บล็อกรีวิวท่องเที่ยวประจำเดือน มิ.ย.60 รีวิวเที่ยวพิษณุโลก นั่งโยกเย้กกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ขับมอเตอร์ไซต์ลั๊นลาไปบ้านรักไทย งามวิไลเนินมะปราง สวยสะพร่างแก่งโสภา สุขอุรายิ่งนักเอย |
ก็กลับมาอีกครั้งสำหรับรีวิวท่องเที่ยวประจำเดือนนี้ค่ะ ดิฉันเองก็กลัวเหมือนกันว่าเดือนนี้จะมีรีวิวท่องเที่ยวมาลงค่ะ แต่ก็หาเวลาเจียดเดินทางไปท่องเที่ยวจนได้ค่ะ โดยในบล็อกนี้ ดิฉันของดใช้คำว่า "เดี๊ยน"นะค่ะ เพราะโดนคุณแม่กระซวกมากค่ะ ว่าดิฉันเป็นคนไม่สุภาพเอาเสียค่ะ ดิฉันเลยต้องมาปรับปรุงตัวเสียใหม่ เพื่อเอาใจคุณแม่ที่แอบมาอ่านบล็อกของดิฉันค่ะ โอ้ยปวดเฮดนะค่ะ
เอาล่ะค่ะเมื่อไม่ให้สาเวเลีย เสียเวลาไปมากกว่านี้ ดิฉันขอมาพร่ำเพรอถึงการท่องเที่ยวในเดือนมิถุนายนนี้ดีกว่าค่ะ เผอิญพึ่งได้วันลาพักร้อนมาเมื่อตอนต้นเดือนค่ะ เจ้านายใจดียอมเซ็นใบลาให้ตั้ง 3 วันเลยค่ะ ถือว่าเยอะนะค่ะ....เอ้ เดือนนี้จะไปใหนดี ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก เลยไปเปิดเนตดูแผนที่ประเทศไทย คิดได้อยากไปเที่ยวเมืองนี้อีกครั้ง เพราะผ่านหลายครั้ง แต่ไม่ได้เที่ยวเสียทีค่ะ นั้นก็คือ เมืองพิษณุโลก หรือเมืองสองแคว แต่หลายคนก็เรียกว่า พิดโลก ตัดคำว่า สะ ออกค่ะ เรียกกันง่ายๆดีนะค่ะ..
จังหวัดพิษณุโลกเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวนะค่ะ ที่ดิฉันวางแผนไว้ว่าจะต้องมาลั๊ลลาท่องเที่ยวให้ได้สักครั้งสักครา เพราะเป็นเมืองศูนย์กลางทางภาคเหนือตอนล่าง ที่ยิ่งใหญ่เว่อร์วังอลังการสะท้านโลกาครบคราไปด้วยการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ รวมทั้งทางอากาศมีสนามบินอยู่ใจกลางเมือง มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจที่คึกคักมากๆค่ะ เป็นเมืองผ่านและเมืองศูนย์กลางที่ใครไปใครมา ต้องไม่พลาดมาสักการะพระพุทธชินราช พระคู่บ้านคู่เมืองนี้มาแสนนานค่ะ และเป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวทดึงดูดตาและตราตรึงใจทั้งทางธรรมชาติที่มีภูเขาเหลาดอยอันตระการตาและโบราณสถานเก่ากาล จนต้องไปร้านรานสักครั้ง พอดีว่าเดี๊ยนเองก็เปิดดูเนต เห็นรูปภาพภูเขาหินปูของบ้านเนินมะปราง และวิวทิวทัศน์อันสวยงามของบ้านรักไทย มันช่างสวยงามมากๆ ร้านรานจับใจมากค่ะ ก็เลยทำให้ดิฉันตัดสินใจมาลั๊ลลาเป็นใยบ้ามาเที่ยวพิดโลกค่ะ
ซึ่งได้มีโอกาสไปมาแล้วค่ะ โดยวางแผนไปเที่ยว 3 วัน 2 คืน แวะไปดูดดื่มธรรมชาติ นอนตากอากาศรับลมเย็นๆที่บ้านรัก ขับมอเตอร์ไซต์แว๊นเล่นไปชมน้ำตกสวยงาม อร่ามจับตาคณานับค่ะ วันนี้ดิฉันเลยขอมารีวิวท่องเที่ยวในเมืองพิษณุโลก ไหว้พระทำบุญ รวมทั้งรีวิวเที่ยวบ้านรักไทย และเนินมะปราง ให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ เผื่อใครที่ยังไม่เคยมาเที่ยวเมืองสองแควให้นี้ ลองมาเที่ยวดูสักครั้งนะค่ะ เดี๊ยนรับรองว่าท่านจะประทับจิต ประทับใจอย่างแน่นอนค๊า
ก่อนจะเข้าสู่รีวิว ดิฉันเองก็ขอมาสรุปทริปรีวิวแบกเป้ขับมอเตอร์ไซต์เที่ยวพิษณุโลกก่อนนะค่ะ พร้อมค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายต่างๆให้ทุกๆท่านอ่านกันค่ะ หากเอาไปสรุปตอนท้าย เกรงเพื่อนๆพี่ๆน้อง จะสไลด์มือถือหรือเลื่อนเมาส์ดูรีวิวไม่ถึงตอนจบค่ะ ยังไงต้องขออภัยถ้ารีวิว ข้อมูลผิดพลาดนะค่ะ
สรุปทริปรีวิวแบกเป้ลุยเดียวท่องเที่ยวพิษณุโลก 3 วัน 2 คืนในช่วงฤดูฝน เดือนมิ.ย.2560
วัน 13 มิ.ย. 2560
- เดินทางออกจากดอนเมือง ถึง พิษณุโลก 9 โมงเช้า
- นั่งแท๊กซี่ไปร้านเช่ามอเตอร์ไซต์จ่าเอก แถว บขส เช่าวันละ 400 บาท
- ขับมอเตอร์ไซต์ไปบ้านเนินมะปราง ชมกุ้ยหลินภาคเหนือ สวยงามมากๆ ฟ้าสดใสสว่างเชียว
- เดินทางไปบ้านรักไทย ขับรถมอเตอร์ไซต์ขึ้นทางบ้านน้ำปาก ทางชันมากๆค่ะ แทบเป็นลม
- นอนพักค้างที่ บ้านสวนพงษ์แตงโฮมสเตย์ คืนละ 650 บาท รวมอาหารเช้า 2 มื้อ
วันที่ 14 มิ.ย. 2560
- ขับมอเตอร์ไซต์ เดินทาง ออกจากสวนพงษ์แตง มุ่งหน้าไปชมน้ำตกแก่งซอง
- เดินทางทางจากน้ำตกแก่งซอง ไปน้ำตกแก่งโสภา
- เดินทางจากน้ำตกแก่งโสภาอีก 25 กิโล ขับไปไหว้พระที่วัดผาซ่อนแก้ว จังหวัดเพชรบูรณ์
- ขับมอเตอร์ไซต์เดินทางกลับจากวัดผาซ่อนแก้ว 105 กิโลเมตร กลับมาพักค้างในเมืองพิษณุโลก นอนค้างที่โรงแรมหมายเลข 8
วันที่ 15 มิ.ย.2560
- เช็คเอาท์ออกจากที่พักตอนเที่ยง
- ขับมอเตอร์ไซต์เดินทางไปเที่ยวบ้านจ่าทวี
- เดินทางไปไหว้พระ 3 วัด ได้แก่ ไหว้พระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดนางพญา
- แวะไปพระราชวังจันทร์ กราบไหว้พระนเรศวร
- ขับมอเตอร์ไซต์ไปคืนที่ร้านเช่าจากนั้น นั่งวินมอเตอร์ไซต์ให้ไปส่งที่สนามบิน ราคา 120 บาทค่ะ
สรุปค่าเสียหายจากการท่องเที่ยวค่ะ
ค่าเครื่องบินไป-กลับ รวม 1572 บาท
ค่าเช่ามอเตอร์ไซต์ทั้งหมด 3 วัน ขับเกินไปครึ่งวัน รวม 1500 บาท
ค่าน้ำมันรถ 300 บาท
ค่าที่พักบ้านสวยพงษ์แตง คืนละ 650 บาท รวมอาหาร 2 มื้อ
ค่าที่พักโรงแรมหมายเลข 8 คืนละ 755 บาท ไม่รวมอาหารเช้า
ค่าอาหารการกิน 3 วัน รวมซื้อของจุ๊กจิ๊ก จิปาถะอีกประมาณ 800 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณนะค่ะ 5577 บาทค่ะ
สรุปแผนที่รีวิวปักหมุดแหล่งท่องเที่ยวที่ได้ชะแว๊ป แว๊นขับมอเตอร์ไซต์ไปเที่ยวมา ตามภาพค่ะ ใครจะตามรอยไม่ว่ากันค่ะ จัดไปเลยจ้า
สรุปทริปแผนที่รีวิวการเดินทางไปยังเมืองท่องเที่ยวแต่ละแห่งในพิษณุโลกค่ะ แต่ก็แอบไปชะโงกหลุดลอยไปถึงเพชรบูรณ์เลยนะค่ะ |
โบชัวร์แผนที่ท่องเที่ยวในเมืองพิษณุโลกค่ะ |
สรุปทริปแผนที่รีวิวการเดินทางไปยังเมืองท่องเที่ยวแต่ละแห่งในพิษณุโลกค่ะ แต่ก็แอบไปชะโงกหลุดลอยไปถึงเพชรบูรณ์เลยนะค่ะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอ้าล่ะคะ ดิฉันขอมารีวิวพาทุกท่านไปเที่ยวพิษณุโลก แวะไปบ้านเนินมะปราง เดินสะพร่างที่บ้านรักไทย ขับมอเตอร์ไซต์เก๋ไก๋ไปชมน้ำตกแก่งโสภา ตามรีวิวภาพการเดินทางเลยค่ะ
เช้าตรู่ของวันที่ 13 มิ.ย.60 ดิฉันตื่นแต่เช้าตรู่ค่ะ เดินทางขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมืองโดยสายการบินแอร์เอเชีย ออกจากดอนเมืองประมาณ 8 โมงเช้าค่ะ
สนามบินพิษณุโลก (Phitsanulok Airport) |
สนามบินพิษณุโลก (Phitsanulok Airport) |
พอดีว่าได้ติดต่อโทรศัพท์กริ๋งกร่างกับร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ไว้ค่ะ โดยร้านเช่ามอเตอร์ในพิษณุโลกอยู่แถว บขส. และร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ไม่มีบริการมารับผู้โดยสารที่สนามบินนะค่ะ ดิฉันก็เลยตัดสินใจใช้บริการแท๊กซี่ค่ะ เพราะที่สนามบินพิษณุโลกไม่มีรถสองแถวเข้ามาค่ะ ค่าบริการแท๊กซี่ไป 150 บาทค่ะ
ถึงแล้วค่ะร้านเช่ามอเตอร์ไซต์จ่าเอกอยู่แถว บขสในเมืองพิษณุโลก
คุณป้าเจ้าของร้านเช่ามอเตอร์ไซต๋ กำลังตรวจสภาพรถมอเตอร์อิชั้นอยู่ค่ะ..จริงแล้วมีมอเตอร์ไซต์คันเทห์ เก๋ๆหลายคันนะค่ะ แต่ดิฉันไม่ถนัดขับมอเตอร์ไซต์ออโต้เลยค่ะ ชอบรถแบบเตาะเกียร์ธรรมดาดีที่สุดค่ะ เลยเลือกรถรุ่นเก่า คนก็เก่าไปด้วยตามสภาพอายุนะค่ะ 555
