แบ็คแพ็ครีวิวเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน ตอนที่ 8 ผ่านเมืองอาโอโมริ แวะไปชมศิลปะทุ่งนาข้าวผลิหลากสีที่ Inakadate Village |
เอาล่ะค่ะ เกริ่นบ่นมาซ่ะยาว บล็อกในวันนี้ ดิฉันขอมาพรรณนา พร่างพราย ร่ายบทรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูร้อนต่อนะค่ะ หลังจากตอนที่แล้ว เดี๊ยนได้พาคุณผู้อ่านทุกท่านไปแบกเป้ เดินเที่ยวบนหลังคาญี่ปุ่นกับเส้นทางเทือกเขาทาเตยามะ เขื่อนคุโรเบะมาแล้วนะค่ะ ถือเป็นทริปแสนวิเศษที่ได้มีโอกาศลางาน มาเปิดมุมมองใหม่ ได้เดินบนภูเขาที่สวยงามเว่อร์วังอลังการสะท้านโลกาจริงๆนะค่ะ
โดยรีวิวในทริปนี้อาจไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากนักค่ะ เพราะจริงๆแล้ว เดี๊ยนกะว่าจะเดินทางจากเมืองนากาโน่ไปเมืองซับโปโรเลย ซึ่งการเดินทางจากภาคกลางไปสู่ทางภาคเหนือ หากเดินทางด้วยรถไฟก็ใช้เวลาเดินทางทั้งวันแล้วค่ะ แต่ด้วยระหว่างการเดินทางด้วยรถไฟ บางครั้งดิฉันว่ามันก็รู้สึกน่าเบื่อมากๆเลยค่ะ ดิฉันเลยวางแผนไว้ขอหยุดแวะพักระหว่างทาง เพื่อยากไปเปิดหู เปิดตา ไปเดินลั๊ลลา ชิลๆ ชมสถานที่ท่องเที่ยวในเขตโทโฮคุสักหน่อยค่ะ เลยปักหมุดไปชมศิลปะบนทุ่งนาข้าวหลากสีอันที่ อินาคาดาเตะค่ะ ซึ่งเป็นฟาร์มทุ่งนาที่มีชื่อเสียงโด่งดังและปังมากๆ อยู่ในจังหวัดอาโอโมริค่ะ
โดยระหว่างนั่งรถไฟ shinkansen จากเมือง Nagano ไปสุดปลายทางที่เมือง Hakodate นั้น เดี๊ยนกะเวลาดูแล้ว น่าจะมีเวลาเหลือพอไปชมทุ่งนา Inakadate สัก1-2 ชั่วโมงค่ะ...แต่พอวันที่ไปเที่ยวจริงแล้ว ไม่ได้เป็นไปตามแผนนะค่ะ กลายเป็นทริปชะโงกทัวร์ไปค่ะ เพราะเวลาเที่ยวกระชันชิดมากๆค่ะ ต้องแบกเป้ใบใหญ่ลงจากสถานี shin aomori แล้วนั่งรถไฟ JR ต่อไปยังสถานี Hirosaki ค่ะ จากนั้นก็นั่งรถบัสโดยสารต่อไปอีก ซึ่งการเดินทางไปชมทุ่งนาที่หมู่บ้านนี้นะค่ะ มีแค่ รถบัสโดยสารเท่านั้นค่ะ ซึ่งการเดินทางไปโดยรถบัสก็ออกเป็นเวลานะค่ะ ทำให้ดิฉันมีเวลากับการไปชมทุ่งนาแห่งนี้ไม่ถึง 1 ชั่วโมงค่ะ เนื่องจากต้องรีบเดินทางกลับมายัง Shin aomori ต่อ เพื่อจะได้ทันเวลานั่งรถไฟไปยังเมืองซับโปโร เกาะฮอกไกโดค่ะ ไม่งั้นหากมาช้าก็จะไม่มันรถไฟค่ะ
และเพื่อไม่งวยงง หรือสันสนกับเนื้อหารีวิวท่องเที่ยวญี่ปุ่นแนวๆกากๆของดิฉันนะค่ะ ท่านสามารถไปอ่านบทความรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูร้อนก่อนหน้านี้ได้ค่ะ โดยแบ่งเป็นตอนๆ เป็นมหากาพย์ดังนี้ค่ะ
ตอนที่ 1 : รีวิวเที่ยวเมืองวาคายาม่า ไปลั๊ลลานั่งรถไฟแมวเหมียวทามะสุดน่ารัก คลิ๊กดูที่เว็ป khunnaiver.blogspot.com/2017/07/1.html
ตอนที่ 2 : รีวิวเที่ยวเมืองคาโกชิม่า นั่งรถไฟลั๊นลาไปอบทรายร้อน งามออนซอนแท้เด้ คลิ๊กดูที่เว็ป khunnaiver.blogspot.com/2017/07/2.html
ตอนที่ 3 : รีวิวท่องเที่ยวเมืองฟูกุโอกะ ชมเทศกาลยามากาสะในฤดูร้อน งามอรชร หาดทรายสวย รวยเสน่หา คลิ๊กดูที่เว็ป http://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/3.html
ตอนที่ 4 : รีวิวท่องเที่ยวเมืองฮิโรชิม่า เดินลั๊นลาตามรอยระเบิดเคลียร์ ไปนั่งทักเปียผม ชมนกไม้ พร่างพรายดูสะพาน 5 โค้ง คลิ๊กดูที่เว็ป :http://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/4.html
ตอนที่ 5 : รีวิวเดินเที่ยวเมืองโอคายาม่า ไปเดินย้อนเวลาสมัยเอโดะที่เมืองเก่าคุราชิกิ ชื่นชมใบไม้ผลิสีแดง ร้อนแรงใจ คลิ๊กดูได้ที่เว็ป : http://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/5.html
ตอนที่ 6 : รีวิวเดินเที่ยวเมืองทาคาย่าม่า เดินชมตลาดเช้าทาคายาม่า ชมวิวทุ่งนาที่ชิราคาวาโก งามไฮโซ เฮโลเริ่ดเว่อร์ :http://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/Shirakawagoreview.html
ตอนที่ 7 : รีวิวเดินทางไปสัมผัสความหนาวบนเทือกเขาทาเตยาม่า สวยระย้าหิมะกำลังละลายในฤดูร้อน งามอรชรดีเลิศเว่อร์ : https://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/japan-alpine-review.html
