Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

มาม๊ะ..รีวิวเที่ยวนครสวรรค์ใน 1 วัน ยลสุขสันต์เมืองสี่แคว สวยจริงแท้ยอดเขาวัดคีรีวง ชมอาทิตย์อัสดงริมต้นน้ำเจ้าพระยา งามเลอค่า ระย้าจับใจ


เพื่อไม่ให้เว็ปบล็อกร้างไป วันนี้ดิฉันคุณนายเว่อร์ เธอขอเป็นคนบ้า มารีวิวเช่ามอเตอร์ไซต์เที่ยวในเมืองนครสวรรค์ แวะไหว้พระตามวัดวา งามระย้าเมืองปากน้ำโพ ต้องมาเดินเฮโลให้ได้เลยเชียว
หากเอ่ยนานถึงจังหวัดที่ชื่อนามเพราะที่สุดอีกแห่งในเมืองไทย เห็นจะหนีไม่พ้น จังหวัดนครสวรรค์ เป็นแน่แท้ เพราะแค่ได้ยินชื่อจังหวัด ก็เสนาะเพราะหู จนต้องอยากนึกตามไปเที่ยวดูกันสักครั้งให้ได้เลยเชียว แต่ถ้าหากผู้ที่ตั้งชื่อจังหวัดนั้น ตั้งชื่อเป็น จังหวัดนครนรก ดิฉันว่าคงจะต้องร้อนหมกไหม้ เป็นไฟบรรลัยกัลป์ตามชื่อแน่นอน นึกแล้วก็สุขเกษมไปกับชื่อจังหวัดนครสวรรค์ ที่ตั้งได้เพราะพริ้ง น่าไปสวิงกิ้งจริงๆเชียวล่ะค่ะ

และหลายๆคนที่รู้จักนครสวรรค์แค่ผิวเผิน ก็มักจะเห็นว่า เมืองฟ้าแห่งนี้ คงไม่มีอะไรให้ทัศนาจรนัก เพราะส่วนใหญ่เวลาจะเดินทางไปยังหัวเมืองทางภาคเหนือ ก็มักจะต้องผ่านตัวเมืองนครสวรรค์ และเห็นว่าเมืองนี้เป็นแค่เพียงทางผ่านเท่านั้น

แต่โดยแท้จริงแล้ว เมืองฟ้าแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่มิใช้น้อย หลายๆคราที่ดิฉันผ่านนครสวรรค์ ก็มักจะต้องซื้อของฝากขึ้นชื่ออย่างขนมโมจิและปลาแดดเดียวจากเมืองไปฝากคนที่บ้านและที่ทำงานทุกครั้ง เรียกว่าของกินยังอร่อย แสดงว่าสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนี้ก็มีให้ชื่นชมอย่างน่าอภิรมย์สมใจด้วยเช่นกัน

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวประจำเดือนมีนาคมนี้ ดิฉันคุณนายเว่อร์ เธอขอเป็นคนบ้า แบกเป้ลุยเดี่ยวนำพาคุณผู้อ่านเหล่าผู้รักการทัศนาจร แวะมาออนซอน เที่ยวเมืองฟ้าอมร แห่งนครสวรรค์กันสักครั้ง โดยในช่วงฤดูร้อน จักจั่นกรีดกริ่งร้องร้องระงมเรไร ตะบี้ตะบันเข้าไปถึงในเยื่อแก้วหู บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นการเปิดปฐมกฤกษ์รับหน้าร้อนแล้วอย่างแท้จริงๆ


ซึ่งหน้าร้อนแบบนี้ หลายๆคนมักจะไปเที่ยวทะเลกัน แต่ดิฉันขอมาเที่ยวนครสวรรค์ดีกว่าค่ะ ว่ากันว่า มานครสวรรค์นี้เป็นเมืองของกินแห่งลุ่มน้ำภาคกลาง ทั้งอาหารคาว อย่างปลาน้ำจืด ก็รสชาติอร่อยเหลือหลาย หรือจะเป็นของคาวหวาน อย่างขนมโมจิ ขนมเค้ก เบเกอรี่ หรือขนมไทย ก็รสชาติหวานจับใจไม่แพ้ที่ใดๆเลยเช่นกัน ว่าแล้วก็ต้องตามไปเที่ยวกันเลยจ้า



เริ่มต้นการเดินทางในทริปนี้ ดิฉันตีตั๋วรถโดยสารจากสถานีหมอชิตตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางมายังจังหวัดนครสวรรค์
เริ่มต้นการเดินทางในทริปนี้ ดิฉันตีตั๋วรถโดยสารจากสถานีขนส่งหมอชิตตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางมายังจังหวัดนครสวรรค์
ค่ารถโดยสาร รถ ปอ.2 จากกรุงเทพ-มาที่นครสวรรค์ ราคา 139 บาท
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงค่ะ


ระหว่างนั่งรถโดยสาร ปอ.2 ก็หยิบอนุสาร อสท.เล่มเก่าปี 2527 มาอ่า ซึ่งเป็นฉบับที่แนะนำจังหวัดนครสวรรค์ได้ดีทีเดียว ดิฉันนำหยิบใส่กระเป๋านำอ่านด้วย อ่านไปแล้วก็นึกภาพตาม เพราะผู้เขียนเสนอเรื่องราวในยุคนั้นได้ดีทีเดียว

ใหนๆก็มาเที่ยวเมืองฟ้าอมร นครสวรรค์ทั้งที เรามารู้จัก เมืองสี่แควแห่งนี้ กันสักเล็กน้อย

จังหวัดนครสวรรค์ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคกลางตอนบน หรือบางคนอาจเข้าใจว่าเป็นภาคเหนือตอนล่าง จึงได้รับสมญานามว่าเป็น เมืองประตูสู่ภาคเหนือ เพราะทำเลที่ตั้งของจังหวัดตั้งอยู่คาบเกี่ยวกับภาคกลางและภาคเหนือ ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่นครสวรรค์ ทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นชุมทางเศรษฐกิจการค้าและการคมนาคมขนาดใหญ่ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีวัดวาอารามเก่าแก มีโรงแรมและตึกรางอาคารบ้านช่องตึกสูง ตั้งกระจายจากริมน้ำออกไปสู่ริมทางหลวงทุกสายที่สร้างขึ้นใหม่ และถนนในเมืองนครสวรรค์ก็ตั้งชื่อเกี่ยวเนื่องกับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นส่วนใหญ่ด้วย อาทิเช่น

และยังมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน โดยสันนิษฐานว่าเมืองนครสวรรค์ มีชื่อปรากฏมาตั้งแต่ก่อนสุโขทัยเป็นราชธานี มีชื่อในศิลาจารึกของสุโขทัย โดยเรียกว่า เมืองพระบาง เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญในการทำศึกสงครามตั้งแต่สมัยสุโขทัย,กรุงศรีอยุธยา,ธนบุรี จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังเรียกชื่อว่า เมืองชอนตะวัน และเปลี่ยนเป็นนครสวรรค์ในที่สุด แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกกันว่าเมืองปากน้ำโพ ในประวัติศาสตร์มีหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่านครสวรรค์ เคยเป็นเมืองเกษตรกรรมมาตั้งแต่ยุคต้นประวัติศาสตร์ เป็นศูนย์กลางของการคมนาคม เป็นที่ตั้งของกลุ่มชนชาวจีนที่มาทำมาค้าขายระหว่างประเทศ
เหตุใดถึงได้ชื่อเมืองสี่แคว
เหตุใดถึงได้ชื่อเมืองสี่แคว 

เนื่องด้วยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำถึงสี่สาย คือ ปิง วัง ยม น่าน ไหลมาบรรจบที่จังหวัดแห่งนี้ ทำให้เกิดเป็นต้นแม่น้ำเจ้าพระยา เอื่อยไหลผ่านลัดเลาะ ลงไปสุดปลายทางที่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ก่อนจะไหลรวมในทะเลอ่าวไทยต่อไป  ซึ่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตคนในพื้นที่ราบภาคกลางแห่งนี้มาอย่างยาวนาน
ส่วนชื่อปากน้ำโพ นั้นมีที่มาอย่างไร
จากเอกสารบันทึกทางประวัติศาสตร์เมืองนครสวรรค์อธิบาย ถึงคำเรียกชื่อ ตำบลปากน้ำโพ หรือเมืองปากน้ำโพ โดยสันนิษฐานกันว่าเพี้ยนมาจากคำว่า ปากน้ำโผ่ หรือ ปากน้ำโผล่ อีกประการหนึ่ง หรืออีกประเด็นหนึ่ง คำว่า ปากน้ำโพ นี้เรียกตามธรรมชาติที่ตรงปากแม่น้ำมีต้นโพธิ์อยู่ต้นหนึ่ง ต่อมาเป็นที่ตั้งของวัดโพธิ์ หรือวัดโพธาราม
และที่ปากน้ำโพ หรือเมืองชุมทางสี่แคว นั้นนับว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของการสัญจรทางน้ำ ไม่ว่าจะล่องไปตามลำน้ำเจ้าพระยา หรือทวนน้ำขึ้นไปตามแควต่างๆ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการขนส่งทางรถยนต์และรถไฟแล้วก็ตามที แต่การขน่งทางน้ำก็ยังใช้กันอยู่  เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายถูกกว่านั้นเอง
เครดิตข้อมูลดีๆจาก https://th.wikipedia.org/wiki/จังหวัดนครสวรรค์
ภาพวันวานกับ 4 หนุ่มหล่อเมืองปากน้ำโพ ใส่เสื้อเชิ๊ต คอฮาวาย ส่วมกางเกงสแล็ค คีบรองเท้าแตะเก๋ๆ ถ่ายหน้าโรงหนังเฉลิมชาติ ปี พ.ศ.2508 (1965) เป็นยุคซิกตี้อย่างแท้จริง
ย้อนวันวานไปกับพิพิธภัณฑ์เมืองปากน้ำโพ ในห้างแฟรีแลนด์ ภาพเก่าของ 4 หนุ่มหล่อเมืองปากน้ำโพ ใส่เสื้อเชิ๊ต คอฮาวาย ส่วมกางเกงสแล็ค คีบรองเท้าแตะเก๋ๆ ถ่ายหน้าโรงหนังเฉลิมชาติ ซึ่งเป็นโรงหนังเก่าแก่อันมีชื่อเสียงในเมืองนครสวรรค์ในยุคนั้น ซึ่งปัจจุบันก็เหลือแค่ชื่อไว้ให้รำลึกความหลังเท่านั้น และดูภาพฉากหลังมีภาพยนต์เรื่องลูกนก ดิฉันคาดเดาแล้วน่าจะประมาณ ปี พ.ศ.2508 (1965) เป็นยุคซิกตี้อย่างแท้จริง
บ้านไม้เก่าเรือนแพ สุขจริงอิงกระแสธารา ริมแม่น้ำน่านหลังนี้ ซึ่งมีให้เห็นอยู่แค่ไม่กี่หลัง เป็นเหมือนดั่งภาพสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในระแวกได้เป็นอย่างดี
และถึงแม้ว่ากาลเวลาจะผันเปลี่ยนไปเนิ่นนานเพียงใด แต่วิถีการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมของคนเมืองปากน้ำโพ ที่ผูกพันธ์กับสายน้ำก็ยังมีให้เห็น ดั่งเช่นบ้านไม้เก่าเรือนแพ สุขจริงอิงกระแสธารา ริมแม่น้ำน่านหลังนี้ ซึ่งมีให้เห็นอยู่แค่ไม่กี่หลัง เป็นเหมือนดั่งภาพสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในระแวกได้เป็นอย่างดี แม้ว่าผู้คนที่เคยอาศัยเรือนแพอยู่ริมน้ำมาก่อน จะยกฝั่งพากันไปขึ้นบกไปหมดแล้ว แต่บางคนก็ยังปักหลักการอาศัยอยู่บนเรือนแพตลอดมา กลายเป็นมนต์เสน่ห์ที่ดึงดูดตา และตราตรึงใจแก่นักเดินทางที่พบเห็น ได้นึกภาพย้อนไปในวันวาน ที่เคยแสนหวานอย่างฉ่ำใจ
และเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูคิมหันต์คราใด พวงพุ่มดอกช่อกัลปพฤกษ์ก็จะผลิออกบานสะพรั่ง สวยปังดั่งดอกซากุระญี่ปุ่นก็ว่าได้
และเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูคิมหันต์(ฤดูร้อน)คราใด
พวงพุ่มช่อดอกกัลปพฤกษ์ก็จะผลิดอกออกบานสะพรั่ง สวยปังดั่งดอกซากุระญี่ปุ่นก็ว่าได้
จะต่างกันตรงที่ภูมิอากาศแค่นั้นเอง แต่ความสวยนั้นครืนเครง บรรเลงจับใจ งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนไม่แพ้กันเลยทีเดียว 
สำหรับการเดินทางวันนี้ นั่งรถ ปอ.2 จากกรุงเทพมาเรื่อยๆ หลับๆตื่นๆ จนถึงเมืองนครสวรรค์ รถกำลังข้ามสะพานเดชาวงศ์พอดีค่ะ
รถเข้ามาจอดเทียบท่าที่สถานีขนส่ง
พอลงจากรถก็งงๆอยู่เล็กน้อย จะเริ่มต้นยังไงดี เลยมานั่งพักตั้งหลักอยู่ด้านใน จากนั้นก็โทรศัพท์ติดต่อไปยังร้านเช่ารถมอเตอร์ไซต์เพื่อให้นำรถมาส่งที่ บขส.
มาถึงเมืองปากน้ำโพ ก็ยกโทรศัพท์ติดต่อไปที่ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซต์ในเมืองนครสวรรค์ ให้พนักงานมาบริการส่งรถถึงที่ บขส.เลยค่ะ
และยวดยานพาหนะที่ขาดเลยไม่ได้ของทริปเที่ยวแบบคุณนายเว่อร์ คงหนีไม่พ้นการเช่ารถมอเตอร์ไซต์ค่ะ ซึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ก็มีร้านให้เช่ารถมอเตอร์ไซต์ด้วยเหมือนกันนะคะ ค้นหาในหน้า Google มี Line ID ให้ติดต่อด้วย  ชื่อร้านว่า "รถเช่านครสวรรค์" เบอร์โทรร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ 080-4254888
เห็นมีร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์แค่ร้านเดียวด้วยกระมังในเมืองปากน้ำโพแห่งนี้ เรียกว่าผูกขาดการตลาดมากๆ
เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับเที่ยวในตัวเมืองนครสวรรค์ วันละ 300 บาท
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์ วันละ 300 บาท
มัดจำรถ 1,000 บาท
ข้อดีคือ ทางร้านให้บริการส่งรถเช่าให้ถึงลูกค้าเลย ไม่ต้องไปรับที่ร้านเองค่ะ
เมื่อได้มอเตอร์ไซตแล้ว ดิฉันก็แว๊นๆ ขับมอเตอร์ไซต์เป็นผู้สาวขาเลาะ นำกระเป๋าและสัมภาระมาเช็คอิน ณ ที่พักคืนนี้ก่อนเลย
