Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

รีวิวเที่ยวเมืองเลย แวะไปเดินชมเชยที่เชียงคาน ก่อนไปยลตระการยอดภูกระดึง งามตราตรึงเริ่ดสะแมนแตน

รีวิวเที่ยวเมืองเลย 3 วัน 2 คืน เชียงคาน ไปยลตระการเดินจงกรมขึ้นยอดภูกระดึง สวยสุดซึ้งเริ่ดสะแมนแตนเว่อร์



ขอสวีดัด สวัสดี๊ดีคุณผู้อ่านชาวเน็ตทุกๆท่านอีกครั้งนะค่ะ เดี๊ยนคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน บล๊อกเกอร์มือสมัครเล่นแนวๆกากๆ โกโรโกโส สับปะรังเค ขอมาทักทายและต้อนรับคุณผู้อ่านทุกๆท่านเข้าสู่เว็ปบล๊อกแนะนำที่พัก รีวิวที่เที่ยว เขียนไปมั่วซั่ว บ้าๆบอๆ นึกอะไรได้ก็เขียนไปค่ะ รำลึกความหลังโน้นนี้นั้น รำพันรำพึง นึกถึงวันวาน เขียนเองก็งงเอง ตกๆหล่นๆ วนเวียน และเวียนวน เขียนวน-วน หนีไม่พ้นการวนเวียน เฮ้อ...ก็มาเขียนวนเวียน เรื่องราวเดินทางท่องเที่ยวและที่พักเนี่ยะแหละค่ะ ถือว่าเป็นงานอดิเรกใช้เวลาว่างหลังเลิกงานที่จะช่วยฆ่าเวลาของเดี๊ยนได้ดีที่สุดแล้วค่ะ จะได้บันทึกเอาไว้ในเว็ปบล๊อกเพื่อเป็น Diary Memorandam ค่ะ เอาไว้อ่านยามนึกถึง ก็มาเปิดดูให้สะพรึง จะได้นึกถึงวันวานนะค่ะ......ทริปท่องเที่ยวเดือนนี้ ทริป 3 วัน 2 คืน รีวิวเที่ยวเมืองเลย ไปเดินเชยชมเมืองเชียงคาน ก่อนจะไปเดินสำราญที่ภูกระดึง สวยสุดซึ้งตราตรึงจิต นึกให้คิดย้อนวันวานชานสมัย อยากจะกลับไปเป็นวัยรุ่น เดินจับกลุ่มชมผาหมอก นั่งเย้าหยอกสุดแฮปปี้ ดีเริ่ดเว่อร์ค๊า

 

กลับมาอีกครั้งนะค่ะ สำหรับรีวิวท่องเที่ยวเดินทางประจำเดือนตุลาคมค่ะ เดี๊ยนอยากจะขอมารีวิวเรื่องราวการเดินทาง รำลึกความหลังไปพิชิตภูกระดึงอีกครั้งค่ะ เป็นทริปที่เดี๊ยนได้เดินทางไปเมื่อวันที่ 4-6 ตุลาคม 2559 ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เผอิญว่า เดี๊ยนพึงได้แลกวันลาพักร้อนกับคนที่ทำงาน ก็เลยถือโอกาสจัดทริปให้ตัวเองไป ออกกำลังแข้ง กำลังขาไปเดินไต่เขาขึ้นไปพิชิตภูกระดึงอีกครั้งนะคะ




ก่อนจะเข้าเรื่อง ขอมาเวิ้นเว่อร์ รำลึกความหลัง ย้อนไปเมื่อปี 2539 ในช่วงที่เทคโนโลหยอก โนโลยี ยังไม่ทันสะหมอกทันสมัยเหมือนยุคนี้ สมัยที่เดี๊ยนยังเป็นสาวๆ หุ่นก็เซี๊ยะเช้งกะเด๊ะ เป๊ะปึ๋ง ตะลึงตึงตึง หน้าก็สวยสะพรึงสุดๆ หุ่นเล็ก เอวบางรางน้อย ใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ๆตามสมัยนิยม ได้นัดกับกลุ่มเพื่อนแบกเป้มาเดินไฉไล นั่งรถจากหมอชิตไปกระดึง เพื่อมาพิชิตภูผาที่สวยซึ้งตราตรึงที่สุดอีกแห่งในเมืองไทย นั้นก็คือ ภูกระดึง นั้นไซร์ เป็นสถานที่ใครๆก็อยากมาค่ะ.....ในสมัยนั้นใครที่ได้มาเที่ยวภูกระดึง ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดตาและตราตรึงใจคนมาเยือนมากที่สุดค่ะ โดยเฉพาะรูปต้นสนเอนลงหน้าผามีพระอาทิตย์ทอแสงอัศดงลงเรไร งดงามไฉไลยิ่งนักค่ะ เป็นภาพที่ได้ขึ้นปกนิตยสารท่องเที่ยวเกือบทุกฉบับ ที่ใครเห็นก็อยากมาเยือนค่ะ และช่วงนั้น สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไทยแบบ Trekking  หรือแบบเดินป่า ก็ไม่ได้มีเยอะเหมือนสมัยนี้นะค่ะ ทำให้ภูกระดึงถือเป็น สถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ที่ใครๆเห็นก็อยากมาเยือนสักครั้งหนึ่งค่ะ อยากมาถ่ายรูป ไอ้ป้ายที่เขียนว่า สักครั้งหนึ่งในชีวิตคือผู้พิชิตภูกระดึง นั้นแหละค่ะ และภาพการนั่งริมหน้าผา ชมพระอาทิตย์ตก แสงสีทองส่องเรไร กำลังจะอัสดงลงไปแลลับ งามระยับดุจแพรวพราว สกาวรุ่งโรจน์และช่วงโชติชัชวาลย์ สวยเว่อร์วังอลังการสะท้านโลกายิ่งนักค่ะ




สมัยนั้นจะถ่ายรูป ก็ต้องเป็นกล้องฟิมล์นะค่ะ ไม่ได้เป็นกล้องมือถืออันทันสะหมอกเหมือนยุคนี้นะค่ะ จะถ่ายรูปที ก็ต้องเอาเงินมาแชร่รวมกันซื้อฟิมล์ หากจะถ่ายรูป ก็ต้องถ่ายคนเท่านั้น ถ่ายวิวเปล่าๆไม่ได้นะ ห้ามถ่ายค่ะ มันเปลืองฟิมล์ค๊า ถ่ายทีก็ต้องหาคนมือนิ่งๆถ่าย นับ 123 ยิ้มจนปากแห้ง ชูสองนิ้วอยากจะถือเอ็มร้อย ห้อยลิโพด้วยก็เมื่อยสุดๆค่ะ จะไม่ยิ้มก็ไม่ได้นะ เดียวภาพไม่สวย กว่าคนถ่ายจะนับ 3 แล้วกดชัตเตอร์ลง โอ้ยเมื่อยค่ะ ทีนี้พอเสร็จ เอาภาพไปล้างส่งมาให้ดู แทบเป็นลม เพราะเป็นภาพหัวขาดกันหมดเลยค๊า 555 สุดๆ แต่สนุก เฮอาปาจิงโก๊ะกันจริงๆ เริ่ดสะแมนแตนมากๆ  การเดินขึ้นไปพิชิตยอดภูกระดึงถ้าจะให้สนุก ต้องไปเป็นหมู่คณะหลายๆคน ถือเป็นเรื่องที่สนุกและเฮฮายิ่งนักค่ะ เพราะเหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกัน ใครมีแฟน จะรักหรือเลิกกัน หากมาภูกระดึง ก็วัดกันตรงนี้แหละ ถือเป็นสถานที่วัดใจได้เด็ดสะระตี๋ทีเดียวค่ะ


อุทยานแห่งชาติภูกระดึง บรรยากาศช่วงปลายฝนต้นหนาว 


อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในช่วงยามเย็น ช่วงปลายฝนต้นหนาว 




ด้วยฉะนี้ก็เลยเป็นเหตุผลที่เดี๊ยนอยากจัดทริป ไปลั๊นลาเดินจงกรมขึ้นภูกระดึงอีกครั้ง แต่รอบนี้กลับไม่ได้เฮฮาเหมือนปี 2539 ที่ผ่านมาแล้วโน้นะค่ะ กลับเป็นทริปแบบปลีกวิเวก เพราะเดี๊ยนจะชวนใครไป ทุกคนต้องก็มีภาระหน้าที่การงานที่ทำ มีลูกมีเต้า ออกเย้าออกเรือนกันหมดแล้วค่ะ มีเพื่อนหลายคนอยากมาด้วยนะค่ะ แต่วันหยุดไม่ตรงกันค่ะ เดี๊ยนก็เลยมาฉายเดี่ยว เดินจงกรม หอบหุ่นอันอวบอั๋น แบกเป้ขึ้นไปพิชิตภูกระดึง รำลึกความหลัง นั่งเคล้าสายหมอก เย้าหยอกธรรมชาติ อากาศแสนจะบริสุทธิ์ อยากจะหยุดเวลาไว้ ณ ที่ตรงนี้ ไม่อยากจะจรลี หนีไปที่ใหนเลยเอย

