไม่พลาดแวะไปตลาดสามชุกค่ะ ตลาดเก่าอาคารไม้โบราณที่ยังถูกอนุรักษ์และเป็นเสนห์ให้ผู้คนหลั่งไหลเดินมาเที่ยวตลาดนี้กันแทบไม่ขาดสายเลยค่ะ
เดี๊ยนนั่งรถตู้โดยสารจากบ้านนางบวช ค่ารถ 20 บาท ก็เดินข้ามสะพานลอยมา เพื่อข้ามสะพานพรประชาไปที่ตลาดค่ะ
ถึงแล้วค่ะ ตลาดสามชุก ไม่ได้มานานมากๆแล้วค่ะ ยังคึกคักเหมือนเดิมค่ะ มารอบนี้กะอยากนั่งเรือไปไหว้พระค่ะ เพราะมาเมื่อหลายปีที่แล้วกับคุณแม่ ก็ไม่ได้นั่ง มาเดินช๊อปปิ้งอย่างเดียวค่ะ
ยังไม่ได้ทานอาหารเที่ยงเลย หิวสุด ต้องแวะหยุดทานอาหารเที่ยง มากิน ชิม ลิมลอง ก๋วยเตี๋ยวต้มยำลูกชิ้นยักษ์ค่ะ ทีเห็นแค่ลูกชิ้นก็อิ่มแล้ว เดี๊ยนเลยสั่งแบบธรรมดามาทานค่ะ
เห็นลูกชิ้นยักษ์ วางในหม้อต้ม แค่เห็นก็อิ่มทิพย์แล้วค่ะ
เสน่ห์ของตลาดสามชุก คงเป็นเรือนไม้เก่าแก่โบราณ ที่ได้รับการพัฒนาจนเป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นตลาดที่เปิดขาย มีนักท่องเที่ยวทั่วสารทิศมาเดินช๊อปปิ้ง ถ่ายรูปวิ้งวิ้ง สวยๆงามๆ เอาไปลงร้าวรานในเฟสบู๊ค ไอจี ว่าได้มายลโฉมประโลมฤดี ที่ตลาดแห่งนี้แล้วเอย
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ก่อนวันสิ้นปี มีนักท่องเที่ยวมากันพอสมควรค่ะ แต่ก็ไม่เยอะเมื่อช่วงที่บูมมากๆ เมื่อหลายปีก่อนโน้น สมัยนั้นที่เดี๊ยนมาเดิน แน่นเอี๊ยดเลยค่ะ คนเยอะมากๆ ปัจจุบันตลาดนี้คนก็ยังเยอะเหมือนเดิมค่ะ แต่ก็ไม่แน่นเอี๊ยดเหมือนเมื่อก่อนค่ะ
เสน่ห์อีกหนึ่งสิ่งที่มาสามชุก ต้องไม่พลาด ไปนั่งเรือทอดน่องล่องแม่น้ำท่าจีนไหว้พระที่วัดสามชุก เป็นอีกทริปที่ห้ามพลาดพลัสค่ะ ใครที่เคยมาตลาดสามชุกแล้ว แต่ยังไม่เคยนั่งเรือทอดน่องล่องแม่น้ำท่าจีน ลองมาเก็บภาพซีนหวานๆตามสไตล์ไทยๆ ในเมืองนี้ได้ค่ะ
ใหนก็มาเที่ยวทั้งทีแล้ว ก็เลยแวะใช้บริการเรือนำเที่ยวไหว้พระ ค่าบริการแค่คนละ 50 บาทเองค่ะ
ระหว่างนั่งเรือนะค่ะ คนขับเรือก็จะบรรยายประวัติความเป็นมา และอาคารบ้านเรือนริมน้ำ ว่าแต่ละแห่งคืออะไร ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ได้ทั้งความรู้และได้ชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมแม่น้ำในสามชุกด้วยค่ะ เริ่ดสะแมนแตนเว่อร์ค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น ผ่านโรงน้ำแข็งเก่า โรงสีข้าวเก่า คนขับนอกจากจะบังคับเรือ ยังเป็นไกด์ บอกเล่าเรืองราว พร้อมสำเนียงเสียงภาษา เร้าอุราให้ชวนฟังยิ่งนักค่ะ
ระหว่างนั่งเรือนะค่ะ คนขับเรือก็จะบรรยายประวัติความเป็นมา และอาคารบ้านเรือนริมน้ำ ว่าแต่ละแห่งคืออะไร ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ได้ทั้งความรู้และได้ชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมแม่น้ำในสามชุกด้วยค่ะ เริ่ดสะแมนแตนเว่อร์ค่ะ
นั่งเรือท่องล่องแม่น้ำท่าจีน
เป็นอีกทริปที่ห้ามพลาดพลัสค่ะ ใครที่เคยมาตลาดสามชุกแล้ว แต่ยังไม่เคยนั่งเรือทอดน่องล่องแม่น้ำท่าจีน ลองมาเก็บภาพซีนหวานๆตามสไตล์ไทยๆ ในเมืองนี้ได้ค่ะ
นั่งเรือรับลม ชมหมู่แมกไม้ และบ้านเรือนไทยริมฝั่ง พร้อมฟังคนขับเรือบรรยาย ท่องล่องไป สุขใจเริ่ดเว่อร์จริงๆค่ะ
