|
แบ่งปันทริปแบกเป้คนเดียวนั่งรถไฟชั้น 1 กับเส้นทางรถไฟสายโรแมนติกที่สวยที่สุดในโลก Bergensbanen จากเมือง Bergen ไปยังเมือง Oslo ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามน่าสนใจอะไรบ้าง จัดมาให้อ่านกันจ้า |
สวัสดีเพื่อนๆคุณผู้อ่าน และเหล่านักรักการทัศนาจร เว้าวอน ดวงหทัย งามวิไลเลิศสะแมนแตนทุกๆคนค่ะ กลับมาพบปะทักทาย กันอีกครั้งนะคะ กับบทความบล็อกรีวิวท่องเที่ยว ที่จะพาเลี้ยวแวะไปดูโน้น โน้นนี่ เปิดประสบการณ์มุมมองดีๆให้ได้ฉิมพลีชมกัน หลังจากที่บทความก่อนหน้าได้พาไปเที่ยวชมเมืองเบอร์เกน เมืองเก่าแก่ติดริมชายทะเล ที่ถูกจัดให้เป็นแหล่งมรดกโลก แห่งประเทศนอร์เวย์แห่งนี้ไปแล้วนั้น ทางคุณผู้อ่านสามารถเข้าไปดูรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://khunnaiver.blogspot.com/2024/07/Backpack-travel-Bergen-Norway-alone.html
และหลังจากที่ได้เดินทางเที่ยวเมืองเบอร์เกน ก็ได้เวลาอันสมควรที่จะต้องเดินทางกลับไปเมืองออสโลแล้วล่ะค่ะ และจากทริปเดินทางจาก Oslo มา Bergen ซึ่งพลาดเที่ยวรถไฟขามา เลยต้องนั่งรถบัสโดยสารมาแทนซึ่งเดี๊ยนเองก็ได้รีวิววิธีการนั่งรถบัสโดยสารจากเมืองOslo มา Bergen ไปแล้วด้วยเช่นกันค่ะ
|
เส้นทางรถไฟเบอร์เกน หรือที่รู้จักกันในนาม Bergensbanen ที่ถูกจัดให้เป็ฺนหนึ่งในเส้นทางรถไฟสวยโรแมนติกที่สุดอีกแห่งของโลก และเส้นทางรถไฟจากออสโลไปเบอร์เกนนั้นครอบคลุมระยะทางเกือบ 500 กิโลเมตร |
แต่ตอนช่วงขากลับโชคดี เพราะว่าได้ใช้บริการนั่งรถไฟจาก Bergen ไปเมือง Oslo เนื่องจากมีตั๋วรถไฟว่างพอดี เหลือแค่ 3 ที่นั่ง เดี๊ยนเลยตัดสินใจรีบจองตั๋วรถไฟขากลับจาก Bergen ไปยัง Oslo ซึ่งเป็นตั๋วรถไฟขบวนชั้น 1 เพราะชั้นธรรมดา ถูกกรุ๊ปทัวร์จองเต็มหมดแล้ว เลยต้องยอมจ่ายแพง เพื่อที่จะได้นั่งรถไฟที่ถูกขนานนามว่า เป็นเส้นทางรถไฟที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก หรือที่รู้จักกันในนามเส้นทางรถไฟ Bergensbanen เพราะจะผ่านทะเลสาบ และขุนเขาป่าไม้สน และเขตอุทยานแห่งชาติในนอร์เวยที่สำคัญหลายแห่ง ซึ่งมีความน่าสนใจ และต้องไปนั่งชมวิวสักครั้ง
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเส้นทางรถไฟสายเบอร์เกน (Bergensbanen )
สายเบอร์เกน หรือรถไฟเบอร์เกน (นอร์เวย์: Bergensbanen หรือ Nynorsk: Bergensbana) เป็นเส้นทางรถไฟมาตรฐานที่มีทัศนียภาพสวยงาม มีคตวามยาว 371 กิโลเมตร (231 ไมล์) ให้บริการระหว่างเบอร์เกนและโฮเนฟอสส์ ประเทศนอร์เวย์ โดยเส้นทางรถไฟสายนรี้มักใช้กับเส้นทางทั้งหมดจากแบร์เกนผ่านดรัมเมนไปยังออสโล ซึ่งมีรถไฟโดยสารวิ่งเป็นระยะทาง 496 กิโลเมตร (308 ไมล์) เป็นเส้นทางรถไฟสายหลักที่สูงที่สุดในยุโรปเหนือ โดยข้ามที่ราบสูงฮาร์ดังเกร์วิดดาที่ความสูง 1,237 เมตร (4,058 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล
|
เส้นทางรถไฟโดยสารจากเมืองออสโลไปเบอร์เกนครอบคลุมระยะทางเกือบ 500 กิโลเมตร |
และยังเป็นเส้นทางรถไฟที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เส้นทางรถไฟโดยสารจากเมืองออสโลไปเบอร์เกนครอบคลุมระยะทางเกือบ 500 กิโลเมตร
โดยเส้นทางรถไฟเปิดให้บริการจากเมืองแบร์เกนถึงโวสในปี พ.ศ. 2426 โดยเป็นเส้นทาง Voss Line ที่แคบ ในปีพ.ศ. 2452 เส้นทางยังคงดำเนินต่อไปบนภูเขาไปยังออสโลและเปลี่ยนเส้นทางทั้งหมดเป็นมาตรวัดมาตรฐาน และสายโวสก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสายเบอร์เกน เส้นนี้เป็นทางเดียว[1] และได้รับไฟฟ้าใช้ในปี พ.ศ. 2497–64 โดยเส้นทางรถไฟ สายเบอร์เกนเป็นเจ้าของและบำรุงรักษาโดย Bane NOR และให้บริการกับรถไฟโดยสารโดย Vy Tog และรถไฟบรรทุกสินค้าโดย CargoNet สายฟลอมยังคงเป็นเส้นทางสาขาเพียงสายเดียว หลังจากที่สายฮาร์ดังเจอร์ปิดตัวลง[1] ส่วนทางตะวันตกจากเบอร์เกนถึงโวสยังให้บริการโดยรถไฟโดยสารเบอร์เกน และถูกตัดให้สั้นลงหลังจากการเปิดอุโมงค์อุลริเกนในปี พ.ศ. 2509
ในบทความนี้ เดี๊ยนเลยขอมาแบ่งปันรูปภาพบางส่วนเกี่ยวกับการนั่งรถไฟชั้น 1 จากเมือง Bergen เดินทางกลับไปยังเมือง Oslo มาให้เพื่อนได้สไลด์เลื่อนฆ่าเวลาดูกันค่ะ
|
เช็คเอาท์ตั้งแต่เช้าตรู่ ต้องเดินฝ่าฝนอันโปรยปราย พร้อมอากาศแสนหนาวเย็น แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนก็ตาม เพื่อมายืนรอรถเมล์โดยสาร เพื่อเดินทางไปสถานีรถไฟเมือง Bergen |
เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม HI Bergen Hostel Montana แบกกระเป๋าเป้มาที่ป้ายรถเมล์ ที่อยู่ใกล้ๆกับโรงแรม ซึ่งช่วงเช้าฝนก็ตกโปรยปรายลงมา ทำให้อากาศยิ่งเย็นลงไปอีก
ขึ้นรถบัสโดยสารประจำทางหมาย 12 จากป้ายรถเมลหน้าโรงแรมไปลงที่สถานีขนส่ง บขส.เมืองเบอร์เกน
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที ก็ถึงสถานีขนส่งแล้วค่ะ
ส่วนตัวอาคารสถานีรถไฟ ก็อยู่ติดกับสถานีขนส่ง บขส.เมืองเบอร์เกนเลยจ้า
ด้านในอาคารสถานีรถไฟดูกว้างขวางโอ่โถงมากๆ
ซึ่งขบวนรถไฟที่เดี๊ยนจะนั่งจาก Bergen ไป Oslo ทริปนี้ เป็์นรถไฟรอบเช้า ขบวนรถไฟจะมาเทียบชานชลาหมายเลข 3
ผู้โดยสารเริ่มมารอกันมากขึ้นเรื่่อยๆค่ะ ส่วนเป็นนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งทำให้รถไฟขบวนนี้เต็มเร็วมากๆ แนะนำเลยว่าเพื่อนๆคนใหน จะขึ้นขบวนรถไฟนี้ ควรจองไว้แต่เนิ่นๆนะคะ
|
เป็นตั๋วรถไฟชั้่น 1 ค่ะ เดี๊ยนใช้บัตร Eurail Pass จองกับเจ้าหน้าที่ เสียแต่ค่าธรรมเนียมที่นั่งแค่ 300 NOK หรือประมาณ 900 บาทไทย ขบวนรถไฟออกเวลา 8.14 น. ไปถึงเมืองออสโล เวลา 15.14 น. |