ตอนที่ 9 : รีวิวเที่ยวเมืองซับโปโรในช่วงฤดูร้อน คลิ๊กดูรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ http://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/Sapporotravelreview.html
ตอนที่ 10 : รีวิวปั่นจักรยานไปชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่เมืองฟูราโน่ คลิ๊กดูรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ http://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/Furanotravel.html
ตอนที่ 11 : รีวิวขี่จักรยานชมไร่ข้าวบาร์เลย์สีทองอร่ามที่เมืองบิเอะ คลิ๊กดูรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ http://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/Bieitravelreview.html
ตอนที่ 12 : รีวิวเที่ยวเมืองฮาโกดาเตะ เมืองท่าแสนโรแมนติค ศิลปะชิคๆเก๋ๆ คลิ๊กดูรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ http://khunnaiver.blogspot.com/2017/08/Hakodate-travel-review.html
ตอนที่ 13 : รีวิวเที่ยวเมืองโตเกียว นั่งรถไฟไปเที่ยวไหว้พระใหญ่คามากุระ คลิ๊กดูรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ http://khunnaiver.blogspot.com/2017/09/Tokyo-travel-review.html
ตอนที่ 14 : รีวิวนั่งรถไฟไปชมภูเขาไฟฟูจิซัง นั่งชมทะเลสาบคากูชิโกะ คลิ๊กดูรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ http://khunnaiver.blogspot.com/2017/09/fujimountain-travel-review.html
ตอนที่ 15 : ตอนจบ สิ้นการเดินทางแสนไกล แวะซื้อของฝากในโอซาก้า คลิ๊กดูรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ http://khunnaiver.blogspot.com/2017/09/Osaka-travel-review.html
โอ้ยบ่นมาเยอะตามประสาคนแก่นะค่ะ ขอมารีวิวตามภาพเลยแล้วกันค่ะ เพื่อจะได้เห็นภาพค่ะ หากใครที่จะมาชมทุ่งนาข้าวที่นี้ วางแผนมาดูทุ่งนาข้าวนี้เลยครึ่งวัน หรือ 1 วันค่ะ จะได้ไม่ต้องมาชะโงกทัวร์เหมือนเดี๊ยนนะค่ะ
วันที่ 18 ก.ค.2560 ดิฉันตื่นแต่เช้าตรู่เลยค่ะ แต่ก็ยังรู้สึกงัวเงียอยู่ไม่น้อย และมีอาการปวดขาเอาเสียมากๆเลยนะค่ะ สงสัยเป็นเพราะทริปเดินเขาเมื่อวานนี้แน่ค่ะ และอากาศและท้องฟ้าในเมือง Nagano ยามเช้านี้ ก็แจ่มใส ไร้มลทินของฝนฟ้าที่จะตก แต่เปิดหน้าต่างออกไป อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนกันนะค่ะ
แผนการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อน 14 วัน |
เช้าตรู่ที่ โรงแรม Smile Hotel Nagano เมือคืนนี้นอนพักสบายนี้ โดยรวมให้ผ่านค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดห้องพัก: https://goo.gl/JWc3cS |
อาหารที่โรงแรม Smile Hotel Nagano ห้องพักราคาถูก ประหยัด มีอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ให้ทานด้วย |
โดยอาหารเช้าที่โรงแรม Smile Hotel Nagano ก็มีให้เลือกทานหลากหลายค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดที่พัก : https://goo.gl/JWc3cS |
รสชาติอาหารอร่อยแนวกลมกล่อมดีใช่ได้ค่ะ แต่ส่วนใหญ่เป็นอาหารแนวๆญี่ปุ่นนะค่ะ |
และหลังจากที่ได้ทานอาหารเช้า พอแค่อิ่มท้องแล้วนะค่ะ ดิฉันก็เช็คเอาท์ และแบกเป้เดินทางออกจากโรงแรมที่พักไปยังสถานีรถไฟ Nagano เพื่อเดินทางไปยังเมือง Aomori ตามแผนที่ได้วางไว้ค่ะ
สำหรับใครที่วางแผนจะมาเที่ยวเมืองนากาโน่ มองหาโรงแรมราคาถูก ใกล้สถานีรถไฟ JR และ shinkansen ก็มาพักค้างได้ คะแนนรีวิวโดยรวม เดี๊ยนให้ผ่านค่ะ เข้าไปดูรายละเอียดห้องพักเพิ่มเติมที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/JWc3cS
เดินแบกเป้มาได้สัก 1 กิโลเมตร เล่นเอาเดี๊ยนเหงื่อแตกซิกๆเลยค่ะ เพราะอากาศอบอ้าว และร้อนรุ่มเร้าดั่งไฟสุ่มทรวงมากๆค่ะ
เมื่อมาถึงสถานีนากาโน่แล้วนะค่ะ ก็เข้าไปจองตั๋วนั่งรถไฟชินกันเซน เพื่อเดินทางไปยังอาโอโมริค่ะ
วิธีการเดินทางจากเมือง Nagono ไปยังเมือง Aomori โดยรถไฟ Shinkansen
นั่งรถไฟชินกันเซนออกจากสถานีรถไฟนากาโน่ เวลา 8.55 น. ไปถึงสถานีรถไฟ Omiya เวลา 9.54 น.
