Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

รีวิวนั่งรถไฟไปตามหาต้นตำรับขนมฝอยทอง ท้าวทองกีบม้า เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส อยู่ที่ใหน ตามไปกันเลย

แบ่งปันทริปแบกเป้คนเดียวนั่งไปเที่ยวโปรตุเกส ตามหาขนมฝอยทองของ แม่ทองมา ที่เมืองลิสบอน นั่งรถไฟจากเมือง Madrid ไป Lisbon ด้วยตัวเองมาให้ได้อ่านกันจ้่า




สวัสดีทักทาย ซำบายดีเพื่อนๆคุณผู้อ่าน และเหล่าผู้รักการทัศนาจร อรชร อ้อนแอ้น สุดสะแนน แสนโสภา ช่ะช่ะช่าหัวใจทุกๆคนค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ กับบทความบล็อกรีวิวท่องเที่ยวประจำเดือน ที่จะพาเพื่อนๆไปเที่ยวกัน และสำหรับทริปแบกเป้ไปเที่ยวยุโรปคนเดียว ก็กลับมาอีกครั้งค่ะ หลังจากที่ไม่ได้ไปเที่ยวมานานถึง 3 ปี เนื่องจากเกิดสถานการณ์โควิด ในการเดินทางไปยุโรปครั้งนี้ เดี๊ยนก็วางแผนอยากจะไปตามหาร้านขนมฝอยทอง ที่ประเทศโปรตุเกสว่ารสชาติ และหน้าตาเหมือนขนมฝอยทองบ้านเราหรือไม่ เลยเก็บเงินเดินทางบินลัดฟ้าไปเที่ยวยุโรปซ่ะเลยค่ะ 



เพราะตั้งแต่ละครไทยเรื่อง บุปเพสันนิวาส ได้ออกอากาศและมีการรีรันให้ดูอยู่เรื่อยๆ ก็ทำให้ขนมไทยได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะตัวละครอย่าง นางทองม้า หรือที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ท้าวทองกีบม้า สาวชาวโปรตุเกสที่อพยพถิ่นฐานมาอยู่เมืองไทย หรือว่ามาอยู่อาณาจักรอยุธยา ตั้ังแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ได้นำเอาวิถีชีวิตและสูตรขนมมาด้วย โดยเฉพาะขนมตระกูลทองทั้งหลายแหล่ะ ไม่ว่าจะเป็น ขนมฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด และขนมอื่นๆ ที่ได้กลายเป็นขนมของไทยไปด้วย แต่ต้นกำเนิดที่แท้จริงนั้น มาจากประเทศโปรตุเกสนี้เอง


แบกเป้ลุยเดี่ยวทริปนี้เดินทางมาเที่ยวเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส



 เดี๊ยนเลยอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้เป็น Guideline หรือเป็น้แนวทางให้ได้ดูกัน  เผื่อเพื่อนๆคนใหนที่กำลังวางแผนจะเดินทางแบกเป้ไปเที่ยวยุโรปคนเดียว และปักหมุดจะไปสิ้นสุดปลายทางที่ประเทศโปรตุเกส หนึ่งในประเทศที่หลายๆคนมาเที่ยวสเปน ก็มักจะพ่วงประเทศโปรตุเกสไปด้วยเพราะอยู่ติดๆกัน  โดยปักหมุดจะนั่งรถไฟจากเมืองแมดริด (Madrid) ประเทศสเปน ไปที่เมืองลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส ว่าเดินทางไปอย่างไร 



เอาล่ะค่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า เลยขอมาคุณผุ้อ่านไปตามร้านขนมฝอยทอง ที่ประเทศโปรตุเกสกันเลย  


สำหรับการเดินทางทริปนี้ ตามแผนคือ นั่งรถไฟจากเมืองแมดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน ไปเมืองลิสบอน เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส ระยะทางรวมกว่า 620 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 วันเต็มค่ะ



แผนการเดินทางทริปนี้ นั่งรถไฟจากเมืองแมดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน ไปเมืองลิสบอน เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส ระยะทางรวมกว่า 620 กิโลเมตร 