สรุปทริปการเดินทางไปเที่ยวภูกระดึงครั้งนี้ เกิดผิดแผนค่ะ ปกติมาเที่ยวภูกระดึง ต้องมา 3 วัน 2 คืนนะค่ะ พอดีเดี๊ยนเดินทางด้วยเครื่องบินมาเลยที่เมืองเลย แต่เกิดว่า เครื่องบินมาถึงล่าช้า หรือเกิด Delay ค่ะ กว่าจะมาถึงเมืองเลยก็เกือบเที่ยงแล้วค่ะ ก็เลยคิดว่าคงไปไม่ทันเวลาขึ้นภูกระดึงแน่ๆค่ะ ใหนกว่าจะนั่งรถโดยสารจากเมืองเลยไปอีกนะค่ะ ระยะทางจากเมืองเลยไปภูกระดึงก็เกือบ 80 กิโลค่ะ ใช้เวลาพอสมควร เดี๊ยนเลยเปลี่ยนแผนกระทัน มานอนพักค้างในเมืองเลย 1 คืน ก่อนจะตื่นเช้าเดินทางไปภูกระดึงในวันถัดไปค่ะ



ทริปนี้ในช่วงวันแรกที่เดินทางมาคือวันที่ 4 ต.ค.เนื่องจากว่าคงไปขึ้นภูกระดึงไม่ทัน เดี๊ยนก็เลยเปลี่ยนแผนของเวลาเหลือช่วงบ่าย เดินทางไปชมวิถีชีวิตบ้านไม้เก่าในอำเภอเชียงคานค่ะ ถือว่าได้มาเดินชมบ้านชิวๆ รับลมเย็นๆ ฝั่งริมแม่น้ำโขง เชื่อมโยงไทยลาว นั่งคลายเหงาริมแม่น้ำ ชมพระอาทิตย์ตก ก็สวยสะทกสะท้านหวั่นไหวยิ่งนักค่ะ



เอาล่ะค่ะ ขอเข้าเรื่องรีวิวลุยเดียวท่องเที่ยวตามภาพเลยแล้วนะค่ะ รู้สึกว่าเดี๊ยนยิ่งเขียนก็ยิ่งเยอะ เวิ้นเว้อร์ไปกันใหญ่แล้วค่ะ เรื่อยเปื่อยจริงๆ เดียวจะเบื่อกันเสียก่อน



ทริป 3 วัน 2 คืน เที่ยวเมืองเลย ไปเดินเชยชมเชียงคาน ก่อนจะไปสุขสำราญที่ภูกระดึง สวยสุดซึ้งตราตรึงจิต นึกให้คิดย้อนวันวานชานสมัย อยากกลับไปสู่วัยซะรุ่น เดินจับกลุ่มชมผาหมอก นั่งเย้าหยอกสุดแฮปปี้ ดีเริ่ดเว่อร์


สรุปทริปชะโงกทัวร์เมืองเลย สั้นๆค่ะ

4 ตุลาคม 2559 
- เครื่องบินถึงเมืองเลยตอน 11.45 เดินไปเช็คอินน์เข้าที่พักในเมืองเลย
- ตอนบ่าย 2 โมง นั่งรถหวานเย็นไปเดินชมเชย เมืองเชียงคาน นั่งพักริมแม่น้ำโขงเชื่อมโยงไทยลาว
- ชมพระอาทิตย์อัสดง ตกลงแลลับสุขขอบฟ้า ก่อนจะลั๊นลาเดินทางกลับเข้าเมืองเลย เพื่อนอนพักผ่อน เก็บแรงไว้เดินทางไปภูกระดึงต่อในวันถัดไปค่ะ



5 ตุลาคม 2559 
- เวลา 8.00 น. นั่งรถโดยสารจากเมืองเลย ไปอำเภอกระดึง ถึงเวลาประมาณ 10.00
- แบกเป้ เดินจงกรมขึ้นภูกระดึง งามสวยซึ้งหมู่ป่าไม้สีเขียว ถึงยอดภูเวลาประมาณ 14.00 น.
- 18.00 น.ปั่นจักรยานจากที่พัก ไปชมพระอาทิตย์ตกที่ ผาหมากดูก


6 ตุลาคม 2559 (เนื่องด้วยเวลามีจำกัด ก็ได้เลยได้เที่ยวบนภูกระดึงเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้นค่ะ)
- เวลา 8.00 น.ปั่นจักรยาน 9 กิโลเมตร จากที่ทำการไปผาหล่มสัก ไปชมไฮไลท์ของผาที่มีกิ่งสนเอนลงหน้าผา ถ้าไม่ได้มาที่นี้ถือว่ามาไม่ถึงภูกระดึงเลยค่ะ ใช้เวลาประมาณปั่นไป 1 ชั่วโมงกว่าๆเลยค่ะ
- ปั่นจักรยานกลับ เอาไปคืนที่หลังแป เดินลงจากภูกระดึง ลงมาที่ทำการ ใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมงเลยครับ
- นั่งรถโดยสารจาก อ.ภูกระดึง กลับเข้าเมืองเลยให้ทันเวลาก่อนเครื่องบินจะออกค่ะ เดินทางมาถึงเวลา 17.00 น.กว่าๆพอดีเป๊ะเลยค่ะ
- 18.00 น. นั่งเครื่องบินโดยสาร ออกจากสนามบินเมืองเลย ถึง สนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ จบทริปชะโงกทัวร์เมืองเลยค่ะ 


 
นั่งเครื่องบินออกจากสนามบินดอนเมือง มุ่งหน้าไปจังหวัดเลย 
วันที่ 4 ตุลาคม 2559 เดี๊ยนใช้บริการสายการบินหางแดงค่ะ
ตอนจองครั้งแรก เวลาเครื่องบิน จะบินออกเป็นตอน 6 โมงเช้านะค่ะ แต่พอตอนจะปริ้นใบเช็คล่วงหน้าไม่กี่วัน กลายเป็นเลื่อนเวลา Flight ออกเป็น 10 โมงเลยนะค่ะ ด้วยเหตุผลนี้ เดี๊ยนก็ถึงเลยต้องเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวภูกระดึงกระทันหัน อดได้เดินจงกรมขึ้นภู และไปนอนบนยอดภูสองคืนเลยค่ะ ก็เลยต้องมานอนในเมืองเลย 1 คืนค่ะ งานนี้เหนื่อยแน่ๆค่ะ แต่ก็สู้ค่ะ ใหนจัดวันลาพักร้อนมาแล้วค่ะ

กว่าเครื่องบินจะ take off ออกจากสนามบินดอนเมือง เพลาเครื่องทยานขึ้นสู่ท้องฟากฟ้าประมาณ 10.45 เลยนะเพค่ะ



เวลา 11.45 นาทีก็เดินทางถึงสนามบินเมืองเลยอย่างปลอดภัยนะค่ะ  ดีแล้วนะค่ะ ที่เดี๊ยนเปลี่ยนแผนมานอนค้างที่เมืองเลย 1 คืน เพราะยังไงหากเดินทาง นั่งรถโดยสารจากเมืองเลยไปภูกระดึงก็ต้องเลยเวลาขึ้นภูกระดึงตอนบ่าย 2 โมงค่ะ เนื่องจากเวลาขึ้นภูกระดึงจะเปิดให้ขึ้นตั้งแต่เช้า ถึงเวลา 14.00 น.เท่านั้นค่ะ หากใครที่ตั้งใจมาเที่ยวภูกระดึงนะค่ะ แนะนำไม่อยากให้นั่งเครื่องบิน นั่งรถโดยสารจากกรุงเทพมาลงที่ภูกระดึงง่ายกว่าเยอะเลยค่ะ
ออกจากสนามบินมา เดี๊ยนก็เลยใช้บริการรถสามล้อ นั่งจากสนามบินมาที่โรงแรม อยู่ในตัวเมืองค่ะ ซึ่งได้ทำการจองล่วงหน้าไว้แล้วก่อนเข้าพัก 2 วันค่ะ คุณพี่คนขับรถสามล้อ บิดขัดเร่งซึ่งสุดๆเลยไม่รู้จะรีบจรลีหนีไปใหนนะค่ะ เสียงรถก็ดังเสียเหลือเกินค่ะ แต่ก็มาส่งเดี๊ยนถึงทีโรงแรมอย่างปลอดภัยค่ะ


รีวิวที่พักคืนนี้ นอนที่โรงแรมอินดิโก้ สเปซเมอืงเลย (Indiego Space Loei) เป็นที่พักเปิดใหม่ล่าสุดในเมืองเลย 


โรงแรมในเมืองเลย ที่เดี๊ยนจองไว้พักคืนนี้ คือ โรงแรมอินดิโก้ สเปซเมืองเลยค่ะ จองผ่านเว็ป Agoda คืนละ 730 บาท ราคาถูกว่าที่หน้างาน ก็เลยจองตัดบัตรเครดิตไปค่ะ เพราะง่ายดี

 
นอนที่โรงแรมอินดิโก้ สเปซเมอืงเลย (Indiego Space Loei) เป็นที่พักเปิดใหม่ล่าสุดในเมืองเลย 
พอมาถึงก็งงๆนิดหน่อย เพราะหาที่เช็คอินน์ไม่เจอค่ะ คุณพี่มาส่งหน้าโรงแรม ก็เป็นอย่างนี้เลยนะค่ะ เดี๊ยนสับสนไม่รู้จะติดต่อขอเช็คอินน์ เข้าพักได้ที่ใหน ต้องมองเห็นป้ายติดไว้ เลยได้ เคาะประตู้เข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่พนักงานค่ะ


 เปิดประตูเข้าห้องพักด้านในค่ะ
ห้องพักตกแต่งน่ารัก ดูดี กว้างขวาง น่าพักมากๆ 

ได้กุญแจแล้วก็เข้ามาในห้องพักค่ะ ห้องพักสำหรับนอนคืนนี้ ที่โรงแรมอินดิโก้ สเปซ ถือว่าดีเยี่ยมเลยค่ะ เป็นที่พักสำหรับวัยแนวๆ คนรักการดีไซน์จริงๆนะค่ะ ดูภายนอกคลายหอพักยังไงชอบกล แต่พอเข้ามาเปิดในห้องก็อลังเลยค่ะ กิ๊บเก๊ ยูเรก้ามากเลยค่ะ


