Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

รีวิวเที่ยวอุทัยธานี 2 วัน 1 คืน สุดจะรื่นรมย์ฤดี ปั่นจักรยานเลาะริมน้ำสะแกกรังแสนสุขขี นั่งทานปลาอร่อยเริ่ดสะแมนแตนหอมยวนยี เที่ยวเมืองนี้สุดจะแฮ๊ปปี้จังเลยเอย

เที่ยวไปในภาคกลางทริปนี้ ขอมารีวิวเที่ยวเมืองอุทัยธานี 2 วัน 1 คืน วันที่ 24-25 ส.ค. ไปปั่นจักรยานลัดเลาะริมน้ำสะแกกรัง ไปไหว้พระวัดดังเมืองอุทัยธานี ให้สุขเกษมเปรมปรีกันจ้า
 ขอสวัสดี๊ดี สวีดั๊ดดัดคุณผู้อ่านชาวเน็ตทุกๆท่านที่กำลังท่องโลกไซเบอร์ นั่งเอ๋อเหรอ จนสมองเบลอกันอยู่ ณ ขณะนี้นะคะ..สำหรับบล๊อกรีวิวที่เที่ยว กว่าจะได้เขียนบล๊อกรีวิวท่องเที่ยวที่โน้นนี้นั้น ก็ต้องรอเป็นเดือนเลยค่ะ เพราะต้องหาวันว่างไปเที่ยวให้ได้เดือนละครั้งค่ะ....เดี๊ยนคุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า ก็ขอยินดีต้อนรับท่านสู่เว็ปบล๊อกรีวิวที่เที่ยว แนะนำที่พัก เขียนไปเรื่อยเปื่อย พรรณาโวหาร บ้าๆบอๆ ตกๆหล่นๆ รูปก็ไม่สวย เนื้อหาสาระไม่ค่อยมี แต่ก็อยากเขียนรีวิวไว้ค่ะ เว็บบล๊อกจะได้ไม่ร้าง เก็บไว้เป็นบันทึกความทรงจำไว้ดูยามแก่ เป็นงานอดิเรก ถึงแม้จะไม่มีคนมาอ่านเลย หรือมีคนเข้ามาดูหรืออ่านแค่วันละ 1-2 คน ก็ประสบความสำเร็จแล้วค๊า

สำหรับเดือนสิงหาคมนี้ เดี๊ยนเองคงไม่ได้ไปโบยบินถลาเล่นลมสุขสมฤดี ไปเที่ยวที่ใหนไกลค่ะ เดือนนี้เลยขอเที่ยวตะแล๊ด แต๊ดแต๋อยู่แถวภาคกลางเนี่ยแหละ โดยเมืองท่องเที่ยวที่เดี๊ยนได้ไปเที่ยวในเดือนนี้ก็คือ เมืองอุทัยธานีค่ะ แต่เดี๊ยนชอบเรียกเมืองนี้เพี๊ยนเป็นจังหวัดอุทัยเทวีตลอดเลย คงจะเป็นเพราะติดละครเรื่องจักรๆวงษ์กระมังค่ะ เปลี่ยนชื่อจังหวัดเค้าซ่ะเพี๊๊ยนเชียว........เมืองอุทัยธานี เป็นจังหวัดเล็กๆกะจิ๋วหลิ๋ว แต่มีแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดตาและตราตรึงใจ ประทับซึ้งอยู่ในห้วงหัวจิตหัวใจ จนต้องอยากออกตะแล๊ดแต๊ดแต๋ท่องเที่ยวโลดแล่น แอ่นโคน โอนคอไปให้ได้เลยเสียวันนี้เชียว.......สำหรับเมืองนี้ ถือเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่เดี๊ยนตั้งใจไปเที่ยวหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีโอกาศเสียที พอได้วันหยุดลาพักร้อน 2 วัน ก็คือในช่วงวันพุธที่ 24 ส.ค.59 ถึงวันพฤหัสบดีที่ 25 ส.ค.59 เดี๊ยนเลยขอจัดไปเที่ยววันนี้เสียเลยค่ะ ซึ่งเป็นวันธรรมดา น่าจะเหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวที่สุดค่ะ เพราะคนไม่เยอะ ไม่วุ่นวาย แต่คุณเพื่อนของเดี๊ยนบอกว่าแนะนำไปวันเสาร์อาทิตย์สิจะไปเที่ยวด้วย แต่เดี๊ยนเองในช่วงที่คนอื่นหยุด เดี๊ยนก็ทำงานค่ะ วันที่ลาพักร้อนได้ก็คือวันธรรมดาเนี่ยแหละค่ะ เริ่ดๆสุดแล้วค๊ษ อีกอย่างในเดือนสิงหาคม ทางรัฐบาลก็รณรงค์ให้พาแม่เที่ยว เดี๊ยนเองก็จะชวนแม่ไปเที่ยวด้วยนะค่ะแต่คุณแม่เดี๊ยนก็ปฎิเสธค่ะ แกบอกว่าไม่อยากไปเที่ยวลำบากแบบเดี๊ยนค่ะ ขับมอเตอร์ซง มอเตอร์ไซต์หรือปั่นจักรหยอก จักรยาน แก่ไม่ถนัดค่ะ หากขับรถไป แกก็ไม่ไว้ใจเดี๊ยนนะค่ะ เพราะสายตาเดี๊ยนก็ไม่ดี กลัวจะพาแกไปหากโค้ง ตีลังคา ลงคลอง ขึ้นมา ก็จะพาลำบากเอาค่ะ  แกเลยบอกว่าให้เดี๊ยนซื้อของอร่อยจากเมืองอุทัยธานี มาฝากก็พอแล้วค๊า....

สำหรับเมืองอุทัยธานี เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เดี๊ยนตั้งใจ ใฝ่ฝันและครวญหาว่าอยากจะไปลั๊นลาตั้งนานมากแล้วนะค่ะ ตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยซะรุ่น จนตอนนี้ก็แก่แล้ว แต่ก็ไม่เคยได้เที่ยวเมืองนี้สักที พอได้โอกาศเลยขอพักผ่อน มาลั๊นลาตะแล๊ดแต๋สักครั้งค่ะ ที่เดี๊ยนตั้งใจอยากมาเที่ยวเมืองนี้ ก็ด้วยเป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆที่ยังคงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เป็นเมืองที่ไม่วุ่นวาย รถราไม่เยอะ ไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ ไม่มีตึกสูงโฮฬารตระการตา ไม่มีผับบาร์ดังๆ มีแต่ร้านนั่งดื่มน้ำชากาแฟ ขนมนมเนย เป็นเมืองเล็กๆ มีแม่น้ำสะแกกรังไหลผ่าน มีเขาสะแกกรัง มีประวัติศาสตร์โบราณสถาน และวิถีชีวิตที่เรียบง่าย อาหารการกิน ขนมนมเนย รสชาติอร่อยแซ่บเว่อร์ จนต้องเบลอเรอซื้อไปเป็นของฝากทุกๆครั้ง ทำให้เมืองแห่งนี้ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวฝรั่งมังข้ามาเยือนเมืองอุทัยธานีแห่งนี้อย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ

เอาล่ะค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการสาเวเลีย เสียเวลา เดี๊ยนขอมาสรุปทริปเที่ยวอุทัยก่อนนะค่ะ เผื่อใครที่จะเดินทางเที่ยวแบบ Lonely แบบเดี๊ยน เที่ยวไปเหงาๆแต่จิตใจไม่เคยเศร้าและเหงาหงอย เพราะมีสายลม แสงแดด เป็นเพื่อนคอยเบิกบานกังวาลใจ สุดจะอิ่มเปื่ยมไฉไลเริ่ดเว่อร์เอย....ไปเที่ยวอุทัยธานีไม่ต้องมีรถส่วนตัวก็ไปเที่ยวได้นะค่ะ หากใครอยากช่วยชาติประหยัดพลังงาน ก็นั่งรถตู้จากกรุงเทพมาได้ค่ะ นั่งรถตู้ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ โดยเดี๊ยนขอมาสรุปทริปการเดินทางที่ได้เดินทางไปเที่ยวมาดังนี้ค่ะ

วันที่ 24 สิงหาคม 2559
6.30 น. เดี๊ยนตื่นแต่เช้าเลยค่ะ เตรียมจะออกจากบ้านไปที่อนุสาวรีย์ แต่แล้วเปิดมือถือดูอีกที อุ้ยตายแล้ว คงไม่ได้ไป ต้องรีบตะแล๊ดแต๋ดแต๋ไปที่ทำงาน เพื่อไปเคลียงานให้เสร็จก่อนเสียกระมังค่ะ...ปรากฎว่าว่าจะเคลียงานเสร็จก็ปาไปถึงบ่ายสองเลยค่ะ กะว่าจะเดินทางไปอุทัยแต่เช้า ก็เลยผิดแผนเลยค่ะ ทริปนี้เลยเป็นทริปเที่ยว 1 วันครึ่งไปกระมังค่ะ