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์ถ้าขับไปแค่เนินมะปรางและบ้านรักไทยคิดวันละ 300 บาท แต่ถ้าขับไปถึงน้ำตกแก่งโสภา แคมป์สน วัดผาซ่อนแก้ว คิดวันละ 400 บาทค่ะ
ดิฉันเลือกวันละ 400 บาทค่ะ เพราะคงกะไม่ได้เที่ยวแค่เนินมะปราง กะว่าจะแว๊นๆ ขับตะลุยไปไกลพอสมควรค่ะ ถ้ามีเวลามากกว่านี้จะแวะไปอำเภอนครไทยด้วยนะค่ะ
แอบไปหยิบโบชัวร์ในสนามบินมาดูว่าในเมืองพิษณุโลกมีอะไรน่าทานบ้างค่ะ พอดีว่าตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วค่ะ ได้รถมอเตอร์ไซต์แล้ว เตรียมลุยค่ะ....สำหรับการเดินทางนะค่ะ ดิฉันต้องเปิดมือถือดูแผนที่ตลอดค่ะ เพื่อให้ GPS นำทางค่ะ
ก่อนจะเข้าสู่ภาพรีวิวต่างๆนะค่ะ ดิฉันขอมาแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับเมืองพิษณุโลกกันซ่ะหน่อยค่ะ กับข้อมูลวิชาการสั้นๆ อ่านได้ความรู้ เชิดชูสมองค่ะ
จังหวัดพิษณุโลก
สำหรับพิษณุโลก ถือเป็นจังหวัดในภาคกลางของประเทศไทย หรือภาคเหนือตอนล่าง ชื่อของจังหวัดมาจากคำว่า พิษณุ หมายถึง "พระวิษณุ" เทพตามความเชื่อของชาวฮินดู รวมกับคำว่า โลก ทำให้มีความหมายเป็น "โลกแห่งพระวิษณุ" ในสมัยที่ยังปกครองด้วยระบบมณฑลเทศาภิบาล ชื่อของจังหวัดนั้นสะกดว่า พิศณุโลก.....เดิมเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองเก่าสมัยขอม อยู่ห่างจากที่ตั้งเมืองปัจจุบันลงไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร เรียกว่า "เมืองสองแคว" ที่เรียกเช่นนี้ เพราะตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำน่าน กับแม่น้ำแควน้อย แต่ปัจจุบันแม่น้ำแควน้อยเปลี่ยนทางเดินออกห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 10 กิโลเมตร
มีประชากรในปี พ.ศ. 2558 จำนวน 863,404 คน มีพื้นที่ 10,815.854 ตารางกิโลเมตร มีเทศบาลนครพิษณุโลกเป็นเมืองศูนย์กลางของจังหวัดและเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด เป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยขอม โดยมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันในศิลาจารึก ตำนาน นิทาน และพงศาวดาร เช่น สองแคว, สองแควทวิสาขะ และไทยวนที
ขอบพระคุณข้อมูลจากสารานุกรมเสรีวิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/จังหวัดพิษณุโลก
ดิฉันขับมอเตอร์ไซต์ออกจาก บขส.ค่ะ หาข้อมูลในเนต ตอนแรกว่าจะไปกินก๋วยเตี่ยวห้อยขา แต่ขับมอเตอร์ไซต์หลงมาทางสนามบิน เลยแวะมาทานก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ดีกว่าค่ะ ร้านก๋วยเตี๋ยวเสธ เห็นน่าทานดีค่ะ
อาหารมื้อแรกที่พิดโลก จัดไปก๋วยเตี๋ยวต้มยำปลาเส้นชามละ 40 บาท ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเสธ พอตักชิมแล้ว รสชาติถูกปากอร่อยมากๆค่ะ มีรสเปรี้ยวๆของมะนาว จี๊ดจ๊าดนิดหน่อย แต่ไม่มากจนเกินไปให้ผ่านค่ะ
สงสัยที่ร้านรับออเดอร์ไม่ทัน ก็จะมีปากกาให้เลือกเองนะค่ะ ว่าจะเอาเส้นอะไร แห้งหรือน้ำ แสดงว่าเค้าขายดีจริงๆค่ะ
เนื่องจากว่าช่วงเช้าไม่ได้ทานอะไรเลยค่ะ แอบอดมาทานที่นี้ ทานก๋วยเตี๋ยวไปชามแรกไม่อิ่มค่ะ เดี๊ยนเลยจัดเบิ้ลอีกชามค่ะ เป็นก๋วยเตี๋ยวปลาเส้นแบบแห่ง อันนี้ก็อร่อย น้ำขลุกขลิ รสชาติจุ๊บจิ๊บ อร่อยจนต้องไปกระซิบบอกต่อค่ะ
เนื่องจากว่าช่วงเช้าไม่ได้ทานอะไรเลยค่ะ แอบอดมาทานที่นี้ ทานก๋วยเตี๋ยวไปชามแรกไม่อิ่มค่ะ เดี๊ยนเลยจัดเบิ้ลอีกชามค่ะ เป็นก๋วยเตี๋ยวปลาเส้นแบบแห่ง อันนี้ก็อร่อย น้ำขลุกขลิ รสชาติจุ๊บจิ๊บ อร่อยจนต้องไปกระซิบบอกต่อค่ะ
ทานซ่ะอิ่มเลยค่ะ มื้อนี้กินควบไปเลยทั้งตอนเช้าและตอนเที่ยง
ก๋วยเตี๋ยวชามละ 40 บาท 2 ชาม น้ำดื่ม 10 บาท รวมค่าเสียหาย 80 บาทค่ะ
หลังจากทานอิ่มแล้ว เจ้าของร้านเห็นดิฉันถ่ายรูปก๋วยเตี๋ยวหลายรูป เห็นแล้วว่าจะต้องเอามารีวิวให้ในเฟสบุ๊คหรือไม่ก็ในเว็ปไซต์ต่างๆ เลยอยากให้มารวมแจมถ่ายด้วย ดิฉันเลยถ่ายรูปมาลงรีวิวในบล็อกให้ด้วยค่ะ เดียวหากมีโอกาศแวะไปพิดโลก เดี๊ยนจะแวะไปทานอีกแนะนอนนะค๊า
ได้เวลาตะลุย แว๊นๆแล้วค่ะ ขับมอเตอร์ไซต์คันเก่า แต่เครื่องไม่เก่านะค่ะ แรงได้เว่อร์เลยจ้า สตาร์ทรถทีดังไปถึงสามโลกเลยจ้า
ขับรถผ่านมาถึงถนนทางหลวงใหญ่ หมายเลข 12
ป้ายบอกทางมุ่งหน้า ขับมอเตอร์ไซต์ไปยังอำเภอวังทองค่ะ
ขับมอเตอร์ไซตมาไม่นาน แวะผ่านสถานสงเคราะห์วังทอง เป็นศูนย์คนไร้ที่พึ่งภาคเหนือค่ะ ขอแวะมาทำทานค่ะ หากใครที่จะแวะไปเที่ยวเขาค้อ หรือไปเที่ยวเนินมะปราง ไปนครไทย หรือไปภูหินร่องกล้า แวะผ่านเส้นทางนี้ก็แวะมาร่วมบริจาคเงินหรือสิ่งของเครื่องใช้ช่วยผู้ยากไร้ได้นะค่ะ สังคมไทยเราจะได้น่าอยู่มากยิ่งขึ้นะค่ะ
เข้ามาก็จะมีจุดรับบริจาค มีเจ้าหน้าที่ทให้บริการค่ะ
ดิฉันเองมาถึงที่นี้ ตอนแรกก็งงๆไม่รู้จะไปเรียกหาใคร เพราะบรรยากาศเงียบมากๆค่ะ เห็นคุณลุงใจดีก็บอกให้รอสักประเดียว ก็มีคุณพี่ผู้หญิงออกมาต้อนรับ หน้าตาเบิกบานฤทัยงามวิไลเริ่ดสะแมนแตนะค่ะ
หากใครที่จะแวะไปเที่ยวเขาค้อ หรือไปเที่ยวเนินมะปราง ไปนครไทย หรือไปภูหินร่องกล้า แวะผ่านเส้นทางนี้ก็แวะมาร่วมบริจาคเงินหรือสิ่งของเครื่องใช้ช่วยผู้ยากไร้ได้นะค่ะ สังคมไทยเราจะได้น่าอยู่มากยิ่งขึ้นะค่ะ
หลังจากที่ได้ทำทานที่สถานสงเคราะห์แล้วนะค่ะ ดิฉันก็ขับมอเตอร์ไซต์แว๋นมาเรื่อย จุดมุ่งหมายของสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกของวันนี้ค่ะ คือบ้านมุง อำเภอเนินมะปราง อยากจะมาชมวิวภูเขาหินปูน ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นกุ้ยหลินภาคเหนือค่ะ
เส้นทางไปยังอำเภอเนินมะปรางค่ะ ท่ามกลางต้นไม้สีเขียวเรียงราย บรรยากาศเงียบสงบ นานจะมีรถผ่านสักคันค่ะ เพราะไปเที่ยววันธรรมดา ลั๊นลาจริงๆนะค่ะ
ขับรถมอเตอร์ไซต์มาร่วม 46 กิโลก็ถึงแล้วค่ะ อำเภอเนินมะปราง งามสะพร่างไปด้วยฟ้าสดใส สวยวิไลเริ่ดสะแมนแตนจริงๆนะค่ะ
ขับรถมอเตอร์ไซต์มาร่วม 46 กิโลก็ถึงแล้วค่ะ อำเภอเนินมะปราง งามสะพร่างไปด้วยฟ้าสดใส สวยวิไลเริ่ดสะแมนแตนจริงๆนะค่ะ
จากอำเภอเนินมะปรางมุ่งหน้าบ้านมุงอีก 7 กิโลค่ะ
ถึงแล้วค่ะบ้านมุง หมู่บ้านที่มีภูเขาหินปูนสูงใหญ่สลับซับซ้อนแต่ไม่ซ้อนเงื่อน ให้นักท่องเที่ยวมากระเพรื่อมเดินชมความงามกันค่ะ จนได้รับสมญานามว่าเป็นกุ้ยหลินแห่งภาคเหนือค่ะ วันที่ดิฉันมาก็มาช่วงกลางวันนะค่ะ
เห็นบอกกันว่า ถ้ามาช่วงหน้าหนาวจะสวยสกาวไปด้วยเฆมหมอกนะค่ะ หรือไม่ก็ช่วงที่ฝนตกๆใหม่ แต่วันที่เดี๊ยนไปเป็นตอนกลางวันแสกๆ แดดเปรี้ยงปร้าง ฟ้าใสมากค่ะ หรือหากจะดูไฮไลท์ อันซีนอีกอย่างก็คือ ดูค้างคาวหลายร้อยล้านตัวจะบินออกจากถ้ำในยามเย็นค่ะ
เข้าในหมู่บ้านก็เห็น บ้านหมาบ้าใจดี น่าเข้าไปฉิมพลีมากๆค่ะ แต่ไปชะเงอดูแล้วไม่เห็นน้องหมาบ้าเลยค่ะ สงสัยจะอยู่ในบ้านอบผิวกระมังค่ะ
ที่บ้านมุงตอนกลางวัน หน้าช่วงต้นหน้าฝนนี้ แดดใส อากาศร้อนดีจริงๆค่ะ
แต่ก็มีวิวภูเขาหินปูน หลายลูกให้เห็นนะค่ะ สวยงามดีค่ะ ถ้าคนแถวนี้คงมองเป็นภาพที่ชินตาไป แต่สำหรับเดี๊ยนมาไกลจากเมืองกรุง มาเห็นภาพแบบนี้ก็สวยงามอร่ามจับตาคณานับค่ะ