ตั่วรถไฟโดยสารที่จองไว้ล่วงหน้าตั้งแต่อยู่ในเมือง Oslo แล้วเป็นตั๋วรถไฟชั้่น 1 ค่ะ เดี๊ยนใช้บัตร Eurail Pass จองเสียแต่ค่าจองที่นั่งแค่ 300 NOK หรือประมาณ 900 บาท
แต่ถ้าไม่มีบัตร Eurail Pass ตั๋วรถไฟราคาจะแพงมากๆค่ะ แนะนำจองล่วงหน้าเนิ่นๆนะคะ
สำหรับเพื่อนๆที่จะนั่งรถไฟขบวนนี้ สามารถเข้าไปเช็คราคาและจองตั๋วรถไฟแตเนิ่นๆได้ที่เว็ปไซต์ : https://www.vy.no/en
เดินทางออกจากโรงแรมมาแต่เช้า ยังไม่ได้ทานอะไรเลยค่ะ หากเดินทางไกลๆ ก็พกขนมปังใส่กระปุกไว้ทานเป็นอาหารว่างสักเล็กน้อย มีขนมปัง ทานคู่กับสตอรี่สด ทานเติมท้องว่างไปก่อนล่ะกันค่ะ
ในที่สุดขบวนรถไฟก็มาจอดเทียบชานชลาแล้วค่ะ
โดยขบวนรถไฟชั้น 1 จะอยู่ต้นๆขบวนเลยค่ะ ส่วนรถไฟชั้น 2 จะอยู่ถัดๆไปอีก
เมื่อขึ้นมาบนขบวนรถไฟก็จะเป็นที่นั่งขนาดใหญ่
บริเวณโต๊ะที่นั่งเป็นโต๊ะพับได้
และใกล้กับขบวนโบกี้ ก็มีบริการเครื่องดื่มให้ทานด้วย
ขึ้นมาแล้วก็เลยขอลิ้มลองเครื่องดื่มร้อนๆที่นี่ก่อนเลย มีช็อกโกแลต หรือโก้โก้ร้อนให้ทานด้วย เลยชอบมากๆ
ส่วนขบวนของเดี๊ยนที่นั่ง ก็นั่งกับผู้โดยสารคนอื่นค่ะ
ส่วนห้องน้ำก็อยู่ไม่ไกลค่ะ ที่นั่งดูกว้างขวางดีค่ะ ไม่แออัด
ภายในขบวนสะอาดสะอ้าน มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการคำแนะนำต่างๆ
และใกล้ๆกับจุดบริการเครื่องดื่ม ก็มีที่นั่งริมหน้าต่างให้นั่งชมวิวด้วย
น้องหนูตัวน้อยมานั่งดูวิวรถไฟริมหน้าต่างอยู่ตั้งนานเลยล่ะค่ะ
|
นั่งรถไฟออกจาก Bergen มา ฝนยังตกโปรยปราย จะเห็นได้จากละอองฝนที่เกาะตามขอบกระจกรถไฟ |
|
รถไฟกำลังข้ามแม่น้ำสายเล็กๆ |
|
ผ่านหมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่เรียงรายตามแนวภูเขา บ้านเล็กๆน่ารักดีค่ะ |
|
นั่งขบวนรถไฟที่มีชื่อว่า Bergensbanen เพื่อชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม แวดล้อมไปด้วยป่าไม้และลำธารแสนเขียวชอุ่มในช่วงฤดูร้อน |
|
นั่งขบวนรถไฟที่มีชื่อว่า Bergensbanen เพื่อชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม แวดล้อมไปด้วยป่าไม้และลำธารแสนเขียวชอุ่มในช่วงฤดูร้อน |
|
นั่งขบวนรถไฟที่มีชื่อว่า Bergensbanen เพื่อชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม แวดล้อมไปด้วยป่าไม้และลำธารแสนเขียวชอุ่มในช่วงฤดูร้อน |
|
นั่งขบวนรถไฟที่มีชื่อว่า Bergensbanen เพื่อชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม แวดล้อมไปด้วยป่าไม้และลำธารแสนเขียวชอุ่มในช่วงฤดูร้อน |
|
บ้านเรือนเล็กๆในชนบท ทีสร้างอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แวดล้อมด้วยขุนเขา |
|