15.30 น. หลังจากเคลียงานเสร็จ เดี๊ยนก็นั่งรถตู้จากอนุสาวรีย์ ไปอุทัยธานี ราคาตั๋วค่าเดินทางอยู่ที่ 150 บาทค่ะ
17.45 น. เดินทางถึงสถานีขนส่ง บขส.อุทัยธานี เมื่อมาถึงนะค่ะ เดี๊ยนก็เดินทางไปโรงแรมที่พักซึ่งได้จองไว้แล้ว โดยโรงแรมที่จองไว้คือ โรงแรมธาราฮิลล์ ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะว่าเป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้ท่ารถตู้และใกล้ขนส่งอุทัยธานีค่ะ ส่วนราคาห้องพักอยู่ที่คืนละ 650 บาทไม่รวมอาหารเช้านะค่ะ เป็นโรงแรมเล็กๆ อยู่ติดถนนใหญ่ ไม่หรูหรา แต่ก็สะอาดดีค่ะ ตอนแรกเดี๊ยนกะว่าจะไปพักค้างคืนที่โรงแรมอิงน้ำรีสอร์ท แต่โรงแรมที่นั้นปิดปรับปรุงตั้งเดือนนึงเลยค่ะ เดี๊ยนเลยเลือกมานอนที่นี้ดีกว่าค่ะ
18.00 น.เช็คอินนน์เข้าโรงแรมที่พัก ทำภาระกิจส่วนตัวให้เสร็จ เตรียมตัวออกไปหาอะไรทานค่ะ
19.00 น. ที่โรงแรมมีจักรยานให้ปั่นฟรีค่ะ เดี๊ยนเลยใช้จักรยานของโรงแรมปั่นไปหาอะไรทานในตัวเมืองค่ะ เพราะกระเพาะอาหารเริ่มเรียกน้ำย่อยแล้ว ตอนปั่นจักรยานก็เปิด GPS นำทางตลอดนะค่ะ เพราะกลัวหลงทางค่ะ โดยมื้อนี้เดี๊ยนปั่นจักรยาน แวะไปทานอาหารเย็นมื้อนี้ที่ ร้านเจ๊ดาปลาลวก เป็นร้านดังของเมืองอุทัยธานี อยู่ตรงแยกวงเวียนวิทยุเลยค่ะ ระยะทางจากที่พักเข้าไปในวงเวียนท่าช้างประมาณ 2 กิโลเมตรได้กระมังค่ะ
20.30 น. ทานอาหารอิ่ม เดี๊ยนก็ปั่นจักรยานกลับเข้าที่พักค่ะ เพื่อนอนหลับเก็บแรง

วันที่ 25 สิงหาคม 2559
6.30 น.เดี๊ยนตื่นแต่เช้าตรู่เลยนะคะ กะว่าจะตื่นไปตลาดเพื่อไปใส่บาตร พอเปิดม่านดูนอกห้องพัก โอมายกอด ฝนตกกระหน่ำแต่เช้าเลยค่ะ เช้านี้เลยอดได้ใส่บาตร และต้องรอให้ฝนหยุดค่ะ กว่าฝนจะหยุดก็ปาไปเกือบ 7 โมงครึ่ง
7.30 น.เช็คเอาท์ออกจากที่พัก ฝากกระเป๋าไว้ที่ล๊อบบี้ค่ะ เดี๊ยนนั่งดื่มชาร้อน รอฝนซาและหยุดสนิทเสียก่อนค่ะ
8.00-16.00 น.มีรายการท่องเที่ยวโดยใช้สองล้อปั่นเที่ยวเมืองอุทัยมีดังนี้ค่ะ
          - ปั่นจักรยานออกจากที่พักไปเที่ยวตลาดเก่าตรอกโรงยา แวะซื้อขนมปังสังขยาเจ้าดังไปเป็นของฝากให้คนที่บ้าน และที่ทำงานด้วยค่ะ
          - ปั่นจักรยานไปไหว้พระ ทำบุญสังฆทานที่วัดสังกัสรัตนคีรี เดินขึ้นไปไหว้พระพุทธบาท ชมวิวเมืองอุทัยธานี สุดแสนงามอร่ามจับตาคณานับ
          - ปั่นจักรยานกลับตัวเมือง แวะทานอาหารมื้อเที่ยว เป็นก๋วยเตี่ยว และทานข้าวมันไก่โกตี๋ค่ะ อร่อยแซ่บเว่อร์
          - ปั่นจักรยานข้ามสะพานแม่สะแกกรังไปฝั่งเกาะเทโพ เที่ยวชมวัดอุโปสถาราม หรือคนที่นี้เรียกว่าโบรถ์เป็นวัดเก่าแกอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง และเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มากที่สุดอีกแห่งนึงเลยค่ะ
          - ปั่นจักรยานลัดเลาะชมวิถึชีวิตเรือนแพริมแม่น้ำของชาวอุทัยธานีค่ะ
          - ปั่นจักรยานคอห่าน ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ มุ่งหน้าจากตัวเมืองอุทัยธานีไปวัดท่าซุง ระยะทางจากตัวเมืองไปวัดท่าซุงประมาณ 9 กิโลเมตรค่ะ ซึ่งวัดท่าซุงนี้ เป็นวัดดังประจำจังหวัดอุทัยธานีเลยก็ว่าได้ค่ะ ใครมาเที่ยวอุทัยธานี ยังไงก็ต้องแวะมาเที่ยววัดนี้ โดยภายในวัดเป็นสถานปฎิบัติที่มีชื่อเสียง และอีกหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดตา และตราตรึงใจนักท่องเที่ยวทั่วสารทิศ ก็คงเป็นวิหารแก้ว ที่ภายในวิหารแห่งนี้ตกแต่งด้วยแก้วใสใหญ่น้อยเล็ก ประดับประดาไปทั่วภายในองค์วิหาร สว่างสดใสระยิบระยับแพรวพราว สุขสกาวรุ่งโรจน์ช่วงโชติชัชวาลย์ยิ่งนัก ซึ่งภายในวิหารแก้ว บรรจุองค์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง โดยใครจะไปชมวิหารแก้วนี้ ต้องไปให้ถูกเวลานะค่ะ คือเปิดช่วงเวลา 9.00-11.45 น .และ 14.00-16.00 น.เท่านั้นค่ะ 
          - เดี๊ยนใช้เวลาอยู่ที่วัดท่าซุงประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆได้กระมังค่ะ เดี๊ยนก็ปั่นจักรยานท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ กลับเมืองอุทัยธานีค่ะ แวะซื้อของฝากเป็นปลาสลิด ขนม นมเนย ก่อนปั่นกลับโรงแรมที่พัก
16.30 น. เดินทางกลับกรุงเทพโดยรถตู้โดยสารโดยสวัสดิภาพค่ะ

เวลาประมาณ 6.30 น. เดี๊ยนตื่นแต่เช้าเลยค่ะ เตรียมจะออกจากบ้านไปที่อนุสาวรีย์ แต่แล้วเปิดมือถือดูอีกที อุ้ยตายแล้ว คงไม่ได้ไป ต้องรีบตะแล๊ดแต๋ดแต๋ไปที่ทำงาน เพื่อไปเคลียงานให้เสร็จก่อนเสียกระมังค่ะ...ปรากฎว่าว่าจะเคลียงานเสร็จก็ ปาไปถึงบ่ายสองเลยค่ะ กะว่าจะเดินทางไปอุทัยแต่เช้า ก็เลยผิดแผนเลยค่ะ ทริปนี้เลยเป็นทริปเที่ยว 1 วันครึ่งไปกระมังค่ะ 15.30 น. หลังจากเคลียงานเสร็จ เดี๊ยนก็นั่งรถตู้จากอนุสาวรีย์ ไปอุทัยธานี ราคาตั๋วค่าเดินทางอยู่ที่ 150 บาทค่ะ
เดี๊ยนเดินสะป้ายเป้ ออกจากท่ารถตู้ สถานีขนส่ง บขส.อุทัยธานี ก็เห็นเขาสะแกกรัง และป้ายเด่นตระหง่านเป็นสีทองเรืองรองผุดผ่องอำไผ เขียนไว้ว่า เมืองพระชนกจักรี ติดเด่นอยู่บนเขาสะแกกรัง ใครผ่านมาก็ต้องเจอค่ะ
 เดี๊ยนลงจากรถตู้ ก็เดินทางไปโรงแรมที่พักซึ่งได้ทำการโทรจองไว้แล้วค่ะ ชื่อโรงแรมธาราฮิลล์ อุทัยธานี เป็นโรงแรมเล็กอยู่ริมทาง ราคาถูก หลักร้อย คืนละ 650 บาทค่ะ เดี๊ยนเลยเปิดดูแผนที่ของโรงแรม ซึ่งระยะทางจากท่ารถตู้ตรง บขส.อุทัยธานี อยู่ใกล้กันค่ะ เดี๊ยนเลยเดินตามแผนที่มาที่โรงแรมได้ง่ายค่ะ  ตอนแรกเดี๊ยนกะว่าจะไปพักที่โรงแรมอิงน้ำรีสอร์ท แต่โรงแรมที่นั้นปิดปรับปรุงตั้งเดือนนึงเลยค่ะ เดี๊ยนเลยเลือกมานอนที่นี้ดีกว่าค่ะ ราคาถูกดีค่ะ