แต่ก็มีวิวภูเขาหินปูน หลายลูกให้เห็นนะค่ะ สวยงามดีค่ะ ถ้าคนแถวนี้คงมองเป็นภาพที่ชินตาไป แต่สำหรับเดี๊ยนมาไกลจากเมืองกรุง มาเห็นภาพแบบนี้ก็สวยงามอร่ามจับตาคณานับค่ะ
เห็นต้นกล้ากำลังงอกเงย เชยชูรับแสงแดดตอนกลางวัน สีเขียวเปล่งอำพรรณ ดั่งสวรรค์ชั้นฟ้ามาลาดินจริงๆนะค่ะ
มีไร่ข้าวพง ไร่ข้าวโพด ให้ไปโอบกอดกันด้วยนะค่ะ
ขับมอเตอร์ไซต์มาอีกหน่อย ก็จะไปนั่งพักผ่อน สปอย์ความเมื่อยล้าที่ จุดชมวิวที่บ้านไร่ทานตะวันค่ะ
ขับมอเตอร์ไซต์มาอีกหน่อย ก็จะไปนั่งพักผ่อน สปอย์ความเมื่อยล้าที่ จุดชมวิวที่บ้านไร่ภูตะวันค่ะ ค่าชมดอกไม้เป็นค่าบำรุงสถานที่ในไร่ 10 บาทค่ะ ในไร่ก็มีที่พักและร้านขายอาหารเครื่องดื่มค่ะ
บ้านไร่ภูตะวัน ไม่มีดอกทานตะวันเลยค่ะ เห็นเจ้าหน้าที่ในไร่บอกว่า หน้าฝนนี้ปลูกทานตะวันไม่ได้เลย ปกติจะปลูกทานตะวันหน้าหนาวค่ะ กำลังจะเปลี่ยนเอาดอกไม้อื่นมาปลูก
มีบริการที่พักค้างคืนในบ้านมุงด้วยค่ะ เป็นแบบโฮมสเตย์ไม้ไผ่ดูเก๋ๆ ราคาถูก หลักร้อย นอนชมวิวภูเขาเหลาดอย งามชะม้อยดีค่ะ
มีมุมถ่ายรูปสวยๆนะค่ะ ถ้ามีดอกมง ดอกไม้บานสะพรั่ง คงจะสวยดั่งวังสีทอง ผุดผ่องเป็นยองใย งามวิไลเริดสะแมนแตนไม่น้อยเลยนะค่ะ
ไม่ไกลจากบ้านไร่ภูตะวันนะค่ะ ขัมมอเตอร์ไซต์มาประมาณ 200 เมตรค่ะ ก็ถึงน้ำตกห้วยเทินค่ะ เป็นน้ำตกเล็กๆ ดิฉันเลยตัดสินใจเข้าไปชมให้เป็นบุญตา ว่าจะสวยระย้าแค่ใหนค่ะ
ทานเดินเข้าน้ำตก ต้องข้ามลำน้ำธารเล็กๆค่ะ น่ารักมุ้งมิ้งมากๆค่ะ เดินไปน้ำตกประมาณ 200 เมตรค่ะ
ถึงแล้วค่ะ น้ำตกห้วยเทิน น้ำตกเล็กจริงๆ ดูเป็นลำธารนะค่ะ ครอบคลุมเป็นด้วยป่าไม้เขียวขจี รื่นรมย์ฤดียิ่งนักแลค่ะ น้ำเย็นดีมากๆค่ะ เป็นน้ำที่ไหลมาจากภูเขาข้างบนกระมังค่ะ
ถึงแล้วค่ะ น้ำตกห้วยเทิน น้ำตกเล็กจริงๆ ดูเป็นลำธารนะค่ะ ครอบคลุมเป็นด้วยป่าไม้เขียวขจี รื่นรมย์ฤดียิ่งนักแลค่ะ น้ำเย็นดีมากๆค่ะ เป็นน้ำที่ไหลมาจากภูเขาข้างบนกระมังค่ะ
น้ำตกห้วยเทินในบ้านมุงแห่งนี้ น้ำเย็นดีจริงๆค่ะ
ได้เพลาเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปค่ะ
ระหว่างขับผ่านก็แว่ถ่ายวิวทิวทัศน์ ของภูเขาหินปูนที่ตระหง่านตาอยู่ตรงหน้า สวยงามลั๊ลลาจับใจค่ะ
ในช่วงหน้าฝนแบบนี้นะค่ะ มองไปเป็นก็เห็นใบไม้ไบหญ้า และทุ่งนาข้าวกำลังเบ่งบานสีเขียวขจีเลยค่ะ
ที่นี้ก็ทำไร้อ้อย หวานหยดย้อยไม่เบาเลยนะค่ะ
หลังจากนั้นดิฉันก็ขับมอเตอร์ไซต์มุ่งหน้าออกจากน้ำตกห้วยเทินมาอีกไม่ไกลค่ะ ถามเส้นทางชาวบ้านเพื่อมาที่ถ้ำเดือน ถ้ำดาว เห็นกันว่าสวยสกาวไม่เบาค่ะ
ถึงแล้วค่ะถ้ำเดือน ถ้ำดาว ที่เสียดายเข้าไปไม่ได้ เห็นคุณน้าขายของบอกว่า น้ำในถ้ำค่อนข้างเยอะ
ห้ามเข้าถ้ำโดยไม่มีเจ้าหน้าที่นำทางแต่น้ำดูสีเขียวใสมรกต น่าลงไปแหวกว่ายมากๆค่ะ แต่ได้สัมผัสน้ำแล้ว เย็นเจี๊ยบเชียวค่ะ
ดิฉันแหงดูนาฬิกาในข้อมือตอนนี้ก็จะ 4 โมงเย็นแล้วค่ะ ได้เพลาอำลาบ้านมุงแล้วค่ะ โอกาสหน้าฟ้าใหม่คงได้มาไฉไลอีกแน่นอนค่ะ
หลังจากได้ไปเที่ยวบ้านมุง ชมความความสะพร่างสวยงามของภูเขา ที่เนินมะปรางแล้วค่ะ ดิฉันก็ขับมอเตอร์ไซต์ แว๊นไปยังจุดมุ่งหมายต่อไปค่ะ นั้นก็คือ บ้านรักไทย เพื่อไปพักค้างที่นั้นค่ะ โดยต้องใช้เส้นทางที่บ้านน้ำปาด ที่ใครต่อใครก็ต้องเล่าขานว่า เส้นทางชันได้โห่ล์เลยค่ะ
พอเข้ามาแล้ว เส้นทางชันจริงๆค่ะ จนดิฉันต้องจอดรถพักสักแป๊บนะค่ะ เพราะทนความเสียวไม่ไหวค่ะ
ขับมอถึงแยกนี้แล้วโล่งอกค่ะ มีป้ายบอกทางค่ะ เลี้ยวขวาไปบ้านรักไทยค่ะ
เส้นทางไปที่พักคืนนี้ค่ะ ซึ่งดิฉันเองก็ติดต่อจองที่พักไว้แล้วค่ะนอนพักคืนนี้ที่บ้านสวนพงษ์แตงค่ะ โฮมสเตย์ชื่อดังแห่งบ้านรักไทยค่ะ
ก่อนจะไปถึงที่พักนะค่ะ แวะผ่านจุดชมวิวสวยงามอีกแห่ง ที่ใครต่อใครก็ต้องมาก็คือ บ้านสวนชมวิว เป็นทั้งที่พักและเป็นร้านขายเครื่องดื่ม ซึ่งที่นี้ก็มีจุดชมวิวบนต้นไม้ให้เดินไปถ่ายรูปกันค่ะ วันที่เดี๊ยนไปนะค่ะ ลมพัดเย็นดีเหลือเกินค่ะ อากาศกำลังดีค่ะ ฝนก็ไม่ตก ฟ้าสางเชียวค่ะ
ถือเป็นจุดชมวิวที่สวยงามและโดดเด่นอีกแห่งในบ้านรักไทยนะค่ะ ถ้ามาหน้าหนาวหน้าจะหนาวเย็นน่าดูเลยค่ะ เพราะลมพัดเย็นดีเหลือเกินค่ะ
มีกิจกรรมสลิงให้โหนกันดูนะค่ะ ดูท่าจะเสียวนะค่ะ เหมาะสำหรับคนชอบความเสียว สำหรับเดี๊ยนไม่ไหวค่ะ เยี่ยวแตกพอดีค่ะ ขนาดเดินขึ้นที่จุดชมวิวบนต้นไม้นี้ ยังสั่นไปหมดเลยค่ะ
มีชิงช้าให้นั่งถ่ายรูปกันด้วยนะค่ะ เดี๊ยนเองก็ว่าจะนั่งนะค่ะ แต่เกรงว่าจะทำชิงช้าเค้าพังค่ะ
จุดชมวิวบนต้นไม้ เดินขึ้นไปได้ มีชิงช้าให้นั่งด้วยค่ะ เป็นจุดขายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีทีเดียวค่ะ
มองวิวทิวทัศน์ยามเย็น สาดกระเซ็นไปด้วยลมพัดย้อย งามอ้อยสร้อยยิ่งนักค่ะ
หากใครที่แวะมาเที่ยวบ้านรักไทย ลองมานอนพักไฉไลกันดูสักคืน รับรองว่าดูดดื่มชื่นบานใจแน่นอนค๊า
หากใครที่แวะมาเที่ยวบ้านรักไทย ลองมานอนพักไฉไลกันดูสักคืน รับรองว่าดูดดื่มชื่นบานใจแน่นอนค๊าหลังจากได้พักดื่มน้ำเย็นๆที่บ้านสวนชมวิวแล้วนะค่ะ ขับรถมอเตอร์ตามเส้นทางถนนลูกรังมาอีกไม่ไกลค่ะ ดิฉันก็ดั้นด้นมาถึงที่พักสำหรับนอนค้างคืนนี้ ที่สวนพงษ์แตงค่ะ
ขับรถมอเตอร์ไซต์มาถึง ก็จอดไว้ใต้ต้นไม้เลยค่ะ
บ้านสวนผลไม่เล็กๆแต่หอบล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจี มีสวนลำไย มีต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่นย์หน้าพักมากค่ะ มีน้องหมาเห่าโฮ่งๆๆมารับด้วยค่ะ
บ้านสวนพงษ์แตง บ้านรักไทย |
ขับมาถึงก็มีเจ้าของโฮมสเตย์ที่พัก ชื่อคุณลุงดำ ออกมาต้อนรับสวัสดี สวีดั๊ด ผู้เข้าพักอย่างชื่นบาน มีน้องหมาเห่าโฮ่งๆๆมารับด้วยค่ะ
ที่พักเป็นแบบโฮมสเตย์ค่ะ ก็คือนอนพักค้างอยู่ในบ้านพัก ของเจ้าของบ้านค่ะ ที่พักคืนละ 650 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อค่ะ ใครจะมาพักที่นี้ ต้องจองล่วงหน้านะค่ะ เพราะคุณลุงแกจะได้จัดเตรียมเรื่องอาหารได้ค่ะ
บ้านสวนพงษ์แตง บ้านรักไทย |
ห้องกว้างมากค่ะ ดูท่าน่าจะเป็นห้องพักของเจ้าของบ้านกระมังค่ะ
ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมค่ะอยู่ชั้นบนใกล้บันใดคะ
มีระเบียงหน้าบ้านค่ะ
มีระเบียงหน้าบ้านค่ะ
ระเบียงหลังบ้านค่ะ บรรยากาศดีค่ะ ลมพัดเย็นๆ
หลังจากเข้าที่พักแล้ว ได้เวลามาพักผ่อน เดินชมสวนผลไม้ ผ่อนคลายอริยาบทความเมื่อยล้า หลังจากที่ขับรถลั๊นลามาไกลตลอดทั้งวันค่ะ ในสวนมีทุเรียนต้นเล็กๆ กำลังออกผลค่ะ น่าเก็บกินมากๆค่ะ แต่เห็นว่าคงยังไม่สุกกระมังค่ะ
เดินมาชมจุดชมวิวอีกแห่งของที่พักค่ะ บรรยากาศดีเงียบสงบดีมากค่ะ วันที่ดิฉันไปพัก มีผู้เข้าพักอยู่แค่ 2 ห้องค่ะ
มองไปเป็นเห็นบ้านต้นไม้ อีกหนึ่งที่พักยอดนิยม ที่ใครจะมาพักต้องจองเนิ่นๆนะค่ะ
มองไปเป็นเห็นบ้านต้นไม้ อีกหนึ่งที่พักยอดนิยม ที่ใครจะมาพักต้องจองเนิ่นๆนะค่ะ
วิวทิวทัศน์ใกล้พลบค่ำ อากาศดี ลมพัดเย็นชื่นกาย สบายอุราเชียวค่ะ
บรรยากาศในสวน มีชิงช้าให้นั่งไกว่ นั่งพักรับลมเย็นๆ อากาศดีค่ะ
มีบ้านพักต้นไม้ เสียดายจองช้าไปหน่อยค่ะ เห็นมีอยู่หลังเดียวนะค่ะ
มีลูกหม่อนกำลังสุก น่าทานเชียวค่ะ ลุงดำบอกว่า อีหนูเก็บกินได้เลยจ้า
ลมพัดยามเย็นๆ เดินเล่นกับน้องหมา