ในห้องกว้าง แต่มีการตกแต่งดีไซน์ได้ดีมาก มีการแบ่งสเปซ ห้องเป็นส่วน มีมุมห้องเครื่องแต่งตัว โซนล้างมือ โซนล้างหน้า โซนห้องน้ำ เริ่ดดีค่ะ
ห้องพักยังใหม่เอี่ยมเลยนะค่ะ ผนังห้องก็ตกแต่งวาดเป็นรูปนก แนวอาร์ต ให้ความรู้สึกว่าห้องนี้ดูหรูหราดีค่ะ เดี๊ยนชอบเอาไปเลยคะแนนความพึงพอใจ 5 ล้านดาวค่ะ
มีมุมโน้น มุมนี้ มีโต๊ะเครื่องแป้ง ก็เปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานได้ เริ่ดสุด ไม้แขวนเสื้อก็เก๋ๆ ดีไซน์ได้ดีเริ่ดมากมีมุมสวยให้ถ่ายรูป เก๋ดีค่ะ
ห้องพักแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน ในห้องเป็นห้องแอร์ มีชา กาแฟ น้ำดื่มให้ฟรี มี Amenity ให้ครบ ห้องน้ำใน
มีอ่างล้างจานด้วยนะค่ะ  เริ่ดมากๆ เหมือนห้องสตูดิโอเลยค่ะ
มี แอร์ ทีวีจอแบน โต๊ะสำหรับนั่งทำงาน มีระเบียง ให้นั่งสำหรับคนที่สูบบุหรี่ ดีมากเลิศมากๆค่ะ ถ้าเป็นโรงแรมในกรุงเทพ ราคาคงหลายพันเสียกระมังค่ะเนี่ย นี้เป็นโรงแรมในต่างจังหวัด ราคาถูกและดีด้วยนะค่ะ ถ้าโรงแรมในกรุงเทพ ราคาเดียวกันกับที่โรงแรมต่างจังหวัดก็คงจะดีนะค่ะ
ห้องน้ำก็สะอาดสะอ้านดี เก็บรายละเอียดได้ครบ ดีเริ่ดมาก เอาไปเลยคะแนนความพึงพอใจ 5 ล้านดาวค่ะ
หลังจากที่เดี๊ยนได้ทำการเช็คอินน์ เก็บสัมภาระในห้องพักเรียบร้อย ก็ได้เวลาทานอาหารเที่ยงแล้วค่ะ ใกล้ที่พักในซอยนะค่ะ มีร้านอาหารชื่อดัง ชื่อว่า ร้านข้าวเปียกปากหมา ชื่อเพราะพริ้งสวิ้งริงโก้สุดๆเลยค๊า เป็นร้านข้าวเปียกค่ะ เป็นก๋วยจั๊บญวนสูตรมุกดาหารค่ะ แต่คนที่นี้เรียกว่า ข้าวเปียกค่ะ เดี๊ยนเลยขอไปประเดิมสักหน่อยค่ะ
จัดไปค่ะ 1 ชาม ราคาไม่แพง 30 บาท อร่อยเริ่ดสมชื่อจริงๆค่ะ คนแน่นร้านมากๆนะค่ะ
หลังจากทานข้าวเปียกอิ่มแล้ว ได้เวลาที่จะได้เดินทางไปท่องเที่ยวแล้วค่ะ เนื่องจากเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวกระทันหัน ไปขึ้นภูกระดึงไม่ทัน ก็เลยเปลี่ยนแผนไปเที่ยวเชียงคานแทนค่ะ เดี๊ยนก็เลยใช้บริการรถสองแถวหวานเย็น ที่ บขส.นั่งจากเมืองเลย ไปเชียงคานค่ะ
เนื่องจากเป็นรถสองแถวหวานเย็นค่ะ ก็จะแวะรับทุกจุดที่คนโบกค่ะ รถคันนี้ก็เลยวิ่งเอื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ต้องใจเย็นมากๆนะค่ะ ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะถึงเชียงคานค่ะ
รถมาส่งที่บริเวณตลาดสด เดี๊ยนก็เดินไปที่ชุมชมริมฝั่งน้ำค่ะ ที่เป็นถนนคนเดินค่ะ
 เมืองเชียงคานในวันธรรมดา สถานที่แห่งนี้ดูเงียบสงัดมากๆค่ะ ตลอดสองข้างทางก็เต็มไปด้วยบ้านเรือนไม้ ที่ถูกดัดแปลงเป็นโรงแรมที่พักและร้านค้า รอนักท่องเที่ยวมาเดินชมกันค่ะ
จุดเด่นของเชียงคาน ก็คงเป็นบ้านไม้ติดริมแม่น้ำโขง และวิถีชีวิตของชาวบ้านในระแวกนี้กระมังค่ะ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้นักเดินทางทั่วสารทิศหลั่งไหลมาพักผ่อนเมืองนี้อย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ
บ้านหลังเก่าๆ บ้านไม้โบราณเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ต้องมาหยิบกล้อง มาจ้องมาวิวสวยๆของเมืองนี้ได้ดีจริงๆค่ะ
ที่ขาดไม่ได้คือ บรรยากาศวิวแม่น้ำโขง อันสวยเริ่ดสะแมนแตน เว่อร์วังอลังการสะท้านโลกาค่ะ