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนชานชลาที่สถานีโอมิยะ เวลา 10.00 น. เพื่อนั่งรถไฟไปสถานี Shin-aomori ถึงเวลา 12.35 น.ค่ะ ใช้เวลาไป 4 ชั่วโมงกว่าเลยนะค่ะ
นั่งรถไฟชินกันเซนจากสถานีรถไฟ นากาโน่ ไปสถานีโอมิยะ เมืองไซตะมะค่ะ
ใช้เวลานั่งรถไฟชินกันเซนจากนากาโน่ไม่นานนัก จากนั้นก็เปลี่ยนชานชลามาขึ้นรถไฟชินกันเซนที่สถานีโอมิยะ เพื่อเดินทางไปยังอาโอโมริค่ะ
นั่งรถไฟมาได้ 4 ชั่วโมงก็เที่ยง ได้เวลาหม่ำๆ รับประทานอาหารเที่ยงแล้วนะค่ะ ข้าวเที่ยงมื้อนี้ ไม่พ้นร้านสะดวกซื้อค่ะ ข้าวปั่นซูชิ
ซื้อพุดดิ้งมาทานด้วย เพิ่มความอ้วน เพื่อเช้านี้เห็นพุดดิ้งที่โรงแรมน่าทานมากๆค่ะ แต่ไม่ได้ทานค่ะ ก็เลยซื้อที่ร้านลอซัน เอามาทานบนรถไฟเลยค่ะ
พอทานข้าวอิ่มแล้วนะค่ะ ก็มีเสียงประกาศว่าใกล้ถึงสถานีชินอาโอโมริ ให้ผู้โดยสารเตรียมตัวลงเลยนะค่ะ เพราะสถานีจะจอดแค่แป๊บเดียวเท่านั้นค่ะ
ถึงสถานีชินอาโอโมริแล้วค่ะ เดินลงจากบันใดมาก็จะเห็นรูปโคมไฟสีสันโดดเด่นแปลกตา เพื่อต้อนรับเทศกาลเนบุตะค่ะ เป็นเทศกาลแสดงโคมไฟอันยิ่งใหญ่ประจำเมืองอาโอโมริเลยค่ะ
โดยตัวตัวโคมไฟมีขนาดตั้งแต่ 3-9 เมตรค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะทำจากกระดาษเพนท์สีประดับบนโครงข้าง ส่วนด้านในเป็นไฟฟ้าเมื่อติดไฟก็สว่างให้เกิดสีสัน โดยหุ่นที่นำมาทำโคมไฟก็มีรูปร่างแตกต่งกันไปทั้งเทพเจ้า ปีศาจ ประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงก็ได้ค่ะ
โดยหุ่นที่นำมาทำโคมไฟก็มีรูปร่างแตกต่งกันไปทั้งเทพเจ้า ปีศาจ ประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงก็ได้ค่ะ
เมื่อลงจากสถานีชินอาโอโมริแล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็แบกเป้เดินลงมาชั้นล่าง เพื่อเปลียนชานชลา มาขึ้นรถไฟ JR ไปยังสถานี Hirosaki ค่ะ
วิธีการเดินทางจากสถานี Aomori ไปยัง Hirosaki station
นั่งรถไฟสายอะกิตะ เวลา 12.48 น. โดยรถไฟจะผ่านเมือง Hirosaki ค่ะ
ระหว่างทางนั่งรถไฟจากชินอาโอโมริ ไปยังสถานีฮิโรซากิ ก็เป็นทุ่งนาข้าวสีเขียวขจี รื่นรมย์ฤดีอร่ามจับตาคณานับมากๆค่ะตั้งแต่เดินทางมาญี่ปุ่นในเดือนนี้ ระหว่างจะเห็นวิวทุ่งนาข้าวตลอดเส้นทางค่ะ
นั่งรถไฟมองไปก็เห็นภูเขาอยู่ไกลลิบ สุดสายตา ทุ่งนาก็ใหญ่โตโอฬาร ร้าวรานทรวงในจริงๆค่ะ
นั่งรถไฟมาประมาณ 20 กว่านาทีก็ถึงแล้วค่ะ สถานีรถฮิโรซากิแล้วค่ะ
เมื่อมาถึงที่นี้แล้วนะค่ะ ดิฉันก็ยังงงๆ สับสนอยู่ไม่รู้จะเริ่มทางใหน ก็เลยเดินแบกเป้เข้าไปสอบถามเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวไปชม ศิลปะบนทุ่งนาข้าวที่หมู่บ้านอินาคาดาเตะอีกครั้งค่ะ
ถึงแม้เจ้าหน้าจะพูดภาษาอังกฤษได้ไม่มากนะค่ะ แต่ก็แนะนำเส้นทางข้อมูลให้ดิฉันอย่างดีเลยค่ะ แถมได้ข้อมูลโบว์ชัวร์ท่องเที่ยวภาษาไทยแห่งเมืองฮิโระซะกิมาด้วยนะค่ะ
และด้วยระยะเวลาอันจำกัด เจ้าหน้าที่แนะนำให้ดิฉันเดินด้วยรถบัสประจำทาง จากเมืองฮิโรซากิ ไปยังหมู่บ้าน Hatakanaka