น้องหมาที่บ้านสวนพงษ์แตง เดินที่อิชั้นตลอดเลยค่ะ
น้องหมาตัวนี้ มันซนมากๆนะค่ะ
น้องหมาคงเหนื่อย เพราะวิ่งไปทั่วเลยค่ะ
ดอกอะไรไม่รู้จำชื่อไม่ได้ค่ะ แต่กลิ่นหอมพร่างพรายดุจสายน้ำทิพย์ค่ะส่วนดอกนี้สวยงามดีค่ะ แต่กลิ่นเหม็นยังกะยาโพลิด่อน เกรงสูดดมไปจะสลบไสล นอนแล้วไม่ตื่นเลยค่ะ
ลูกหม่อนสีแดงแรงฤทธิ์ เปรี้ยวจี๊ดน่ากินค่ะ
ดอกกุหลาบสีหวาน ผลิดอกบานร้านรานถึงหัวใจค่ะ
ต้นกาแฟเมล็ดสีเขียว เห็นแล้วก็น่าเคี้ยวกรุบกริบ
ตั๊กแตนอีกตัวมาเกาะนัวเนียดอกกุหลาบ คงจะมาดูดน้ำหวานเสียกระมังค่ะ
หลังจากที่ได้เดินพักผ่อนหย่อนใจ ชมข้าวตอก ดอกไม้เรียบร้อยแล้วนะค่ะ
ตกพลบค่ำยามเย็น คุณลุงดำ เจ้าของที่พักก็จะรับประทานอาหารกี่โมงจ๊ะ
ดิฉันเลยตอบ พร้อมรับประทานแล้วค่ะ
จัดมาเลยค่ะ อาหารมื้อเย็นนี้ อาหารแบบบ้านๆรสชาติ ซ่าบซ่านถึงหัวใจ งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนจ้า
มีต้มยำไก่ กะเพราไก่สับ ไข่เจียวทอด ข้าวสวย
อาหารมื้อนี้แบบบ้านๆ แนวภัตตาคารบ้านทุ่ง พรุ้งพริ้งเริ่ดเว่อร์
แม้อาหารบ้านๆรสชาติ ซ่าบซ่านถึงหัวใจ งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนจ้า
หลังจากที่ได้ทานอาหารดินเนอร์ ภัตคารบ้านทุ่งอย่างอิ่มหน่ำ สำราญแล้วนะค่ะ ก็นอนหลับพักตลอดคืน ตั้งแต่หัวค่ำเลยค่ะ
-------------------------------------------------------------------------------------
เช้าตรู่ของวันที่สอง ของการท่องเที่ยว ดิฉันตื่นแต่เช้าตรู่มาสัมผัสอากาศยามเช้า ลมพัดเย็น อาหารไม่หนาวค่ะ มีสายหมอกออกมาสกาวให้เห็นบ้าง พอประปรายค่ะ สวยงามดีค่ะ
ดูฝั่งบ้านพักต้นไม้ สายหมอกน่าจะเดินทางมาถึงนะค่ะ
สายหมอกเริ่มจะจางหายไปเรื่อยๆค่ะ บ๊ายๆ เจ้าสายหมอก ออกมาเย้าหยอกแป๊บเดียวเองค่ะ
วิวทิวทัศน์ยามเช้า ที่เนินชมวิวบ้านสวนพงษ์แตง อากาศดีค่ะ
สายหมอกเริ่มหายไปแล้วค่ะ บ๊ายๆ เจ้าสายหมอก ออกมาเย้าหยอกแป๊บเดียวเองค่ะ
ที่โฮมสเตย์มีน้ำค้างลงหน่อยๆค่ะ อากาศเย็นสบายกายเลยจ้า ใครที่เบื่อๆเมืองกรุงๆนะค่ะ อยากมาพักตากน้ำค้าง กลางดวงดาว ขอเชิญมานอนสกาวที่บ้านรักไทยนะค่ะ
อาหารเช้ามื้อนี้ คุณลุงจัดให้เป็นข้าวต้มร้อนๆค่ะ คุณลุงทำไว้ บอกว่ามาตักทานเองได้เลยนะอีหนู
เดี๊ยนไม่รีรอ เพราะเดินออกกำลังกายชมดอกไม้ ใบหญ้าจดกระเพาะอากหารเริ่มร้อง ก็มานวดท้องต่อด้วยการทานอาหารเช้าค่ะ
หลังจากที่นอนพักเต็มอิ่มที่สวนพงษ์แตง บ้านรักไทยไปแล้วนะค่ะ ก็ได้เพลาเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายอีกต่อไปค่ะ วันนี้เป็นวันที่สองของการเดินทาง กะว่า่จะไปเที่ยวชมน้ำตกค่ะ เลยขับมอเตอร์ไซต์มุ่งหน้าไปยังน้ำตกแรกของวันนี้เลยก็คือ น้ำตกแก่งซองค่ะ
ดิฉันขับรถมอเตอร์ไซต์แบกเป้สะพายไว้ด้านหลังมุ่งหน้าไปที่น้ำตกแก่งซองค่ะ
ขับรถมาได้สักพักก็ถึงแล้วค่ะ น้ำตกแก่งซอง ขอแวะพักสักหน่อย เพราะรู้สึกเมื่อยหลังมากค่ะมาเดินชมน้ำตกแก่งซองค่ะ อยู่ในลำน้ำเข็กค่ะ
พอดีว่ามาช่วงหน้าฝน น้ำหลาก ดูน้ำเป็นสีส้มแดงคล้ำเชียวค่ะ ดูไม่ค่อยน่าเล่นเท่าใดนักค่ะ
น้ำไหลเชียวแรงมากค่ะ ตอนเดินไปที่สะพานก็กลัวๆนะค่ะ ดูมันโครงๆเครงๆยังไงไม่รู้ค่ะ แต่เห็นรถมอเตอร์ไซต์ขับผ่านไปหลายคัน คงจะแข็งแรงค่ะ
น้ำตกแก่งซอง
น้ำตกแห่งลำน้ำเข็ก ซึ่งเป็นน้ำตกที่มีการวางตัวของหินขนาดใหญ่เรียงรายกันอย่างสะเปะสะปะกลางทางน้ำไหลของลำน้ำเข็ก ทำให้เกิดร่องของน้ำตกไหลย้อยลงผ่านแก่งและโขดหินลงมาอย่างสวยงาม เป็นน้ำตกสวยงามอีกแห่งในอำเภอวังทอง งามผุดผ่องเป็นยองใย ที่ใครต่อใครได้แวะผ่าน ก็ต้องมาพักผ่อนให้หายความร้านรานที่น้ำตกแห่งนี้นะค่ะ เป็นน้ำตกที่อยู่ติดทางหลวงหมายเลข 12 เดินทางมาได้ง่าย สะดวกสบาย ไม่ต้องเดินลัดเลาะไปไกลค่ะ
เดินมาเห็นชาวบ้านกำลังตกปลา
พอดีว่ามาช่วงหน้าฝน น้ำหลาก ดูน้ำเป็นสีส้มแดงคล้ำเชียวค่ะ ดูไม่ค่อยน่าเล่นเท่าใดนักค่ะ
หลังจากชมน้ำตกแก่งซองแล้ว ดิฉันก็แว๊นมอเตอร์ไซต์ตรงมาอีกชมความงามอีกหนึ่งน้ำตกค่ะ ซึ่งเป็นน้ำตกสวยงาม ท่ามกลางธรรมชาติอีกแห่งในจังหวัดพิษณุโลกก็คือ น้ำตกแก่งโสภาค่ะ
เสียค่าธรรมเนียมเข้า 40 บาทค่ะ เป็นน้ำตกอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
ค่ายานพาหนะ 20 บาท
รวมทั้งหมด 60 บาทค่ะ
ระหว่างทางขับรอมอเตอร์ไซต์เข้ามาในป่า เป็นป่าไม้ เงียบสงบ สยบความครืนเครง ไม่มีอะไรมาบรรเลงให้กวนใจจริงๆค่ะ มีแต่สองฟากฝั่งเป็นต้นไม้ อากาศสดชื่น เย็นกาย สบายฤดีมากค่ะ
ขับรถจากปากทางเข้ามาระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรก็ถึงทางเข้าน้ำตกแล้วค่ะ มีเจ้าหน้าที่อุทยานนั่งอยู่ในป้อมค่ะ เป็นคุณป้าหน้าสวย รวยระรินค่ะ ดิฉันเอามาจอดไว้ในที่ร่มค่ะ แต่ดูท้องฟ้าวันนี้แล้ว ไม่ค่อยจะดลฤดีเท่าใดนักค่ะ เพราะค่อนข้างมือครึ้มไปสักหน่อยค่ะ
เดินเท้าเข้ามาอีก 200 เมตรค่ะ บรรยากาศร่มรืนย์มากค่ะ อากาศดี สมบูรณ์ เงียบสงบดีสุดๆค่ะ ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเลย สงสัยว่าเดี๊ยนจะเป็นคนแรกหรือเปล่าไม่รู้นะค่ะ เดินทางมาถึงแล้วค่ะ น้ำตกแก่งโสภา น้ำสีส้มแดงเปล่งออร่าเชียวนะค่ะ ได้ยิงเสียงน้ำดูน้ำท่า น่าจะแรงมากนะค่ะ
น้ำตกแก่งโสภา น้ำตกสวยรวยเสน่ห์กิ๊บเก๋ยูเรก้า ในอุทยานที่งามลั๊นลาจับใจไปด้วยป่าไม้สีเขียวอุดมสมบูรณ์ชุ่มชื่นบานฤทัยค่ะ
ประวัติความเป็นมาของน้ำตกแก่งโสภา ชื่องามลั๊นลาน่าลงไปเล่นเชียว
เดิมชื่อน้ำตก แก่งชั้นไดยาน หรือบันดยาน ซึ่งตั้งชื่อตามลักษณะของน้ำตกที่มีน้ำตกลงมาคล้ายกับชั้นบันใด 3 ชั้น ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อปี พ.ศ.2503 ซึ่งจัดเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง โดยจากตักทางแยกทางหลวงหมายเลข 12 พิษณุโลก-หล่มสัก เข้าไปยังน้ำตก และเปลี่ยนชื่อเป็นน้ำตกแก่งโสภา โดยนายพูนศักดิ์ จำรูณรัตน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
น้ำตกสวยงามระย้า น้ำไหลจากหน้าผา สาดกระเซ็นกระเด็นกระดอน งดงามอรชรอ๊อนแอ๊นยิ่งนักค่ะ
น้ำตกสวยงามระย้า น้ำไหลจากหน้าผา สาดกระเซ็นกระเด็นกระดอน งดงามอรชรอ๊อนแอ๊นยิ่งนักค่ะ
เสียดายค่ะ น้ำค่อนข้างหลากป้ายติดไว้เลย อันตรายมากมายก่ายกอง เพราะน้ำไหลนองเต็มตะลิ่งจนหินลื่นปื้ด เดียวสะวื้ดหัวแตกเอาค่ะ
บริเวณรอบน้ำตกก็รายล้อมไปด้วยน้ำและต้นไม้ใบหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ จนเห็นมอสเจริญเติบโตเซาะไปตามตามเดิน และพื้นหินดินทราย ทลายทรวงค่ะ โดยเฉพาะหน้าฝนด้วยแล้ว มีเยอะเชียวค่ะ แสดงให้เห็นว่าป่านั้นบริบูรณ์ น่าไปยลตระการจริงๆนะคะบริเวณรอบน้ำตกก็รายล้อมไปด้วยน้ำและต้นไม้ใบหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ จนเห็นมอสเจริญเติบโตเซาะไปตามตามเดิน และพื้นหินดินทราย ทลายทรวงค่ะ โดยเฉพาะหน้าฝนด้วยแล้ว มีเยอะเชียวค่ะ แสดงให้เห็นว่าป่านั้นบริบูรณ์ น่าไปยลตระการจริงๆนะคะ
มีกล้วยไม้ป่าก็งดงามซ่าบซ่าไม่เบานะค่ะ