จากแผนที่ตามรูปคือ จะต้องนั่งรถไฟจาก Madrid ไปลงที่เมือง Badajoz เมืองพรมแดนติดกับประเทศโปรตุเกส จากนั้นก็นั่งรถไฟจาก Badajoz ไปทีลงที่สถานี Entrocamento เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถไฟนั่งไปลงที่เมืองสถานีรถไฟ ลิสบอน ซานต้า อะโพโลเนีย (Lisbon Santa Apolónia) ใช้เวลาเดินทางกว่า 8 ชั่วโมงค่ะ


เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมในเมืองแมดริด ประเทศสเปน แต่เช้าตรู่เลยค่ะ เดินเท้ามาที่สถานีรถไฟ Madrid atocha train station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟศูนย์กลางของเมืองหลวงแห่งนี้ 




ที่สถานีรถไฟ Madrid Puerta de Atocha  คนที่นี่ส่วนใหญ่ก็พูดและสื่อสารภาษาสเปนกันนะคะ ไม่ค่อยสื่อสารภาษาอังกฤษกันเท่าไหร่ วันที่เดี๊ยนมาเที่ยว ตัวช่วยที่ดีที่สุดคือ ต้องใช้ Google Translate ในโทรศัพท์มือถือ ช่วยชีวิตได้เยอะเลย เพื่อให้เขาเข้าใจว่าเราต้องการสื่อสารอะไร 


ส่วนบรรยากาศด้านในสถานีรถไฟเมืองแมดริด ก็วุ่นวายเล็กน้อย แต่ถ้าเปรียบเทียบกับสถานีรถไฟเมืองบาเซโลน่า ที่บาเซโลน่าวุ่นวายและคึกคักกว่ามากๆค่ะ นักท่องเที่ยวส่วนนิยมไปบาเซโลน่ามากกว่าแมดริดกันค่ะ ถ้าใครที่มาเที่ยวสเปน จะเห็นความต่างระหว่างเมืองหลวง กับเมืองบาเซโลน่าที่ติดทะเล นั้นแตกต่างกันมากจริงๆ 


มาถึงก็ติดต่อซื้อตั๋วรถโดยสารกับเจ้าหน้าที่ก่อนเลยค่ะ 


ดยเที่ยวรถไฟที่นั่งไป Badajoz เป็นรถไฟภายในประเทศค่ะ เดี๊ยนเลือกใช้บัตร Eurail Pass  แจ้งกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว ราคาตั๋วจะถูกลงไปอีก 

เวลาซื้อตั๋วโดยสารที่นี่ ก็ต้องไปกดบัตรคิว และรอหมายเลขเรียกเข้าไปซื้อค่ะ  วันที่ไปเที่ยว เดี๊ยนรอคิวไม่นาน เพราะคนไม่ค่อยเยอะมากนัก โดยเที่ยวรถไฟที่นั่งไป Badajoz (คนที่นี่เรียก) เป็นรถไฟภายในประเทศค่ะ เดี๊ยนเลือกใช้บัตร Eurail Pass  แจ้งกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เพื่อซื้อตั๋วที่นั่ง ราคาอยู่ที่ 10 ยูโร เป็นราคาที่ถูกแล้วนะคะ ถ้าราคาจริงก็แพงเพิ่มอีกเท่านึง ยิ่งหากเป็นรถไฟความเร็วสูง ราคาแพงมากๆ 


ในตั๋วโดยสารจะระบุหมายเลขที่นั่ง ตู้ขบวนของรถไฟมาให้ ชัดเจนและถ้าใครจะนั่งรถไฟทางไกล ควรจองรถไฟแต่เนิ่นๆก็ดีนะคะ เพราะช่วงเทศกาลวันหยุดคนจะเยอะมากๆ 


วันที่ไปเที่ยว รีบมากไปหน่อย เดี๊ยนเลยลืมถ่ายรูปตั๋วโดยสารจากเมือง Madrid  ไปเมือง Badajoz มาให้คุณผู้อ่านได้ดูค่ะ ขออภัยจริงๆนะคะ 