ซึ่งเส้นทางรถไฟที่นี่ จะสร้างตามแนวของแม่น้ำลำธาร ซึงหากเพื่อนๆคนใหนที่เดินทางมา จะสัมผัสได้กับความชุ่มฉ่ำเย็นมากๆทีเดียว |
|
ตอนที่รถไฟกำลังโค้ง ก็มองเห็นหัวขบวนรถไฟด้วย อารมณ์เหมือนจะนั่งรถไฟจากกรุงเทพ ไปเมืองกาญจนบุรี แบบนั้นเลยค่ะ |
|
แม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน หรือช่วง Peak Season ของที่นี่ แต่ก็ยังมีหิมะปกคลุมอยู่บนยอดเขาให้เห็นอยู่บ้าง แสดงว่าอากาศต้องเย็นมากๆเลยล่ะค่ะ |
|
แม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน หรือช่วง Peak Season ของที่นี่ แต่ก็ยังมีหิมะปกคลุมอยู่บนยอดเขาให้เห็นอยู่บ้าง แสดงว่าอากาศต้องเย็นมากๆเลยล่ะค่ะ |
|
แม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน หรือช่วง Peak Season ของที่นี่ แต่ก็ยังมีหิมะปกคลุมอยู่บนยอดเขาให้เห็นอยู่บ้าง แสดงว่าอากาศต้องเย็นมากๆเลยล่ะค่ะ |
|
นักท่องเที่ยวที่เดินมากดเครื่องดื่มร้อนๆ ก็พากันมานั่งตรงมุมไฮไลท์เพื่อชมวิวทิวทัศน์สองข้างทาง |
|
และจุดท่องเที่ยวโดดเด่นทีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจ คงหนีไม่พ้น อุทยานแห่งชาติฮาร์ดันเกอร์วิดดา ( Hardangervidda) |
เส้นทางรถไฟที่กำลับขับลัดเลาะเลียบผ่านอุทยานแห่งชาติฮาร์ดันเกอร์วิดดา
|
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติฮาร์ดันเกอร์วิดดา (Hardangervidda National Park) |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติฮาร์ดันเกอร์วิดดา (Hardangervidda National Park)
ฮาร์ดันเงร์วิดดา (อังกฤษ: Hardanger Plateau) เป็นอุทยานที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงบนภูเขา ทางตอนใต้นอร์เวย์ ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของเขตเวสต์แลนด์ เทเลมาร์ก และบุสเคอรัด ที่นี่เป็นที่ราบสูงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยมีสภาพอากาศแบบเทือกเขาแอลป์ที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี และธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของนอร์เวย์อย่าง Hardangerjøkulen
โดยที่ราบสูงส่วนใหญ่ได้รับการคุ้มครองโดย และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Hardangervidda ฮาร์ดันเงร์วิดดา ซึ่งอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ ถูกจัดให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ และเหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งมากมาย
|
ซึ่งที่ตั้งของอุทยานแห่งชาตินี้ จะผ่านสถานีรถไฟ Ulvik Herad |
|
ข้อมูลสำคัญของอุทยานแห่งชาติ Hardangervidda |
ข้อมูลสำคัญของอุทยานแห่งชาติ Hardangervidda