 โดยคืนนี้พักค้างแรมที่ โรงแรม B2 premier นครสวรรค์ เป็นโรงแรมเปิดใหม่
อยู่ใกล้ๆกับห้างแฟรี่แลนด์เลยค่ะ ห้างเก่าแก่อยู่ใจกลางเมืองนครสวรรค์เลยค่ะ ใกล้ๆก็มีร้านค้า ร้านอาหารหลายร้าน สะดวกสบาย หาของกินง่ายดีนะคะ
 ล็อบบี้เช็คอินน์ อยู่ชั้น 2 กดลิฟท์ขึ้นมาได้ สภาพโอ่โถ่งกว้างขวางดี ไม่แออัด
 มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งหลายมุม ตกแต่งได้สวยงามเรียบหรูดี
 ส่วนห้องพักคืนนี้ เป็นห้องขนาดกำลังพอดีไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป ราคาห้องพัก ตกคืนละ 620 บาท ไม่มีอาหารให้นะคะ
 สภาพห้องพักถือว่าดีทีเดียว ใหม่เอี่ยมอ่อง มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกแบบมาตรฐานให้ครบ
 ห้องน้ำในตัว ขนาดเล็กกระทัดรัด แม้จะเล็กไปหน่อยแต่ก็มีสบู่ แชมพูให้นะ
 มีสบู่ แชมพู หมวกคลุมผมอาบน้ำ และคอตต้อนบัด(ที่ปั่นหูให้ด้วย)
สรุปโดยรวมของห้องถือว่าดีทีเดียว จะขาดก็แต่โต๊ะสำหรับนั่งทำงานสักตัว และหากมีไดร์เป่าผมด้วย คงจะเริ่ดมากๆ
 หลังจากทำการเช็คอิน นำกระเป๋าไปไว้ที่ห้องพักเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกไปเที่ยวทัศนาจรกันแล้วค่ะ สถานที่แรกที่ดิฉัน แวะมาเที่ยวเลยก็คือ พิพิธภัณฑ์เมืองปากน้ำโพ ซึ่งตั้งอยู่ที่ห้างแฟรี่แลนด์ ใกล้กับโรงแรมที่พักคืนนี้เลย
โดยพิพิธภัณฑ์ปากน้ำโพ ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 ในห้างแฟรี่แลนด์ เข้าชมได้ฟรีไม่เสียสตังค่ะ
 เดินเข้ามาในห้างเย็นมาก แต่พอเปิดประตูมาสู่ห้องพิพิธภัณฑ์ปากน้ำโพ อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าวทีเดียว เพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ไม่เป็นไร นึกเสียว่ามาเดินอบผิวแล้วกัน
 ด้านในพิพิธภัณฑ์ก็จัดแสดงนิทรรศการต่างๆแบบย้อนยุคในสมัยอดีตให้ได้ชมกัน
โดยมุมแรกที่ได้ชม เป็นมุมที่จัดแสดงในการเสด็จฯ มาจังหวัดนครสวรรค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ สิริกิติ์ ซึ่งเสด็จมาเยือนนครสวรรค์ถึง 4 ครั้ง
 โดยครั้งแรกเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรภาคกลางเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2498
 ครั้งที่ 2 เสด็จไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนเจ้าพระยา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2501
ครั้งที่ 3 เสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคเหนือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2501
ครั้งที่ 4 เสด็จทรงเยี่ยมการฝึกรบที่กองบิน 4 ตาคลี วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2507
 ภายในโซนต่างก็จัดเป็นมุมร้านค้าเก่าแก่ในอดีนของเมืองนครสวรรค์ให้ได้ชมและถ่ายรูปกันอย่างอภิรมย์สมใจ จนลืมไปอากาศอันร้าวอบอ้าวไปเลยทีเดียว
 ที่ย้อนยุดได้สุดก็เห็นจะเป็นโรงหนังในเมืองนครสวรรค์ ที่มีอยู่หลายโรงด้วยกัน
4 หนุ่มหล่อเมืองปากน้ำโพ ใส่เสื้อเชิ๊ต คอฮาวาย ส่วมกางเกงสแล็ค คีบรองเท้าแตะเก๋ๆ ถ่ายหน้าโรงหนังเฉลิมชาติ
 ภาพเก่าของ 4 หนุ่มหล่อเมืองปากน้ำโพ ใส่เสื้อเชิ๊ต คอฮาวาย ส่วมกางเกงสแล็ค คีบรองเท้าแตะเก๋ๆ ถ่ายหน้าโรงหนังเฉลิมชาติ ซึ่งเป็นโรงหนังเก่าแก่อันมีชื่อเสียงในเมืองนครสวรรค์แห่งนี้
 เดินมาอีกห้องก็เป็นห้องนิทรรศการ ลูกหลานพันธ์มังกร เมืองปากน้ำโพ ซึ่งแสดงเรื่องราวประวัติความเป็นมาต่างๆของเมืองนี้ ให้ได้อ่านและชมกันอย่างน่าสนใจ
 แต่ละจุดก็มีป้ายแสดงข้อมูล ความรู้ให้ได้อ่านกันอีกด้วย
 โดยจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์คงเป็นจุดถ่ายรูปในมุมต่างๆ ให้ได้เซลฟง เซลฟี่กันตามอัธยาศัย
 และแน่นอนว่านครสวรรค์ เป็นเมืองแห่งชาวไทยเชื้อสายจีนที่มาอาศัยกันอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีคณะสิงโตเชิดหลายคณะ อย่างที่เห็นนี้เป็นคณะสิงโตกว๋องสิว
 เดินมาอีกหน่อยก็เป็นมุมร้านค้าในอดีตอีกหลายร้าน
ที่โดดเด่นสวยสะดุดตา คงเป็นร้านถ่ายเก่าในอดีตทีมีภาพสาวงามในยุคนั้นให้ชมอย่างน่าอภิรมย์สมใจ ประหนึ่งว่าจะได้ย้อนวันวานไปอยู่ในยุคนั้นเลย
ร้านตั้งเป็งล้ง ร้านขายเครื่องจักรสานเก่าแก่ของเมืองนครสวรรค์ 
 สำหรับเพื่อนๆคนใหนที่แวะมาเที่ยวนครสวรรค์ และอยากเรียนรู้ชมวันวานเมืองปากน้ำโพ ก็มาเฮโลกันที่พิพิธภัณฑ์เมืองปากน้ำโพแห่งนี้ได้ค่ะ ที่ห้างแฟรี่แลนด์ ใจกลางเมือง เข้าชมฟรี ตั้งแต่ห้างเปิด ยันห้างปิด
หลังจากได้เดินชมพิพิธภัณฑ์ปากน้ำโพจนพอใจแล้ว จากนั้นดิฉันก็เดินทางมาที่ศาลหลักเมืองนครสวรร  ตั้งอยูที่ถนอัมรินทร์วิถี ตำบล ปากน้ำโพ บริเวณเชิงเขากบ ตรงข้ามโรงเรียนนครสวรรค์ โดยศาลหลักเมืองนครสวรรค์ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทย มณฑปจตุรมุขทรงไทยรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่ออิฐฉาบปูนขาวแดง มีซุ้มประตูเข้า-ออก 3 ด้าน
มากราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับตนเอง จะได้ขับรถเดินทางไปที่ใหนในเมืองนี้ให้ปลอดภัย
ศาลหลักเมือง ถือว่าเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ตั้งของหลักเมือง ซึ่งตามธรรมเนียมพิธีของศาสนาพราหมณ์ว่า ก่อนที่จะสร้างเมืองจะต้องทำพิธียกเสาหลักเมืองในที่อันเป็นชัยภูมิสำคัญ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองที่จะสร้างขึ้น
 หลังจากไหว้ศาลหลักเมืองแล้ว ดิฉันก็ขับรถขึ้นมาที่วัดเขากบ หรือวัดวรนาถบรรพต ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดอีกแห่งในเมืองนครสวรรค์
แต่ถ้าใครอยากได้บุญแรง ก็เดินขึ้นบันใด 437 ขั้นก็ได้เช่นกัน เพราะนอกจากจะได้บุญแล้ว ยังได้เหงื่อจากการออกแรงขาอีกด้วย
ก่อนไปสักการะเจดีย์เก่าแก่บนยอดเขา ก็มานมัสการหลวงพ่อโต หรือพระพุทธชัยมังคลก่อน
เป็นพระพุทธรูปปางพระทานพร หน้าตักกว้าง 6 วา 1 ศอก 9 นิ้ว สูง 8 วา 2 ศอก สร้างเมื่อปี พ.ศ.2532 เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ พญาเมือง และพญาราม
ด้านบนยอดเขาเป็นที่ตั้งของเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ

วัดวรนาถบรรพต หรือ วัดเขากบ มีที่มาอย่างไร?

วัดวรนาถบรรพต เดิมชื่อ วัดกบ หรือ วัดเขากบ สมัยสุโขทัยชื่อว่า วัดปากพระบาง ตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ. 1962 ในสมัยสุโขทัย ผู้สร้างคือพญาบาลเมือง สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พญารามผู้น้อง ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ในระหว่างทำศึกสงครามหัวเมืองฝ่ายใต้
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏในศิลาจารึก2หลัก ซึ่งทางกรมศิลปากรได้ไปจากยอดเขาใกล้กับรอยพระพุทธบาทจำลองและได้จากเมืองนครชุมจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งกล่าวถึงพระเจ้าลิไทกษัตริย์สุโขทัยองค์ที่5 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้นำพระพุทธบาทจำลอง จากลังกาซึ่งส่งมาให้เป็นบรรณาการนำไปประดิษฐานไว้บนยอดเขากบ ดังปรากฏในปัจจุบัน
วิหารหลวงพ่อทอง
หลวงพ่อทอง
โดยในสมัยสุโขทัยนั้น ได้สร้างรอยพระพุทธบาทจำลอง เจดีย์ใหญ่ ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปหินปางนาคปรก สมัยเชียงแสน พระพุทธไสยาสน์ ยาว 10 วาเศษ อุโบสถหลวงพ่อทอง
และจากยอดเขากบนี้ ก็สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์เมืองนครสวรค์ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย แม้จะมีหมอกสีขาวมาปกคลุม ซึ่งน่าจะเป็นหมอกฝุ่นพิษ PM.2.5 ซึ่งกำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ แต่หมอกดังกล่าวก็ไม่ได้ลดความราวีลดแม้แต่น้อย จากจุดที่มองไปไกลสุดถึงบริเวณต้นแม่น้ำเจ้าพระยา
 และไม่ไกลนักจากวัดเขากบ หรือ วัดวรนาถบรรพต ก็เดินทางมาไหว้พระต่อที่วัดคีรีวงศ์ หนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดนครสวรรค์ ใครแวะมาเที่ยวนครสวรรค์ ยังไงก็ต้องมาเที่ยววัดนี้
โดยจุดเด่นของวัดคีรีวง ก็คือพระจุฬามณีเจดีย์ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาดาวดึงส์ เมื่อเดินทางมาถึงเมืองนครสวรรค์แล้ว นักเดินทางส่วนใหญ่จะสามารถมองเห็นเจดีย์จุฬามณีจากยอดเขาแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน องค์พระเจดีย์งามสง่า