เดี๊ยนเดินมาฝั่งแม่น้ำโขง ในช่วงวันธรรมดา ในช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินมาอ้อยสร้อยกันน้อยนิด บรรยากาศมาช่างเงียบสงัด ขจัดอารมณ์ ให้สุขสมความวังเวงเสียจริงๆค่ะ เพราะมัน เดียวดายค่ะ
เดี๊ยนเดินมาฝั่งแม่น้ำโขง ในช่วงวันธรรมดา ในช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินมาอ้อยสร้อยกันน้อยนิด บรรยากาศมาช่างเงียบสงัด ขจัดอารมณ์ ให้สุขสมความวังเวงเสียจริงๆค่ะ เพราะมัน เดียวดายค่ะ
 แผนที่ท่องเที่ยวเมืองเชียงคาน มีให้ไปหลายแห่งเลยค่ะ
ในเมื่อมาถึงเชียงคานทั้งที ต้องไม่พลาดแวะไปกราบไหว้พระ ตามวัดวาอาราม เพื่อสืบสานการเป็นชาวพุทธ ไม่ให้สะดุดล้มหายมลายสูญไป ให้ยืนหยัดอยู่คู่คนไทยไปตลอดกาล
ในเมื่อมาถึงเชียงคานทั้งที ต้องไม่พลาดแวะไปกราบไหว้พระ ตามวัดวาอาราม เพื่อสืบสานการเป็นชาวพุทธ ไม่ให้สะดุดล้มหายมลายสูญไป ให้ยืนหยัดอยู่คู่คนไทยไปตลอดกาล
 เดินมาเหนื่อย เมื่อยก็หยุดพัก และแวะมาอุดหนุนคุณพี่ แกพึงจะเปิดร้านขาย ปากหม้อญวนค่ะ
คุณพี่คนขาย แกเทน้ำอาจาดเสียจนน้ำเนี่ยเจิงนอง เต็มตะลิ่งเชียวค่ะแทบจะล้นทะลักออกนอกกล่องแล้วกระมังค่ะเนี่ยะ พอได้ตักเข้าปาก เคี้ยวพอกรุบกริบ อร่อยเริ่ดสะแมนแตนหอมยวนยี
รสชาติโอเคค่ะ ทานกับน้ำส้มคั้นสดค่อยยังชั่ว ดูดดื่มแล้วก็ค่อยซดชื่น ระรืนกายยาหน่อยค่ะ
เพราะน้ำส้มรสหวานเค็มๆเกลือหน่อยๆ ช่วยเติมพละกำลังวังชาให้สดใสซ่าบซ่าขึ้นมาทันที จนอยากออกไปเดินรับวิวอันยวนยี ช่างสุขขีเสียจริงนะค่ะ
ได้เพลาแล้วค่ะ ที่เดี๊ยนจะไปเดินรับลม ชมพระอาทิตย์อัสดงแลลับสุดขอบฟ้า ที่ริมแม่โขงเชื่อมโยงไทยลาว
เดี๊ยนจ้องมองพระอาทิตย์ลงแลลับสุดขอบฟ้า ที่เมืองเชียงคาน เห็นถาพแล้วแสนสุขสำราญเบิกบานใจ เสียจริงๆค่ะ เพราะมีลมพัดโบกโชกลมโชย โปรยมาตอนเย็น ได้เห็นผู้บ่าวหน้าสวย กับ ผู้สาวหน้าหล่อ นั่งคลอเคล้ารับแสงเรไรที่กำลังจะจากร้างลาไปอีกหนึ่งวัน ช่างหุนหันพลันแล่นเสียจริงๆเอย
เดี๊ยนจ้องมองพระอาทิตย์ลงแลลับสุดขอบฟ้า ที่เมืองเชียงคาน เห็นถาพแล้วแสนสุขสำราญเบิกบานใจ เสียจริงๆค่ะ เพราะมีลมพัดโบกโชกลมโชย โปรยมาตอนเย็น ได้เห็นผู้บ่าวหน้าสวย กับ ผู้สาวหน้าหล่อ นั่งคลอเคล้ารับแสงเรไรที่กำลังจะจากร้างลาไปอีกหนึ่งวัน ช่างหุนหันพลันแล่นเสียจริงๆเอย
ได้เวลาเดินทางกลับเมืองเลยแล้วค่ะ ชาวบ้านระแวกนั้นบอกว่า รถหวานเย็นหมดตั้งแต่ก่อน 6 โมงแล้วค่ะ เค้าเลยแนะนำให้ไปที่ ท่ารถ บขส.แทนค่ะ เพราะจะมีรถผ่านเมืองเลยตลอดค่ะ
ชาวบ้านระแวกนั้นบอกว่า รถหวานเย็นหมดตั้งแต่ก่อน 6 โมงแล้วค่ะ เค้าเลยแนะนำให้ไปที่ ท่ารถ บขส.แทนค่ะ เพราะจะมีรถผ่านเมืองเลยตลอดค่ะ เดี๊ยนเลยเดินไปถึง ท่ารถตู้ บขส. เนื่องจากว่ามีรถรอบตอนหัวค่ำให้นั่งจากเชียงคาน ผ่านเมืองเลย เพื่อให้นั่งตอนกลับได้ค่ะ ราคาไม่แพง ค่าโดยสาร 50 บาท ใครที่จะมาเที่ยวเชียงคาน และมาพักในเมืองเลย อยากชมพระอาทิตย์ตอนดินตอนกลับ ไม่ต้องพะวงว่าจะไม่มีรถกลับนะค่ะ เพราะสามารถนั่งรถโดยสารของ บริษัทขนส่งจำกัด มาได้ค่ะ
รถโดยสารมาส่งที่หน้า รพ.เมืองเลย เดี๊ยนเลยเดินจากที่พักมาที่โรงแรม ระยะทางไม่ไกลประมาณ 2 กิโลกว่า ก่อนจะหาอะไรทาน และเข้านอนเอาแรงเพื่อเดินทางในวัดต่อไปค่ะ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เช้าตรู่ของวันที่ 5 ตุลาคม 2559 ค่ะ
เดี๊ยนตื่นแต่เช้า เพื่อเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าเป้ เตรียมตัวเอ้เล้ออกเดินทาง
แต่ก่อนออกเดินทาง ต้องหาอะไรทานเก็บแรงก่อนนะค่ะ
เหมือนเดิมค่ะ ร้านเดิมค่ะ ร้านข้าวเปียกปากหมา ชื่อร้านเพราะพริ้งสวิงริงโก้จริงๆนะค่ะ
มื้อเข้านี้เลยจัดไป ข้าวเปียก 1 ชาม ทานคู่กับไข่ลวก อร่อยเริ่ดเว่อร์ค่ะ
ตอนเช้าที่ร้านข้าวเปียกปากหมา คนในร้านก็เริ่มแน่นแล้วค่ะ
 มีพริกเผาคั่วเป็นเครื่องเคียงนะค่ะ ตักพริกเผาฤทธิ์ร้อนแรงเข้าปาก 1 ช้อนโต๊ะ แล้วซดข้าวเปียกไปตามอีก 1 ช้อนชา เดี๊ยนว่าปากเปิกแหกเหิกหมดแน่ละค่ะงานนี้
มีพริกเผาคั่วเป็นเครื่องเคียงนะค่ะ ตักพริกเผาฤทธิ์ร้อนแรงเข้าปาก 1 ช้อนโต๊ะ แล้วซดข้าวเปียกไปตามอีก 1 ช้อนชา เดี๊ยนว่าปากเปิกแหกเหิกหมดแน่ละค่ะงานนี้
หลังจากที่อาหารเช้าอิ่มแล้วนะค่ะ เวลาประมาณ 8 โมง เดี๊ยนก็เดินทางไปที่สถานีขนส่งเมืองเลย เพื่อเดินทางไปอำเภอภูกระดึงค่ะ ใช้บริการรถเมืองเลย-ขอนแก่น เป็นรถที่ผ่านอำเภอภูกระดึงค่ะ
ค่าโดยสารเดินทางจากเมืองเลยไปภูกระดึง ราคา 49 บาทค่ะ เป็นรถบัสโดยสารปรับอากาศ หลับสบายดีเว่อร์ค่ะ
 เดี๊ยนนั่งรถโดยสารหลับๆตื่นใช้เวลาเกือบ 2 โมง ก็เดินทางถึงอำเภอภูกระดึงค่ะ ทีนีพอมาถึงรถโดยสารจอดให้ลงที่คิวรถที่จะไปอุทยาน ในช่วงวันธรรมดาแบบนี้ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก

เดี๊ยนเลยยอมจ่ายเหมารถ 2 แถว ขึ้นไปที่อุทยานแห่งชาติ ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 150 บาทเลยค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะรอให้มีนักท่องเที่ยวท่านอื่นมาแชร์ด้วยกัน แต่เดี๊ยนคงรอไม่ไหวแน่ๆ เพราะวันนั้นก็เงียบสงัดมากๆ ส่วนใหญ่เค้าคงเดินขึ้นภูกระดึงตั้งแต่เช้ากันแล้วกระมัง
ถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึงแล้ว ก็เข้าไปติดต่อเสียค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานแห่งชาติค่ะ ค่าบำรุงอุทยาน 40 บาทค่ะ
หากมาเที่ยวกระดึง แบกเป้ แบกของกินมา เป็นสัมภาระที่บั่นทอนเรียวแรงหนักหนา  เดี๊ยนว่าหากจะแบกเป้ขึ้นไปด้วยมีหวังคงหมดเรี่ยวหมดแรง เหี่ยวแห้งเฉ่าตายตั้งแต่ด่านแรกเป็นแน่แท้ค่ะ

ทางที่ดีทีสุดที่ช่วยเบาแรง เดี๊ยนเลยต้องขอไปใช้บริการลูกหาบค่ะ เพื่อช่วยผ่อนแรงได้หน่อยค่ะ และอีกอย่างเลยก็คือ จะได้ช่วยให้คนในท้องถิ่นมีรายได้จากการท่องเทียวด้วยค่ะ เป็นการกระจายได้สู่ชมชน ให้คนไม่ต้องไปทำงานไกลค่ะ  โดยสัมภาระที่แบกมานี้นะค่ะ เค้าจะคิดเป็นกิโล กิโลละ 30 บาทค่ะ กระเป๋าเป้ของเดี๊ยนรู้สึกน้ำหนักทั้งหมด 7 กิโลกรัมค่ะ ในกระเป๋าเป้ของเดี๊ยนนะคะก็มีแต่เครื่องสำอง เครื่องสำอางก็ปาไปแล้วเป็นกิโลค่ะ ใหนจะเสื้อผ้า หน้าผม ของกิน จิปาถะ หอบขึ้นไปบนภูยังกะไปอพยพย้ายถิ่นฐานเลยค่ะ เอาเข้าจริงๆก็นอนก็คืนเดียวเองค่ะ
ก่อนจะขึ้นภูกระดึง ใครไปใครมาก็ต้องมากราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคล ดลบันดาลให้การเดินจงกรม ขึ้นภูอย่างปลอดภัยและถึงที่หมายอย่าให้เกิดหัวใจวายกลางทาง มิฉะนั้นคงอ้างว้างและเสียดายที่ไม่ได้ไปย่างกรายบนยอดภูกระดึงค่ะ
ได้เวลาไปเดินจงกรม พิชิตภูกระดึงแล้วค่ะ 
เห็นป้ายนี้แล้วก็เกิดมีพลังฮึดสู้ อยากเดินไปบนยอดภูไวๆค่ะ

การเตรียมตัวในการขึ้นภูกระดึงในช่วงปลายฝนต้นหนาว เดือนตุลาคม เป็นช่วงที่มีฝนอยู่ค่ะ ฉะนั้นเส้นทางในการเดินขึ้นภูกระดึงในเดือนนี้ค่ะ เดี๊ยนเลยมีข้อเสนอแนะมา

1.รองเท้า เอาที่ดอกยางเยอะๆนะคะ จะได้มีตัวยึดเหนียวเกลียวแน่นกับพื้นพสุธา ใบหน้าจะได้ไม่ขะมัมค่ะ

2.ถุงกันทาก หากใครกลัวตัวทากดูดเลือด มาเกาะตามแข้งขาดูดเลือดของท่านออกมา ให้เตรียมถุงกันทากใส่ไปด้วยเพื่อป้องกันทากมาดูดเลือดของเราไป  เพราะไอ้ตัวทากเป็นสัตว์ที่น่ารักจะชอบที่ชื้นๆและชอบดูดเลือดอุ่น โดยเฉพาะเลือดของมุนุษย์มันชอบที่สุด เพราะรสชาติอร่อยเริ่ดสะแมนแตนค่ะ

3.น้ำดื่ม อันนี้สำคัญมากค่ะ เพราะการเดินจงกรม ขึ้นภูกระดึง ต้องใช่กำลังขาเยอะพอสมควรมากกว่าตอนลงค่ะ ฉะนั้นน้ำดื่มจะช่วยเติมออกซิเจนให้ได้เยอะทีเดียวค่ะ

4.ติดอะไรรองท้องไปด้วย เอาไว้กินยามหิวค่ะ อาจจะเป็นกล้วย 1 หวี หรือมีผลหมากรากไม้ ที่มีวิตามินเติมสินให้พลัง จะได้มีกำลังวังชา ก้าวขาเดินต่อไปค่ะ