เป็นที่ราบลุ่มที่ใหญ่ที่สุด (ที่ราบที่ถูกกัดเซาะ) ในยุโรป ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 6,500 ตารางกิโลเมตร (2,500 ตารางไมล์) ที่ระดับความสูงเฉลี่ย 1,100 เมตร (3,600 ฟุต) จุดสูงสุดบนที่ราบสูงคือ Sandfloegga ซึ่งมีความสูงถึง 1,721 ม. (5,646 ฟุต)
|
ลักษณะภูมิทัศน์ของอุทยานแห่งชาติ Hardangervidda มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าที่แห้งแล้งและไร้ต้นไม้ ซึ่งถูกขัดจังหวะด้วยแอ่งน้ำ |
โดยลักษณะภูมิทัศน์ของอุทยานแห่งชาติ Hardangervidda มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าที่แห้งแล้งและไร้ต้นไม้ ซึ่งถูกขัดจังหวะด้วยแอ่งน้ำ ทะเลสาบ แม่น้ำ และลำธารมากมาย มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างฝั่งตะวันตกซึ่งมีภูมิประเทศเป็นหินและหินเปลือยกว้างใหญ่ กับฝั่งตะวันออกซึ่งมีพื้นที่เรียบกว่าและมีพืชพรรณหนาแน่นกว่ามาก
สภาพภูมิอากาศยังแตกต่างกันระหว่างทั้งสองฝั่ง โดยทางฝั่งตะวันตกจะมีความชื้นมากกว่าทางฝั่งตะวันออกมาก โดยมีปริมาณมากกว่า 1,000 มิลลิเมตร (39 นิ้ว) ต่อปีที่บันทึกไว้ในบางส่วนอดเขาที่โดดเด่นของHårteigen 1,690 ม. (5,545 ฟุต) มองเห็นได้ทั่วทั้งที่ราบสูงส่วนใหญ่ และภูเขาจะมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี
พื้นที่ Hardangervidda เคยเป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทร Sub-Cambrian ก่อนที่จะถูกผลักทับโดยผ้าคลุมเตียงของตระกูล Caledonian ในสมัย Paleozoic ต่อมาในยุค Miocene ความเรียบสมัยใหม่ของ Hardangervidda ก่อตัวขึ้นเมื่อคาบสมุทรก่อตัวที่ระดับน้ำทะเล จากนั้นในสมัยไพโอซีนตอนต้น ฮาร์ดันเจอร์วิดดา และเทือกเขาสแกนดิเนเวียทางตอนใต้ทั้งหมดถูกยกขึ้นมากกว่าพันเมตร
ธรณีวิทยาที่อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ Hardangervidda ส่วนใหญ่มีความเก่าแก่มาก น้ำตกที่กลิ้งลงมาของ Hardangervidda เป็นส่วนที่เหลือของภูเขาที่พังทลายลง เนื่องจากการกระทำของธารน้ำแข็งในช่วงยุคน้ำแข็ง ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากพรีแคมเบรียนและแคมโบร-ซิลูเรียน
|
วิวทิวทัศน์อันสวยงามระหว่างทางในช่วงที่ฟ้าสดใส |
อุทยานแห่งชาติมีศูนย์นักท่องเที่ยวสองแห่งบนที่ราบสูงคือที่บริเวณ Hardangervidda Natursenter (ศูนย์ธรรมชาติ) ใน Eidfront
และมีอีกที่คือบริเวณ Hardangervidda Nasjonalparksenter (ศูนย์อุทยานแห่งชาติ) ในหมู่บ้าน Tinn ที่ Skinnarbu ใกล้ๆทะเลสาบ Møsvatnet เมือง Rjukan และหมู่บ้านบนภูเขา Rauland
ใช้เวลาเดินทางมาประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ จากฟ้าที่มืดครึ้ม ก็เข้าสู่เขตบริเวณท้องฟ้าแจ่มใสแล้วล่ะค่ะ