สำหรับใครที่จะมาเที่ยวชมศิลปะบนทุ่งนาข้าวที่อาโอโมริแห่งนี้ค่ะ มีทุ่งนาให้ชมอยู่ 2 แห่งค่ะ
1.ศิลปะทุ่งนาข้าวที่หมู่บ้านอินาคาดาเตะ (Inakdate Village Hall) ซึ่งเป็นจุดชมวิวแห่งที่ 1 ค่ะ
2.ทุ่งนาข้าวที่ Tanbo Art ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟแทนโบค่ะ
โดยทั้ง 2 แห่ง มีรถตู้รับส่งฟรีจากฟาร์มที่ 1 ไปยังฟาร์มที่ 2 และฟาร์มที่ 2 ไปยังฟาร์มที่ 1 ไม่งงนะค่ะ
และนอกจากนี้ยังมีตารางเวลาโบว์ชัวร์สำหรับการเดินทางไปยังทุ่งนาข้าวแห่งนี้ด้วยค่ะ
โดยราคาธรรมเนียมในการขึ้นไปยังจุดชมวิวทุ่งนา
-ผู้ใหญ่อยู่ที่ 300 เยน
- ส่วนเด็ก 100 เยนค่ะ
อันนี้เป็นตารางเวลาการเดินทางด้วยรถบัสโดยสารจากสถานี Hirosaki ไปยังป้ายรถประจำทางในหมู่บ้าน Hatakenaka ค่ะ ไอ้ที่เค้าวงๆไว้นั้นคือ เวลาที่ดิฉันต้องนั่งรถบัสไปค่ะ เนื่องจากว่าของดิฉันเวลาจำกัดค่ะ
ส่วนอีกทุ่งนาอีกแห่งจะเป็นทุ่งนาข้าว Tanbo Art จะเดินด้วยรถไฟก็ได้ค่ะ ภาพนี้เป็นตารางโดยสารด้วยรถไฟจาก Hirosaki ไปยัง Tanbo Art ค่ะ
ส่วนภาพนี้เป็นข้อมูล เวลาในการบริการของรถตู้ที่จะรับส่งฟรีจาก ทุ่งนาที่ 1 ไปยังทุ่งนาที่ 2 ค่ะ ใช้เวลานั่งรถตู้ประมาณ 10 นาทีค่ะ
พอได้ทราบข้อมูลและโบชัวร์ตารางเวลามาแล้วนะค่ะ ดิฉันก็เดินออกจากสถานีรถไฟ Hirosaki มารอขึ้นรถโดยสารประจำทางป้ายหมายเลข 5 ค่ะเพื่อไปยัง
ระหว่างทางที่ดิฉันนั่งรถก็ไม่รู้นะค่ะว่าป้ายรถโดยสารที่ต้องลงแห่งหมู่บ้านนี้อยู่ตรงใหน เลยไปสอบถามคนที่นี้ บอกว่า inakadate เดียวเค้าก็บอกเองค่ะ คนที่นี้ก็ใจดีนะค่ะ ส่วนค่ารถโดยสารไปยังหมู่บ้าน อินาคาดาเตะ อยู่ที่ 490 เยนค่ะ
เดินทางมาไม่นานก็ถึงแล้วค่ะ มีคุณยายท่านนึงมาบอกดิฉันว่าถึงแล้ว ดิฉันก็เตรียมตัวค่ะ ลงจากรถ สำหรับป้ายรถโดยสารในหมู่บ้าน เป็นป้ายเล็กๆค่ะ ไม่มีศาลากันแดดอะไร เดินออกมารับแสงแดดเปรี้ยงสุดๆเลยนะค่ะ มองไปก็เห็นท้องฟ้าแจ่มใส งามไฉไลสุดเก๋มากๆค่ะ พร้อมอากาศที่ร้อนุร่มเร้าดั่งไฟเผาทรวงจริงๆค่ะ
มองเห็นหอคอยชมวิวทุ่งนาแล้วค่ะ เดินตามฟุตบาตไปเรื่อยๆค่ะ แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกหน่อยก็ถึงค่ะ
เดินเข้ามาท่ามกลางอากาศที่ร้อนรุ่มเร้า ดั่งไฟเผาทรวง ก็ได้เห็ฺนทุ่งนาข้าวหลากสี หลายสายพันธ์กำลังงอกเงยกัน อย่างเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆค่ะรอกลายเป็นรวงข้าวค่ะ แต่ตอนที่เดี๊ยนมาถึงในช่วงนี้ ต้นข้าวยังเป็นใบๆอยู่เลยนะค่ะ
ดิฉันก็สงสัยไม่น้อยนะค่ะว่า คนปลูกข้าวเค้าเอาสีมาทาที่ต้นข้าวหรือเปล่า ทำไมถึงได้ทำให้ต้นข้าวมีหลากสีจังนะค่ะ
พอเดินเข้าไปใกล้ๆก็เป็นต้นข้าวจริงๆนะค่ะ มีต้นข้าวสีดำ สีขาว สีเหลือก็มีนะค่ะ และก็สีน้ำตาลค่ะ เห็น มีป้ายติดไว้ด้วยตรงนั้น บอกสายพันธ์ข้าวหรือป้ายเตือนห้ามลงนาข้าวก็ไม่รู้นะค่ะ เดี๊ยนอ่านไม่ออกค่ะ เลยเดาๆเอา
เดินมาอีกนิดก็จะเป็นหอคอยสำหรับขึ้นไปยังจุดชมวิวค่ะ