ที่มาของเจดีย์จุฬามณี วัดคีรีวง

สำหรับวัดคีรีวงส์นี้ สร้างสมัยปลายกรุงสุโขทัย แต่เดิมทีนั้นเป็นวัดร้างกลางป่าเขา มีพระธุดงค์แสวงบุญมาพบเมื่อปี 2504 และปัจจุบันเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดนครสวรรค์ มีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาปฏิบัติกิจกรรมทางพุทธศาสนาเป็นประจำภายในบริเวณวัด ซึ่งประกอบไปด้วย พระอุโบสถ สมเด็จพระพุทธโคดมจำลอง ศาลาพุทธานุภาพ วิหารหลวงพ่อโต และพระจุฬามณีเจดีย์ ซึ่งสร้างในสมัยศตวรรษที่ 19 ปลายกรุงสุโขทัยประมาณ 600 ปีมาแล้ว โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโก) วัดมหาธาตุ เป็นผู้ตั้งชื่อให้ และแนะนำให้สร้างพระจุฬามหาเจดีย์ไว้บนยอดเขา
ซึ่งภายในองค์พระเจดีย์ชั้น 4 มีพระพุทธรูปจำลองที่สำคัญของประเทศไทยไว้ให้สักการะบูชา 4 องค์ คือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระพุทธชินราชจำลอง พระพุทธโสธรจำลอง และพระพุทธรูปหลวงพ่อวัดไร่ขิง
และภายในโดมเจดีย์ ได้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระพุทธประวัติไว้ให้ชมกันอีกด้วย
 หากเดินขึ้นมาบนยอดจุฬามณีเจดีย์ ก็จะเห็นทิวทัศน์เมืองนครสวรรคืได้อย่างสวยงาม
 มองจากเจดีย์ลงไปยังเบื้องล่าง เต็มไปด้วยอาคาร ตึกราง บ้านช่องของชาวเมืองนครสวรรค์
ที่เห็นพระองค์ใหญ่นี้ เป็นองค์พระศรีสุคตสวรรค์ประทานพร
ที่เห็นพระองค์ใหญ่นี้ เป็นองค์พระศรีสุคตสวรรค์ประทานพร
 และใกล้ๆวัดคีรีวงก็เป็นที่ตั้งของหอชมเมืองนครสวรรค์ อีกหนึ่งจุดชมวิวทัศน์ยอดนิยมอีกแห่งที่เหล่านักเดินทางท่องเที่ยวแวะเวียนมาชมกัน
สำหรับอัตราค่าเข้าชมหอชมเมืองนครสวรรค์
ผู้ใหญ่ 20 บาท
เด็ก 10 บาท
 หลังจากได้ที่ไปไหว้พระที่วัดคีรีวงศ์แล้ว จากนั้นก็เดินทางมาเที่ยวต่อที่อุทยานสวรรค์
อุทยานสวรรค์ หนองสมบุญ จังหวัดนครสวรรค์
หนึ่งที่เที่ยวยอดนิยมที่นักเดินทางแวะมาพักผ่อนกันมากมากที่สุด เนื่องจากตั้งอยู่ติดทางหลวงถนนพหลโยธินที่สุด โดยอุทยานสวรรค์ จัดเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนครสวรรค์  มีเนื้อที่ 314 ไร่
 จุดเด่นของอุทยานสวรรค์ มังกรขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง
ภายในอุทยานสวรรค์ประกอบด้วยหนองน้ำขนาดใหญ่ เรียกว่า หนองสมบุญ มีถนนวงเหวน 2 ชั้นล้อมรอบ ตรงกลางเป็นเกาะ ซึ่งมีเนื้อที่ 4 ไร่ มีสวนหย่อม สนามหญ้า น้ำพุ เวทีกลางแจ้ง น้ำตกจำลอง ศาลาและสวนสุขภาพ เป็นที่นิยมของนักเดินทางท่องเที่ยวเพื่อแวะพักจอดรถ ใกล้ๆสวนก็มีร้านขายขนมของฝากขึ้นชื่ออยู่หลายร้านอีกด้วย
สำหรับเพื่อนๆคนใหนที่แวะผ่านมาจังหวัดนครสวรรค์ ขับรถมาเหนื่อยๆ ก็มาพักผ่อนอริยาบถให้หายเมื่อยกันที่สวนแห่งนี้ได้นะคะ
ออกจากอุทยานสวรรค์ ขับรถผ่านมาก็ แวะซื้อของฝากร้านขนมโมจิ จันทร์สุวรรณ์
 และใหนๆก็มาถึงนครสวรรค์ ขับรถผ่านทั้งที ต้องซื้อของฝากขึ้นชื่ออย่างขนมโมจิติดไม้ติดมือไปด้วยเลย ซึ่งแวะมาซื้อที่ร้านขนมโมจิจันทร์สุวรรณ อีกหนึ่งร้านขนมโมจิเก่าแก่คู่เมืองมายาวนาน
ที่ร้านมีขนมเปี๊ยะหิมะด้วย รสชาติเหมือนกินขนมโก๋ใส่ไส้ถั่วเลยค่ะ แต่อร่อยมาก
ขนมโมจิ นครสวรรค์ ที่ร้านจันทร์สุวรรณ
 ว่ากันว่าหากใครที่มาถึงนครสวรรค์ หากไม่ได้ซื้อขนมโมจิติดไม้ติดมือกลับไป ถือว่ามาไม่ถึงนครสวรรค์กันเลยทีเดียว เล่าถึงขนมโมจิทีไร ก็เคยส่งไปให้เพื่อนชาวญี่ปุ่นไปรับประทาน นางก็แอบตกใจไม่น้อย เพราะไม่เหมือนขนมโมจิที่ประเทศของตัวเองเสียสักเท่าไรนัก เนื่องจากแป้งคนละสูตรกัน แต่ก็อร่อยไปคนแบบ และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกันด้วย ความอร่อยอยู่ที่คนชอบทาน
ฝั่งตรงข้ามก็มีร้านขนมโมจิอีกร้าน ชื่อ วัฒนพรนครสวรรค์ ก็เป็นร้านขนมเก่าแก่อีกแห่งในเมืองนี้เช่นกัน ซึ่งแล้วแต่ว่าใครกินถูกปากร้านใหน ก็ซื้อร้านนั้น ต้องลองไปซื้อทานดู แต่แอบเสียดาย ทางร้านน่าจะมีให้ลองชิมก่อนซื้อน่าจะดีไม่น้อย
ได้ของฝากเป็นขนมโมจิติดมือไปแล้ว รับรองว่าไม่โดนที่บ้านด่าแน่นอนว่า ทำไมไม่ซื้อของฝากติดมือมาด้วย เดี๊ยนล่ะจะเป็นลมตลอด เวลาไปเที่ยวใหน เห็นควรจะต้องซื้อขนมนมเนย ติดมือไปด้วยทุกครา ไม่งั้นโดนด่าหน้าชาอยู่ร่ำไปเชียว
วัดนครสวรรค์
หลังจากได้นั่งพักผ่อนที่อุทยานสวรรค์แล้ว ก็ขับรถมอเตอร์ไซต์มาไหว้พระต่อที่วัดนครสวรรค์  พระอารามหลวง  อีกหนึ่งวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองนี้มาอย่างยาวนาน สร้างขึ้นในราว พ.ศ.1972 โดยประมาณ เดิมหน้าวัดอยู่ทางริมแม่น้ำเจ้าพระยามีต้นโพธิ์

ภายในพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อศรีสวรรค์ เป็นองค์ประธาน พระพุทธรูปใหญ่ 2 องค์ในพระวิหาร เรียกว่า “พระผู้ให้อภัย” พระพุทธรูปอื่นอีก 2 องค์ในพระวิหาร พระพุทธรูปเนื้อสำริดสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย อยู่ที่กุฏิเจ้าอาวาสจำนวน 4 องค์
 เมื่อไหว้พระที่วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวงแล้ว ขับรถข้ามสะพานเดชาวงศ์มาไม่ไกลนัก ก็มาสักการะนมัสการไหว้พระที่วัดจอมคีรีนาคพรต อีกหนึ่งวัดเก่าแก่ประจำเมืองฟ้าแห่งนี้
ขับรถไต่เขาอันลาดชันมาไม่ไกลนักก็ถึงวัดจอมคีรีนาคพรต มาไหว้พระที่โบสถ์เทวดาสร้าง
เกี่ยวกับวัดจอมคีรีนาคพรต(วัดเขา)

วัดจอมคีรีนาคพรต(หรือวัดเขา) เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญอีกวัดหนึ่งของจังหวัด ตั้งอยู่บนเขาบวชนาค ระหว่างเชิงสะพานเดชาติวงศ์และค่ายจิรประวัติ

ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อกองทัพพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกในครั้งที่2แล้ว จึงร่วมกันสร้างวัดนี้ขึ้น เพื่อแสดงว่านับถือพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน ภายในวัดมีความความเงียบสงบ ร่มรื่น น่าพักผ่อน และปฎิบัติธรรม สิ่งสำคัญภายในวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาก็คือ รอยพระพุทธบาทจำลอง พระประธานในพระอุโบสถ
 โดยเฉพาะพระอุโบสถนั้น มีตำนานว่า เป็นพระอุโบสถที่เทวดาสร้างขึ้นบนยอดเขาในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของวัดอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า มีทหารขึ้นไปประชุมภายในพระอุโบสถ แต่เข้าไปเท่าไร พระอุโบสถก็ไม่เต็ม ชาวบ้านถือกันว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ พระวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ชาวบ้านนับถือกันมากๆ ทุกปีในเดือน 12 จะมีงานนมัสการและปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลอง หรืองานวัดเขา ซึ่งนอกจากจะมีงานสมโภชแบบงานวัดทั่วไปแล้ว ยังมีการแข่งเรือประเพณีอันยิ่งใหญ่ที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาเป็นประจำทุกปีด้วย
และบริเวณยอดเขาก็มีจุดชมวิวเมืองนครสวรรค์ที่สวยงามอีกด้วย โดยสามารถมองเห็นสะพานเดชาติวงศ์ แม่น้ำเจ้าพระยา และบ้านเรือนของชาวบ้านในระแวกใกล้เคียง
บ้านหลังคาสังกะสีน้ำตาลสีสันโดดเด่น บ่งบอกได้ชัดเจนว่าชาวบ้านในระแวก ปักหลักอยู่ที่แห่งนี้มาอย่างยาวนานทีเดียว
ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์เจ้าแม่ทับทิม
หลังจากไหว้พระที่วัดจอมคีรีนาคพรตไปแล้ว จากนั้นดิฉันก็ขับมอเตอร์ไซต์เดินทางมาไหว้ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์เจ้าแม่ทับทิมต่อ อีกหนึ่งศาลที่ชาวปากน้ำโพให้ความเคารพเป็นอย่างมาก เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณต้นแม่น้ำเจ้าพระยา
 มองจากที่ตั้งศาลหันหน้าไปเป็นต้นแม่น้ำเจ้าพระยา
ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์เจ้าแม่ทับทิมแควใหญ่
 เกี่ยวกับศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์เจ้าแม่ทับทิมแควใหญ่

ตั้งอยู่บนถนนสายนครสวรรค์-ชุมแสง หันหน้าสู่ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา หรือปากน้ำโพ โดยศาลแต่นี้เดิมเป็นอาคารไม้ใต้ถุนสูง  มีผู้นำมาถวายใน พ.ศ.2413 อายุนานกว่า 130 ปี มีการบูรณะหลายครั้ง ได้มีการสร้างใหม่ขึ้นมา
 โดยเป็นครึ่งตึกครึ่งไม้แบ่งเป็นสามส่วน คือ หน้าสุดเป็นส่วนที่สร้างใหม่ประดิษฐานเทพยดาฟ้าดิน ตอนกลางเป็นอาคารไม้ดั้งเดิม และตอนในสุดเป็นส่วนที่สร้างใหม่ประดิษฐานองค์ประธาน เทพเจ้ากวนอูอยู่ด้านขวา เจ้าแม่ทับทิมและเจ้าแม่สวรรค์อยู่ด้านซ้าย สำหรับหลังคาศาล ประดับด้วยมังกรคู่ ชูลูกแก้ว
เทพเจ้ากวนอู
ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านซ้ายเป็นแม่น้ำปิง ด้านขวาเป็นแม่น้ำน่าน มาบรรจบพบกันที่จุดแห่งนี้ กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา
เดินมาที่ริมแม่น้ำก็เป็นต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านขวาเป็นแม่น้ำน่าน ส่วนด้านซ้ายเป็นแม่น้ำปิง ไหลมาบรรจบกันที่จุดนี้ เกิดเป็นต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนเกาะกลางน้ำที่เห็นเป็นปลายแหลมที่ยื่นออกมานั้น เป็นอาคารพาสาน จุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองปากน้ำโพ หรือเมืองนครสวรรค์ ที่คนนิยมมาถ่ายรูปกันทุกวัน
หากใครที่ไม่อยากเสียเวลาขับรถอ้อม ก็สามารถใช้บริการเรือข้ามฟ้ากจากอีกฝั่งมายังอาคารพาสานได้ด้วย
 ใกล้ๆกันก็เป็นที่ตั้งอาคารไม้เก่าแก่ 2 ชั้น ของชุมชนที่อยู่ในศาลเจ้า
เดินเข้าไปใกล้ๆเห็นอาม่ากับคุณลูกกำลังขมักเขม้น ลอกแผ่นมะม่วงกวนออกมาแพ็คใส่ถุงขาย
 ไม่ไกลกันนัก ขับรถมอเตอร์ไซต์ไปอีกหน่อยก็เป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟปากน้ำโพ สถานีรถไฟเก่าแก่ในเมืองนี้ ซึ่งบรรยากาศเงียบเหงาไม่น้อย แต่ที่สวยงามหยดย้อย คงเป็นอาคารสถานีไม้ชั้นเดียว ที่ยังถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี
อีกหนึ่งจุดเช็คอินเก๋ๆ ของคนชอบวันวาน แวะผ่านมาก็มาที่สถานีรถไฟปากน้ำโพได้ รับรองว่า มาถึงปากน้ำโพ อย่างแน่นอน
ยังพอมีเวลาเหลืออีกชั่วโมง ดิฉันเลยเดินทางไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบึงบ่อระเพ็ดต่อค่ะ 
 อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเด็กและครอบครัว ต่างพาน้องๆหนูแวะมาดูปลาน้ำจืดกัน เป็นสถานที่เรียนรู้พันธ์ปลาได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว
 ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 49 บาท
 มาถึงที่นี้ต้องไม่พลาดมาชมปลาเสือต่อ ซึ่งเป็นพันธ์ปลาหายาก แต่ก่อนในบึงบ่อระเพ็ดมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันแทบไม่มีแล้ว จึงเป็นปลาที่ควรอนุรักษ์ไว้
 ปลาต่อเสือลายคู่ หนึ่งในปลาน้ำจืดที่เคยชุกชุมในบึงบ่อระเพ็ด
 เดินมาในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ต้องไม่พลาดแวะลอดใต้อุโมงค์
เดินลอดอุโมงนี้ เสมือนว่าได้ไปอยู่ในวังมัจฉาแล้วอย่างแท้จริง เพราะจะมีหมู่ปลาใหญ่น้อย คอยแหวกว่ายต้อนรับผู้แวะเวียนมาเยือนชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แทบทุกวัน
หลังจากแวะไปชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบึงบ่อระเพ็ดแล้ว ก็กลับมาเมืองปากน้ำโพ ก็เฮโลสู่เวลาสนธยาเสียแล้ว
ยามสนธยาเช่นนี้ ก็เลยแวะมาเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นจุดเช็คอินยอดนิยมแห่งใหม่ที่ "ประติมากรรมพาสาน" ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจเหล่าวัยรุ่นคนทำงาน รวมทั้งพ่อบ้านแม่บ้านพาครอบครัวมาถ่ายรูปกันอย่างไม่ขาดสาย