ได้เวลาทานข้าวแล้วค่ะ บนขบวนรถไฟก็มีอาหารขายให้บริการด้วยนะคะ แต่ต้องไปเดินซื้อเอง
ส่วนเดี๊ยนก็พออาหารที่เหลือมื้อเช้ายังทานไม่หมด มาทานคู่กับแอปเปิ้ลและขนมปังแครกเกอร์ที่เหลือ ช่วยให้อิ่มไประหว่างทาง เพราะว่านั่งอยุ่บนรถไฟก็ไม่ได้ขยับตัวหรือเดินไปใหนไกล หากจะทานอาหารอะไรที่หนักๆ เกรงว่าจะจะปวดท้องใส้ไม่ดีเอาค่ะ
แต่ที่แน่ๆมานั่งบนขบวนรถไฟเส้นนี้ ก็มีเครื่องดื่มร้อนๆให้ทาน ช่วยให้อิ่มไปได้ตลอดทาง
นั่งรถไฟออกจากเขตอุทยานแห่งชาติที่มีแต่หิมะปกคุลมมาได้สักพัก วิวสองข้างทางก็เริ่มเห็นหมู่บ้านเล็กๆในเขตชนบทของที่นี่แล้วล่ะค่ะ
โดยเกษตรกรรมที่นี่ในช่วงฤดูร้อน ก็จะปลูกข้าวบาลี ข้าวบาร์เลย์
ซึ่งเมื่อมองไปก็จะเห็นเป็นทุ่งนาสีเขียวสดใส ดูงดงามแปลกตา แตกต่างไปจากเมืองไทยบ้านเรามากๆค่ะ
ซึ่งบ้้านเรือนในชนบทที่นี่ ก็น่าอยู่ทีเดียว เพราะแต่ละบ้านหลังเล็กๆดูน่ารักมากๆ
|
ใช้เวลานั่งรถไฟเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ใกล้จะถึงเมืองออสโลแล้วล่ะค่ะ |
ในที่สุด รถไฟก็มาจอดเทียบที่สถานีรถไฟในกรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์แล้วล่ะค่ะ
ออกเดินทางจากเมือง Bergen ประมาณ 8 โมง ถึงเมือง Oslo ประมาณบ่าย 3 โมงครึ่งค่ะ
เมื่อมาถึงก็เดินเท้าสะพายกระเป๋าเป้ ไปยังโรงแรมที่พัก ซึ่งเป็นโรงแรมเดิมที่เคยพักตอนที่มาค้างใน Olso ค่ะ
|
โรงแรมที่พักคืนนี้ นอนที่โรงแรม Anker Hostel เหมือนเดิมค่ะ เพราะเป็นโรงแรมที่ราคาถูกที่สุด สำหรับนักแบกเป้แล้วล่ะค่ะ |
|
ที่พักแนวโฮสเทล ห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม ตกคนละ 1400 บาทต่อคน/คืน |
และโรงแรมที่พักคืนนี้ นอนที่โรงแรม Anker Hostel เหมือนเดิมค่ะ เพราะเป็นโรงแรมที่ราคาถูกที่สุด สำหรับนักแบกเป้แล้วล่ะค่ะ เป็นที่พักแนวโฮสเทล ห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม ตกคนละ 1400 บาทต่อคน/คืน
แต่คราวนี้ ได้พักห้องใหญ่กว่ารอบที่แล้วนะคะ เพราะทางโรงแรมจัดให้เข้าพักกับแขกคนอื่น เนื่องจากนอนพักแค่ 1 คืนค่ะ
|
โซนครัวเล็กๆภายในห้องพักของโรงแรม เปิดใช้และทำอาหารทานได้ด้วย |
และที่เลือกมาพักที่นี่คือ ชอบตรงที่มีห้องครัวให้ทำอาหาร ทำกับข้าวทานเองได้ เพราะร้านซุปเปอร์มาเกตก็อยู่ไม่ไกล เดินเท้าไปได้ ซื้อของมาทำกินเอง ประหยัดกว่าเยอะเลย
|
ทำอาหารทานเองแบบง่ายๆ สไตล์นักแบกเป้ ราคาถูก ประหยัด |
จัดไปค่ะ อาหารเย็นมื้อนี้ก็ทานง่ายๆ ขนมปังแซนวิช ทานกับแฮมและผักลวก น่าจะมีประโยชน์และเสริมพลังงานให้ร่างกายเดินทางต่อไปได้ไม่มากก็น้อย เส้นทางท่องเที่ยวแบกเป้คนเดียวทริปนี้ อีกยาวไกล เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เปิดมุมมองใหม่ๆ ในสถานที่แปลกตา....