5.ยาดม ยาอม ยาหม่อง ใครที่เหนื่อยเมื่อยล้า เดินจงกรมขึ้นภูกระดึงไป เกิดอาการวิงเวียนเศียรเกล้าจะเป็นลมขมัม ไม่ใช้เพราะเหนื่อยจากการเดิน แต่เหนื่อยจากกลิ่นตัวที่เหม็นคละคลุ้ง ยิ่งจะทำให้หมดแรง เอายาดม ยาอม ยาหม่อง ตามด้วยนมพร่องมันเนย ดูดดมกับอบเชย ก็ช่วยได้ดีเริ่ดสะแมนแตนค่ะ

6.ยาพารง พารา ยาสามัญประจำบ้านอันใหญ่โตโอฬาร ก็หอบเท่าที่จำเป็น ขึ้นไปด้วยนะค่ะ เผื่อจะไปเป็นคงเป็นไข้ขึ้นมา

7.ไม้ค้ำช่วยเดิน หากเตรียมมาด้วยก็ดี เพราะจะได้ช่วยยึดระหว่างทางเดินขึ้นค่ะ บางเส้นทางลาดชันมาก หากมีไม้จะช่วยแผ่นแรงได้เยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะตอนขาลง ช่วยผ่อนแรงและกันลื่นได้ดีทีเดียวค่ะ

8.ร่มกันแดด หรือเสื้อกันฝน(ต้นเดือนตุลาคม) ป้องกันแดดและกันฝนได้ เพราะในช่วงเดือนนี้จะมีสายฝนโปรยปรายลงมา พกไปเผื่อไว้ค่ะ


9.เสื้อกันหนาว สำคัญเช่นกัน เพราะข้างบนอากาศเย็นสุดๆค่ะ


10.อืนๆ บลาๆๆๆ คิดไม่ออกแล้วค่ะ
แผนที่ของอุทยานแห่งชาติ จุดแวะพักให้หายเมื่อยตามจุดต่าง ก็มีตลอดเส้นทาง มีอาหารร้านน้ำชง น้ำชา กาฟง กาแฟ ของแลหาให้ทาน นั่งอร่อยให้สำราญ ก่อนเดินมุ่งหน้าต่อไปค่ะ
- ซำแฮก
- ซำบอน
- ซำกกกอก
- ซำกอซาง
- ซำกกหว้า
- ซำกกไผ่
- ซำกกโดน
- ซำแคร่
- จุดมุ่งหมายสุดท้ายคือ หลังแป ค่ะ
จุดมุ่งหมายของการเดินทางในวันนี้ขึ้น หลังแปค่ะ ระยะทางทั้งหมด 5.5. กิโลเมตรค่ะ แต่ใช้เวลาเดินทางเกือบค่อนครึ่งวันเลยนะค่ะ เพราะเส้นทางที่ลาดชัน มีธรรมชาติที่สุขสันต์ ให้เดินชมกันอย่างสุขสมอุรา

ด้วยเส้นทางที่ลาดชัน ฉะนั้นการเดินขึ้นภูกระดึง เปรียบเสมือนการเดินจงกรมอย่างหนึ่งสำหรับเดี๊ยนค่ะ ยิ่งได้มาคนเดียวเที่ยวแบบนี้ การเดินขึ้นภูกระดึง ต้องหาจังหวะ ใช้สมาธิ เพื่อพินิจพิเคราะห์หาพื้นที่ไว้ยืดเหนียว เกาะเกี่ยวเดินไต่ขึ้นไปยังตามจุดแวะพักต่างให้ได้ค่ะ บ้างจุดก็ชัน บางจุดก็ราบ บ้างจุดก็วิเวกวังเวง สะดุดเจอตัวทากดูดเลือดบ้าง ก็ให้ยิ้มสู้ไว้ อย่าได้แลมอง เดียวตัวทากมันก็กระโดดมาหาเราเองค่ะ ไปเที่ยวช่วงปลายฝน สนุกได้เจอตัวทากดูดเลือดเนี่ยแหละค่ะ
 ด้วยเส้นทางที่ลาดชัน ฉะนั้นการเดินขึ้นภูกระดึง เปรียบเสมือนการเดินจงกรมอย่างหนึ่งสำหรับเดี๊ยนค่ะ ยิ่งได้มาคนเดียวเที่ยวแบบนี้ การเดินขึ้นภูกระดึง ต้องหาจังหวะ ใช้สมาธิ เพื่อพินิจพิเคราะห์หาพื้นที่ไว้ยืดเหนียว เกาะเกี่ยวเดินไต่ขึ้นไปยังตามจุดแวะพักต่างให้ได้ค่ะ บ้างจุดก็ชัน บางจุดก็ราบ บ้างจุดก็วิเวกวังเวง สะดุดเจอตัวทากดูดเลือดบ้าง ก็ให้ยิ้มสู้ไว้ อย่าได้แลมอง เดียวตัวทากมันก็กระโดดมาหาเราเองค่ะ ไปเที่ยวช่วงปลายฝน สนุกได้เจอตัวทากดูดเลือดเนี่ยแหละค่ะ
จุดแรกคือ ซำแฮก ต้องขอบอกว่า แฮกๆอีหลีเด้อค่ะ แฮกจนเหนื่ยอค่ะ กว่าจะเดินขึ้นมาถึงก็เล่นเอาซ่ะเหนื่อยเลยค่ะ สมัยนั้นเมื่อปี 2539 จำได้ว่าเส้นทางขึ้นภูกระดึงจะจดงามมีบันใดหินขึ้นภูงดงามอร่ามช่ามฉ่องกว่าสมัยนี้นะค่ะ พอมายุคนี้ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกเส้นทางขึ้นภูกระดึร ทำไมมันทรหดอดทนเหลือเกินค่ะ
น้องกล้วยช่วยได้ค๊า ซื้อมา 1 หวี เดี๊ยนซื้อไว้ทานเสริมเติมพลัง ระหว่างเดินจงกรมขึ้นภูกระดึงค่ะ
ลูกหาบที่ภูกระดึงแห่งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งของที่นี้เลยนะค่ะ ถ้าไม่มีลูกหาบก็คงไม่มีแบกกระเป๋าเป้ ขึ้นมาเป็นแน่แท้ค่ะ แต่ลูกหาบที่นี้คงมีรายได้พอสมควร เพื่อแลกกับความเหนื่อยยากพร้อมแบ่งเบาภาระของนักเดินทาง และรอยยิ้มของผู้ที่ได้เดินไปถึงยอดภูกระดึง สวยสุดซื้งเริ่ดสะแมนแตนค่ะ

ลูกหาบแต่ละคนไม่รู้เอาเรี่ยวเอาแรงมาจากใหน หอบนง หอบน้ำ หอบสัมภาระของลูกค้าที่มีน้ำหนักลั๊นลาหลายสิบกิโล เดินเฮโลขึ้นยอดภู เดี๊ยนล่ะอยากรู้เสียจริงๆค่ะ
ลูกหาบแต่ละคนไม่รู้เอาเรี่ยวเอาแรงมาจากใหน หอบนง หอบน้ำ หอบสัมภาระของลูกค้าที่มีน้ำหนักลั๊นลาหลายสิบกิโล เดินเฮโลขึ้นยอดภู เดี๊ยนล่ะอยากรู้เสียจริงๆค่ะ
เส้นทางเดินขึ้นภูกระดึงในช่วงปลายฝนเช่นนี้ ยังมีฝนโปรยปรายมิได้มลายสิ้นไป เส้นทางเดินเท้าขึ้นไปก็เต็มด้วยรอยยิ้มของฝาเท้า ที่ฝากไว้ในเส้นทางเดินค่ะ ระหว่างเดินไปก็ลื่นบ้าง ต้องระมัดระวังสุดๆค่ะ
กว่าจะถึงจุดพักแต่ละจุดเนี่ย เหนื่อยเอาการค่ะ หากได้แวะพักตาม ซำต่างๆระหว่างทางเดินขึ้น รู้สึกแต่ละคนที่เดินขึ้นมา เดี๊ยนว่าเหมือนได้ขึ้นสวรรค์แต่ละชั้นแล้วค่ะ เพราะจะได้แวะพัก นั่งดื่มน้ำ ผ่อนคลายไปตามอารมณ์ ให้สุขสมอุรา ก่อนจะเดินลั๊นลาเดินหน้าต่อไปค่ะ
การเดินทางขึ้นยอดภูกระดึงคนเดียวแบบนี้ ช่างแตกต่างจาก 20 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิงค่ะ เดี๊ยนรู้สึกว่ามารอบนี้ ถึงแม้จะเดินลุยเดียวมาแบบวังเวง แต่ก็ได้มารำลึกความหลังแบบครึ้นเครงน่าดูค่ะ ตลอดสองข้างทางเป็นป่าแมกไม้นานาพรรณ สีสันชวนให้รู้สึกสดชื่น รื่นรมย์อุรายิ่งนักเชียวค่ะ
ป่าไม้เขียวขจี มีสายหมอกสอดแทรกในผืนป่า สวยระย้าดุจอัญมณีเจ็ดสี มณีเจ็ดแสง สวยร้อนแรงน่าอัศจรรย์ยิ่งนักค่ะ
ป่าไม้เขียวขจี มีสายหมอกสอดแทรกในผืนป่า สวยระย้าดุจอัญมณีเจ็ดสี มณีเจ็ดแสง สวยร้อนแรงน่าอัศจรรย์ยิ่งนักค่ะ
เห็นบันใดชันนี้แล้ว ใกล้ถึงความจริงแล้วค่ะ ยอดกระดึง ตราตรึงจิต ติดอยู่ในลูกกะตา เดินก้าวไปอีกข้างหน้าไม่กี่ก้าวเองค่ะ
ในที่สุดก็ถึงแล้วค่ะ หลังแปป เห็นป้ายนี้แสดงว่า มาพิชิตภูกระดึงแล้วค่ะ ความสูง 1288 เมตรจากระดับน้ำทะเล....ยัง ยัง ยังไม่จบนะค่ะ จากหลังแ ก็เดินไปทางเรียบไปอีก 3 กิโลเมตรค่ะ เพื่อไปยังที่พัก ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติค่ะ
จากหลังแป เดินไปอีก 3 กิโมเมตรกว่าได้ค่ะ เดินไปเรื่อย เมื่อยก็นั่งพักค่ะ เดี๊ยนเห็นวัยซะรุ่นเหล่านี้ เย้าหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานสำราญร่าเสียจริงๆเชียวค่ะ เห็นแล้วก็นึกถึงสมัยยังเป็นวัยหุ่นเซี๊ยะเป๊ะปึ๋งตะลึงตึงตึง หน้าสวยสะพรึง ไม่ได้หุ่นอวบอั๋นสะโพกบานเป็นจานกระด้ง ที่พยายามล้นทรวดทรงก็ไม่มีทางว่า่จะลดลงเลยค่ะ  
จากหลังแป เดินไปอีก 3 กิโมเมตรกว่าได้ค่ะ เดินไปเรื่อย เมื่อยก็นั่งพักค่ะ เดี๊ยนเห็นวัยซะรุ่นเหล่านี้ เย้าหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานสำราญร่าเสียจริงๆเชียวค่ะ เห็นแล้วก็นึกถึงสมัยยังเป็นวัยหุ่นเซี๊ยะเป๊ะปึ๋งตะลึงตึงตึง หน้าสวยสะพรึง ไม่ได้หุ่นอวบอั๋นสะโพกบานเป็นจานกระด้ง ที่พยายามล้นทรวดทรงก็ไม่มีทางว่า่จะลดลงเลยค่ะ
 ถึงแล้วค่ะ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เข้าไปติดต่อเข้าเช่าเต้นที่พักค้างคืนค่ะ
ค่าเสียหายสำหรับนอนคืนนี้ ราคา 285 บาทค่ะ มีค่าเช่าเต้นท์ แผ่นรอง ถุงนอนค่ะ
 เต้นท์นอนคืนนี้ค่ะ มีให้เลือกเยอะมาก เพราะวันที่ไปเป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะ ก็เลยมีให้เลือกชิวๆ ตามใจชอบนะค่ะ
 ณ ที่ทำการอุทยานบนภูกระดึง ก็มีร้านอาหารให้เลือกทานหลายร้านค่ะ แต่ราคาก็จะสูงกว่าทั่วไปหน่อยค่ะ
หิวมากๆค่ะ สั่งข้าวผัดไป ได้มาอย่างเยอะเลย อิ่มมากๆ จัดไป 60 บาทค่ะ
ฝนก็เทลงมาแบบเย็นฉ่ำทีเดียว พร้อมจะสู้ศึกกับตัวทากดูดเลือดแล้ว 