เข้าไปเช็คอินน์ที่หน้าล๊อบบี้โรงแรมซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าเลยค่ะ มีพนักงานต้อนรับเป็นผู้หญิง ทักทายสวัสดีลูกค้าพูดจาไพเราะดีค่ะ ตอนแรกกะเข้ามา ก็เกรงจะเป็นแนวๆแบบเหวี่ยงลูกค้าอะไรแบบนี้ แต่พอเข้ามาก็โล่งอกค่ะ โดยห้องพักที่เดี๊ยนจองไว้เป็นราคาห้องพักแบบมีระเบียง ราคาคืนละ 650 บาท ไม่รวมอาหารเช้าค่ะ มีค่ามัดจำกุญแจด้วยนะค่ะ 300 บาท สำหรับสภาพแวดล้อมบรรยากาศโรงแรมก็ดูดีนะค่ะ มีสวนไม้ดอกไม้ประดับร่มรืนย์สบายตาดี ไม่หรูหรา ไม่ฟูฟ่า มีที่จอดรถกว้างขวางดีค่ะ เป็นแบบโรงแรมกึ่งรีสอร์ท คล้ายๆกับหอพัก อะไรประมาณนั้นค่ะ ที่พักอยู่ติดถนนใหญ่ สะดวกสบาย หาง่ายดี ไม่ต้องคิดอะไรมากค่ะ แต่นอนพักผ่อน
พอเดี๊ยนทำการเช็คอินน์และชำระเงินแล้ว ก็เข้ามาดูห้องพักค่ะ ว่าสะอาดและโอเคหรือเปล่าค่ะ พอเปิดประตูเข้ามา ก็เป็นห้องพักเหมือนโรงแรมเลยค่ะ เป็นห้องกว้างขวางพอสมควร มีทีวี ตู้เย็น แอร์ ตู้เสื้อผ้า กระจก โต๊ะวางสัมภาระ น้ำดื่มฟรี  ขาดอยู่อย่างเดียวคือ ไดร์เป่าผม
ห้องที่เดี๊ยนจองเป็นห้องแบบเตียงเดียวเพราะมาคนเดียวนะค่ะ เตียงใหญ่พอสมควรค่ะ ห้องกว้างขวาง สะอาดสบายตาดีค่ะ ไม่มีทีมหรือตกแต่งอะไรมากมายค่ะ
ห้องที่จองเป็นแบบ Non Smoking room ค่ะ ห้ามสูบบุหรี่
เปิดม่านออกไปก็เป็นระเบียง มีเก้าอี้ให้นั่งด้วยนะค่ะ
มองเห็นลานกิจกรรมค่ะ ตอนแรกคิดว่าเป็นที่จอดรถ จริงๆแล้วไม่ใช่ค่ะ เป็นลานจัดกิจกรรมค่ะ แต่เดี๊ยนมองไปเป็นลานเล่นบาสเกตบอลนะค่ะ เพราะพื้นเป็นสีแดง ถ้าแท่นชูตลูกบาสทั้งสองฝั่งนั้นคือใช่เลยค่ะ ออกกำลังกายได้เลยนะค่ะ
มีรองเท้าสลิปเปอร์ให้ใส่ในห้องด้วยนะค่ะ แต่ดูสภาพแล้ว อือฮือ!!! เยิ่นมากๆเลย โกโรโกโสสุด แถมไม่เข้าคู่กันด้วยนะ ลายรองเท้าคนละทิศคนละทางเลย ดูสภาพแล้ว ผ่านมาหลายฝาเท้าเลยเชียวค่ะ น่าจะซักล้างบ้างก็ดีนะค่ะ จะได้ดูดีขึ้นบ้าง แต่เดี๊ยนก็ใส่ในห้องพักนะค่ะ เพราะหากจะใส่รองเท้าอีแตะคีบในห้องก็ดูไม่งามกระมัง
 ห้องน้ำก็มีชักโครก เครื่องทำน้ำร้อน ฟักบัว สะอาดดีค่ะ อาจจะดูเก่าหน่อย แต่เดี๊ยนก็ให้ผ่านค่ะ
เนี่ยแหละค่ะ นอกตัวอาคารเป็นลานกว้าง ตอนแรกที่บอกคิดว่าที่จอดรถ จริงๆไม่ใช่นะค่ะ เป็นลานจัดกิจกรรมน่าจะทำเอาไว้สำหรับจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ค่ะ ถ้านำแท่นชูตบาสเกตบอสมาวางไว้สองข้าง ก็เล่นบาสเกตบอลได้เลยนะค่ะ ได้ประโยชน์เริดสะแมนแตนทั้งสองแบบค๊า 5555
เวลาประมาณ 1 ทุ่ม กระเพาะอาหารเริ่มร้องโหยหิวหาอาหารแล้วค่ะ ได้เวลาที่ต้องออกไปเติมพลังตอนเย็นแล้วค่ะ โดยที่โรงแรมแห่งนี้ก็ใจดี มีจักรยานให้ลูกค้าใช่ฟรีนะค่ะ มีอยู่แค่คันเดียวค่ะ เป็นจักรยานคอห่านสีชมพูแป๊ดเชียว เดี๊ยนเลยขออนุญาติทางพนักงานต้อนรับขอปั่นเข้าไปในเมือง เพื่อไปหาอะไรทานค่ะ
ปั่นจักรยานเข้าไปในตัวเมืองอุทัยธานีค่ะ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรค่ะ ตอนปั่นอีกมือก็ถือมือถือดู GPS นะค่ะ เพราะเกรงจะหลงทาง อีกมือก็บังคับจักรยาน ตามองข้างหน้าสลับกับโทรศัพท์มือถือ  แต่ตอนเอามือจะบีบเบรคจักรยานเพื่อให้หยุดเนี่ยนะค่ะ เสียงนี้ดังเอี๊ยดแรงมากเลยค่ะ จนเดี๊ยนต้องระวังเอาเท้าเข้าช่วยเวลาเบรค เพราะเกรงใจคนแถวนั้น มองกันมายังกะเสียงรถฉุกเฉินเชียว
ปั่นจักรยานเข้ามาเรื่อย ผ่านวงเวียนหอนาฬิกา
แวะผ่านตลาดค่ะ ดูท่าตลาดที่นี้ก็เริ่มจะวายแล้วนะค่ะ ดูนาฬิกาพึงจะ 1 ทุ่มเอง ตลาดจะวายแล้วหรือ จะปิดเร็วจัง
เดี๊ยนปั่นจักรยานผ่านมาที่วงเวียนวิทยุ เจอขนมขายอยู่ริมทาง เป็นข้าวเกรียบและข้าวตังทานกับน้ำจิ้มหวาน ดูคล้ายๆกับน้ำจิ้มสะเต๊ะกระมัง
แม่ค้าบอกขายถุงละ 30 บาทค่ะ เดี๊ยนเองก็ไม่เคยทาน เลยอยากลอง ปกติทานข้าวเกรียบก็จิ้มกับน้ำพริกเผาหรือไม่ก็ซอสมะเขือเทศหรือซอสพริกค่ะ เดี๊ยนเลยขอมาช่วยอุดหนุนคุณป้าหน่อย
หลังจากที่เดี๊ยนซื้อขนมข้าวเกรียบแล้ว ก็ได้รับคำแนะนำให้ลองไปทานร้านเจ๊ดาปลาลวก เป็นร้านอาหารอร่อยอีกแห่งของเมืองอุทัยเทวี เอ๊ยไม่ใช่ค่ะ อุทัยธานีค่ะ เดี๊ยนเลยขอเป็นลิ้มลองสักหน่อยค่ะ
มื้อเย็นนี้ขอมาทานอาหารเย็นที่ร้านเจ๊ดานะค่ะ จริงๆแล้วอยากทานริมน้ำ แต่ดูแล้วจักรยานที่เดี๊ยนนำพามาด้วยก็ไม่มีไฟ อีกอย่างเมืองก็เงียบด้วย เกรงจะโดนประทุษร้ายจากมิจฉาชีพ เดี๊ยนเลยขอมาทานร้านนี้แล้วกันค่ะ ในร้านก็มีเมนูน่ากินหลายอย่างนะคะ
เปิดเห็นเมนูชื่อ ปลากลับบ้านถูกเมา เอ้...เป็นยังไงน๊า ไม่เคยได้ยินและทัศนาจรมาก่อน เดี๊ยนเลยขอสั่งมาลองทานดูค่ะ ว่าจะอร่อยเริ่ดสะแมนแตนแค่ใหน
ระหว่างรออาหาร เดี๊ยนเลยขอแหกถุงขนมที่พึงซื้อลองมาลิ้มลองดูค่ะ พอได้ชิมแล้วเคี้ยวกรุบกริบกลืนลงคอแล้วก็อร่อยดีค่ะ เป็นข้าวเกรียบและข้าวตังทอดมาจิ้มกับน้ำสะเต๊ะเลยค่ะ รสชาติคล้ายกันเลยๆ อร่อ่ยดีค่ะ กินเรียกน้ำย่อยไปแล้วกันค่ะ
ว้าว..อาหารมาเสริฟแล้วค่ะ ที่สั่งไปด้านซ้ายมือคือ ปลากลับบ้านถูกเมา ดูหน้าตาอาหารแล้ว ท่าน่าจะถูกเมาจริงๆเสียกระมังค่ะ กลิ่นหอมหวนยวนยีหน้าลิ้มลองยิ่งนัก กลิ่นสมุนไพรเตะทักปักจมูก ชรูดลงกระเพาะให้รีบตักเหยอะเข้าปาก ส่วนอาหารอีกอย่างคือ ปลาลวกจิ้มค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นปลาอะไรจำไม่ได้ค่ะ แต่รสชาติพอได้ทานคู่กับข้าวแล้วอร่อยเริ่ดสะแมนแตนดีค่ะ
ตอนแรกเดี๊ยนเห็นอาหารแล้วไม่น่าจะอิ่ม เลยสั่งผักบุ้งไฟแดงมาเพิ่ม เพื่อมาเติมความอร่อย ดูท่าแล้วจะหงอยๆ เพราะนั่งอิ่มอ้อยสร้อยพุ้งปลิ้นยิ่งนักเชียว แต่เดี๊ยนก็ค่อยนั่งคีบหยิบ ทานไปเรื่อยๆ จนหมด รสชาติอร่อยแซ่บซีดจี๊ดจ๊าดเว่อร์ จนนั่งเอ๋อเหรอไปพักนึง แล้วมาตะลึงตึงตึงต่อไปค่ะ....