ขอบพระคุณเพื่อนๆผู้อ่านทุกๆคน ที่แวะเวียนเข้ามาคลิ๊กเปิดสไลด์เลื่อนอ่านกัน แล้วพบกันใหม่ในบทความถัดๆไปค่ะ....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
----------------------------------------------
บทความบล็อกเที่ยวเมืองอื่นๆ มีดังนี้ค่ะ
เก็บตกทริปแบ่งปันแบกเป้ลุยเดี่ยวไปเที่ยวเมืองเบอร์เกน เมืองมรดกโลกในประเทศนอร์เวย์แห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไร น่าสนใจบ้าง ตามไปดูกันจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
แนะนำรีวิวการเดินทางด้วยรถบัสจาก Oslo ไป Bergen ด้วยตัวเองง่ายๆ หากตั๋วรถไฟเต็มในช่วงฤดูท่องเที่ยว ตามไปดูกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
แบ่งปันทริปรีวิวแบกเป้คนเดียวเที่ยวนอร์เวย์ แวะชมเมืองออสโล เมืองหลวงแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่อะไรน่าสนใจบ้าง ตามเช็คอินกันดูค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดบทความ>>>
เก็บตกแบ่งปันทริปรีวิวเที่ยวเมืองยโสธร แวะออนซอนดูงานบุญบั้งไฟ มีสถานาที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่น่าสนใจอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
เก็บตกรีวิวไปเที่ยวเมืองเจนัว แวะชมบ้านเกิดคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือคนแรกของโลกที่นี่ มีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
แบ่งปันทริปเดินทางไปเที่ยวซิงเคว เทอเร่ (Cinque Terre) ใน 1 วัน แวะชมหมู่บ้านชมประมงติดริมทะเลแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง ตามไปดูกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
เก็บตกรีวิวแบกเป้ไปเที่ยวเมืองปอร์โต้ เมืองเก่าแก่มรดกโลก ติดริมชายทะเลแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ชมบ้าง ตามไปดูกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
แบ่งปันทริปนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองลิเว่อร์พูล ไม่ได้ไปดูฟุตบอล พาไปตะลอนชมพิพิธภัณฑ์เรือไททานิค และท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งของยุโรป คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
เก็บตกพาไปเที่ยวเมืองบาธ เมืองมรดกโลก เดินทางไปชมโรงอาบน้ำแร่โรมันเก่าแก่ที่สุดอีกแห่ง มีที่มาน่าสนใจอย่างไร ตามไปเที่ยวชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
แบ่งปันทริปนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองเอดินเบอระ ประเทศสก็อตแลนด์ มีที่เที่ยวอะไรให้เริ่ดสะแมนแตนถ่ายรูปบ้าง ตามไปดูกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
บันทึกเดินทางไกล พาไปเที่ยวเมืองยอร์ค เมืองเก่าแก่อายุ 2,000 ปี มีจุดแวะเดินชมกำแพงโบราณ และที่เที่ยวต่างๆอะไรบ้าง ตามไปกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวทริปเที่ยวเมืองเก่าโบราณศรีเทพ เมืองมรดกโลกแห่งใหม่ของเมืองไทย มีแหล่งท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง ตามไปเที่ยวชมกันค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
บันทึกเดินทางรีวิวเที่ยวโปรตุเกสล่าสุด ไปหยุดที่เมืองลิสบอน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ไปออนซอน เช็คอินถ่ายรูปกันบ้าง ตามไปดูกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
แบ่งปันทริปนั่งรถไฟไปตามหาต้นตำรับขนมฝอยทองของแม่ทองมา (ท้าวทองกีบม้า) ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เดินทางไปอย่างไร ตามไปกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
เก็บตกแปลกถิ่นแวะเที่ยวเมือง Honningsvåg ไปเดิน Hiking ชมวิวเส้นทางบนภูเขาอันหนาวเหน็บในฤดูร้อน มีที่เที่ยวอะไรให้ไปเช็คอินถ่ายรูปกันบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
มาแบ่งปันรีวิวตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 5 แบกเป้คนเดียวไปเที่ยว North Cap แดนดินถิ่นพระอาทิตย์เที่ยงคืน หากจะไปเที่ยวด้วยตัวเอง เดินทางไปอย่างไร นำมาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>>
แบ่งปันวิธีทำตุ๊กตากระดาษแบบไทยๆในยุค60-90 และมารู้จักประวัติตุ๊กตากระดาษในโลกนั้น มีที่มาอย่างไร นำมาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
แบ่งปันทริปรีวิวพาไปเที่ยวชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่สวน Mayfield Lavender Farm เดินทางไปด้วยตัวเองอย่างไร ราคาบัตรเท่าไหร่ ตามไปเที่ยวชมกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
มาม๊ะมาเก็บตกเที่ยวนราธิวาส ไม่พลาดไปเช็คอินที่เที่ยวต่างๆ กินอาหารพื้นบ้านแสนอร่อยๆ มีจุดเช็คอินถ่ายรูปสวยๆใหม่ๆหลายแห่ง ตามไปกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>
0 ความคิดเห็น