นั่งทานข้าวอยู่ไม่นานนักค่ะ พระพิรุณก็โปรยปรายสะหยายสายฝนลงมาสู่พื้นผสุธา ให้ตัวทากกระโดดออกมาดูดเลือดคนค่ะ ช่างเป็นบรรยากาศที่น่านอนเสียจริงๆค่ะ เดี๊ยนเห็นหลายๆคน บ้างคนเดินมา ก็สลลคาเต็นท์เลยนะค่ะ อากาศข้างบนนี้ลมพัดเย็นสบาย สดชื่นดีเริ่ดเว่อร์มากๆค่ะ

บริภาพจุดลานกางเต็นท์บนที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง มีเต็นท์ให้บริการเยอะมากๆ 
เดี๊ยนใช้เวลาพักผ่อนอยู่ในเต้นท์ ได้ไม่นาน แหงนดูนาฬิกาก็ปาไป 5 โมงเย็นกว่าแล้ว ไม่ไกลจากเต๊นท์ที่พัก มีร้านให้เช่าปั่นจักรยานไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูดค่ะ เดี๊ยนเลยปั่นไปดีกว่าค่ะ 


ระยะทางปั่นไป ผาหมากดูก ประมาณ 2 กิโลเมตรค่ะ
ผาหมากดูก อุทยานแห่งชาติภูกระดึง 
ถึงแล้วค่ะ ผาหมากดูก
อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในช่วงเดือนตุลาคม ปลายฝน ต้นหนาว อากาศเย็นมากๆ 



ด้วยสายฝนที่พึงสร่างร้างลาไป ทำให้เกิดไอหมอกลอยคละคลุ้ง ฟุ่งกระจาย สวยงามวับระยับไปทั่วพนาไพร งามเริ่ดวิไลเว่อร์วังอลังการสะท้านโลกา เลิศเลอค่ายิ่งนักเชียวค่ะ  พอได้มานั่งริมหน้าผาแห่งนี้ก็ช่วยคลายความเหนื่อยไปได้เยอะค่ะ เพราะคุ้มค่าเหนื่อยที่อุตสาห์เดินปวดเมื่อยขึ้นมาจนได้มาลั๊นลาชมความงามของหน้าผาแห่งนี้ค่ะ และคุ้มค่าที่ได้เยือนยอดภูแห่งนี้อีกครั้ง เพื่อรำลึกความหลังครั้งวันวานค่ะ


ด้วยสายฝนที่พึงสร่างร้างลาไป ทำให้เกิดไอหมอกลอยคละคลุ้ง ฟุ่งกระจาย สวยงามวับระยับไปทั่วพนาไพร งามเริ่ดวิไลเว่อร์วังอลังการสะท้านโลกา เลิศเลอค่ายิ่งนักเชียวค่ะ  พอได้มานั่งริมหน้าผาแห่งนี้ก็ช่วยคลายความเหนื่อยไปได้เยอะค่ะ เพราะคุ้มค่าเหนื่อยที่อุตสาห์เดินปวดเมื่อยขึ้นมาจนได้มาลั๊นลาชมความงามของหน้าผาแห่งนี้ค่ะ และคุ้มค่าที่ได้เยือนยอดภูแห่งนี้อีกครั้ง เพื่อรำลึกความหลังครั้งวันวานค่ะ


อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในช่วงเดือนตุลาคม ปลายฝน ต้นหนาว อากาศเย็นมากๆ 

 หากใครจะพิสูจน์รักแท้ ไม่พลาดแน่ๆ ต้องเดินจูงมือกันขึ้นมาที่ยอดภูกระดึงแห่งนี้ให้ได้ค่ะ
อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในช่วงเดือนตุลาคม ปลายฝน ต้นหนาว อากาศเย็นมากๆ 
อุทยานแห่งชาติภูกระดึงในช่วงเดือนตุลาคม ปลายฝน ต้นหนาว อากาศเย็นมากๆ 


เด็กวัยแนวตามยุคสมัยนิยม ก็พูดคุยกันช่างสมอุรา นั่งดูหมอกลอยคละเคลื่อน เลื่อนไปมา ช่างสำราญร่ากันเสียจริงๆเชียวค่ะ หากมาเที่ยวภูกระดึง มาเที่ยวกันเป็นกลุ่มๆจะสนุกเฮฮาเริงร่ายิ่งนักค่ะ
หลังจากที่เดี๊ยนชมสายหมอก ที่ผาหมากดูกแห่งนี้จนสายหมอกค่อยจางสลาย มลายหายไป พระอาทิตย์ก็อัสดงลงลับไป ได้เพลาต้องกลับไปพักผ่อนนอนนับดาวแล้วสิค่ะ
ยามค่ำก็จะมีน้องกวาง ออกมาต้อนรับ
 เดี๊ยนปั่นจักรยานกลับผาหมากดูกกลับ ณ จุดที่พักค่ะ สัตว์ป่าเริ่มออกมาหากินแล้วค่ะ น้องกวางน้อยออกมาทักทายนักท่องเที่ยวค่ะ


ภาพความทรงจำในหลวงและแม่หลวงของชาวไทย เสด็จเยือนภูกระดึงเมื่อปี 2498


ก่อนนอน ขอมารำลึกภาพความทรงจำครั้ง ในหลวงและแม่หลวงของชาวไทย เสด็จทรงมาเยือนภูกระดึงเมื่อปี 2498 ค่ะ ด้วยพระบารมีทำให้ภูกระดึงแห่งนี้ มีนักเดินทางทั่วสารทิศมาเดินพิชิตภูแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย พร้อมธรรมชาติและป่าไม้ที่ยังธำรงค์คงอยู่คู่ผืนดินแห่งนี้ไปอีกแสนนานเลยค่ะ

 

มาอ่านประวัติความเป็นมาของภูกระดึง นะค่ะ น่าจะทำให้บล๊อกของเดี๊ยนมีสาระขึ้นมาบ้างค่ะ
ตามรูปภาพเขียนไว้ว่า : หากจะกล่าวถึงความเป็นมาของภูเขาอันน่าอัศจรรย์แห่งนี้ คงต้องย้อนกลับไปในมหายุค Mosozoic ซึ่งเป็นยุคที่พื้นโลกเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เมื่อประมาณ 300 ล้านปีที่แล้ว บริเวณที่ราบสูงภาคอีสานเคยเป็นทะเลมาก่อนและมีการตกตะกอนทับถมของดินทรายกลายเป็นชั้นหินชุดต่างๆ ต่อมาเมื่อประมาณ 250 ล้านที่ผ่านมาเปลือกโลกเกิดการโก่งและโค้งตัวทำให้พื้นที่แห่งนี้ยกตัวสูงขึ้นเป็นเทือกเขาหินทรายอันยิ่งใหญ่