เรือจอดที่วัดสามชุกค่ะ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินลงไปกราบพระด้านในค่ะ
ในวัดสามชุก มีพระพุทธรูปศักดิ์ที่เป็นที่เคารพ สักกาะบูชานั้นคือ หลวงพ่อพระธรรมจักรประวัติวัดสามชุก :
วัดสามชุก เป็นวัดที่ตั้งอยู่เลขที่ 3 หมู่ 1 ตำบลสามชุก มีพื้นที่ 20 ไร่ อยู่เหนือกว่าที่ว่าการจังหวัดสุพรรณบุรี 34 กิโลเมตร ห่างจากถนนสุพรรณบุรี – ชัยนาท 600 เมตร เป็นวัดเก่าแก่โบราณไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยใด (ทะเบียนวัดของสำนักงานศึกษาการอำเภอสามชุก ประมาณว่าสร้างราว พ.ศ. 2300 เดิมชาวบ้านเรียกว่า วัดอัมพวัน มาเปลี่ยนเป็น วัดสามชุก ภายหลัง เมื่อได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2481)
มีสิ่งที่เป็นหลักฐานว่าเป็นวัดเก่า คือรอยพระพุทธบาทสี่รอยจำลอง ประดิษฐานในมณฑป กรมศิลปากรได้จดทะเบียนเป็นวัตถุโบราณ พระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานในมณฑปเป็นพระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยา ปัจจุบันปฏิสังขรณ์และนำมาประดิษฐานเป็นพระประธานบนศาลาการเปรียญ และยังมีหงส์สัมฤทธิ์ 1 คู่ อดีตตั้งอยู่หน้ามณฑป ปัจจุบันอยู่ที่หอสวดมนต์ 1 ตัว และที่กุฏิพิพิธภัณฑ์ 1 ตัว บริเวณหอสวดมนต์ประดิษฐานหลวงพ่อธรรมจักร พระพุทธรูปสมัยอู่ทอง ชาวบ้านนิยมมาสักการบูชาเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่กับวัดมาช้านาน
เข้าไปกราบไหว้หลวงพ่อธรรมจักรด้านใน ก่อนไหว้พระ ก็จะมีมัคคุเทศน์น้อย อธิบายความรู้เกียวกับหลวงพ่อพระธรรมจักรด้วย ดีจังเลยค่ะ หลวงพ่อธรรมจักร เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองสามชุกมาเนิ่นนาค่ะ
หลังจากไหว้พระเสร็จ มัคคุเทศน์น้อยก็พาเดี๊ยนและนักท่องเที่ยวท่านอื่นา ไปเยือนพิพิธภัณฑ์วัดสามชุกต่อค่ะ เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงของเก่าแก่ วัตถุโบราณ มาจัดแสดงให้ผู้ที่มาวัด นอกจากมากราบพระแล้ว ก็ไม่เบื่อ ได้เดินดูวัตถุโบราณล้ำค่าของเก่าค่ะ ไม่ว่าจะ เหรียญ เงิน ธนบัตร พระพุทธรูป และอื่นๆอีกมากมายค่ะ
พิพิธภัณฑ์วัดสามชุก เป็นแหล่งเรียนรู้ของท้องถิ่น จัดแสดงโบราณวัตถุของวัดและของชุมชน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 โดยความตั้งใจของพระสมุห์ใส ตกขวีโรหรือหลวงตาใส ที่ได้เก็บรวบรวมโบราณวัตุ ศิลปวัตถุของวัดและที่ทางวัดได้รับบริจาคจากชาวบ้าน เพื่อให้คนในท้องถิ่นได้รับรู้และเกิดความภาคภูมิใจในมรดกและความเป็นมาของชุมชน
สันนิษฐานกันว่า คำว่า สามชุก มาจากที่ใด
น่าจะเป็นชื่อภาชนะหนึ่งที่เรียกว่า กระชุก เป็นตะกร้าใส่สินค้ามาทำเป็นการค้าขายจำนวนมาก เนื่องจากบริเวณตรงข้ามกับวัดในอดีตเป็นชุมชนการค้า
มีภาพในหลวง ของพระราชินีทรงเสด็จมาเยือนเมืองสามชุกนี้เมื่อปี 2498 ด้วยค่ะ เป็นรูปที่นานมากๆเลยค่ะ
เข้าไปด้านในก็จัดแสดงโบราณวัตถุที่น่าสนใจมากมายเงินธนบัตรใบเก่าๆ ก็ถูกนำมาแสดงไว้ค่ะ
พิมพ์ดีดเก่าๆก็ยังมีให้เห็นกันนะค่ะ เด็กๆรุ่นนี้คงไม่ทันแล้วกระมังค่ะ เพราะหากจะหัดพิมพ์ดีด ต้องพิมพ์ดีดมือแบบนี้เลยค่ะ จิ้มพิมพ์ทีนึง แป๊กๆๆแป๊กๆ ดังไปถึงสามแผ่นดินเลยค่ะ