อิ่มสุดๆค่ะ ทานหมดแบบเลอะเทอะมากๆค่ะ เป็นคนสถุน โกโรโกโสสุดๆค่ะ.....มื้อนี้จัดหนักแบบสุดๆค่ะ เรียกว่าเพิ่มน้ำหนักหลายกิโลๆเลย ใหนๆก็เป็นคนอ้วน หุ่นองค์ทรงเครื่อง หน้าเน่าเป้าก็ไม่เป๊ะเว่อร์อยู่แล้ว เลยขอจัดเต็ม เสียค่าเสียหายมื้อนี้ไป 230 บาทค่ะ
หลังจากที่เดี๊ยนทานอาหารเย็นอิ่มแล้ว ก็ปั่นจักรยานกลับค่ะ ดูนาฬิกาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ เมืองเงียบสนิท จนจิตเดี๊ยนพะว้าพะวังไปนั่งอยู่ตาตุ่มค่ะ แต่ก็ยังมีมอเตอร์ไซต์ขับผ่านบ้าง แต่ก็ไม่มาก แต่ก็ปลอดภัยดีนะค่ะ เพราะมีไฟส่องแสงทะแยงดวงตาตลอดค่ะ
เมื่อมาถึงที่พัก เดี๊ยนก็อาบน้ำ ทำภาระกิจส่วนตัวให้เสร็จ มานั่งทำงานของบริษัทต่อ พร้อมดูทีวีไปด้วยจนจบค่ะ ก่อนจะรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนกลับบรรทมงีบไปตลอดคืนค่ะ หมดไป 1 วันกับทริปที่ได้เที่ยวเมืองอุทัยแค่ตอนกลางคืนค่ะ
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/08/19.html
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เช้าตรู่เวลา 6 โมงเช้า เดี๊ยนตื่นมาเปิดผ้าม่านดู เห็นฝนตกโปรปรายแต่เช้าเลยค่ะ ดูท่าวันนี้จะได้ไปตะลอนเที่ยวเมืองอุทัยใหม๊ค่ะเนี่ย
ดูฝนฟ้าจะตกไม่หยุดเลย เดี๊ยนก็ได้แต่รอขอให้ฝนหยุดตกค่ะ จะได้ออกไปได้ แต่ถ้าไม่หยุดตกก็ไม่เป็นไร ก็จะใส่เสื้อกันฝนเที่ยวไปด้วยค่ะ เย็นชื่นฉ่ำสุขร่ำอุราดีค่ะ เพราะยังไงก็เที่ยวช่วงฤดูฝน คงจะห้ามออกเสียก็คงจะไม่ได้กระมังค่ะ
เดี๊ยนรีบทำภาระกิจส่วนตัวให้เสร็จ ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเพื่อทำการเช็คเอาท์จากห้องพักและชำระเงินค่ะ ระหว่างรอฝนหยุดตกให้ค่อยๆซาลงหน่อย เดี๊ยนเลยหยิบขนมที่เหลือจากเมื่อคืนนี้มาทานคู่กับน้ำชาค่ะ ถือเป็นอาหารเช้าไปค่ะ เพราะกะว่าจะไปทานในเมืองอีกครั้ง เลยไม่ได้จ่ายค่าอาหารเช้าค่ะ
เดี๊ยนลองเดินออกไปนอกล๊อกบี้ ดูท่าฝนหยุดตกแล้วค่ะ ได้เวลาเตรียมตะลอนทัวร์เมืองอุทัยแล้วค่ะ 
เดี๊ยนลองเดินออกไปนอกล๊อกบี้ ดูท่าฝนหยุดตกแล้วค่ะ ได้เวลาเตรียมตะลอนทัวร์เมืองอุทัยแล้วค่ะ
เมื่อฝนหยุดตกแล้ว จึงขอทำการเช็คเอาท์ และขอใบเสร็จจากที่โรงแรมด้วยค่ะ และขอฝากกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ที่โรงแรมไว้ซ่ะเลย ตอนเย็นจะได้กลับมาเอาค่ะ ทางพนักงานก็รับฝากกระเป๋าด้วยนะค่ะ แต่ของมีค่ากระเป๋าสตางค์อะไรอย่างนี้ เดี๊ยนว่าติดตัวไปด้วยดีกว่าค่ะ
ได้เวลาปั่นจักรยานแล้วค่ะ คอห่านเหมือนเดิม สีชมพูแป๊ด แถมเบรคทีก็ดังแอ๊ดตลอดเลยค่ะ ไม่รู้จะถึงฝั่งหรือเปล่านะค่ะ ต้องตรวจยง ตรวจยางให้ดีค่ะ น้ำหนักเดี๊ยนเองก็เกรงจะทำจักรยานของโรงแรมเค้าพังจังเลยค่ะ ปั่นไปปั่นมา หากจักรยานยางแตก เดี๊ยนคงต้องอั๊วแตกแน่ๆเลยค๊า
มาเที่ยวเมืองอุทัยธานี เป็นเมืองที่น่าใช้จักรยานมากนค่ะค่ะ เพราะรถราไม่ค่อยเยอะ หากจะสะเออะให้รถชน ก็คงไม่ใชคนแล้วกระมัง ปั่นดีๆอย่าให้เสียสติเสียสตัง หากไปไม่ถึงฝั่ง เดี่ยวจะมานั่งรำพันจนเอ๋อเหรอ สมองเบลอเอย
 เดี๊ยนปั่นจักรยานมาเรื่อย เข้าถนนท่าช้างค่ะ มองเห็นป้ายก็ตรงไปเลย
 สถานที่แรกคงเป็น ตลาดบ้านเก่าสะแกกรัง หรือที่รู้จักกัน ถนนคนเดินตรอกโรงยาค่ะ เป็นถนนสั้นๆ เป็นอาคารไม้เก่าๆถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดีค่ะ ในช่วงวันหยุดศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ถนนแห่งนี้จะถูกจัดให้เป็นตลาดนัด มีร้านขายสินค้าทั้งของฝาก และอาหารการกินมากมายค่ะ
แวะในตรอกโรงยา เหลียบไปเห็นร้านขายส้มโอ ลองชิมดูแล้ว รสชาติหวานดีค่ะ เลยซื้อไป 1 ลูกค่ะ 
วันที่เดี๊ยนไปเป็นวันธรรมดา อีกอย่างเป็นช่วงเช้าด้วยบรรยากาศเงียบสงัดมากๆค่ะ เป็นก็ให้อารมณ์คลาสสิคดีนะค่ะ เหมือนได้ย้อนวันวานยังหวานอยู่สมัยเด็กๆเลยค่ะ
ในเมืองอุทัยธานี ส่วนใหญ่ยังคงมีอาคารพาณิชย์เป็นเรือนไม้ทรงโบราณไว้อย่างดีค่ะ ทำให้เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดตาและตราตรึงใจ นักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองนี้ อย่างไม่ขาดสายเลยเชียว
ใกล้ๆกับตรอกโรงยาและวนเวียนวิทยุ ก็มีร้านขนมชื่อดัง เดี๊ยนเลยขอแวะมาอุดหนุนซื้อขนมไปฝากคุณแม่กับคุณพ่อสักกล่องค่ะ แต่แกคงทานได้แค่คนละลูกกระมังค่ะ เพราะทานหวานเยอะไม่ได้ เดี่ยวเบาหวานขึ้น ส่วนที่เหลือคงเป็นหน้าที่ของเดี๊ยนที่ต้องมาจัดการทานเองทั้งหมดค่ะ อิอิอิ
เดี๊ญนแวะมาร้านไพพรรณ ซึ้งเป็นร้านขนมสังขยา เจ้าดังและส่วนใหญ่จะซื้อเป็นของฝากกันค่ะ เดี๊ยนว่าน่าจะอร่อยดีนะค่ะ เพราะลูกค้าร้านนี้แน่นจริงๆ เลยสั่งไปสองกล่องค่ะ  เป็นขนมที่ไม่ใส่สารกันบูด เก็บไว้นานไม่ได้นะค่ะ ซื้อวันนี้ต้องทานให้หมดวันนี้ หรือใส่ตู้เย็นไว้แล้วก็ค่อยกินวันต่อไปได้ค่ะ
ดูหน้าตาขนมหน้าทานจังค่ะ เดี๊ยนเลยขอซื้อมาลิ้มลองดูสักหน่อยค่ะ
มื้อเช้าทานยังไม่อิ่มเลย เลยขอจัดขนมที่ซื้อไปสองลูกค่ะ พอกัดเข้าปากแล้วรสชาติอร่อยดีค่ะ เป็นน้ำสังขยาสีสัม แต่เนื้อแป้งเหนียวไปหน่อย ไม่ได้นิ่มมาก แต่ทานคู่กับน้ำสังขยาแล้วอร่อยดี เวลาทานต้องเอามือประคองไว้ เดียวน้ำสังขยาจะหกเรี่ยราดดูไม่งามเอาค่ะ เดี๊ยนเลยสั่งซื้อไป 3 กล่องค่ะ เอาไปฝากคุณแม่คุณพ่อค่ะ และก็ที่ทำงานด้วยค่ะ