เมื่อมาอาคารหอคอยจุดชมวิวทุ่งนานะค่ะ เมื่อมาถึงแล้วก็ไม่พลาด ขึ้นไปชมและถ่ายรูปภาพวิวทุ่งนาด้านบนค่ะ โดยจะต้องเสียค่าธรรมเนียมขึ้นไปชมค่ะสำหรับการซื้อตั๋วเข้าชมวิวทุ่งนาที่นี้ก็มีค่าธรรมเนียอยู่ที่ 300 เยนค่ะ ต้องไปซื้อกับเครื่องซื้อบัตรอัตโนมัตินะค่ะ มีภาษาอังกฤษบอกอยู่ค่ะ และมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำด้วยค่ะ
กดซื้อค่าธรรมเนียมเพื่อขึ้นไปจุดชมวิวกับเครื่องซื้อบัตรอัตโนมัติ ได้มาแล้ว 300 เยน
จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่กดลิฟท์ให้ขึ้นมาที่ชั้น 4 ค่ะ เดินออกจากลิฟท์มาอีกนิดหน่อยก็จะเป็นลานชมวิวค่ะ
ถึงแล้วค่ะลานชมวิวชมทุ่งนาข้าวอินาคาดาตะ ตอนมาถึงมีนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง ส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นค่ะ
มองลงไปก็จะเป็นภาพศิลปะทุ่งนาสวยงามมากๆค่ะ ตัดกับท้องฟ้าสีใสสด งดงามแปลกตาดีค่ะ มีถนนคั่นตรงกลางทุ่งนา
ภาพที่เห็น ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นภาพศิลปะเกี่ยวกับเทพเจ้านะค่ะ ดิฉันเองก็จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ทุ่งนาสองฝั่งมีถนนคั่นตรงกลาง ฝั่งขวาเป็นภาพมังกร อีกฝั่งเป็นภาพคนหรือปีศาจมิรู้ได้ เดาเอาค่ะ
ภาพสีสันดูสวยงาม อลังการดีนะค่ะ เป็นการปลูกข้าวต่างสายพันธ์ ทำให้มีสีสันแตกต่างกัน คนญี่ปุ่นก็ช่างคิด สรรสร้างงานการทำนาข้าว จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ดึงดูดเงินตราจากนักเดินทางทั่วสารทิศให้มา น่าจะเอามาทำในเมืองไทยบ้าง เดี๊ยนว่าไอเดียนี้ดีไม่น้อยเลยนะค่ะ เพราะที่เมืองไทยเราก็ทำนากันเยอะค่ะ
ดูสวยงาม เหมือนเค้าเอาสีอะไรมาวาดบนผืนนาเลย มองไปเหมือนไม่ใช่ต้นข้าว แต่พอเดินไปดูใกล้ๆก็เป็นต้นข้าวจริงๆค่ะ
นักท่องเที่ยวที่มาส่วนใหญ่ที่มาเที่ยว ก็ตื่นตาอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ เพราะเคยเห็นแต่ในอินเตอร์เน็ต พอมาเห็นของจริงก็สวยงามแปลกตาดีค่ะ
มองไปตามถนนอีกเส้น ก็เป็นหมู่บ้าน มีภูเขาเรียงราย กับท้องฟ้าสีสันสดใส งามไฉไลสุดเก๋ดีเริ่ดค่ะบรรยากาศโดยจากจุดชมวิว ก็เป็นหมู่บ้านและชุมชนค่ะ
ซูมกล้องไปด้านกล่าง กำลังเห็นคนกำลังถ่ายทำอะไรสักอย่างค่ะ น่าจะเป็นรายการทีวีนะค่ะ
และหลังจากที่ดิฉันได้ชมวิวทุ่งนาข้าวที่นี้ไม่นาน น่าจะประมาณ 20 กว่านาที่ได้นะค่ะ ก็ได้เวลาเดินทางต่อแล้วค่ะ โดยนั่งแท๊กซี่จากจุดชมวิว บอกคนขับให้ไปส่งที่สถานีรถไฟ kawabe ค่ะเนื่องจากอยู่ใกล้ทุ่งนาอินาคาดาเตะที่สุดแล้วค่ะ
ถือเป็นทริปชะโงกทัวร์ ใจเต้นระรัวไม่น้อยนะค่ะ เพราะเป็นการนั่งรถแท๊กซี่ในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกของดิฉันค่ะ ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแท๊กซี่ญี่ปุ่นว่าบริการดี ราคาแพงไม่ใช่น้อย ได้สัมผัสแล้วก็เหมาะสมกับราคาค่ะ