ระหว่างนั่งเรือกลับ ก็มีมัคคุเทศน์น้อย ตีขิม ดังมุ้งมิ้ง ให้บริการนักท่องเที่ยวที่ล่องเรือมาด้วยได้ผ่อนคลายฟังเคลิบเคลิ้ม กับบรรยากาศลมพัดเย็น เข้ากันได้ดีมากค่ะ นั่งเรือท่องแม่น้ำบรรยากาศแบบไทยๆ แสนสุขใจเริ่ดสะแมนแตนเว่อร์ค่ะ
ระหว่างนั่งเรือกลับ ก็มีมัคคุเทศน์น้อย ตีขิม ดังมุ้งมิ้ง ให้บริการนักท่องเที่ยวที่ล่องเรือมาด้วยได้ผ่อนคลายฟังเคลิบเคลิ้ม กับบรรยากาศลมพัดเย็น เข้ากันได้ดีมากค่ะ นั่งเรือท่องแม่น้ำบรรยากาศแบบไทยๆ แสนสุขใจเริ่ดสะแมนแตนเว่อร์ค่ะ
นั่งเรือไม่นานเรือก็จอดที่ตลาดสามชุกค่ะ
ดูป้ายติดเชิญล่องเรือ ดูเก่ามากๆเลยเชียว
ตลอดสองข้างทางในตลาดสามชุก ที่เป็นเรือนไม้เก่าสวยให้ได้ยลโฉมกับความอลังการแบบคลาสิคแล้ว ในตลาดก็เต็มไปด้วยร้านขายสินค้ามากมาย มีทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น ไปจนถึงอาหารสด อาหารแห้ง ขนม นม เนย ร้านขายอาหารอร่อยมากมาย ให้เดินย้าย ส่ายสะโพก โยกเย้ก เตรียมควักเงินซื้อ จ่าย ช๊อป กิน เที่ยวกันอย่างเต็มเหนี่ยวค่ะ
หากมาสุพรรณบุรี ของฝากขึ้นชื่อจังหวัดนี้ ไม่พลาดเลยค่ะ ขนมสาลี่
ที่หอมยวนยีชวนรับประทาน เดี๊ยนเลยซื้อไปหลายกล่อง
เอาไปฝากคุณพ่อเห็นชอบทานคู่กับโก้โก้ร้อนๆค่ะ อร่อยยิ่งนักเชียวค่ะ แวะไปชมบ้านขุนจำนงจีนารักษ์ แสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาภายในบ้านค่ะ ซึ่งน่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยค่ะ
เดินชมบ้านขุนจำนงจีนารักษ์ เสน่ห์บ้านเรือนไม้ ที่ยังคงเหลืออยู่ให้เดินดู เดินชมศึกษากันค่ะ
บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ บ้านเรือนไม้เก่า ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ให้ไปเดินชมกันค่ะ
บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ บ้านเรือนไม้เก่า ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ให้ไปเดินชมกันค่ะ
บริเวณลานโพธิ์ที่เคยมาเดินเมื่อหลายปีก่อน ก็กำลังทำการปรับปรุงค่ะ เดี๊ยนเองก็เดินลัดเลาะหาซื้อของฝากให้เจ้าคุณแม่เดี๊ยนค่ะ รู้สึกว่าอยากจะกินมะม่วงหาว มะนาวโหค่ะ แต่ก็เดินแวะวนรอบตลาดแล้ว ก็ไม่มีขายนะค่ะ สงสัยจะมาผิดฤดูกระมังค่ะ เพราะมะม่วงหาวมะนาวโห มีในช่วงหน้าร้อนค่ะ
ร้านขายของฝากมีมากเหลือให้เหลือคณานับ เห็นก็น่าซื้อทั้งนั้นค่ะ เดี๊ยนหมดเงินที่ตลาดสามชุก มาเที่ยวครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ก็หมดเงินหลายบาทเชียวค่ะ มาเที่ยวซื้อของฝาก ช่วยแม่ค้า พ่อค้า กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นไทย ไฉไลเริ่ดสะแมนแตนค๊า
อ๊ะ...ก่อนกลับ แวะอีกค่ะ ข้าวหอใบบัว 30 บาท ก็ซื้อไปลิ้มลองทานดูอีกครั้งสิ ว่าจะอร่อยใหม๊
เวลาบ่าย 4 โมง เดี๊ยนก็นั่งรถตู้โดยสารออกจากสามชุก เดินทางกลับสู่กรุงเทพโดยสวัสดิภาพค่ะ
จบทริปเที่ยวเมืองสุพรรณบุรี ถือเป็นทริปท่องเที่ยวสิ้นปี 2559 ค่ะ ปีหน้าจะไปใหนรอติดตามเข้ามาอ่านกันนะค่ะ