ได้เวลาเดินทางต่อค่ะ หลังจากที่ได้มารับความชุ่มฉ่ำของสายน้ำตกแก่งโสภา ที่งามลั๊ลลาจับใจแล้วนะค่ะดิฉันก็ตัดสินใจขับมอเตอร์ไซต์ตะลุยออกนอกเขตจังหวัดพิษณุโลกไปไกลอีก 25 กิโล เข้าสู่เขตแคว้นแดนภูเขางามแห่งจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อไปวัดผาซ่อนแก้วค่ะ ท่ามกลางเส้นทางอันคดเคี้ยวและลาดชัน กัดฟันสู้ขับต่อไปค่ะ ใหนก็ขับเลยมาถึงนี้แล้วค่ะ ขับต่อไปอีกหน่อยเลยค่ะ ลุยไปให้สุดๆ เผื่อจะสะดุดเจอคนรักค่ะ
ดิฉันก็ตัดสินใจขับมอเตอร์ไซต์ตะลุยออกนอกเขตจังหวัดพิษณุโลกไปไกลอีก 25
กิโล เข้าสู่เขตแคว้นแดนภูเขางามแห่งจังหวัดเพชรบูรณ์
เพื่อไปวัดผาซ่อนแก้วค่ะ ท่ามกลางเส้นทางอันคดเคี้ยวและลาดชัน
กัดฟันสู้ขับต่อไปค่ะ ใหนก็ขับเลยมาถึงนี้แล้วค่ะ ขับต่อไปอีกหน่อยเลยค่ะ
ลุยไปให้สุดๆ เผื่อจะสะดุดเจอคนรักค่ะ
ขับรถออกได้เกือบจะ 20 กิโลแล้วค่ะ ผ่านเส้นทางอันคดเคี้ยว แต่ถนนค่อนข้างดีมากค่ะ แหงนดูนาฬิกาปาเข้าจะบ่ายโมงครึ่งแล้วค่ะ ไม่ไหวแล้ว เลยแวะพักที่ร้านอาหารริมทาง ที่รูท12 หนึ่งในจุดแวะพักที่อยู่เมืองนี้มานานค่ะ มีมุมถ่ายรูปกิ๊บเก๋ยูเร้ก้า เอาใจวัยแนว วัยเด็กและผู้ใหญ่นะค่ะ
มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ให้นั่งพักผ่อนกันค่ะ
น้องหมีตัวใหญ่กับหุ่นยนต์ก็ยืนหน้าฉงน งุนงงหน้าดูค่ะ
จุดชมวิวตรงร้านอาหาร ก็สวยงามอลังการดีนะค่ะ
ส่วนดิฉันเริ่มจะไม่ไหวแล้วค่ะ ขอมาหาอะไรทานมื้อเที่ยงนี้ก่อนค่ะ
มื้อเที่ยงนี้ในเขตจังหวัดเพชบูรณ์ จัดไปอาหารจานเดียว ส้มต้ม ทานกับข้าวผัดคะน้าหมูกรอบ ง่าย พอทานได้ค่ะ หลังจากทานอาหารอิ่มก็ไปเดินให้อาหารย่อย ไปสอยชมวิวสวยค่ะ
มีน้องม้าให้ถ่ายรูปด้วย แต่เดินมาตรงนี้ กลิ่นของขี้ม้าแรงไปหน่อยค่ะ
มีจุดนั่งพักชมวิวภูเขาสวยๆ ร่ำรวยไปด้วยความงาม ร้าวรานจับใจ แสนวิไลเริ่ดสะแมนแตนจริงๆค่ะ
มีจุดนั่งพักชมวิวภูเขาสวยๆ ร่ำรวยไปด้วยความงาม ร้าวรานจับใจ แสนวิไลเริ่ดสะแมนแตนจริงๆค่ะ
หลังจากทานอาหารเที่ยงไปจนอิ่ม ดิฉันก็ขับรถมาอีกไม่ไกลค่ะ ก็ถึงแคมป์สน เขตอำเภอเขาค้อแล้วค่ะ จากนั้นก็ขับรถไปวัดผาซ่อนแก้ว...นี้เป็นครั้งแรกเลยนะค่ะที่ได้มาที่นี้ เพราะเคยมาเที่ยวเขาค้อเมื่อหลายปีมาแล้วค่ะ แต่ไม่ได้แวะมาที่นี้ เพราะมาช่วงนั้นเป็นช่วงเทศกาล รถติดมากๆค่ะและคนเยอะมากๆ เดี๊ยนเลยต้องยกเลิกไป แต่ครั้งนี้มาวันธรรมดา และช่วงหน้าฝน บรรยากาศดีมากค่ะ นักท่องเที่ยวน้อย ไม่วุ่นวายค่ะ
ขับรถตามป้ายบอกทางมาเรื่อย เส้นทางค่อนข้างชันนิดๆหน่อยๆค่ะค่ะ ก็ใกล้ถึงแล้วค่ะ
ท่ามกลางหุบเขาและวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ร้าวรานจับใจจริงๆค่ะ
ถึงแล้วค่ะ วัดผาซ่อนแก้ว เสียค่าจอดรถ 20 บาท
นี้เป็นครั้งแรกเลยนะค่ะที่ได้มาที่นี้ เพราะเคยมาเที่ยวเขาค้อเมื่อหลายปีมาแล้วค่ะ แต่ไม่ได้แวะมาที่นี้ เพราะมาช่วงนั้นเป็นช่วงเทศกาล รถติดมากๆค่ะและคนเยอะมากๆ เดี๊ยนเลยต้องยกเลิกไป แต่ครั้งนี้มาวันธรรมดา และช่วงหน้าฝน บรรยากาศดีมากค่ะ นักท่องเที่ยวน้อย ไม่วุ่นวายค่ะ
วิวทิวทัศน์สวยงามจริงๆค่ะ มีภูเขาเขียวขจี ดูสดชื่นรื่นรมย์ฤดียิ่งนักค่ะ
เดินจากที่จอดรถมาเตอร์ไซต์มาไม่ไกลค่ก็ถึงองค์พระพุทธรูป 5 พระองค์ สีขาวซ้อนกัน 5 ชั้น สวยงาม ดึงดูดตาและตราตรึงใจ ทั้งชาวไทยก็ต้องมากราบไหว้บูชา ส่วนฝรั่งมังข้าก็ตื่นตาตื่นใจในความอะเมซิ่งของฝีมือคนไทยไม่น้อยเลยนะค่ะ สร้างสรรค์องค์พระพุทธรูปได้อย่างงดงาม เว่อร์วังอลังการสะท้านโลกาจริงๆค่ะ
ประวัติความเป็นมา
สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ซึ่งเรียกว่าผาซ่อนแก้วนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตาม ๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว” และพุทธสถานที่มาตั้งในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขาดังกล่าว จึงเรียกว่า “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” เพื่อเป็นนิมิตมงคลแก่ชาวบ้านทางแดง และผู้มาปฏิบัติธรรมสืบไป
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2547 ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด ในมงคลนามว่า “วัดพระธาตุผาแก้ว” เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 จากคณะกรรมการมหาเถรสมาคม โดยมีพระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อ 30 พฤษภาคม 2556 เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า “ผาซ่อนแก้ว”
ขอบพระคุณข้อมูลจาก http://www.phasornkaew.org/เกี่ยวกับวัด/
พระพุทธรูป 5 พระองค์ สีขาวซ้อนกัน 5 ชั้น สวยงาม ดึงดูดตาและตราตรึงใจ ทั้งชาวไทยก็ต้องมากราบไหว้บูชา ส่วนฝรั่งมังข้าก็ตื่นตาตื่นใจในความอะเมซิ่งของฝีมือคนไทยไม่น้อยเลยนะค่ะ สร้างสรรค์องค์พระพุทธรูปได้อย่างงดงาม เว่อร์วังอลังการสะท้านโลกาจริงๆค่ะ
มาถึงก็จะมีจุดให้ทำบุญ ฝั่งลูกนิมิตรกันรอบองค์พระค่ะ มี 9 ลูกค่ะ
ส่วนอีกฝั่งก็จะเป็นองค์พระธาตุผาซ่อนแก้วค่ะ
เดินไปชมความงดงามค่ะ
งดงาม เว่อร์วังอลังการสะท้านโลกาจริงนะค่ะ ใครไปใครมาก็ต้องไม่พลาด หยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายค่ะ
มองจากพระธาตุผาซ่อนแก้วก็เห็นพระพุทธเจ้า 5 องค์
และงดงามไปด้วยวิวหุบเขาสีเขียวค่ะ
แต่ดูท้องฟ้าฉากหลังดูมืดครึ้มคลายกำลังจะก่อตัวเป็นเฆมฝนค่ะ
มองจากพระธาตุผาซ่อนแก้วก็เห็นพระพุทธเจ้า 5 องค์ และงดงามไปด้วยวิวหุบเขาสีเขียวค่ะ แต่ดูท้องฟ้าฉากหลังดูมืดครึ้มคลายกำลังจะก่อตัวเป็นเฆมฝนค่ะมีการนำเครื่องเครื่องถ้วยชาม เซรามิกมาตกแต่งสร้างเป็นองค์พระธาตุค่ะ งดงามมากค่ะ
องค์พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระพุทธรูปสีขาวนวลผอง สวยงามที่เขาค้อ
ดิฉันใช้เวลาอยู่ที่วัดผาซ่อนแก้วได้ประมาณสัก 1 ชั่วโมง แหงนดูนาฬิกา ก็ได้เวลาแว๊นมอเตอร์กลับเข้าเมืองพิดโลกแล้วค่ะ ระยะทางจากแคมป์สนเขาค้อ ไปพิษณุโลก ระยะทาง 105 กิโลเมตรค่ะ
ไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยวเพชรบูรณ์เลยนะค่ะ พอดีว่าใหนก็มาถึงแก่งโสภาแล้ว เลยแวะมาทีเดียวจะได้ไม่เสียเที่ยวค่ะ
ระหว่างขับมอเตอร์ไซต์ เดินทางกลับก็ขับผ่านทุ่งแสลงหลวงด้วยค่ะ เลยแวะพักสักหน่อยค่ะ ระหว่างทางเห็นชาวบ้าน เปิดร้านเพิงหมาแหงน ขายผลไม้และสะตออยู่หลายร้านให้เลือกเลยค่ะ เลยขอแวะซื้อสักหน่อยค่ะ
ดิฉันอยากกินลิ้นจี่ค่ะ คุณป้าเลยจัดให้อิชั๋นค่ะไป 1 กิโลกว่า ราคาถูกดีไม่แพงค่ะ 30 บาท ได้มาตั้งเยอะเลยเชียว
ลิ้นจี้ น้ำเยอะดีค่ะ แต่เสียดายเม็ดใหญ่ๆ เนื้อไม่ค่อยมี มีแต่น้ำใหยเยิ้มเชียว
ขับรถมอเตอร์ไซต์ได้สัก 50 กิโลเมตรกว่าๆค่ะ ก็ต้องชะงักแล้วค่ะ เพราะฝนตกหนักมากๆค่ะ เกรงขับไปก็จะเกิดอันตรายได้นะค่ะ เพราะถนนลื่นจ้า เดี๊ยนเลยขับรถฝ่าฝนมาพักที่ศาลา ส่วนมอเตอร์ไซต์ก็จอดคาริมทางไว้อย่างนั้นแหละค่ะ
หลังจากที่ฝนเริ่มจะซาๆลงนะค่ะ ดิฉันก็ขับรถมอเตอร์ไซต์มาเรื่อยๆจนมาถึงเมืองพิษณุโลกเวลาก็ปาไป 6 โมงเย็นกว่าๆแล้วค่ะ โดยเดินทางไปยังโรงแรมที่พักในเมืองที่ได้จองไว้ค่ะโรงแรมที่ได้จองไว้พักคืนนี้ชื่อ โรงแรมหมายเลข 8 เป็นโรงแรมพึ่งเปิดใหม่ได้ยังไม่ถึงปีค่ะ พนักงานที่โรงแรมบอกว่าเปิดมาได้จะประมาณ 8 เดือนได้ค่ะ ใครที่เอารถส่วนตัวมาที่นี้เป็นรถยนต์ รถต้องไปจอดอีกที่นะค่ะอยู่ใกล้ๆโรงแรม ส่วนของดิฉันมอเตอร์ไซต์ ทางโรงแรมก็จัดที่จอดไว้ให้เช่นกันค่ะ เอามาจอดที่ฟิสเนตติดกับโรงแรมเลยค่ะ