แต่อย่างไรตาม ธรรมชาติได้ใช้เวลานับล้านปี กัดเซาะหินทราย จนผุกกร่อนสลายลงเหลือเฉพาะชั้นหินอันแข็งแกร่งที่ตั้งตระหง่ายเย้ยฟ้าท้าดิน ดังที่ปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน

ตำนานได้เล่าขานถึงเสียงกระดิ่งหรือเสียงระฆังใหญ่ ที่แว่วดังมาจากยอดภูสูงที่สัณฐานคล้ายดังกระดิ่งทับล้าในวันโกนหรือวันพระ คล้ายกับว่ามีวัดอยู่บนยอดเขา บ้างก็ว่าเป็นเสียงระฆังของพระอินทร์ แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายไปถึง จึงได้แต่เรียกขานภูเขาแห่งนี้ว่า "ภูกระดึง" ตราบจนกระทั่งพรานป่าแห่งหมู่บ้านศรีฐานได้ตามรอยกระทิงขึ้นสู่ยอดภู สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาก็คือ ที่ราบอันกว้างใหญ่ใกล้สุดสายตา หน้าผาก็สูงชัน ทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยฝูงสัตว์เดินหากินอย่างอิสระเสรี ป่าสนเรียงราย น้ำตกอันแสนงาม ตลอดทั้งมวลไม้ป่านานาพรรณ ดั่งสวนสวรรค์ จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วนับจากนั้นมา


 ได้เพลานอนหลับพักผ่อนแล้วค่ะ
ได้เพลานอนหลับพักผ่อนแล้วค่ะ หลังจากเดินทางเมื่อยมาทั้งวันเชียว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
เช้าตรู่วันที่ 6 ตุลาคม 2559 
วันสุดท้ายของทริปชะโงกทัวร์แล้วค่ะ

เช้าตรู่ของวันนี้ อากาศตอนเช้าเย็นมากๆนะค่ะ เพราะเมื่อคืนนี้ฝนตกหนักพอสมควรค่ะ แถมลมพัดก็แรงสุดๆด้วย ลมพัดตึง ตึง สะดึงขั้วของเต็นท์แทบจะพังเลย แต่เดี๊ยนก็พยายามใช้ร่างอันอวบอั๋นของเดี๊ยวประคับประคอง นอนหลับรับสายฝนจนถึงเช้าเลยค่ะ
ตอนเช้า หมอกลงจัดมากๆค่ะ ตอนแรกกะว่าจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นนะค่ะ แต่คงไปไม่ไหวแล้วค่ะ เพราะฟ้าปิดซ่ะขนาดนี้ เดี๊ยนเลยขอมุดตัวนอนในเต็นท์ดีกว่าค่ะ
สำหรับทริปสั้นของการเที่ยววันสุดท้ายบนยอดภูนี้ เดี๊ยนเลยขอเลือกปั่นจักรยานไปชมไฮไลท์ของภูกระดึง ปั่นไปที่ผาหล่มสักค่ ะ ราคาเช่าอยู่ที่ 310 บาทค่ะ ตอนแรกคิดว่าคงจะปั่นไม่ไหวแน่ เพราะเห็นล้อจักรยานแล้วเสียวเลยค่ะ แต่พอลองปั่นดู เอ่อเว้ย!! รู้สึกว่าเบาแรงดีค่ะ

และใจจริงเดี๊ยนก็อยากแวะไปน้ำตกสวยๆ โน้นนี้นั้นด้วย แต่เกรงจะลงเขาไปไม่ทัน เดียวพลาดเที่ยวรถ จะตกเครื่องบินเอาค่ะ
 ก่อนจะแวะไปผาหล่มสัก เดี๊ยนเลยขอแวะมากราบไหว้องค์พระพุทธเมตตา พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำภูกระดึงแห่งนี้ก่อนค่ะ เพื่อความเป็นสิริมงคล จะได้ปั่นจักรยานไปผาหล่มสักอย่างปลอดภัย เพราะระยะทางก็ไม่ได้ใกล้ๆนะค่ะ 9 กิโลเมตรเลยค่ะ
องค์พระพุทธเมตตา เป็นชื่อที่สมเด็จย่าทรงประทานไว้บนยอดภูกระดึงแห่งนี้ค่ะ ใครไปใครมาก็ต้องมาลาไหว้กันทุกคนค่ะ
เส้นทางไปยังผาหล่มสัก เต็มไปด้วยหมอกสีขาวโพลน 
ได้เวลาปั่นจักรยานออกกำลังกาย ส่ายสะโพก โยกเย้กบนจักรยานล้อใหญ่ไป ผาหล่มสักแล้วค่ะ
เส้นทางปั่นจักรยานไปผ่าหล่มสัก มันช่างทรหดเสียจริงๆเชียงค่ะ เนื่องจากวันที่เดี๊ยนไป ยังอยู่ในช่วงหน้าฝน เส้นทางก็ตามภาพค่ะ ปั่นลงเนิ่นพอไปได้ แต่พอจะปันขึ้นเนิ่นหมดแรงเลยค่ะ ขอจูงง่ายกว่าค่ะ
สภาพถนนหนทางไปผาหล่มสักในช่วงนี้ ก็เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยโคลนตม ดูช่างสุขสมทรหดไปอีกแบบค่ะ มีตัวทากดูดเลือดออกมากระโดดโลดเต้นบนใบหญ้า รอมาลั๊นลาดูดเลือดนักท่องเที่ยว ให้เสียวสะดุ้งกันค่ะ
สายหมอกระหว่างปั่นจักรยานไปผาหล่มสัก ดูหนาตามากๆค่ะ พอปั่นเข้าไปเหมือนจะหายตัววัปดับไปอยู่อีกภพหนึ่งเลยค่ะ
 สายหมอกระหว่างปั่นจักรยานไปผาหล่มสัก ดูหนาตามากๆค่ะ พอปั่นเข้าไปเหมือนจะหายตัววัปดับไปอยู่อีกภพหนึ่งเลยค่ะ
เดี๊ยนใช้เวลาปั่นจักรยานประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า จากที่ทำการอุทยานเลียบตามเส้นทางเชิงเขา
ก็ถึงแล้วค่ะ ไฮไลท์ของภูกระดึงแห่งนี้ นั้นคือ ผาหล่มสัก อยากมาที่นี้มากเพื่อมารำลึกความหลังอีกครั้งค่ะ เพราะถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดอีกแห่ง เพราะมีกิ่งสนเอนเอียงลงหน้าผา เป็นภาพสัญลักษณ์ประจำของภูกระดึงแห่งนี้เลยค่ะ
ไฮไลท์ของภูกระดึงแห่งนี้ นั้นคือ ผาหล่มสัก อยากมาที่นี้มากเพื่อมารำลึกความหลังอีกครั้งค่ะ เพราะถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดอีกแห่ง เพราะมีกิ่งสนเอนเอียงลงหน้าผา เป็นภาพสัญลักษณ์ประจำของภูกระดึงแห่งนี้เลยค่....แต่ผาหล่มสักในวันนี้ เต็มไปด้วยสายหมอกสีขาว พราวระยับ พร้อมอากาศที่เย็นยะเยือกยิ่งนักค่ะ

บรรยากาศผาหล่มสัก 


บรรยากาศที่ผาหล่มสักแห่งนี้ ดูเงียบสงบ บรรยากาศดียิ่งนักค่ะ ไร้ซึ่งแสงแดดส่องเรไร มีเพียงความไฉไลของสายหมอก และสายลม ที่พัดโชยให้ต้นสน เอนโอนกิ่งก้านใบพัดทิวปลิ้วใสว สวยงามอร่ามจับตาคณานับค่ะ......ถือได้มานั่งที่หน้าผานี้อีกครั้ง เหมือนได้ย้อนความหลังในวันวาน อันแสนหวานบานสะพรั่ง ช่างสนุกสุขสันต์เฮฮา นึกขึ้นมาทีไร ก็อยากกลับไปเป็นวัยรุ่น เดินจับกลุ่มเม้ามอย นั่งอ้อยสร้อยชมดวงดาว ที่แสนจะแพรวพราว สกาวรุ่งโรจน์ยิ่งนักค่ะ


 หลังจากที่เดี๊ยนนั่งชมวิวทิวทัศน์อันสวยสดงดงาม เว่อร์วังอลังการสะท้านโลกาที่ผาหล่มสักได้ไมนาน ก็ได้เวลาต้องเดินทางกลับแล้วค่ะ เดี๊ยนก็เลยปั่นจักรยานเอารถไปฝากที่หลังแป แล้วเดินอำลา บาย บาย ลงจากยอดภูกระดึง ถึงที่ทำการด้านล่างของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงอย่างปลอดภัยค่ะ

เริ่มเดินลงจากยอดภูตอนเที่ยงกว่าๆค่ะ กว่าจะลงถึงปลายทางก็ปาไปเกือบบ่าย 3 โมงเลยค่ะ 

จากนั้นก็ไปต่อรถโดยสารที่อำเภอภูกระดึงเพื่อนั่งไปลงที่สนามบินเมืองเลย
เวลา 18.00 เดินทางกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพค่ะ

จบทริปชะโงกทัวร์ ทริปที่ตั้งใจจะมาเที่ยวภูกระดึงอย่างเดียว แต่ก็ต้องเปลี่ยนแผนไปเที่ยวที่อื่นด้วย เหตุเนื่องจากมาขึ้นภูกระดึงไม่ทันบ่ายสองโมงค่ะ ทริปนี้เลยได้ทั้งไปเที่ยวเชียงคาน นอนค้างเมืองเลย และก็มาเดินชมเชยธรรมชาติที่ภูกระดึงด้วยค่ะ