หากดิฉันมีเวลามากพอก็จะได้ไปชมทุ่งนาแห่งที่ 2 ต่อนะค่ะ คือทุ่งนา tanbo Art ค่ะ เพราะมีรถตู้รับส่งฟรีจากฟาร์มที่ 1 ไปฟาร์มที่ 2 แต่ด้วยเวลาจำกัด ต้องรีบเดินทางไปเมืองซับโปโรต่อ
คนขับแท๊กซี่พาดิฉันขับไปตามตรอก ซอกซอยถนนจนมาถึงสถานี Kawabe ค่ะ ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมากนักประมาณ 4 กิโลกว่าๆค่ะ คนขับบริการดี ราคาโดยสารแท๊กซี่ 1500 เยนค่ะ หรือท่าเทียบเป็นเงินไทยก็ 450 บาทเลยนะค่ะ
แนะนำนะค่ะ ถ้าเพื่อนนักเดินทางท่านใด แวะมาเที่ยวชมทุ่งนาที่นี้วางแผนมาเที่ยวไปเลย 1 วันค่ะ เพราะใช้เวลาพอสมควรค่ะ โดยเฉพาะเวลาเรื่องการเดินทางค่ะ และมีเวลาเหลือก็ยังได้ไปชมปราสาทฮิโรซากิด้วยค่ะ จะได้ไม่ต้องมารีบเที่ยวแบบเดี๊ยนนะค่ะ
มาถึงสถานีคาวาเบแล้วค่ะ รอรถไฟ JR เที่ยวเวลา 15.39 น.
นั่งรถไฟจากสถานี Kawabe มาลงที่ สถานี Shin-aomori จากนั้นก็เข้าไปจองตั๋วรถไฟค่ะ
ได้ตั๋วแล้วค่ะ ใบแรกเป็นตั่วการเดินทางด้วยรถไฟชินกันเซนจาก ชินอาโอโมริ เวลา 16.45 น.ไปถึงสถานี shin hakodate เวลา 17.51 น.ค่ะ
หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งรถไฟ JR ธรรมดาวิ่งจากชินฮาโกดาเตะเวลา 18.11 น.ไปถึงเมืองซับโปโร 21.35 น.ค่ะ
ระหว่างรอรถไฟนะค่ะ เดี๊ยนเลยได้ซื้อของฝากประจำเมืองอาโอโมริมาค่ะ
ลองแกะมาทานดู เป็นขนมถั่วอบค่ะ รสชาติอร่อยดี กรุบกรอบ ไว้ทานเล่น รสชาติคล้ายๆขนมถั่วทอดในเมืองไทยเราเลยค่ะ แต่ของเค้าเอาไปอบ เลยไม่ค่อยมันเยิ้มเท่าไหร่ค่ะ
นั่งรถไฟชินกันเซนมาได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆก็ถึงสถานี ฮาโกดาเตะ โฮกุโตะ(Hakodate) ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟชินกันเซนแล้วค่ะ นั่งรถไฟข้ามทะเล ข้ามมาถึงเกาะฮอกไกโดแล้วค่ะ
จากนั้นก็รถขึ้นรถไฟ Super Hokuto จาก hakodate Hokoto Shin ไปลงที่เมือง Sapporo ซึ่งเป็นเมืองปลายทางที่จะไปนอนคืนนี้ค่ะ
รู้สึกอากาศเย็นดี สีสมร อรชร อ๊อนแอ๊นดีเหลือเกินค่ะ
รอรถไฟเที่ยวเวลา 18.11 น. เพื่อเดินทางไปยังเมืองซับโปโรค่ะ
ระหว่างเดินออกมานั่งรอเพื่อขึ้นรถไฟ อากาศบนเกาะฮอกไกโดรู้สึกเย็นเป็นพิเศษเลยนะค่ะ
อากาศที่ฮาโกดาเตะเย็นสบาย ต่างกันกับอากาศที่เมืองอาโอโมริโดยสิ้นเชิงเลยค่ะ
รถไฟมาถึงแล้วค่ะ ก็ได้ที่นั่งริมหน้าต่างเลยค่ะ แต่เสียดายรถไฟ JR รุ่นนี้ไม่มีเหมือนรถไฟชินกันเซน ซึ่งมีที่เสียบปลั๊กไฟสำหรับที่นั่งริมหน้าต่างค่ะ ทำให้ดิฉันต้องหาหนังสือมาอ่าน หรือไม่ก็ชมวิวริมทางไปแทนค่ะ เพราะเวลาเดินทางจากฮาโกดาเตะไปซับโปโร ก็ใช้เวลานานพอสมควรค่ะ
ระหว่างนั่งรถไฟก็ผ่านทะเลสาบโอนุม่าด้วยค่ะ (Lake Onuma)
ได้เวลาทานอาหารเย็นแล้วค่ะ อาหารเย็นมื้อนี้ ก็คืออาหารเหลือเมื่อตอนเที่ยงค่ะ พอดีทานไม่หมด เลยยัดใส่กระเป๋าไว้ ตอนแรกคิดว่าจะบูดแล้วนะค่ะ แต่ก็ไม่บูด เลยเอามาทานต่อเป็นมื้อเย็นรองท้องไปก่อนค่ะ ระหว่างนั่งรถไฟค่ะ
นั่งรถไฟมาเสียนาน ก็ถึงสักทีค่ะ เมืองซับโปโร ถึงตามเวลาเป๊ะค่ะ 21.35 น.