โรงแรมตกแต่งเก๋ดีค่ะ ที่พักแนวโฮสเทลอยู่ใกล้สนามบินค่ะ
ระหว่างเดินขึ้นบันใดมานะค่ะ ผนังก็วาดรูปตกแต่งสวยงาม เข้ากับสไตล์ของเมืองพิดโลกค่ะ
ส่วนห้องพักที่จองไว้ก็เป็นห้องธรรมดาค่ะ ราคาคืนละ 755 บาท ไม่รวมอาหารเช้าค่ะ เข้ามาในห้องพักยังดูใหม่เอี่ยมอ่องเลยค่ะ ตกแต่งได้เก๋ๆดีค่ะ แต่พื้นดูลื่นๆ มันๆยังไงไม่รู้ ต้องใส่รองเท้าในห้องตลอดค่ะ มาดูกันค่ะว่าในห้องพักมีอะไรบ้าง
มีไดร์เป่าผม มีน้ำดื่มฟรี มีตู้เย็น ทีวี แอร์ ห้องน้ำส่วนตัว ทิชชู มินิบาร์
มีระเบียงหน้าห้องพักค่ะ อ่างล้างหน้าอยู่หน้าห้องน้ำ
ห้องพักกว้างกำลังพอดี ไม่คับแคบเกินไปค่ะ
ห้องน้ำสะอาด สะอ้านดีมาก ทอน้ำในห้องน้ำ ขดไปมา เก๋ดีค่ะ
เตียงนอนก็นิ่มดีนะค่ะ นอนได้สองคน มาคนเดียวแบบดิฉันก็ราคานี้แหละค่ะ
ได้เวลาออกไปทานอาหารเย็นค่ะ แต่ช่วงวันนั้นไปเที่ยว ฝนตกหนักมากๆค่ะ เลยตัดสินใจไม่ได้ออกไปทานอาหารเย็นริมแม่น้ำน่านเลยค่ะ
ตัดสินใจมาทานอาหารที่โรงแรมแทนค่ะ
ในโรงแรมก็มีอาหารให้เลือกทานหลายเมนูค่ะ ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่านะค่ะ ต้องลองสั่งทานดูค่ะ ปกติจะไม่ทานอาหารในโรงแรมค่ะ เพราะเคยทานแล้วไม่อร่อยเลย ครั้งนี้ขอมาทานอาหารในโรงแรมอีกครั้งค่ะ
มื้อเย็นนี้ทานอาหารที่โรงแรมหมายเลข 8 เมนูอาหารที่พนักงานเสิรฟแนะนำเป็น ยำหมูตุ๋น กับหมูเปรี้ยวสามชั้นค่ะ เค้าบอกว่ามันอร่อยมาก เดี๊ยนเชื่อเด็กในร้านค่ะ เลยจัดมาลิ้มลองดีกว่าค่ะ
พอได้ลิ้มลองแล้วก็อร่อยจริงๆค่ะ เหมือนก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นแต่รสชาติเปรี้ยวเผ็ด รสจั๊ดจ้านดีค่ะ และหมูก็เปื่อยเคี้ยวง่าย ถือว่าอร่อยทีเดียวค่ะ ให้ผ่านค่ะ ส่วนอีกเมนูหมูเปรี้ยวซี้๊ดซ้าดอะไรสักอย่างจำไม่ได้ล่ะ ก็อร่อย หมูกรอบดีค่ะ แต่เหนียวไปหน่อย เดี๊ยนเองเคี้ยวไม่ไหวค่ะ แต่รสชาติจัดจ้านพอกันค่ะ
บรรยากาศภายในร้าน ตกแต่งได้กิ๊บเก๋ เทห์ๆ แนวๆ เอาใจคนรักการถ่ายรูปค่ะ ในร้านอาหารไม่ค่อยมีลูกค้ามากนักค่ะ
มีมอเตอร์ไซต์รุ่นเดียวกันที่ในหลวงทรงขับด้วยนะค่ะ เห็นติดรูปไว้อยู่ค่ะ
หลังจากทานอาหารอิ่มแล้วนะค่ะ ดิฉันก็ไม่ได้ไปตะแล๊ดแต๋ดแต๋ที่ใหนต่ออีกเลยค่ะ เพราะฝนยังตกลงมาอย่างหนัก
ดิฉันเลยเข้าห้องพัก อาบน้ำ นอนหลับอย่างสบาย เพราะเมื่อยจากการขับรถมอเตอร์ไซต์มาไกลค่ะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันสุดท้ายของการมาท่องเที่ยวยังเมืองพิษณุโลกค่ะ ดิฉันตื่นสายมากๆค่ะ ดูเวลาไปแล้วเกือบจะ 9 โมงแล้วค่ะ เลยลงมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม บรรยากาศที่ร้านอาหารในตอนกลางวัน
เนื่องจากว่าตอนจองห้องพักผ่านอะโกด้าไม่ได้ซื้ออาหารเช้าเพิ่มค่ะ ตอนแรกกะว่าจะไม่ทานที่โรงแรม แต่ติดใจอาหารเย็นเมื่อคืนวานค่ะ เลยมาทานที่นี้ดีกว่าค่ะ เช้านี้จัดไปข้าวมันไก่ จานละ 50 บาทค่ะ อร่อยใช้ได้ค่ะ แค่พออิ่มค่ะ
ด้านนอกโรงแรมค่ะ
มีจักรปั่นฟรีด้วยนะค่ะ จักรยานยังดูใหม่เลยค่ะ
สรุปแล้ว ให้ผ่านค่ะ โรงแรมใหม่เอี่ยมบริการดีค่ะ ราคาก็กลางๆไม่ถูกเกินไป และก็ไม่แพงเกินไป
ค่ะและหลังจากที่ได้ทานข้าวแล้วนะค่ะ ช่วงเวลาประมาณใกล้เที่ยง ดิฉันก็เช็คเอาท์ออกจากที่พักค่ะ แต่ฝากกระเป๋าไว้ก่อน เพราะกะว่าเย็นๆจะกลับมาเอาค่ะ
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวในเมืองพิษณุโลก ที่แรกที่ดิฉันเดินไปเลยนะค่ะ อยู่ไม่ไกลจากที่พักค่ะ นั้นคือ พิพิธภัณฑ์บ้านจ่าทวี พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราว ความเป็นมาของเมืองพิษณุโลกไว้ทั้งหมดค่ะ ทั้งประเพณี สังคม วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ วิถีชีวิต ความเป็นอยู่มากมายค่ะ เรียกว่ามาที่นี้ที่เดียว เดินจนเพลิดเพลินเลยล่ะค่ะ แถมได้ความรู้ด้วยนะค่ะ เริ่ดมากๆ เอาไปเลยค่ะ 5 ล้านดาวจ้า
ประวิตความเป็นมาของของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน จ่าทวี กำเนิดขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วยชีวิตจิตใจของ ลุงจ่า หรือจ่าสิบเอกทวี บูรณเขตต์ โดยการใช้เงินจากน้ำพักน้ำแรง เก็บรวบรวมซื้อหาข้าวของ เครื่องใช้ของชาวบ้านมาสะสมไว้เป็นจำนวนหมื่นชิ้น มุ้งเน้นของที่เจ้าของเลิกใช้งานแล้ว และเริ่มสร้างพิพิธภัณฑ์ โดยที่ป้าพิมพ์กับลูกๆทั้ง 6 คน ไม่ชอบใจกับงานพิพิธภัณฑ์มากนัก คนนอกครอบครัวก็ไม่เข้าใจ คิดว่าลุงจ่าเป็นโรคประสาท "บ้าสมบัติ" แต่ลุงจ่าก็ประคับประคองพิพิธภัณฑ์นี้มาเกือบ 33 ปีแล้ว (พ.ศ.2526-2560)
ช่วงเวลากว่า 30 ปี ที่มีคนได้รู้จักพิพิธภัณฑ์ คือช่วงเวลาที่คนๆหนึ่งได้ใช้ชีวิตอยู่กับโกดังของเก่า ลุงจ่าหาของเอง ซ่อมแซมเอง บันทึกข้อมูลด้วยตนเอง แยกประเภท จัดแสดง นำชมและส่งแขก ทำให้โกดังของเก่าเก็บเป็นพิพิธภัณฑ์คลังปัญญา ดัวยชีวิตและจิตใจของลุงจ่าเอง แต่จนถึงวันนี้ลุงจ่าก็ยังจัดไม่เสร็จ มีของที่ภูมิปัญญาปู่ย่า รอให้มีการถ่ายทอด ความรู้อยู่อีกไม่น้อยค่ะ
ค่าเข้าชม 50 บาทค่ะ
เปิดให้บริการทุกวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 8.30–16.30 น. โทร. 0 5521 2749, 055-301668 ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ เป็นโรงหล่อพระบูรณะไทย ติดต่อเข้าชมการหล่อพระล่วงหน้า โทร. 055-25 8715
ในพิพิธภัณ์แบ่งออกเป็น 3 ส่วนอาคารที่ 1 เป็นร้านค้าของที่ระลึกและส่วนจัดแสดงพันธ์ปลาท้องถิ่น ในจังหวัดพิษณุโลก
อาคารที่ 2 จัดแสดงรูปภาพเก่าที่แสดงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นพิษณุโลก
อาคารที่ 3 มี 2 ชั้น ห้องโถงชั้นล่างจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้านไทยในอดีต จัดแสดงโดยแบ่งตามประโยชน์การใช้งาน ในบางมุมจำลองบ้านเรือนส่วนต่างๆให้ดูอาทิ ครัวไฟ เรือนอยู่หลังไฟคลอดบุตร เป็นต้นค่ะ
มาอาคารแรกมาดูปลาน้ำจืดกันค่ะ
ตู้นี้น่าจะเป็นปลาพลวงค่ะ มองไปคล้ายๆปลาตะเพียนนะค่ะ
ตู้นี้น่าจะเป็นปลาทับทิมกระมังค่ะ เพราะไม่ได้ถ่ายรูปติดชื่อมาค่ะ
มาที่อาคารที่สอง แสดงเรื่องราวภาพเก่าบอกเล่าประวัติศาสต์ท้องถิ่นค่ะ
ห้องแสดงภาพและของเก่าๆ
ภาพเก่าของจังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี 2500 ยังเห็นเรือนแพติดริมแม่น้ำน่านอยู่เลยค่ะ
มีเกาเหลาดินสอเกาในยุคนั้นด้วยนะค่ะ กิ๊บเก๋ คลาสสิคมากๆค่ะ โอ้ยอยากได้สุดๆเลย
ในอาคารนี้ส่วนใหญ่จะมีภาพเก่า ดูภาพนี้น่าจะประมาณยุค 60-70 กระมังค่ะ ดูมีความงาม เพราะเด็กๆใส่กางเกงขาระฆังบางเชียวค่ะ เป็นแฟชั่นที่เฟืองฟูมากค่ะ ส่วนคุณยายยังโจงกระเบนอยู่เลยค่ะ
ภาพการประกวดธิดากาชาด งานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อปี 2540 ค่ะ ผ่านแล้ว 20 ปีค่ะ ยังสวยตราตรึงเหมือนเดิมนะค่ะ ทรงผม ทรงเพ้าก็เว่อร์วังอลังการ สมัยนั้นรองเท้าตู้ปลายังไม่สูงมากนักนะค่ะ ดูเรียบร้อย พองาม ไม่เหมือนสมัยนี้ ใส่ส้นสูงที สามารถไปเก็บยอดมะพร้าวได้เลยจ้า