จุดเด่นของที่นี่นอกจากอาคารสวยแปลกตาแล้ว ยังได้ชมแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำปิงและแม่น้ำน่าน ที่ไหลรวมมาบรรจบกันที่จุดแห่งนี้ ก่อเกิดเป็นต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลระย้าหล่อเลี้ยงที่ราบลุ่มภาคกลางหลายจังหวัด
พาสาน สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ในจังหวัดนครสวรรค์ ที่เหล่าคนรักการถ่ายภาพแวะมาชมกันอย่างไม่ขาดสาย
"พาสาน คืออะไร"
 
พาสาน คืออะไรดิฉันเองก็ยังสับสนไม่เข้าใจ จนเดินมาพบป้ายติดไว้ จึงเข้าใจแนวคิดของผู้ที่มีแนวคิดสร้างสถาปัตยกรรมชิ้นนี้

พาสานเป็นแนวคิดในการออกแบบ ผสาน+เชื่อมโยง
นอกจากเส้นสายของอาคารที่เปรียบเสมือนแม่น้ำสี่สายมารวมกันเป็นหนึ่งแล้ว อาคารพาสานยังทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ให้ผู้คนได้ชมการผสานกันของแม่น้ำโดยมุมมองที่สามารถเห็นแม่น้ำทั้งสองฝั่งไปพร้อมกัน จนบรรจบกันที่จุดปลาย อีกทั้งคนสองฝั่งแม่น้ำยังสามารถ มองลอดผ่านอาคารได้ถึงกันผ่านโครงสร้างอาคารที่แต่ผิวดินน้อยที่สุด ทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองฝั่งยังเชื่อมถึงกัน
ทำไมต้องพาสาน? 
พาสาน มาจาก ผสาน 
การรวมตัวกันของแม่น้ำ 4 สาย คือ ปิง วัง ยม น่าน ซึ่งค่อยๆผสานกันจาก 4 เป็น 2 และจาก 2 (ปิ่งและน่าน) รวมกันเป็นหนึ่ง คือแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่แห่งการผสานวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ตามบริบทริมแม่น้ำตลอดสาย
พาสาน  ที่เที่ยวจุดเช็คอินยามสนธยาในเมืองปากน้ำโพ
สถาปัตยกรรมดูแปลกตา หากจะดูประหลาดก็น่าจะใช่ แต่ก็มีความเก๋ไก๋ ดูทันสมัยมิใช้น้อยเช่นกัน 
เพราะรูปลักษณ์ดูโค้ง ทัศนียภาพโดยรอบตกแต่งได้งดงาม 
ด้านบนอาคารพาสาน เป็นทางเดินให้ชมวิวทิวทัศน์
ด้านในก็เป็นอาคารทางเดินทะลุไปยังทางเดินจุดชมวิวต้นแม่น้ำเจ้าพระยา
พาสาน (Pasan architecture-The Origin of the Chao Phraya River)
หากเพื่อนๆเหล่าผู้รักการทัศนาจรคนใหน ที่จะมาเที่ยวเมืองปากน้ำโพ ก็อย่าลืมเลยที่จะเฮโลมาเช็คอิน ถ่ายรูปฟินที่ อาคารพาสานแห่งนี้สักครั้งนะคะ โดยช่วงเวลาเป็นช่วงที่เหมาะกับการมาเที่ยวถ่ายรูปมากที่สุด เนื่องจากอากาศไม่ร้อน แต่ก็มีนักเดินทางแวะมาเยอะเหมือนกัน
ดิฉันนั่งๆเดินๆเพลิดเพลินอยู่ที่อาคารพาสาน ยลตระการต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เมืองปากน้ำโพนี้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็อัสดงลงแลลับสู่ขอบฟ้า เข้าสู่ยามพลบค่ำ
และยามหัวค่ำแบบนี้ สถานที่ช็อปปิ้งยอดนิยมมีชื่อเสียงอีกแห่ง เห็นจะหนีไม่พ้น ถนนคนเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีสินค้าแบกกะดินวางขาย เรียงยาวให้ช็อปปิ้งเลือกซื้อเลือกหากันอย่างจุใจ
แน่นอนว่าเมืองปากน้ำโพ เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธัญญาหาร ทำให้มีอาหารการกินให้เลือกทานหลายอย่างเชียวล่ะ
ขนม นม เนย อาหาร คาว อาหารหวาน แล้วแต่จะเลือกทานกันอย่างจุใจ ชอบแบบใหนก็ซื้อไปทานกันได้เลยค่ะ มีให้เลือกเยอะมากๆ
ส่วนอาหารเย็นมื้อนี้ นอกจากจะซื้อของกินที่ตลาดถนนคนเดินแล้ว ก็มาฝากท้องไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวนายตี๋ ลูกชิ้นปลากราย 3 รส ว่ากันว่าเป็นร้านดังประจำเมืองปากน้ำโพ แต่ไม่ได้ทานที่ร้านค่ะ สั่งใส่ถุงไปทานที่ห้องพัก เนื่องจากซื้ออย่างอื่นมาด้วยหลายอย่าง
นอกจากนี้ยังมีสเตะหมูย่างอีกด้วย คนงานในร้านกำลังปิ้งหมูย่างอยู่ กลิ่นหอมโชยเชียวค่ะ เรียกน้ำย่อยในกระเพาะดีเหลือเกิน
เหลียวหันมาที่กระทะทอดมันปลากราย ก็ยิ่งแล้วใหญ่ กลิ่นหอมกว่าหมูย่างหน้าร้านเสียอีก
 ส่วนอาหารเย็นมื้อนี้ทาน ก๋วยเตี๋ยวนายตี๋ ทอดมันปลากราย ทานคู่กับมะระขี้นกหรือแนมกับ เมี่ยงคำใบชะพูล แค่นี้ก็อิ่มจนพุงปลิ้นแล้วค่ะ
-----------------------------------------------------------
เดี่ยวบล็อกรีวิวถัดไปจะพาทุกท่านไปเที่ยวชุมแสงกันค่ะ อีกหนึ่งเมืองเก่าแก่ที่ต้องไปแลชมสักครััง
อรุณรุ่งเบิกฟ้าเช้าวันใหม่ เดี่ยวบล็อกรีวิวถัดไปจะพาทุกท่านไปเที่ยวชุมแสงกันค่ะ อีกหนึ่งเมืองเก่าแก่ที่ต้องไปแลชมสักครััง มีอะไรให้ไปถ่ายรูปปังๆอยู่หลายแห่งทีเดียว