เดินออกจากสถานีรถไฟมา เดี๊ยนแทบช๊อคค่ะ เพราะอากาศมันเย็นมากๆ จนเดี๊ยนต้องรีบเปิดกระเป๋าหาเสื้อคลุมมาใส่ด่วนเลยค่ะ
เห็นคนที่นี้ไม่ค่อยสะทกสะท้านกับอากาศเลย สงสัยจะชินแล้วนะค่ะ
ดิฉันเดินออกจากสถานีรถไฟ เพื่อเดินทางไปยังโรงแรมที่ได้จองไว้แล้วค่ะ โดยระยะทางจากสถานีรถไฟซ้บโปโรไปยังที่พักแถวซูกาโน่ ก็ไม่ได้ใกล้ๆเลยนะค่ะ แต่ด้วยอยากประหยัดเงินเลยขอเดินไปดีกว่า จะได้แวะโน้น แวะนี้ด้วยนะค่ะ
ข้ามทางม้าลายมา เจอป้ายบอกอุณหภูมิอยู่ที่ 19 องศาค่ะ
อันนี้ขนาดฤดูร้อนนะค่ะ อยู่ที่ 19 องศา ถ้าเป็นในเมืองไทยเราอุณหภูมิ 19 องศาคงเป็นฤดูหนาวค่ะ แต่พอเดินมาสักพักก็เริ่มร้อนแล้วค่ะ เพราะแบกเป้ใบใหญ่ มืออีกข้างก็หิวเป้ ด้านหน้าสะพานเป้เล็ก ด้านหลังสะพายเป้ใหญ่ เป็นใยเพิงพะรุงพะรังมากๆค่ะ เดินไปก็หยุดไปนะค่ะ เพราะเริ่มปวดหลัง
เดินไปสักพัก 1 กิโลก็ถึงสวนโอโดริแล้วค่ะ มองเห็นซับโปโรทาวเวอร์กำลังเล่นแสงสีอยู่ค่ะ
เดินผ่านย่านการค้า แหล่งช๊อปปิ้ง เดินมาเริ่มเหนื่อยค่ะ ทำไมโรงแรมอยู่ไกลจังเลยน๊า
เดินไปเรื่อย ผ่านย่านการค้าย่านซูกาโน่
เดินมาถึงอีกแหล่ง ตรงนี้จำได้เคยมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เคยมาหลงทางตรงนี้ เนี่ยแหละค่ะ สีแยก Sukano
แยกซูกาโน่ แหล่งช๊อปปิ้งย่านใจกลางเมืองซัปโปโรค่ะ
ดิฉันเดินเปิดมือถือดู GPS ตามเส้นทางมาเรือย ผ่านชิงช้าสวรรค์
365 Hostel sapporo โรงแรมในซัปโปโร ราคาถูก หลักร้อย สำหรับคนงบน้อย เบี้ยน้อย หอยน้อย |
รวมระยะทางเดินจากสถานีซัปโปโรมาที่นี้ รวมแล้วประมาณ 3 กิโลได้ค่ะ เล่นเอาเดี๊ยนหอบกิน เหงื่อท่วมตัวค่ะ รู้งี้นั่งรถไฟใต้ดินมาก็ดีค่ะ
เมื่อถึงโรงแรม 365 แล้วก็เข้าไปเช็คอินน์ด้านในค่ะ พอเข้าไปเจ้าที่พักก็อัธยาศัยดีมากๆนะค่ะ มีน้ำมาให้ดื่มเป็น welcome drink และแนะนำร้านอาหารการกินใกล้ที่พักให้ค่ะ
365 Hostel sapporo |
ramen shingen sapporo |
ramen shingen sapporo |
ramen shingen sapporo |
เห็นลูกค้าทานที่ร้านนี้แล้ว น่าจะอร่อยนะค่ะ เพราะแต่ละคน ซดทานกันแบบสุดฤทธิ์ สุดเด็ด ซดทั้งน้ำทั้งเส้นเสียงดังฟังชัดเชียวค่ะ ถ้าเป็นในเมืองไทย ทานอาหารเสียงดังแบบนี้ คงดูจะไม่งามแน่ๆนะค่ะ แต่ที่นี้ญี่ปุ่นค่ะ หากมาทานราเมง ที่บ้านเค้าบอกให้ซดเสียงดังๆค่ะ
มาแล้วค่ะ ราเมงชามโต สมราคานะค่ะ ชามใหญ่เบอเริ่มเทิ่ม ถ่ายรูปไปเหมือนจะเล็ก แต่ไม่เล็กเลยค่ะ พอได้ชิมลิ้มลองตักเข้าปาก กลืนลงคอแล้ว รสชาติเผ็ดเล็กน้อย ออกซ่าๆนิดๆ อร่อยดีค่ะ
เดี๊ยนทานราเมงมื้อนี้เป็นมื้อดึกตอน 5 ทุ่มค่ะ ค่าเสียหาย 760 เยนค่ะ
หลังจากทานราเมงอิ่ม เดี๊ยนก็เดินทางกลับที่พัก
เอากระเป๋าขึ้นมาที่ห้องพัก ลักษณะเป็นโฮสเทล ห้องนอนรวม ที่นอนแบบแคปซูลเล็กๆ มีฟูกผ้าห่ม หมอนให้ค่ะ แต่ไม่มีผ้าขนหนูนะค่ะ
ที่นอนก็ไม่ได้เล็กมาก แต่เพดานเตี๊ยไปหน่อยค่ะ ด้านในก็มีปลั๊กไฟ ตู้เก็บของให้ค่ะ มีไฟดวงเล็กๆให้แสงสว่าง เหมาะสมกับราคาที่พักในเมืองหลวงแห่งเกาะฮอกไกโดค่ะ
และหลังจากที่ได้ทำภารกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้วนะค่ะ ดิฉันก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ตอนแรกว่าจะเปิดคอมทำงานต่อ แต่ดึกมากๆแล้ว เลยตัดสินใจเข้านอน และหลับปุ๋ยฝันดีปนฝันร้าย เป็นใยป้านอนสลบไสลไปตลอดคืนเลยค่ะ เพราะแบกเป้ใบใหญ่นั่งรถเมลล์ ต่อรถไฟ สนุกไฉไลยิ่งนักเอย