สำหรับทริปรีวิวเที่ยวเมืองสุพรรณบุรี จรลีหนีมานอนพัก 1 คืน สุดจะรื่นรมย์ฤดีในครั้งนี้ ดิฉันเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงมีประโยชน์ต่อท่านที่ยังไม่เคยมาเยือนเมืองสุพรรณบุรี คงเป็นรีวิวให้ท่านได้อ่านและปลุกชีพจรในเลือดท่านให้เดือดพล่าน ได้ออกมาร้าวรานเดินทอดท่องท่องเที่ยวในเมืองสุพรรณบุรีแห่งนี้ไม่มากก็น้อยนะค่ะ หากข้อมูลรีวิวท่องเที่ยวสุพรรณบุรี ที่เดี๊ยนนำเสนอไป มีข้อผิดพลาด อักขระ ตกหล่น ก.ไก่ไม่มีขา ป.ปลาไม่มีแขน ประการใดก็แล้วแต่ เดี๊ยนต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
และขอบพระคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอันมีค่า มาสอดมาส่อง มาเหน็บมาแนบ เข้ามาติดตามบทความ รีวิวท่องเที่ยวแนวๆกากๆของเดี๊ยนประจำเดือนธันวาคมนี้นะค่ะ ถือเป็นทริปสิ้นปี และขออวยพรปีใหม่ให้ท่านโชคดีมีชัย ตลอดปีใหม่ด้วยเทอญ
ขอบพระคุณค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
บล็อกเกอร์สมัครเล่น
---------------------------------------------------------
รวมบทความบล็อกเที่ยวเดือนละ 1 ครั้ง (จะทยอยอัพเดทเรื่อยๆ เว็ปบล็อกจะได้ไม่ร้างไปค่ะ)
รวมข้อมูลที่พักบึงฉวาก ราคาประหยัด รีสอร์ท น่าพัก คลิ๊กดูข้อมูลที่พักคะ>> |
หรือดูรายชื่อที่พักแถวบึงฉวากได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2lPpRfw
รีวิวเที่ยวในเมืองเพชรบูรณ์ แบบช้าๆ มีที่เที่ยวให้ลั๊ลลามากมาย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
บล็อกรีวิวเที่ยวประจำเดือนธันวาคม 2017 เยือนตราด-เกาะกูด ตอนที่ 1 คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
6 จุดชมวิวทะเลหมอกในเชียงราย พลาดไม่ได้เลยนะ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
10 สิ่งที่ชาวต่างชาติ นึกถึงกรุงเทพฯมากที่สุด มีอะไรบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวประจำเดือนพฤศจิกายน แบกเป้ไปล่องท่องเมืองปาย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวปางอุ๋ง-บ้านรักไทย งามวิไลไร่ชา เดินลั๊ลลากินสตอเบอรี่ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
บล็อกรีวิวเที่ยวประจำเดือนพฤศจิกายน แบกเป้ไปแม่ฮ่องสอน คลิ๊กดูภาพรีวิวค่ะ>> |
แนะนำที่เที่ยวชมทุ่งดอกไม้เมืองหนาว ต้องไปกันให้ได้สักครั้ง คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
9 ข้อกับการเตรียมเที่ยวหน้าหนาว ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
บล็อกรีวิวเที่ยวแม่กำปอง ต้องลองมาสักครั้ง อากาศดีปังเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
บล็อกรีวิวเที่ยวเดือนตุลาคม นอนที่บ้านป่าปงเปียง กินโอเลี้ยงอร่อยเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
บล็อกรีวิวท่องเที่ยวประจำเดือนตุลาคม ไปตามรอยโครงการหลวง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
แนะนำโรงแรมในซัปโปโร ห้องนอนคู่ดูโอ้ ใกล้สถานีรถไฟ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
จัดมา 9 เพลงเทิดพระเกียรติ ฟังทีไร ก็นึกถึงในหลวง คลิ๊กดูบทความค่ะ>> |
มาร่วมตามรอย ธรรมราชาในดินแดนภาคอีสาน คลิ๊กดูบทความค่ะ>> |
10 ข้อแนะนำไปพิชิตภูกระดึง ต้องเตรียมตัวอะไรไปบ้าง คลิ๊กดูบทความค่ะ>> |