เดี๊ยนหวังเป็นอย่างยิ่งนะค่ะว่า รีวิวเที่ยวภูกระดึงดังกล่าวของเดี๊ยน คงจะมีประโยชน์และเป็นแรงกระตุ้นให้ท่านลองมาเดินพิชิตยอดภูแห่งนี้อยู่ไม่มากก็น้อย หากใครที่เคยมาเยือนภูกระดึงแล้วเป็นเวลาแบบว่าหลาย 20 ปีแบบเดี๊ยน ลองมาแวะเวียนเดินย้อนเวลาหาวันวานขึ้นมายอดภูกระดึงนี้อีกครั้งนะค่ะ รับรองว่า ร่างกายจะกระฉับและกำยำ พร้อมสุขสันต์เฮฮาอย่างแน่นอนค่ะ ส่วนใครมีคู่รักก็พากันจูงมือกันขึ้นไปเพื่อพิสูจน์รักแท้กันได้ เดี๊ยนรับรองว่า!! เริ่ดสะแมนแตนไฉไลละมัยอำพรรณสุดๆ อย่างแน่นอนค่ะ

ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านบล๊อกกากๆ โกโรโกโส สับปะรังเคของเดี๊ยนนะค่ะ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะค่ะ สำหรับทริปประจำเดือนตุลาคม 2559 นี้ ขอจบแต่เพียงเท่านี้ค่ะ หากผิดพลาด อักขระตกหล่น ก.ไก่ไม่มีขา ป.ปลาไม่มีแขน ประการใด เดี๊ยนต้องขออภัยคุณผู้อ่านทุกๆท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
บล๊อกเกอร์มือสมัครเล่น
--------------------------------------------------------------------------------------------------
รวมบทความรีวิวบล๊อกท่องเที่ยวเดือนละ 1 ครั้งที่ผ่านมา มีดังนี้ค่ะ (จะทยอยอัพเดทเรื่อยๆค่ะ เว็ปบล็อกจะได้ไม่ร้างค่ะ)
รีวิวท่องเที่ยวเดือนกันยายน ลุยเดี่ยวเช่ามอเตอร์ไซต์ขับไปเขาใหญ่ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวเขาใหญ่ในฤดูฝน เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับไปชมน้ำตก เดินป่าดูนกในดงพนาไพร งามวิไลเลิศเว่อร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>

วางแผนแบกเป้ไปเที่ยวต่างประเทศ ต้องคำนึงถึงอะไรบ้างนะ คลิ๊กดูบทความค่ะ>>
จะวางแผนแบกเป้ไปเที่ยวต่างประเทศ ต้องคำนึงถึงอะไรบ้างนะ มีสาระดีๆมาให้อ่านค่ะ คลิ๊กดูบทความค่ะ>>
รีวิวท่องเที่ยวเดือน สิงหาคม 2560 รีวิวเที่ยวเมืองเก่าอยุธยา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวอยุธยาครึ่งวัน ขี่จักรยานสุขสันต์ตามโบราณสถาน ย้อนวันวานภูมิหลัง งามอลังการชนะเลิศเว่อร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
ที่พักเมืองโตเกียว เอาใจขาเที่ยวงบน้อยๆ คลิ๊กดูที่พักค่ะ>>
แนะนำโรงแรมในโตเกียว ราคาหลักร้อย ประหยัด ใกล้สถานีรถไฟ JR เดินทางได้ใกล้ๆค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดที่พักค่ะ>> 
 รีวิวเที่ยวประจำเดือน ก.ค.2560 เที่ยวญี่ปุ่นตอนจบ สรุปค่าใช้จ่าย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวตอนที่ 15 (ตอนจบ) สิ้นสุดการเดินทางอันยาวไกล แวะไปซื้อของฝากเมืองโอซาก้า คลิ๊กดูรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 14 ไปชมภูเขาไฟฟูจิซัง นั่งดูวิวทะเลสาบคาวากูชิโก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบ็คแพ็คเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน ตอนที่ 14 นั่งรถไฟไปชมภูเขาไฟฟูจิซัง นั่งริมทะเลสาบคาวากูชิโกะ คลิ๊กดูรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 13 นอนค้างโตเกียว นั่งรถไฟไปเที่ยวคามากุระ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน ตอนที่ 13 เที่ยวโตเกียวใน 1 วัน นั่งรถไฟสุขส้นต์ไปเมืองคามากุระ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 12  เดินชิลเมืองท่าเรือสุดแสนโรแมนติก ริมทะเล คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 12 แวะเดินชิลๆเมืองฮาโกดาเตะ สุดแสนโรแมนติก ชิคๆน่ารัก คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 11 ขี่จักรยานชมไร่นาเมืองบิเอะ สวยเป๊ะเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบ็คแพ็ครีวิวญี่ปุ่นญี่ปุ่น ตอนที่ 11 ขี่จักรยานชมทุ่งนาข้าวบาร์เลย์เมืองบิเอะตอนบ่าย งามพร่างพรายสวยเว่อร์ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>

เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 10 ปั่นจักยานไปชมดอกลาเวนเดอร์บานๆ อลังการเว่อร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้คนเดียวเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน ตอนที่ 10 ปั่นจักรยานไปชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์บานตอนเช้าๆ สวยแพรวพราวน่ารักเว่อร์ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
แบกเป้เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 9 เดินชิลชมเมืองซับโปโรครึ่งวัน คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>>
แบ็คแพ็ครีวิวเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน ตอนที่ 9 เดินชิลๆชมเมืองซับโปโร ไปเดินเฮโลที่คลองโอตารุ สวยทะลุสู่ยอดฟ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 8 ชมศิลปะทุ่งนาข้าวผลิหลากสีสวยงาม คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน ตอนที่ 8 แวะผ่านอาโอโมริ ไปชมศิลปะทุ่งนาข้าวผลิหลากสีที่ อินาคาดาเตะ งามเป๊ะเว่อร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>

เที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 7 รีวิวการเดินทางไปหลังคาญี่ปุ่นด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 7 รีวิววิธีการเดินทางไปเจแปนแอลป์ด้วยตัวเองมาฝาก ภูเขาสวยงามมาก กระชากใจเริ่ดเว่อร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 6 เดินตลาดเช้าทาคายาม่า แวะดูทุ่งนาชิราคาวาโก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวแบ็คแพ็คเที่ยวญี่ปุ่น ตอนที่ 6 เดินตลาดเช้าทาคายาม่า แวะไปชมทุ่งนาที่ชิราคาว่าโก สวยโอฬาร งามเริ่ดเว่อร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 5 เดินลั๊ลลาดูเมืองเก่าคุราชิกิ ชมใบไม้ผลิสวยเริ่ด คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ตอนที่ 5 เดินลั๊ลลาดูเมืองเก่าสมัยเอโดะที่คุราชิกิ ชื่นชมใบไม้ผลิสีแดง แรงเริ่ดเว่อร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 4 ตามรอยระเบิดเมืองฮิโรชิม่า ไปลั๊นลาเกาะมิยาจิมะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวลุยเดี่ยวเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน ตอนที่ 4 ตามรอยระเบิดนิวเคลียร์เมืองฮิโรชิม่า นั่งรถไฟลั๊ลลาไปสะพานคินไตเคียว คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นตอนที่ 3 ท่องเมืองฟูกุโอกะ ชมเทศกาลยามากาสะ งามเริ่ด คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 3 เดินย่องท่องเมืองฟูกุโอกะ ชมเทศกาลยามากาสะในหน้าร้อน งามอรชรดีเริ่ด คลิ๊กดูบทความรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>>
เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 2 นั่งไฟออนซอนไปอบทรายร้อนที่อิบูชูกิ คลิ๊กดูค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 2 ลัดเลาะเนินเขาชมวิวคาโกชิม่า นั่งรถไฟลั๊ลลาไปอบทรายร้อนอิบูซูกิ คลิ๊กดูบทความรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>>
รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอนที่ 1 นั่งรถไฟแมวทามะ แวะพักชมปราสาทสวย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวญี่ปุ่นฤดูร้อน ตอนที่ 1 นั่งรถไฟแมวเหมียวทามะสุดน่ารัก แวะเดินพักชมปราสาทวาคายามะ คลิ๊กดูบทความรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>>
 10 ที่พักโอซาก้า ราคาถูกสุดๆ ใกล้สถานีรถไฟ JR คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>>
รวมที่พักโอซาก้าราคาถูกหลักร้อย ใกล้สถานีรถไฟ JR เดินไปได้ใกล้ๆ สะดวกสุดๆ คลิ๊กดูรายละเอียดที่พักค่ะ>> 
วิธีการวางแผนเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเองมาฝาก คลิ๊กดูค่ะ>>
อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี มีวิธีการวางแผนเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเองมาฝากค่ะ คลิ๊กอ่านบทความค่ะ>>

รีวิวเที่ยวพิษณุโลก นั่งชะโงกกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ไปลั๊นลาบ้านรักไทย งามวิไลเนินมะปราง สวยสะพร่างแก่งโสภา คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
ล่องเรือไทยในภาคกลาง งามสะพร่างดุจสายน้ำทิพย์ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>>
จัดมาให้ค่ะ ล่องเรือไทยสไตล์ภาคกลาง แวะไปใหนบ้างมาดูกันค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียค่ะ>>




แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น