เมื่อได้ตั๋วรถไฟโดยสารมาแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จะบอกให้ไปดูป้ายชลาเองที่ป้ายจอมินิเตอร์ด้านในสถานีค่ะ มีภาษาอังกฤษแสดงให้ดูด้วย ถ้าไม่เข้าใจ แนะนำสอบถามเจ้าหน้าทีได้เลยค่ะ


โดยขบวนรถไฟที่จะเดินทางไป Badajoz อยู่ที่ชานชลาหมายเลข  4 ค่ะ รอบเวลา 8.50 น. และไปถึงเมือง ฺBadajoz (ที่นี่เรียกว่าบาดาโฮศนะคะ)

โดยขบวนรถไฟที่นั่งไป Badajoz นี้ จะเป็นรถไฟแบบธรรมดานะคะ ไม่ได้เป็นรถไฟความเร็วสูง 


โดยขบวนรถไฟที่นั่งไป Badajoz นี้ จะเป็นรถไฟแบบธรรมดานะคะ ไม่ได้เป็นรถไฟความเร็วสูง เหมือนรถไฟที่นั่งจาก Barcelona มาที่ Madrid  แต่ข้อดีคือ ราคาไม่แพง ข้อเสียก็มี เพราะจอดเกือบทุกสถานี และค่อนช้า ไม่ได้เร็วเหมือนรถไฟความเร็วสูง

ยถ่ายรูปเสบียงอาหารง่ายๆที่ทำทานเอง เอาไปแช่ไว้ที่ห้องครัวของโรงแรมและพกมาทานด้วย จะได้ทานเป็นมื้อเช้าไปแก้หิวระหว่างเดินทาง


ขึ้นรถไฟมาผู้โดยสารนั่งกันเต็มเลยค่ะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะติดหน้าคน ก็เลยถ่ายรูปเสบียงอาหารง่ายๆที่ทำทานเอง เอาไปแช่ไว้ที่ห้องครัวของโรงแรมและพกมาทานด้วย จะได้ทานเป็นมื้อเช้าไปแก้หิวระหว่างเดินทาง  แนะนำหากเพื่อนๆคนใหนที่เดินทางไกล พกขนมปังหรือแซนวิชมาด้วยก็ดีค่ะ 

นั่งรถไฟมาได้สักพัก ผู้โดยสารเริ่มลดลงแล้วค่ะ 


พอนั่่งรถไฟมาได้สัก 300 กิโลเมตรกว่าๆ ผู้โดยสารเริ่มลดลงเรื่อยๆ ที่นั่งก็ว่าง จากที่นั่งกันเต็มๆ เดี๊ยนก็ไม่กล้าถ่ายรูปนะค่ะ ที่นั่งค่อนข้างแคบ และไม่สามารถยึดขาได้ แอบเกร็งหน่อยๆเวลานั่งหันหน้าหาผู้โดยสารที่ไม่รู้จัก เพราะบางคนก็หน้าบูดบึ้ง ส่วนเดี๊ยนจะสยามเมืองยิ้้มให้ ก็ไม่ได้ยิ้มตอบกลับมาแต่อย่างใด มีแต่จะบอกว่าเดี๊ยนบ้าไปแล้ว 


มองออกไปด้านนอกเป็นวิวทิวทัศน์เทือกสวนไร่นาของชาวบ้าน 

กระเป๋าเป้ของเดี๊ยนก็วางไว้ตรงทางเดินริมประตูรถไฟเลยค่ะ  วัดดวงเอาว่าจะมีใครยกไปใหม๊ ถ้ายกไปไหว ก็ยกไปเลยจ้า

ส่วนกระเป๋าเป้ใบใหญ่นั้น เดี๊ยนก็เอาไว้บริเวณริมประตูเลยค่ะ เพราะด้านเหนือศรีษะของที่นั่งไม่สามารถวางได้

ถึงเมือง Badajoz 


ใช้เวลานั่งรถไฟ 4 ชั่วโมง จากเมือง Madrid  ในที่สุดก็ถึงสถานีรถไฟเมือง Badajoz (บาดาโฮส) เวลา 13.00 น.ค่ะ 