รีวิวท่องเที่ยวเดือนกันยายน ลุยเดี่ยวเช่ามอเตอร์ไซต์ขับไปเขาใหญ่ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
วางแผนแบกเป้ไปเที่ยวต่างประเทศ ต้องคำนึงถึงอะไรบ้างนะ คลิ๊กดูบทความค่ะ>> |
รีวิวท่องเที่ยวเดือน สิงหาคม 2560 รีวิวเที่ยวเมืองเก่าอยุธยา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ที่พักเมืองโตเกียว เอาใจขาเที่ยวงบน้อยๆ ห้องพักหลักร้อย คลิ๊กดูที่พักค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวประจำเดือน ก.ค.2560 เที่ยวญี่ปุ่นตอนจบ สรุปค่าใช้จ่าย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 14 ไปชมภูเขาไฟฟูจิซัง นั่งดูวิวทะเลสาบคาวากูชิโก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 13 นอนค้างโตเกียว นั่งรถไฟไปเที่ยวคามากุระ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 12 เดินชิลเมืองท่าเรือสุดแสนโรแมนติก ริมทะเล คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
แนะนำจ้า ที่พักเกียวโต ใกล้สถานีรถไฟ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 11 ขี่จักรยานชมไร่นาเมืองบิเอะ สวยเป๊ะเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 10 ปั่นจักยานไปชมดอกลาเวนเดอร์บานๆ อลังการเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
แบกเป้เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 9 เดินชิลชมเมืองซับโปโรครึ่งวัน คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
รีวิวแบกเป้เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 8 ชมศิลปะทุ่งนาข้าวผลิหลากสีสวยงาม คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 7 รีวิวการเดินทางไปหลังคาญี่ปุ่นด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 6 เดินตลาดเช้าทาคายาม่า แวะดูทุ่งนาชิราคาวาโก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 5 เดินดูเมืองเก่าคุราชิกิ ชมใบไม้ผลิสวยเริ่ด คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 4 ตามรอยระเบิดเมืองฮิโรชิม่า ไปลั๊นลาเกาะมิยาจิมะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 3 ท่องเมืองฟูกุโอกะ ชมเทศกาลยามากาสะ งามเริ่ด คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 2 นั่งไฟออนซอนไปอบทรายร้อนที่อิบูชูกิ คลิ๊กดูค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 1 นั่งรถไฟแมวทามะ แวะพักชมปราสาทสวย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
10 ที่พักโอซาก้า ราคาถูกสุดๆ ใกล้สถานีรถไฟ JR คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
วิธีการวางแผนเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเองมาฝาก คลิ๊กดูค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวนครพนม เม.ย.60 ขับมอเตอร์ไซต์ไปมูลนิธิคนชราที่ท่าอุเทน คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
บล็อกสุขสันต์วันสงกรานต์ประจำปี 2560 มาให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวระยอง มี.ค. 60 ท่องเกาะเสม็ด นั่งกินเห็ดอร่อยเริ่ดเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
0 ความคิดเห็น