จบทริปแวะเที่ยวอาโอโมริ สรุปคือวันนี้ ได้แวะชมทุ่งนาตามที่ได้ปักหมุดไว้ แต่เสียดายไม่ได้ชมทั้ง 2 แห่งค่ะ เพราะเวลาจำกัดมากๆ กลายเป็นทริปชะโงกทัวร์ไปค่ะ ไว้โอกาสหน้าคงได้มีโอกาศไปเยือนอีกนะค่ะ
สำหรับบทความแบ็คแพ็ครีวิวเที่ยวญี่ปุ่นในหน้าร้อนตอนที่ 8 นี้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้นะค่ะ ดิฉันหวังว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับนักเดินทางทุกๆท่านไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณทุกๆท่านที่เสียสละเวลาเข้ามาคลิ๊กเปิดอ่านหรือสไลด์ดูภาพกันนะค่ะ หวังว่าจะได้พบกันอีกในบล็อกถัดไปนะค่ะ เพราะยังไม่จบค่ะ มีตอนที่ 9 ต่อค่ะ อย่าลืมมาคลิ๊กเปิดอ่านกันดูนะค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
บล็อกเกอร์สมัครเล่น
----------------------------------------------------------
รวมบทความบล๊อกเที่ยวเดือนละ 1 ครั้ง มีดังนี้ค่ะ(จะทยอยอัพเดทเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เว็ปบล็อกร้างไปค่ะ)
แบ่งปันเที่ยวฟูจิปีนี้ พักแถวใหนดีกับโซนยอดฮิต ที่คู่รักมาพิชิตนอนกัน คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูข้อมูลที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/340RSFu
เที่ยวเทศกาลฮานามิ และรีวิวการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินในตัวเมืองมาฝากจ้า คลิ๊กดูรีวิว>> |
แนะนำโรงแรมในนาโกย่า ใกล้สถานีรถไฟ ราคาสุดประหยัด คลิ๊กดูข้อมูลที่พักค่ะ>> |
แนะนำโรงแรมในซัปโปโร ห้องนอนคู่ดูโอ้ ใกล้สถานีรถไฟ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
ที่พักเมืองโตเกียว เอาใจขาเที่ยวงบน้อยๆ คลิ๊กดูที่พักค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวประจำเดือน ก.ค.2560 เที่ยวญี่ปุ่นตอนจบ สรุปค่าใช้จ่าย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 14 ไปชมภูเขาไฟฟูจิซัง นั่งดูวิวทะเลสาบคาวากูชิโก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 13 นอนค้างโตเกียว นั่งรถไฟไปเที่ยวคามากุระ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
10 ที่พักโอซาก้า ราคาถูกสุดๆ ใกล้สถานีรถไฟ JR คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 12 เดินชิลเมืองท่าเรือสุดแสนโรแมนติก ริมทะเล คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 11 ขี่จักรยานชมไร่นาเมืองบิเอะ สวยเป๊ะเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 10 ปั่นจักยานไปชมดอกลาเวนเดอร์บานๆ อลังการเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 7 รีวิวการเดินทางไปหลังคาญี่ปุ่นด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 6 เดินตลาดเช้าทาคายาม่า แวะดูทุ่งนาชิราคาวาโก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 5 เดินดูเมืองเก่าคุราชิกิ ชมใบไม้ผลิสวยเริ่ด คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 4 ตามรอยระเบิดเมืองฮิโรชิม่า ไปลั๊นลาเกาะมิยาจิมะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 3 ท่องเมืองฟูกุโอกะ ชมเทศกาลยามากาสะ งามเริ่ด คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 2 นั่งไฟออนซอนไปอบทรายร้อนที่อิบูชูกิ คลิ๊กดูค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 1 นั่งรถไฟแมวทามะ แวะพักชมปราสาทสวย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
0 ความคิดเห็น