ถึงสถานีรถไฟ Badajoz แล้ว เห็นป้ายแล้วให้อ่านว่า บาดาโฮสนะคะ ตอนแรกออกเสียงเป็นบาดาโจ คนที่นี่ไม่เข้าใจ


ถึงสถานีรถไฟ Badajoz แล้ว เห็นป้ายแล้วให้อ่านว่า บาดาโฮสนะคะ ตอนแรกออกเสียงเป็นบาดาโจ คนที่นี่ไม่เข้าใจ เลยถามเขาว่าออกเสียงอย่างไร กลายเป็นว่าเป็น บาดาโฮสไป  

แดดร้อนมากๆ เลยมาหลบร่มด้านในสถานี และรอดูจอมิเตอร์ด้วยว่า รถไฟที่จะไปโปรตุเกสจอดที่ชานชลาใหน 

ส่วนอากาศร้อนมากๆ ร้อนจนคิดถึงเมืองไทย แบบว่าขอฟ้า ขอฝนเลยจ้า  เลยมานั่งรับแอร์เย็นๆด้านใน และต้องมาดูป้ายจอมอนิเตอร์อีกครั้ง ว่ารถไฟที่ออกจากเมือง Badajoz ไป Entroncamento ต้องไปขึ้นทีชา่นชลาใหน อันนี้สำคัญค่ะ 




โดยมารอดูหมายเลขชานชลา ที่จอมอนิเตอร์ เมืองที่จะเดินทางไปคือ Entroncamento รอบเวลา 14.09 น. ซึ่งเป็นรถไฟของประเทศโปรตุเกสค่ะ ยังไม่ขึ้นแสดงเลยค่ะ ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่ให้รอสักพัก เพราะรถไฟยังไม่เข้ามา 


ในช่วงที่รอรถไฟ  เดี๊ยนเลยเดินแบกเป้ออกไปร้านซุปเปอร์มาเก็ต ที่อยู่ตรงข้ามสถานีไฟเพื่อไปซื้อน้ำดื่มมา ราคาถูกกว่าด้านในสถานีมากค่ะ ตกขวดละ 1.5 ยูโร 


ระหว่างที่รอหมายเลขชานชลาขึ้น เดี๊ยนเลยเดินแบกเป้ออกไปร้านซุปเปอร์มาเก็ต ที่อยู่ตรงข้ามสถานีไฟเพื่อไปซื้อน้ำดื่มมา เพราะสู้ราคาน้ำดื่มในสถานีรถไฟไมไม่ไหวแพงเกินไป ถ้าใครมาเที่ยวอยากประหยัดนะคะ แนะนำสังเกตุว่ามีร้านสะดวกซื้อด้านนอกสถานีรถไฟไหม เพราะราคาน้ำดื่มถูกกว่าเยอะ โดยน้ำดื่มที่นี่จะเป็น น้ำแร่เลยนะคะ

ด้านในสถานีรถไฟ ขายอยู่ที่่ 3.5 ยูโร แต่ร้านค้าด้านนอกที่เดี๊ยนไปซื้อมาราคา 1.5 ยูโร ถูกกว่ากันครึ่งนึงเลยล่ะ 

หากเพื่อนๆคนใหนมาเที่ยวช่วงฤดูร้อนแบบเดี๊ยน ก็ซื้อน้ำดื่มจากซุปเปอร์มาเก็ตมาใส่กระเป๋าเป้ไว้ด้วยก็ดีนะคะ ประหยัดตังกว่าซื้อในสถานีรถไฟ 

สำหรับรถไฟที่จะเดินทางไปประเทศโปรตุเกสนี้ ป้า่ยชานชลาอยู่หมายเลข 5 (Platform Number 5)


ส่วนรถไฟที่จะเดินทางไปประเทศโปรตุเกสนี้ ป้า่ยชานชลาอยู่หมายเลข 5 (Platform Number 5)

เป็นรถไฟขบวนสีเขึยวตามรูปเลยค่ะ จอดรอรับผู้โดยสารไปสุดป้ายทางที่เมือง Entroncamento 