สถานที่ท่องเที่ยวต่อไป นั้นก็คือ วัดสังกัสรัตนคีรี หรือวัดเขาสะแกกรัง เป็นวัดดังอีกแห่งในเมืองอุทัยธานี ที่ใครมาอุทัยครั้งแรกก็ต้องแวะมากราบไหว้ ถือเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เพราะในช่วงเดือนตุลาคม จะมีงานประเพณีตักบาตรเทโว ที่โด่งดังโอ้โห่ไปทั่วโลก ถือเป็นจุดท่องเที่ยวสำหรับคนรักการทำบุญและได้เดินขึ้นมากราบไหว้พระและชมวิวทิวทัศน์เมืองอุทัยธานี อันสวยงามอร่ามจับตาคณานับค่ะ
เมื่อปั่นจักรยาน มาถึงวัดสังกัสรัตนคีรีแล้ว เดี๊ยนขอมาทำบุญไหว้พระและถวายสังฆทาน เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่จะเดินขึ้นไปด้านบนเขาค่ะ
ไหว้หลวงพ่อพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ พระคู่บ้านคู่เมืองอุทัยธานีค่ะ
เมื่อปั่นจักรยาน มาถึงวัดสังกัสรัตนคีรีแล้ว เดี๊ยนขอมาทำบุญไหว้พระและถวายสังฆทาน เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่จะเดินขึ้นไปด้านบนเขาค่ะ
 ไหว้พระเสร็จแล้ว เตรียมตัวเดินขึ้นไปบนยอดเขาสะแกกรังแล้วค่ะ
แสงแดดในช่วงเวลา 10 โมงนี้ อากาศเริ่มร้อนดีเหลือเกินค่ะ เป็นช่วงเวลาที่เรียกเหงื่อได้เสียจริงๆค่ะ กับการขึ้นบันใด 449 ขั้นขึ้นไปบนยอดเขาค่ะ จริงๆก็มีเส้นทางสำหรับปั่นจักรยานขึ้นไปนะค่ะ แต่มันไม่คลาสสิคเลยค่ะ เดินขึ้นบันใดดูเป็นนักพยายาม และเป็นผู้แสวงบุญดีค่ะ
เดี๊ยนใช้เวลาเดินขึ้นสู่ยอดเขาสะแกกรังประมาณ 25 นาทีได้กระมัง เหงื่อท่วมตัวเลยค่ะ เดินขึ้นไปหากเมื่อยก็หยุดพักหลายนาทีเหมือนกัน กว่าจะเดินขึ้นไปอีกขั้น แต่ละขั้นก็จะมีจุดหยุดพักเหนื่อยนะค่ะ เป็นการใช้พลังขาค่อนข้างเยอะ แต่ก็น่าจะลดแคลอรี่ไขมันอันมหึมาของเดี๊ยนได้บ้าง ไม่มากก็น้อยค่ะ
บรรยากาศข้างบน เงียบสงัดดีมากๆค่ะ บรรยากาศหวิวๆ ลมพัดโบกโชยชิว ใบไม้เอนกิ่วกิ่งก้านใบพลิ้วไสว....โดยบนยอดเขาสะแกกรังแห่งนี้ก็เป็นมณฑป ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ให้เข้าไปสักการะค่ะ

ประวัติวัดสังกัสรัตนคีรี 
ตั้งอยู่เชิงเขาสะแกกรัง สุดถนนท่าช้าง ในเขตเทศบาลเมือง ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอุทัยธานี มีประวัติว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้นำพระพุทธรูปขนาดย่อมที่ชำรุดไปไว้ตามหัวเมืองต่าง ๆ เมืองอุทัยธานีได้รับ 3 องค์ โดยอัญเชิญลงแพมาขึ้นฝั่งที่ท่าพระ (ตรงข้ามศาลาประชาคมจังหวัดอุทัยธานี) แล้วนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดขวิด พระพุทธรูปองค์หนึ่งมีขนาดใหญ่เป็นพระเนื้อสำริดปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3 ศอก สร้างในสมัยพระยาลิไท ฝีมือช่างสุโขทัย มีส่วนเศียรกับส่วนองค์พระเป็นคนละองค์ เข้าใจว่าคงซ่อมเป็นองค์เดียวกันก่อนนำมาไว้ที่เมืองอุทัยธานี ต่อมาเมื่อยุบวัดขวิดไปรวมกับวัดทุ่งแก้ว จึงได้ย้ายพระพุทธรูปองค์นี้ไปไว้ที่วัดสังกัสรัตนคีรี ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไป 1 กิโลเมตร และได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระเศียร พร้อมกับถวายนามว่า “พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์” ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ของทุกปี มีการจัดงานประเพณีตักบาตรเทโว ซึ่งพระสงฆ์ประมาณ 500 รูปจะเดินลงบันไดจากยอดเขาสะแกกรังมารับบิณฑบาตที่ลานวัดเป็นประเพณีที่ สำคัญของจังหวัด การเดินทาง จากตัวเมืองใช้ถนนท่าช้างจนสุดทาง ด้านซ้ายมือเป็นพระวิหาร ประดิษฐานพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูปประจำจังหวัดอุทัยธานี ด้านขวามือเป็นบันไดขึ้นเขาสะแกกรัง
(ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยว/วัดสังกัสรัตนคีรี--4541)
พระพุทธบาทจำลองค่ะ
วิวทิวทัศน์เมืองอุทัยธานี บนยอดเขาสะแกกรัง กับแสงแดดอันเจิดจรัสร้อนแรง แต่ก็มีลมพัดแรงช่วยยาใจ ให้หายร้อนอ่อนระทวย มิให้ม้อดม้วยมรณาไปค่ะ
ส่วนอีกฝั่งก็มองเห็นวิวทิวทัศน์ท้องทุ่งนาสีเขียวขจี ดูเป็นวิถีชนบทที่น่าไปยวนยียิ่งนักเชียว
หลังจากที่เดี๊ยนได้ไปกราบไหว้พระ ถวายสังฆทานที่วัดสังกัสรัตนครี และเดินบันใด 449 ขั้นขึ้นไปสู่ยอดเขาสะแกกรังแล้ว เดี๊ยนก็ปั่นจักรยานเข้ามาในเมืองเพื่อมาปั่นจักรยานชมวิถีชีวิตริมแม่น้ำ โดยข้ามไปเที่ยวฝังเกาะเทโพค่ะ  
หลังจากที่เดี๊ยนได้ไปกราบไหว้พระ ถวายสังฆทานที่วัดสังกัสรัตนครี และเดินบันใด 449 ขั้นขึ้นไปสู่ยอดเขาสะแกกรังแล้ว เดี๊ยนก็ปั่นจักรยานเข้ามาในเมืองเพื่อมาปั่นจักรยานชมวิถีชีวิตริมแม่น้ำโดยข้ามไปเที่ยวฝังเกาะเทโพค่ะ 
เดี๊ยนปั่นจักรยานมาที่จุดชมวิวอันสวยงามของโค้งแม่น้ำ กับวัดอุโปสถารามที่อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง มองเห็นเรือนแพลอยละล่องอยู่บนแม่น้ำ ดูเป็นวิถีชีวิตที่อยู่ผูกมิตรแห่งนี้มาเนิ่นนานจนแยกจากกันมิได้เลย  
เดี๊ยนปั่นจักรยานมาที่จุดชมวิวอันสวยงามของโค้งแม่น้ำ กับวัดอุโปสถารามที่อยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง มองเห็นเรือนแพลอยละล่องอยู่บนแม่น้ำ ดูเป็นวิถีชีวิตที่อยู่ผูกมิตรแห่งนี้มาเนิ่นนานจนแยกจากกันมิได้เลย 
เดี๊ยนปั่นจักรยานขึ้นสะพานข้ามจากฝั่งตัวเมืองอุทัย ข้ามมาฝั่งเกาะเทโพค่ะ
เดี๊ยนปั่นจักรยานข้ามจากฝั่งเมืองข้ามสะพานแม่น้ำสะแกกรัง เพื่อมาชมวัดเก่าแก่ที่สุดอีกแห่งของลุ่มน้ำสะแกกรัง คือวัดอุโปสถารามค่ะ เป็นวัดที่มีความสวยงาม และเป็นจุดดึงดูดตา และตราตรึงใจนักเดินทางท่องเที่ยว ต้องมาถ่ายรูปแชะแชะ ณ ที่แห่งนี้อย่างไม่ขาดสายค่ะ