มาอาคารที่ 3 ก็จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้านในอดีตค่ะ
อันนี้น่าจะเป็นห้องครัวเก่าของบ้านคนไทยสมัยโบราณค่ะ
อันนั้นก็จะเป็นการแสดงหม้อดินเผาแบบต่างๆนะค่ะ
ห้องแสดงเครื่องสีข้าวสมัยต่างๆค่ะ
กี่ทอผ้าที่ยังใช้งานได้ดีค่ะ
กระต่ายขูดมะพร้าว ต้นตำหรับอยู่นี้เองค่ะ ในพิพิธภัณฑ์แสดงหลายแบบมากค่ะ
อันนี้คือของเล่นเด็กค่ะ คือควายกะลา
หนังสือเรียนเล่มเก่าสมัยอดีต คล้ายหนังสือมานี มานะนะค่ะ
อีกาตาดี ปะปู อีกาดูปู บิดาปะอีกาดูปู
บิดาดูอีกา เคยฝึกอ่านสมัยเด็กๆ เหมือนถ่องคาถาเลยค่ะ อะอะ จะจะ มะมะ อุอุ ลุลุ
เรือนคลอดบุตรค่ะ
เดินออกเจอควายค่ะ แต่หุ้นควายตัวนี้ ปั้นได้เหมือนของจริงมากๆนะค่ะ
ได้เวลาทานอาหารเที่ยงแล้วค่ะ จัดไปอยู่ในถนนเส้นเดียวกับบ้านจ่าทวี ร้านป้าบาง ข้าวผัดน้ำพริกกะปิค่ะ มีหลายเมนูให้เลือกค่ะ
หลังจากทานข้าวเทียงอิ่มแล้วนะค่ะ ดิฉันก็แว๊นมอเตอร์ไซต์ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปค่ะ
หากมาเที่ยวเมืองพิดโลก คงไม่พลาดมาไหว้พระค่ะ วัดแรกเลยคือวัดราชบูรณะ ชื่อเดียวกับเขตนึงในกรุงเทพเลยนะค่ะ
วัดราชบูรณะ วัดเก่าแก่อีกแห่งในเมืองพิษณุโลกอยู่ติดริมแม่น้ำน่าน ใกล้วัดพระพุทธชินราช และวัดนางพญา
จุดเด่นของวัดนี้คงเป็นหอระฆังเก่าแก่ และเจดีย์โบราณ รวมทั้งวิหารหลวงพ่อทองดำค่ะ
เกี่ยวกับวัดราชบูรณะ
วัดราชบูรณะเป็นวัดโบราณ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยก่อนรัชสมัยพระยาลิไท แต่ไม่พบหลักฐานที่ชัดเจน แต่จากการค้นคว้าจากหลักฐานดังต่อไปนี้ ประวัติวัดบนไม้แผ่นป้ายของวัด มีความว่า “วัดราชบูรณะเดิมไม่ปรากฏชื่อ ก่อสร้างมานาน 1,000 ปีเศษ ก่อนที่พระยาลิไทได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ ดังนั้นวัดนี้จึงได้ชื่อว่า “วัดราชบูรณะ” รวมความยาวนานถึงปัจจุบันประมาณ 1,000 ปีเศษ พระยาลิไททรงสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาแล้ว ทองยังเหลืออยู่จึงได้หล่อพระเหลือขึ้น และทรงทอดพระเนตรเห็นว่าวัดนี้ชำรุดทรุดโทรมมาก จึงได้บูรณะขึ้นมาอีกครั้งจึงได้นามว่า “ราชบูรณะ” ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน วันที่ 27 กันยายน 2479
เครดิตข้อมูลจาก : https://www.phitsanulokhotnews.com/2013/09/02/42522
เดินเข้ามาสักการะหลวงพ่อทองดำในวิหารค่ะ
ใหนๆก็มาถึงทั้งที ต้องไปกราบสักการะหลวงพ่อทองดำค่ะ สมัยก่อนองค์หลวงพ่อเป็นสีดำหรือเปล่าไม่รู้นะค่ะ แต่ปัจจบันองค์หลวงพ่อเป็นสีทองเชียวค่ะ ไม่ดำเหมือนชื่อเลยนะค่ะ ไฮไลท์ที่วัดนี้อีกอย่างคือ ภาพเขียนสีผนังเก่าโบราณที่ปัจจุบัน ภาพเริ่มลางเลือนและหลุดออกไปมาก ตามสภาพกาลเวลาค่ะ
เดินออกจากจะเห็นแม่น้ำน่านค่ะ
เอามอเตอร์ไซต์มาจอดใกล้รถรางนำเที่ยวค่ะ หากใครที่มาเที่ยววันเสาร์ อาทิตย์ ที่นี้ก็มีบริการรถรางนำเทียวให้บริการเที่ยวในเมืองพิดโลกด้วยนะค่ะ
จุดธูป จุดเทียน ไปกราบพระค่ะ
โชคดีนะค่ะ ที่มาวันธรรมดาคนไม่เยอะมาก ปกติถ้าช่วงเทศกาลหรือวันเสาร์ อาทิตย์ที่วัดนี้ จะเนืองแน่นด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมากค่ะ
ประวัติความเป็นมาวัดใหญ่ หรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร เมืองพิษณุโลก
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า "วัดใหญ่" ตั้งอยู่ที่ ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัย และเป็นพระอารามหลวงมาแต่เดิม เพราะได้พบหลักฐานศิลาจารึกสุโขทัยมีความว่า พ่อขุนศรีนาวนำถมทรงสร้างพระทันตธาตุสุคนธเจดีย์
เข้ามากราบพระด้านในรู้สึกเย็นเหลือเกินค่ะ เห็นมีติดป้ายไว้ตลอดเลยค่ะ ห้ามยืนถ่ายรูปค่ะ แต่นั่งถ่ายได้นะค่ะ
พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปองค์ประธานของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย เส้นรอบนอกพระวรกายอ่อนช้อย พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเกตุมาลาเป็นรูปเปลวเพลิง มีลักษณะพิเศษเรียกว่าทีฆงคุลี คือที่ปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่นิ้วยาวเสมอกัน ซุ้มเรือนแก้วทำด้วยไม้แกะสลักสร้างในสมัยอยุธยา แกะสลักเป็นรูปมกร (ลำตัวคล้ายมังกรแต่มีงวงคล้ายช้าง) อยู่ตรงปลายซุ้ม และมีลำตัวเหรา (คล้ายจระเข้) อยู่ตรงกลางซุ้ม มีเทพอสุราปกป้องพระองค์อยู่สองตน คือ ท้าวเวสสุวัณ และอาฬวกยักษ์
ในตำนานการสร้างพระพุทธชินราชกล่าวว่า พระพุทธชินราชสร้างในสมัยพระศรีธรรมไตรปิฎก ธาตุของพระพุทธเจ้า คือ ผม ได้สร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา โดยใช้ช่างจากเมืองศรีสัชนาลัย และเมืองหริภุญชัย ในการเททองปรากฏว่าหล่อได้สำเร็จเพียงสององค์ ส่วนพระพุทธชินราชทองแล่นไม่ตลอด ต้องทำพิมพ์หล่อใหม่ถึงสามครั้ง ครั้งสุดท้ายพระอินทร์ได้แปลงกายเป็นชีปะขาวมาช่วยเททองหล่อ เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้นสองค่ำ เดือนหก ปีมะเส็ง จุลศักราช 717 จึงหล่อได้สำเร็จบริบูรณ์
ขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก https://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
องค์พระพุทธชินราช งดงามเป็นสีทองผุดผ่องอำไพ งามวิไลยิ่งนักค่ะ
เดินรอบวิหารค่ะ แต่ดิฉันเองก็ลืมไปค่ะ ไม่ได้เดินไปชมวิหารเก้าห้องอยู่ด้านหลังค่ะ ประดิษฐานพระอัฏฐารส
หลังจากไหว้พระพุทธชินราชแล้ว ขับรถผ่านมาเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของอร่อยเมืองพิดโลกเลยแวะมาทานค่ะ
พึ่งทานข้าวผัดน้ำพริกกะปิไปค่ะ มาทานอีกช่วยไขมันและคอเลสเตอรอลนะค่ะ
ทานแล้วรสชาติอร่อยดีค่ะ จัดไปชามนี้ 40 บาทค่ะ
หลังจากทานก๋วยเตี๋ยวอิ่มแล้วนะค่ะ ก็แวะมาวัดที่ 3 ค่ะก็คือวัดนางพญา อีกหนึ่งวัดเก่าแก่อีกแห่งในเมืองพิษณุโลกค่ะ และเป็นวัดที่อยู่ใกล้กับวัดใหญ่ และวัดราชบูรณะค่ะ
ซึ่งแต่เดิมทีนั้น วัดนางพญานั้น ได้มีสันนิษฐานมาจากผู้สร้างพระนางพญา คือ พระวิสุทธิกษัตริย์ พระมเหสีของพระธรรมราชาและทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ก็ได้ทรงสร้างพระนางพญาขึ้นในคราวที่ได้บูรณะสังขรณ์วัดราชบูรณะราวปี พ.ศ.2090-2100 ค่ะ โดยขณะนั้นพิษณุโลกเป็นเมืองลูกหลวงอยู่ และพระองค์ดำรงพระอิสริยยศเป็นแม่เมืองสองแคว
โดยวัดนางพญาได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี วันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2479 เป็นอุโบสถและมีเจดีย์ย่อมุมไม้ 12 องค์ค่ะ
วัดนางพญา สันนิษฐานว่า
ผู้สร้างพระนางพญาคือ พระวิสุทธิกษัตรีย์ พระ มเหสีของพระมหาธรรมราชา
และทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระองค์ทรงสร้างพระนางพญาขึ้นในคราวบูรณปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ
ที่มา - http://www.phitsanulokhotnews.com/2013/08/30/42420
ที่มา - http://www.phitsanulokhotnews.com/2013/08/30/42420
วัดนางพญา สันนิษฐานว่า
ผู้สร้างพระนางพญาคือ พระวิสุทธิกษัตรีย์ พระ มเหสีของพระมหาธรรมราชา
และทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระองค์ทรงสร้างพระนางพญาขึ้นในคราวบูรณปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ
ที่มา - http://www.phitsanulokhotnews.com/2013/08/30/42420
ดูไปดูมาพระพุทธรูปวัดนางพญาก็คล้ายพระพุทธชินราชนะค่ะที่มา - http://www.phitsanulokhotnews.com/2013/08/30/42420
ประวัติพระราชวังจันทร์
พระราชวังจันทน์ ตั้งอยู่ติดกับ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กองทัพภาคที่ 3 ถนนวังจันทน์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เป็นที่ตั้งศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในอดีตยังเคยเป็นที่ตั้งของโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ปัจจุบัน กรมศิลปากร ได้เข้ามาทำการบูรณะค้นหาแนวเขตพระราชวังจันทน์ ระยะที่ 1 เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) เป็นพระราชโอรสใน พระยาเลอไท พระมหากษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์พระร่วง ของอาณาจักรสุโขทัย ทรงครองกรุงสุโขทัยระหว่าง พ.ศ. 1890 - พ.ศ. 1904 ทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ 6 ของราชวงศ์พระร่วง พระมหาธรรมราชาที่ 1 เสด็จครองราชสมบัติ กรุงสุโขทัย ณ เมืองพิษณุโลก และทรงครองเมืองพิษณุโลกระหว่าง พ.ศ. 1905 - พ.ศ. 1912 เป็นเวลา 7 ปี พระองค์ทรงสร้างพระราชวังจันทร์บนเนินดินบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน และสันนิษฐานว่าเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนถึงอยุธยา
เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่เมืองพิษณุโลกใน พ.ศ. 2006 ทรงใช้พระราชวังจันทร์เป็นที่ประทับตลอด เชื่อว่ามีการก่อสร้างเพิ่มเติมในสมัยพระองค์ด้วย จากนั้นพระราชวังจันทน์ก็มักจะเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชของกรุงศรีอยุธยาในสมัยต่อๆมาจนถึงสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชทรงให้สมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปประทับอยู่ ณ ที่นั่น จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดไปอยู่ที่พระราชวังจันทน์อีก
ภายหลังพระราชวังจันทน์ได้ร้างลงและไม่มีใครสนใจอีก จนกระทั่งปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุระยะทางไปพิษณุโลกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เสด็จตรวจราชการเมืองพิษณุโลก ใน พ.ศ. 2444 โปรดให้ขุนศรเทพบาล สำรวจรังวัดจัดทำผังพระราชวังจันทน์
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสังเวยเทพารักษ์ วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2444 มีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า มีซากพระราชวังก่อด้วยอิฐ สูงพ้นดิน 2-3 ศอกเศษ มีพระที่นั่งคล้ายพระที่นั่งจันทรพิศาล ในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี มีกำแพงวัง 2 ชั้น มีสระสองพี่น้องอยู่นอกกำแพงวัง ภายหลังปรักหักพังเป็นป่ารกในสงครามอะแซหวุ่นกี้ตีเมืองพิษณุโลก
ขอบพระคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชวังจันทน์
โดยในพระราชวังมีศาลสมเด็จพระนเรศวรมหารา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมากราบไหว้กันอย่างไม่ขาดสายลยค่ะ
ช่วงวันที่ดิฉันได้เดินทางนี้นะค่ะ โชดคีที่เป็นวันธรรมดา คนไม่ค่อยเยอะมากค่ะ ถ้าเป็นช่วงเย็นหรือวันหยุด จะมีนักท่องเที่ยวมาที่นี้เยอะมากค่ะ
วัดวิหารทอง อีกหนึ่งวัดเก่าแก่อยู่ในเขตพระราชวังจันทร์ เจดีย์ประธานมีรูปแบบสมัยอยุธยาตอนต้น สถาพในปัจจุบันเหลือเพียงฐานเขียงและฐานบัวลูกฟัก สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานพระอัฎฐารส ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานในอุโบสถวัดสระเกส
และทั้งนี้นะค่ะ ที่บริเวรวิหารทองแห่งนี้ ก็ได้จำลองพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวขนาดเท่าองค์จริงมาประดิษฐานไว้ในวิหารตามเดิมทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ค่ะ
เมื่อพิจารณาหลักฐานการการขุดค้น ขุดแต่งวัดวิหารทองแล้ว ทั้งทางด้านสถาปัตยกรรมและหลักฐานโบราณวัตถุสันนิษฐานว่า วิหารทองน่าจะสร้างขึ้นในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-21 ค่ะ
และอยู่ไม่ไกลจากวิหารทอง เดินมาอีกนิดหน่อยของวัดศรีสุคตค่ะ วัดเก่าแก่อยู่ทางทิศใต้ของพระราชวังจันทร์
มีองค์พระพุทธรูปปางมารวิชัยอยู่รอบฐาน 4 ทิศ องค์เจดีย์ส่วนยอดนั้น พังจนหมด โดยสันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์ทรงระฆัง และด้านหน้าทิศตะวันออกเป็นวิหาร 7 ห้อง ก่อด้วยศิลาแลงและอิฐ
ด้านข้างมีพระสาวกปูนปั้นในท่าประนมมือ ทั้งทางด้านสถาปัตยกรรมและหลักฐานโบราณวัตถุสันนิษฐานว่า วัดศรีสุดตน่าจะสร้างขึ้นในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-21 ในช่วงสมัยสุโขทัยตอนปลายหรือช่วงอยุธยาตอนต้นค่ะ
ค่ะและหลังจากทีดิฉันได้เดินศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพระราชวังจันทร์แล้วนะค่ะ ก็ได้เวลาที่จะต้องเดินทางกลับกรุงเทพแล้วค่ะ แม่น้ำน่านในยามเย็นของวันที่สุดท้ายในเมืองสองแควนี้ค่ะ
ระหว่างขับมอเตอร์ไซต์ผ่านสถานีรถไฟเมืองพิษณุโลก สวยเก๋ดีค่ะ
หลังจากไปเอากระเป๋าที่โรงแรมแล้วนะค่ะ ดิฉันก็แว๊นมอเตอร์ไซต์มาคืนที่ร้านจ่าเอกที่ บขส.ค่ะ จากนั้นก็นั้งวินไปที่สนามบิน ราคา 120 บาทค่ะ ถูกกว่าแท๊กซี่ 30 บาทค่ะ
แต่นั่งวินมอเตอร์ไซต์เร็วกว่ามากค่ะ เพราะวันนั้น เป็นวันธรรมดาทั้งนักเรียนและคนเลิกงาน รถติดมากๆค่ะ แต่ก็นั่งวินมาถึงสนามบินทันเวลาเช็คอินน์พอดีค่ะ
เวลา 18.00 นั้งเครื่องบินออกจากเมืองสองแคว ปลอดภัยคลาดแคล้วถึงสนามบินดอนเมืองอย่างปลอดภัยโดยสวัสดิภาพค่ะ จบทริปเที่ยวพิษณุโลก 3 วัน 2 คืน แอบไปร่มรื่นที่วัดผาซ่อนแก้วเพชรบูรณ์มาด้วย ถือเป็นทริปที่สนุก สงบ และท้าทายไม่น้อยค่ะ
ขอขอบพระคุณชาวพิดโลกที่บอกเส้นทางและให้คำแนะนำในการเช่ามอเตอร์ไซต์เที่ยวในครั้งนี้นะค่ะ และขอบพระคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ทุกท่านที่เสียสละเข้ามาอ่าน มาสไลด์ดูรูปภาพที่ดิฉันได้ถ่ายมาในครั้งนี้ค่ะ ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รีวิวเที่ยวเมืองพิษณุโลก เที่ยวบ้านรักไทย เนินมะปรางในครั้งนี้ คงมีประโยชน์ต่อทุกๆท่านไม่มากก็น้อยนะค่ะ หากมีข้อผิดพลาด อักขระพิมพ์ ผิดๆตกหล่นประการใด ดิฉันเองต้องกราบขอขมาลาอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
บล็อกเกอร์สมัครเล่น
-------------------------------------
รวมบทความบล็อกอื่นๆ มีดังนี้
ที่พักในอำเภอวังทอง และที่พักแก่งซอง ติดริมแม่น้ำ ราคาประหยัด คลิ๊กดูที่พักค่ะ>> |
รวมล่าสุดที่พักพิษณุโลกเปิดใหม่ ราคาถูก ประหยัด มีสระว่ายน้ำ สำหรับครอบครัวนอนสบายๆ ไม่แพงอีกด้วย คลิ๊กดูรายชื่อที่พัก+เบอร์โทรติดต่อค่ะ>>>
หรือดูข้อมูลที่เว็ปไซต์ : bit.ly/35hT3kX
0 ความคิดเห็น