บางครั้งหมายเลขชานชลาด้านในสถานีไม่แสดงนะคะ แนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่ คุยภาษาอังกฤษหรือโปรตุเกสไม่ได้ ก็ใช้ google translate ช่วยด้วย จนเจ้าหน้าที่บอกว่า ชานชลาอยู่ที่หมายเลข 5 


หากใครที่เดินทางมา บางครั้งหมายเลขชานชลาด้านในสถานีไม่แสดงนะคะ แนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่ คุยภาษาอังกฤษหรือโปรตุเกสไม่ได้ ก็ใช้ google translate ช่วยด้วย จนเจ้าหน้าที่บอกว่า ชานชลาอยู่ที่หมายเลข 5 

ส่่วนเดี๊ยนใช้บัตร Eurail Pass แสดงกับเจ้าหน้าที่ เลยนั่งฟรี ไม่ต้องจ่ายเงินค่ะ เลยไม่ทราบว่า ราคาตั๋วเท่าไหร่ เผื่อเพื่อนๆคนใหนที่จะนั่งรถไฟไม่ได้ใช้บัตร Eurial Pass ก็สามารถมาซื้อตั๋วบนรถไฟได้เลยนะคะ ราคาน่าจะไม่แพงมากนัก

เข้ามาด้านในขบวนรถไฟที่จะไปเมือง Entroncamento เป็นรถไฟขบวนสั้นๆ ไม่ได้ยาว แม้รถไฟจะสั้น  แต่ด้านในดูใหญ่ค่ะ แบ่งเป็นที่นั่ง 2 คน และอีกฝั่ง นั่งได้แถวละ 4 คนเลยค่ะ นั่งที่สถานีเริ่ม่ต้นคนไม่เยอะ แต่จะไปเยอะระหว่างทางค่ะ 

ส่วนตั๋วโดยสารหากใครที่ไม่ได้ใช้ บัตร Eurail Pass ก็สามารถซื้อตั๋วบนขบวนรถไฟได้เลย จะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บตังบนรถไฟ สามารถจ่ายผ่า่นบัตรเครดิตหรือ เดบิตได้ด้วย ส่่วนเดี๊ยนใช้บัตร Eurail Pass แสดงกับเจ้าหน้าที่ เลยนั่งฟรี ไม่ต้องจ่ายเงินค่ะ อันนี้เลยไม่ทราบว่า ราคาตั๋วเท่าไหร่ 


ระหว่างทางก็นั่งรถไฟชมวิวบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามทีเดียวค่ะ 


ผ่านปราสาทเก่าแก่โบราณริมแม่น้ำ ไม่รู้ว่าชื่อปราสาทอะไร ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนเชิงเขา 

นั่งรถไฟผ่านปราสาทเก่าแก่โบราณริมแม่น้ำ ไม่รู้ว่าชื่อปราสาทอะไร ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนเชิงเขา รายล้อมไปด้วยป่ามากมาย 



ผ่านเทือกสวนไร่นาของชาวบ้าน แต่ที่เห็นเด่นชัด คนที่นี่ก็ทำไร่มะกอกกันเยอะเหมือนกัน 




นั่งรถไฟประมาณ 2 กว่าๆ ก็ถึงสถานีรถไฟ Entroncamento แล้วค่ะ 


ใช้เวลาเดินทางนั่งรถไฟประมาณ 2 กว่าๆ ก็ถึงสถานีรถไฟ Entroncamento แล้วค่ะ 


เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ  Entroncamento ก็ต้องเดินแบกเป้ข้ามสะพานลอยไปจองตั๋วตรงไฟตรงอาคารสถานีหลังคาสีแดงๆตามรูปเลยค่ะ 


และพอมาถึงสถานีรถไฟ  Entroncamento ก็ต้องเดินแบกเป้ข้ามสะพานลอยไปจองตั๋วตรงไฟตรงอาคารสถานีหลังคาสีแดงๆตามรูปเลยค่ะ 