ประวัติวัดอุโปสถาราม
เดิมชื่อ "วัดโบสถ์มโนรมย์" เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อ ปีพุทธศักราช 2324 ตั้งอยู่บนเกาะเทโพ ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังภายในอุโบสถและวิหารมีภาพจิตรกรรมฝาผนังในสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้านหลังอุโบสถและวิหาร มีเจดีย์ สามยุคสามสมัย ทั้งสมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ตั้งอยู่ นอกจากนั้นยังมีมณฑปแปดเหลี่ยมศิลปะผสมไทย จีน อันวิจิตรอ่อนช้อยงดงาม หน้าวัดมีแพโบสถ์น้ำ ครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นแพรับเสด็จ รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 เมื่อคราวเสด็จประพาส และเยี่ยมเยือนหัวเมืองฝ่ายเหนือ และใช้เป็นศาสนสถานลอยน้ำสำหรับชาวเรือนแพใช้ในการปฏิบัติศาสนกิจและงานพิธี ต่าง ๆ เช่น งานโกนจุก บวชนาค งานแต่งงาน เป็นต้น (ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก http://thebest.uthaithani.go.th/th/tour/bost-temple.html )
 ตอนที่เดี๊ยนไป โบสถ์อีกหลังกำลังทำการปรับปรุงค่ะ เนื่องจากมีอายุมานานหลายร้อยปีแล้ว
 เข้าไปกราบสักการะพระด้านในค่ะ
มองเห็นเรือนแพ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนในพื้นที่นี้ ที่อยู่ติดกับแม่น้ำแห่งนี้มาเนิ่นนาน ช่างเรียบง่ายและมีเสน่ห์ดึงดูดตา และตราตรึงใจเดี๊ยนยิ่งนักค่ะ
เมื่อเดี๊ยนข้ามมาฝั่งเกาะเทโพแล้ว เดี๊ยนก็ปั่นจักรยานออกกำลังไปเรื่อยๆ ถนนหนทางที่เกาะนี้ บรรยากาศช่างรื่นรมย์ฤดียิ่งนักค่ะ ลมก็พัดโบก โชกลมโชย โปรยสะหยายเส้นผมที่เปียกห้อให้แห้งสะบัดช่อล้อเล่นลม น่าสุขสมจิตและกายา จนต้องหยิบน้ำท่ามาดูดดื่ม หอมระรื่นชื่นจิตใจ
 ปั่นจักรยานไปเรื่อย ก็ไปเจอท้องทุ่งนาสีเขียวขจี ดูงดงามดั่งอภิฤดีสีไพรวรรณ กำลังชูช่อล้อสะบัดลม ดูสุขสมยิ่งนักเชียว
แวะหยุดพักรับลมเย็น กับท้องทุ่งนาสีเขียวขจี ขอไหว้พระแม่ธรณีและพระแม่โพสพที่ช่วยประคบพี่น้องผ่องชาวไทย ให้มีน้ำท่า ข้าวปลาไม่เคยขาด สมดั่งคำ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แผ่นดินของเรานี้ช่างอุดมสมบูรณ์
เดี๊ยนปั่นจักรยานมาอีกนิด ก็มาเจอข้าวนาปี กำลังออกดอกข้าวทุ่งร่วงทอง สีเขียวอ่อนผุดผ่องเป็นยองใย หากข้าวสุกงอมเมื่อใด คงได้มาเกี่ยวเมื่อฉันท์นั้นแล อากาศก็บริสุทธิ์ยิ่งแท้ๆ จนไม่อยากจะหนีกลับไปเมืองกรุงแน่ๆเอย
เดี๊ยนแหงนดูนาฬิกาในข้อมือ เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยงกว่าแล้วได้กระมังค่ะ ท้องเริ่มหิวอีกแล้วค่ะ เดี๊ยนเลยปั่นจักรยานลัดเลาะชมวิถีชีวิตของชาวเมืองอุทัยธานี ที่อาศัยอยู่บนเรือนแพ เป็นวิถีที่เรียบง่าย ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมายค่ะ
ดูคุณยายท่านนี้สิค่ะ กำลังแจวเรือไปจับปลากระมังค่ะ ดูเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องเป๊ะปังอลังเว่อร์ ไม่ต้องทะเยอทะยานมากมาย อยู่กันแบบง่ายๆ ก็สุขแสนจะสบายเริ่ดเว่อร์
ดูคุณยายท่านนี้สิค่ะ กำลังแจวเรือไปจับปลากระมังค่ะ ดูเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องเป๊ะปังอลังเว่อร์ ไม่ต้องทะเยอทะยานมากมาย อยู่กันแบบง่ายๆ ก็สุขแสนจะสบายเริ่ดเว่อร์
บ้านเรือนแพริมน้ำ เมืองอุทัยธานี เป็นเสน่ห์อีกแห่งของวิถีชีวิตที่ดึงดูดตาและตราตรึงใจ ให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวเมืองอุทัยธานี อย่างน่าสุขขี รื่นรมย์ฤทัย
 เรือแจว อ้างว้างและเดียวดาย แต่ดูท่าจะยังคงใช้งานได้อย่างดี
 ชาวบ้านที่อยู่ในเมืองอุทัยบอกกับเดี๊ยนว่า ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ น้ำท่าจะหลากไหลและปริมริมตะลึง แต่ช่วงหลังมานี้ น้ำไม่ค่อยหลากเหมือนสมัยก่อน
 ได้เวลาทานอาหารมื้อเที่ยงแล้วค่ะ เดี๊ยนเลยขอไปรับประทานเกี๋ยวเตี๋ยวและทานข้าวมันไก่ค่ะ
ชามแรกเป็นก๋วยเตี๋ยวค่ะ เป็นก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีกสูตรต้มยำนครสวรรค์ เห็นขายริมทางเดี๊ยนเลยแวะลองไปชิมดู รสชาติอร่อยดีค่ะ แต่ยังไม่แซ่บซี๊ดจี๊ดจ๊าดเท่าที่ควรพอทานได้ ราคาไม่แพงด้วย ชามละ 25 บาทเองนะค่ะ 
ทานก๋วยเตี๋ยวไปแล้ว ก็ยังไม่อิ่มค่ะ เนื่องจากใช้พลังงานเยอะพอสมควรค่ะ เดี๊ยนเลยลัดเลาะมาลิ้มลองร้านข้าวมันไก่โกตี๋ดูค่ะ พอได้ทานแล้วรสชาติอร่อยดีค่ะ แซ๋บตรงน้ำจิ้มที่มีให้เลือกทั้งสองแบบ และน้ำซุปรสเปรี้ยวกลิ่นหอมละมุน อร่อยดีค่ะ เดี๊ยนให้ผ่านเป็นของอาหารรสเลิศประจำอุทัยธานีค่ะ
หลังจากที่ทานอาหารมื้อเที่ยง จัดไปซ่ะสองชามเต็มๆแล้ว เวลาประมาณบ่ายโมงกว่าๆ เดี๊ยนก็เตรียมตัวปั่นจักรยานออกจากเมืองอุทัยธานี มุ่งหน้าไปที่วัดท่าซุง ซึ่งเป็นวัดดังและมีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดอุทัยและโด่งดังไปทั่วประเทศและเมืองนอกเมืองนา ต้องตามมาเชยชม โดยเดี๊ยนกะจะปั่นไปให้ทันรอบวิหารแก้วเปิดซึ่งจะเปิดให้เข้าไปชมภายในวิหารแก้ว ในช่วงเวลาบ่าย 2 โมงถึง 4 โมงเย็นเท่านค่ะ เพื่อไปสักการะและไหว้พระด้านในด้วยค่ะ 