หมดไป 1 วันกับการเที่ยวเมืองสี่แคว แท้จริงแล้วเมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งเลยล่ะค่ะ เนี่ยเที่ยวเฉพาะแค่ในตัวเมืองใกล้ๆนะคะ ยังไม่ออกนอกตัวจังหวัด ว่ากันว่าตามอำเภอต่างๆก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจไม่ใช้น้อยเลย เดียวบล็อกรีวิวถัดไป ดิฉันจะพาผู้อ่านทุกๆท่าน ขับมอเตอร์ไซต์เป็นผู้สาวขาเลาะไปเที่ยวอำเภอชุมแสงกันค่ะ หวังว่าจะได้พบกันในบล็อกถัดไปนะคะ....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน 
------------------------------------------------------------
บทความรีวิวท่องเที่ยวเมืองอื่นๆ มีดังนี้
เก็บตกรีวิวเที่ยวอำเภอชุมแสง สวยมาแรงตลาดเก่า100ปี แวะมาที่นี่ให้ได้สักครา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
เก็บตก รีวิวเที่ยวชุมแสง งามร้อนแรงบึงบอระเพ็ด สวยเด็ดตลาดเก่า100ปี ต้องแวะมาฉิมพลีสักครั้งครา คลิ๊กดูรีวิวและการเดินทางค่ะ>>
รีวิวเที่ยวงานแห่ผ้าขึ้นพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช นอนตากอากาศที่คีรีวง คลิ๊กดูรีวิว>>
รีวิวพาคุณแม่แห่ผ้าขึ้นธาตุเมืองนคร นอนที่บ้านคีรีวง ชมวิถีชาวประมงที่ปากพนัง ต้องมาเที่ยวอีกครั้งให้ได้เลยเชียว คลิ๊กดูภาพที่เที่ยวและการเดินทางค่ะ>>
รีวิวเที่ยวเมืองพัทลุง ชมมนต์ลูกทุ่งแห่งคุ้งน้ำทะเลน้อย แวะไปสอยเที่ยวชมกันเลย>>
มาม๊ะ..มาเที่ยวเมืองพัทลุง ชมมนต์ลูกทุ่งแห่งคุ้งน้ำทะเลน้อย งามหยดย้อยธรรมชาติ ไม่พลาดมาทัศนาจรสักครั้ง ถ่ายรูปปังแน่นอน คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางค่ะ>>
รีวิวเที่ยวเมืองตรัง มาอีกครั้ง ก็ยังปังเสมอ อาหารรสเลิศเลอ คลิ๊กดูรีวิวเลยจ้า>>
รีวิวเที่ยวเมืองตรังอีกครั้ง ก็ยังปังเสมอ มีอาหารรสเลิศเลอ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยจ้า คลิ๊กดูรีวิวและที่เที่ยวค่ะ>>
รวม12 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในกรุงปารีส ที่คู่รักสายจี๊ด แวะไปกัน คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
รวมเด็ด 12 ที่เที่ยวในกรุงปารีส ที่เหล่าคู่รักสายจี๊ด ต้องไปถ่ายรูปให้แซ่บซี๊ดกันสักครั้ง มีที่ใหนบ้างนั้น คลิ๊กตามไปเที่ยวดูกันเลย>>

รีวิวเที่ยวเดือนมกราคม แบกเป้ไปกินลมชมเมืองประจวบฯ 3 วัน คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
มาม๊ะ..มาเที่ยวเมืองประจวบ 3 วัน 2 คืน ชื่นบานใจ ไปใช้ชีวิตแบบช้าๆ งามระย้าเมืองสาวอ่าว ต้องก้าวย่างมาสักครา คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางค่ะ>>

รีวิวแบกเป้เที่ยวเขาค้อ-ภูทับเบิกอีกครั้ง ไปดูสิว่ายังสวยปังอยู่ใหม๊ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้เที่ยวเขาค้อ-ภูทับเบิกอีกครั้ง มาดูสิว่ายังสวยงาม อลังปังอยู่ใหม๊ มีที่เที่ยวใหม่ๆอะไรบ้าง ไปดูสิ คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางค่ะ>>
รีวิวเที่ยวในเมืองเพชรบูรณ์ แบบช้าๆ มีที่เที่ยวให้ลั๊ลลามากมาย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวเมืองเพชรบูรณ์ 1 วันแบบช้าๆ ในตัวเมืองมีที่เที่ยวลั๊ลลามากมาย ต้องแวะไปให้ได้สักครั้งครา คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางจ้า>>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวเชียงคำ-งามล้ำทะเลหมอกภูลังกา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
มาเน้อเจ้า..มาแอ่วภูลังกา ดูทะเลหมอกสวยระย้าจับใจ แวะตะไลไปเชียงคำ สัมผัสวัฒนธรรมไทลื้อ คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางจ้า>>>
รีวิวแบกเป้ลุยเดี่ยว เช่ารถมอเตอร์ไซต์เที่ยวเมืองพะเยา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยว มาเน้อเจ้า..มาแอ่วเมืองพะเยา นอนคลอเคล้าริมกว๊าน งามอลังการสะท้านโลกา คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางจ้า>>>

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น