ตอนมาถึงเดี๊ยนถามเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลรถไฟบอกว่า ต้องไปซื้อตั๋วที่เคาว์เตอร์เท่านั้นนะคะ และไม่มีระบบจองทางออนไลน์ค่ะ 



การจองตั๋วรถไฟก็ต้องไปกดบัตรคิว แต่การสื่อสารของเจ้าหน้าที่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แนะนำใช้ Google translate ช่วยเลยจ้า 

โดยการจองตั๋วรถไฟก็ต้องไปกดบัตรคิว แต่การสื่อสารของเจ้าหน้าที่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แนะนำใช้ Google translate ช่วยเลยจ้า 


กดบัตรคิวได้หมายเลข 015 ค่ะ ต้องคอยจ้องดูจอมอนิเตอรนะคะว่า ถึงหมายเลขเราหรือยัง เพราะตอนประกาศเลข จะพูดเป็นภาษาโปรตุเกส

จองตั๋วรถไฟจากเมือง Entroncamento ไปที่สถานี Lisbon Apolonia Staion ค่าตั๋วรถไฟอยู่ที่ 5 ยูโรค่ะ 

พอได้คิวก็แจ้งความประสงค์ไป เอาบัตร Eurial  Pass ที่อยู่ในมือถือให้เจ้่าหน้าที่ดู ว่าต้องการจองตั๋วรถไฟจากเมือง Entroncamento ไปที่สถานี Lisbon Apolonia Staion ค่าตั๋วรถไฟอยู่ที่ 5 ยูโรค่ะ 

จะเดินทางไป Lisbon ชานชลาอยู่หมายเลข 5 


เมื่อได้ทำการซื้อตั๋วรถไฟมาแล้วนะคะ ก็มาดูหมายเลขชานชลาที่จะเดินทางไป Lisbon อยู่ที่หมายเลข 5 ค่ะ รอบเวลา 16.59 น. 




มารอขึ้นรถไฟรอบเวลา 16.59 น. แต่วันที่ไปเที่ยว รถไฟล่าช้าไปประมาณ 15 นาทีเลยค่ะ

ต้องปรับตัวให้ได้ว่าจะต้องไปขึ้นที่ตู้ขบวนหมายเลขโบกี้อะไร และต้องนั่งให้ถูกที่นั่งด้วย อีกทั้งยังต้องลุ้นด้วยว่า บริเวณที่นั่งเหนือศรีษะนั้นมีที่วางกระเป๋าว่างหรือไม่ 

เวลาขึ้นรถไฟทีไร ตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะรถไฟแต่ะประเทศ และแต่ละขบวนไม่เหมือนกันค่ะ ต้องปรับตัวให้ได้ว่าจะต้องไปขึ้นที่หมายเลขโบกี้อะไร และต้องนั่งให้ถูกที่นั่งด้วย อีกทั้งยังต้องลุ้นด้วยว่า บริเวณที่นั่งเหนือศรีษะนั้นมีที่วางกระเป๋าว่างหรือไม่ 

จากภาพเป็นสถานีรถไฟ Lisboa Orinte เป็นสถานีใหญ่อีกแห่ง อยู่ไม่ไกลจากสนามบินเมืองลิสบอน

นั่งรถไฟออกจากเมือง Entroncamento ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆก็มาถึงเมือง Lisbon เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกสแล้วค่ะ จากภาพเป็นสถานีรถไฟ Lisboa Orinte เป็นสถานีใหญ่อีกแห่ง อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน 

ทริปนี้ใช้เวลานั่งรถไฟกว่า 8 ชั่วโมงเลยค่ะ เรียกว่านานพอสมควรทีเดียว  ถึงสถานีรถไฟ Lisbon Santa Apolonia 

ส่วนการเดินทางของเดี๊ยนทริปนี้ นั่งรถไฟ 2 ต่อเลยค่ะ กว่าจะเดินทางมาถึงสถานีรถไฟ Lisbon Santa Apolonia ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง และเป็นสถานีรถไฟเก่าแก่ที่อยู่ใกล้ย่านท่องเที่ยวที่สุดเแล้ว  ทริปนี้ใช้เวลานั่งรถไฟกว่า 8 ชั่วโมงเลยค่ะ เรียกว่านานพอสมควรทีเดียว  