หลังจากที่ทานอาหารมื้อเที่ยง จัดไปซ่ะสองชามเต็มๆแล้ว เวลาประมาณบ่ายโมงกว่าๆ เดี๊ยนก็เตรียมตัวปั่นจักรยานออกจากเมืองอุทัยธานี มุ่งหน้าไปที่วัดท่าซุง ซึ่งเป็นวัดดังและมีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดอุทัยและโด่งดังไปทั่วประเทศ และเมืองนอกเมืองนา ต้องตามมาเชยชม โดยเดี๊ยนกะจะปั่นไปให้ทันรอบวิหารแก้วเปิดซึ่งจะเปิดให้เข้าไปชมภายในวิหาร แก้ว ในช่วงเวลาบ่าย 2 โมงถึง 4 โมงเย็นเท่านค่ะ เพื่อไปสักการะและไหว้พระด้านในด้วยค่ะ
เดี๊ยนปั่นจักรยานท่ามกลางแสงแดดอันร้อนเร้า ปั่นออกมาสัก 5 กิโลได้กระมังค่ะ ก็ขอหยุดแวะพักริมทาง ดื่มน้ำเอาแรงก่อนค่ะ ตอนปั่นก็กลัวเหลือเกิน ปั่นไปปั่นมาเกิดจักรยานของโรงแรมเค้ายางแตก เดี๊ยนคงต้องแบกจักรยานคอห่านนี้แบกไปในเมืองเป็นแน่เท้ค่ะ
เดี๊ยนใช้เวลาประมาณ 35 นาที ปั่นจักรยานจากตัวเมืองอุทัยธานี มาที่วัดท่าซุง ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร ปั่นมาเรื่อยๆ เมื่อยก็พัก ในที่สุดก็ถึงที่หมายแล้วค่ะ
 โดยเดี๊ยนมาถึงก่อนเวลาที่วิหารเปิดเสียอีกค่ะ ในช่วงรอวิหารเปิดเดี๊ยนเลยขอใช้บริการของทางวัด ซึ่งเป็นรถคล้ายซาเล้ง มีคุณน้าคนขับพาตะลอนแวะตามวิหารต่างๆภายในวัดท่าซุงแห่งนี้ค่ะ ที่ต้องใช้บริการเพราะว่าพื้นที่ในวัดท่าซุง มีเนื้อที่ถึง 600 ไร่ หากจะเดินเท้าคงเมื่อยแน่ๆเลยค่ะ เดี๊ยนเลยใช้บริการรถทางวัดดีกว่าจะได้ช่วยให้เค้ามีรายได้ด้วยค่ะ โดยราคารถบริการไปยังจุดต่างๆในวัด ราคาก็แค่ 8 บาทเองนะค่ะ ถูกมากๆค่ะ
จุดแรกเดี๊ยนใช้บริการรถของทางวัด มาไหว้พระศรีอาริยเมตตรัย 
 จากนั้นๆใกล้ๆกันก็แวะเข้ามาไหว้พระพุทธชินราชจำลอง
 ไปไหว้องค์พระสูงใหญ่
 จากนั้นก็นั่งรถไปชมวิหารทองคำค่ะ
 จากนั้นก็นั่งรถไปชมวิหารทองคำค่ะ 
จากนั้นก็นั่งรถไปชมวิหารทองคำค่ะ เป็นวิหารที่มีศิลปะคล้ายกับวัดโลหะมหาปราสาท ที่อยู่ย่านถนนราชดำเนินกลางค่ะ
หลังจากที่เดี๊ยนได้นั่งรถซาเล้งแวะไหว้พระในวัดท่าซุง เวลาประมาณบ่าย 2 โมง เดี๊ยนก็นั่งรถซาเล้งของทางวัดมาที่วิหารแก้วด้านหน้าค่ะ
เข้าไปไหว้พระด้านในวิหารแก้วค่ะ 
วัดท่าซุง ถือเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่งในเมืองอุทัยธานี ใครไปใครมาก็ต้องแวะกราบไหว้พระ ซึ่งภายในวัดมีเนื้อที่กว่า 600 ไร่ และที่โดดเด่นที่สุดของวัดแห่งก็คือวิหารแก้ว ที่ถือเป็นไฮไลท์ ที่ประดับด้วยแก้วใสสว่าง เป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมซึ่งจะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม และเป็นรักษาสังขารของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เกจิอาจารย์ชื่อดังซึ่งไม่เน่าไม่เปื่อยไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้บูชา และภายในก็ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลองด้วยค่ะ ซึ่งใครจะมาชมวิหารแก้วแห่งนี้ ก็เปิดแค่ 2 ช่วงเวลาเท่านั้นนะค่ะ คือเวลา 9.00-11.00 และเปิดอีกทีตอน 14.00-16.00 น.ค่ะ 

ด้านในอากาศเย็นสบายดีมากค่ะ ผู้คนไม่ค่อยเยอะมาก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาวิหารแก้วอย่างต่อเนื่องนะค่ะ เนื่อจากเวลามีจำกัดค่ะ 
พอเดี๊ยนได้เดินย่างกรายเข้ามาในวิหารแก้ว ก็ถึงกับตะลึงตึงตึงอยู่ไม่น้อย เพราะภายในวิหารแห่งนี้ แสงระยิบระยับประดับประดาไปด้วยแก้วใส สว่างแพรวพราวสกาวรุ่งโรจน์ ช่วงโชติชัชวาล ประมาณเหนือน่านฟ้านภากาศ ศิวิลาศศิวิลัย ดวงไฟเจิดจรัสทอแสงสู่นัยดวงตา ให้รีบคว้ากล้องมาถ่าย งดงามเฉิดฉายเริ่ดเว่อร์เอย
พอเดี๊ยนได้เดินย่างกรายเข้ามาในวิหารแก้ว ก็ถึงกับตะลึงตึงตึงอยู่ไม่น้อย เพราะภายในวิหารแห่งนี้ แสงระยิบระยับประดับประดาไปด้วยแก้วใส สว่างแพรวพราวสกาวรุ่งโรจน์ ช่วงโชติชัชวาล ประมาณเหนือน่านฟ้านภากาศ ศิวิลาศศิวิลัย ดวงไฟเจิดจรัสทอแสงสู่นัยดวงตา ให้รีบคว้ากล้องมาถ่าย งดงามเฉิดฉายเริ่ดเว่อร์เอย
พอเดี๊ยนได้เดินย่างกรายเข้ามาในวิหารแก้ว ก็ถึงกับตะลึงตึงตึงอยู่ไม่น้อย เพราะภายในวิหารแห่งนี้ แสงระยิบระยับประดับประดาไปด้วยแก้วใส สว่างแพรวพราวสกาวรุ่งโรจน์ ช่วงโชติชัชวาล ประมาณเหนือน่านฟ้านภากาศ ศิวิลาศศิวิลัย ดวงไฟเจิดจรัสทอแสงสู่นัยดวงตา ให้รีบคว้ากล้องมาถ่าย งดงามเฉิดฉายเริ่ดเว่อร์เอย
 เมื่อเข้ามาในวิหารแล้ว เดี๊ยนก็เลยขอรวมทำบุญถวายพระประจำวันเกิด ซึ่งมีให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมทำบุญกันด้วยค่ะ เป็นการทำบุญสละความตระหนี่ถี่เหนี่ยวของตัว และธำรงคงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้อยู่ยั่งยืนนานต่อไปค่ะ
เมื่อถวายชุดสังฆทานเสร็จ ทางวัดก็มอบของที่ระลึกให้ด้วยนะค่ะ เป็นหนังสือการอุทิศส่วนกุศล ขององค์หลวงพ่อฤาษีลิงดำค่ะ 
เดี๊ยนใช้เวลาอยู่ในวิหารแก้วประมาณ 30 นาที่ได้ค่ะ ด้านในอากาศเย็นสบายดีมากค่ะ ผู้คนไม่ค่อยเยอะมาก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาวิหารแก้วอย่างต่อเนื่องนะค่ะ เนื่อจากเวลามีจำกัดค่ะ
ได้เวลาปั่นจักรยานกลับเมืองอุทัยธานีแล้วค่ะ ระยะทางปั่นกลับก็เท่ากันนะค่ะ ประมาณ 9 กิโลเมตรค่ะ สภาพอากาศตอนบ่ายไม่ถึงพูดถึงเลยค่ะ ร้อนสุดๆ เรียกว่าทาโลชั่นกันแดด SPF100ล้าน ก็เอาไม่อยู่ค่ะ แต่ก็ยังดีมีลมพัดโชกโชยให้เย็นสบายบ้างเป็นครั้งเป็นคราไป
ก่อนจะแวะกลับโรงแรมที่พัก เดี๊ยนขอแวะตลาดตอนเย็นของเมืองอุทัยซ่ะหน่อยค่ะ ขอมาแวะซื้อของฝากขึ้นชื่อของเมืองนี้กันค่ะ 
ภายในตลาดเมืองอุทัยยามเย็นนี้ มีของกินให้เลือกทานหลากหลายมากมายให้สรรหา ที่ขาดไม่ได้หากมาเมืองอุทัยธานี ก็คงต้องเป็นปลาน้ำจืดที่นี้ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติ และความศิวิลาศรสอร่อยโอชา สู่สีกับน้ำปลาร้าของภาคอีสานได้เลยค่ะ รสชาติอร่อยเริ่ดสะแมนแตนยิ่งนัก
แวะตลาดตอนบ่ายที่ตลาดเมืองอุทัยธานีค่ะ 
 มาเจอเจ้าปลาสลิดแดดเดียว เรียงตัวเป็นเกรียวในกระด้ง ดูน่าซื้อเสียจริงเลยค่ะ

และของฝากขึ้นชื่อที่นี้อีกแห่ง คงเป็นปลาแห้งอบรมควันอย่างดี ของชาวบ้านที่อยู่ริมน้ำ นำมาแปรรูปเป็นปลาแห้งอบรมควัน ซึ่งสามารถเก็บไว้ทานได้นาน เดี๊ยนเห็นปลาแบบนี้ก็เหมาะนำไปทำน้ำพริกแห้ง หรือนำไปทำต้มโคลง รสชาติก็อร่อยโล่งไปถึงทรวงคอเป็นแน่แท้เชียวค่ะ 
และของฝากขึ้นชื่อที่นี้อีกแห่ง คงเป็นปลาแห้งอบรมควันอย่างดี ของชาวบ้านที่อยู่ริมน้ำ นำมาแปรรูปเป็นปลาแห้งอบรมควัน ซึ่งสามารถเก็บไว้ทานได้นาน เดี๊ยนเห็นปลาแบบนี้ก็เหมาะนำไปทำน้ำพริกแห้ง หรือนำไปทำต้มโคลง รสชาติก็อร่อยโล่งไปถึงทรวงคอเป็นแน่แท้เชียวค่ะ
เดี๊ยนแหงนดูนาฬิการในข้อมือ ก็ได้เวลาเดินทางจากตลาด ปั่นจักรยานกลับที่พัก เพื่อเอาจักรยานคอห่านสีเก๋ๆคันนี้ไปคืนที่พัก และไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้คืนค่ะ
หลังจากที่เดี๊ยนไปคืนจักรยาน และไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้คือ ก็เดินออกจากที่พักไม่ไกลมากนัก มาทีท่ารถตู้ บขส.อุทัยธานี เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพค่ะ......จบทริปเที่ยวอุทัยธานี 1 วันครึ่งค่ะ

สำหรับทริปท่องเที่ยวครั้งนี้ ต้องขอบคุณชาวเมืองอุทัยธานีที่ให้ข้อมูลเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว เส้นทางการปั่นจักรยาน ร้านอาหารของกิน ของฝากอร่อยเริ่ดสะแมนแตนจริงๆค่ะ และขอขอบคุณพ่อแม่ และที่ทำงานที่อนุญาติให้เดี๊ยนเดินทางมาลั๊นลา ตะแล๊ดแต๋ดแต๋ เที่ยวเมืองอุทัยธานี เป็นนางอุทัยเทวี ลัดเลาะเมืองน่าอยู่ น่าท่องเที่ยวอีกแห่งในเมืองไทยค่ะ ยังไงก็ไทยเที่ยว ไทยกิน ไทยใช้ ไทยเจริญ และสุดท้ายต้องขอบพระคุณทุกๆท่านที่ยอมเข้าดู มาสอด มาแนมเบิ่งดู เว็ปบล๊อกแนวๆกากๆของเดี๊ยนค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
บล็อกเกอร์สมัครเล่น
------------------------------------------------------
บทความบล็อกอื่นๆที่ผ่านมา มีดังนี้จ้า 
มาม๊ะ..มารีวิวเที่ยวเมืองนครสวรรค์ใน 1 วัน ยลสุขสันต์เมืองชุมทางสี่แคว คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวนครสวรรค์ ยลสุขสันต์เมืองสี่แคว งามจริงแท้ยอดเขาคีรีวง ชมอาทิตย์อัสดงก็งามเริ่ดสะแมนแตคลิ๊กดูภาพรีวิวและที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวงานอุ่นไอรักคลายความหนาวครั้งที่ 2 มาดูสิว่ามีอะไรเดินย่องกันบ้าง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวงานอุ่นไอรักคลายความหนาวครั้งที่ 2 มีอะไรให้เดินย่อง ท่องเที่ยวดูบ้าง มาชมกันดูสิ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวเชียงคำ-งามล้ำทะเลหมอกภูลังกา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
มาเน้อเจ้า..มาแอ่วภูลังกา ดูทะเลหมอกสวยระย้าจับใจ แวะตะไลไปเชียงคำ สัมผัสวัฒนธรรมไทลื้อ คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางจ้า>>>
รีวิวแบกเป้ลุยเดี่ยว เช่ารถมอเตอร์ไซต์เที่ยวเมืองพะเยา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยว มาเน้อเจ้า..มาแอ่วเมืองพะเยา นอนคลอเคล้าริมกว๊าน งามอลังการสะท้านโลกา คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางจ้า>>>
รีวิวแบกเป้ลุยเดี่ยว มาเน้อมาเที่ยวเมืองแพร่ แลยลชมธรรมชาติ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยว มาเน้อเจ้า...มาเที่ยวเมืองแพร่ เดินแลงานยี่เป็ง แวะไปชมพระธาตุดอยเล็ง วิวสวยเจ๋งงามเริ่ดสะแมนแตน คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางจ้า>>
มาเด้อ..มาเที่ยวศรีสะเกษ แดนดงดอกลำดวน หอมหวนกระเทียมดี คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวท่องอีสานใต้ตอนที่ 4(จบ) มาเด้อจ้า..มาเที่ยวเมืองศรีสะเกษ แดนดงดอกลำดวน หอมหวนกระเทียมดี มีทุเรียนดินภูเขาไฟ อาหารแซ่บคั๊กหลายเด้อ คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
บล็อกรีวิวเที่ยวแม่กำปอง ต้องลองมาสักครั้ง อากาศดีปังเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>
รีวิวเที่ยวเชียงใหม่ฤดูฝน ตอนที่ 3 ทำไมใครๆก็หลงไหลในแม่กำปอง เลยต้องลองไปพักสักครั้ง คลิ๊กดูรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>>
บล็อกรีวิวเที่ยวเดือนตุลาคม นอนที่บ้านป่าปงเปียง กินโอเลี้ยงอร่อยเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
เที่ยวเชียงใหม่หน้าฝน ตอนที่ 2 นอนพักชมนาขั้นบันใด และแนะนำที่พักในบ้านป่าปงเปียงมาฝากค่คลิ๊กดูรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>>
บล็อกรีวิวท่องเที่ยวประจำเดือนตุลาคม ไปตามรอยโครงการหลวง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวเชียงใหม่ในฤดูฝนตอนที่ 1 สวยสุขล้นตามรอยโครงการหลวง ชมพุ่มพวงดอกไม้งามเบิกบานใจ คลิ๊กดูรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น