พอมาถึงก็แบกเป้ลงจากรถไฟ มาตัั้งหลักที่สถานีสักพัก เพื่อเปิด GPS ว่าพอถึงสถานีรถไฟแล้ว จะเดินทางไปโรงแรมที่พักอย่างไร 

เดี๊ยนเลยต้องมาศึกษาเส้นทางการนั่งรถไฟใต้ดินของเมืองลิสบอน เพื่อเดินทางไปยังโรงแรมค่ะ



เพราะว่าโรงแรมที่จองไว้ไม่ได้อยู่ใกล้สถานีรถไฟค่ะ เดี๊ยนเลยต้องมาศึกษาเส้นทางการนั่งรถไฟใต้ดินของเมืองลิสบอน เพื่อเดินทางไปยังโรงแรมค่ะ


ดูแผนที่รถไฟในสถานีว่า สถานีใหนอยู่ใกล้โรงแรมที่สุดก่อน 



เมื่อทำการศึกษาดูเส้นทางรถไฟใต้ดินของเมืองลิสบอนแล้ว ก็มาต่อคิวรอซื้อตั๋วรถไฟจากเครื่องขายบัตรอัติโนมัติค่ะ 


เข้าคิวรอซื้อบัตรโดยสารรถไฟ Metro ในเมืองลิสบอน 

โดยการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน ถือว่าสะดวกและครอบคลุมเกือบทุกเส้นทางในเมืองลิสบอนแล้วค่ะ ซื้อตั่วจากเครื่องขายบัตรโดยสารอัติโนมัติได้เลยค่ะ 




ก่อนอื่นๆก็เลือกภาษาอังกฤษ จากนั้นก็จะมีบัตรโดยสารให้เราเลือก ว่าเอาตั๋วที่นำมาใช้ได้ซ้ำ หรือใช้แบบครั้งเดียว  


จากนั้นก็จะให้เราเลือกจำนวนบัตร ว่ากี่คน หนึ่งบัตรต่อ 1 คนค่ะ 


พอกดมา ก็จะให้เลือกประเภทราคาของบัตรว่าต้องการแบบใหน ซึ่งราคาแตกต่างกันไปค่ะ

โดยราคาบัตรเริ่มต้น 1.65 ยูโร เป็นตั๋วเที่ยวเดียว เดินทางด้วย Metro หรือ Bus ไปได้ทุกสถานีเลยค่ะ

แต่ถ้าใครอยากได้คุ้มกว่านั้นก็เลือก 6.6 ยูโร เดินทางด้วย Metro และ Bus ได้ 24 ชั่วโมง 



พอเลือกบัตรที่ต้องการก็กดชำระเงินด้วยบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต Travel Card ได้ค่ะ สำหรับใครที่่จะซื้อบัตรโดยสารผ่านเครื่องขายบัตร จะต้องเสียค่ากระดาษบัตรเหลือตามรูปอีกนะคะ น่าจะประมาณ 20 เซนต์ค่ะ  


ใครที่ใช้บัตร Visa ก็ใช้บัตรแตะที่ประตูผ่านเข้าสถานีได้เลยค่ะ อันนี้สะดวกกว่าเยอะมากๆ  เพราะไม่ต้องไปเสียค่าธรรมเนียมบัตรเหลือง 


แต่ถ้าให้ดีนะคะ ใครที่ใช้บัตรเดบิต Visa ก็ใช้บัตรแตะที่ประตูผ่านเข้าสถานีได้เลยค่ะ อันนี้สะดวกกว่ามากๆ เพราะไม่ต้องไปเสียค่าธรรมเนียมบัตรเหลืองจากเครื่องขายบัตรแต่อย่างใด 



ส่วนบรรยากาศขบวนรถไฟ Metro หรือว่ารถไฟใต้ดินของเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ก็มีที่นั่งให้นะคะ  ถ้าเดินทางจากต้นสถานี แต่ถ้าผ่านไปย่านตัวเมือง คนก็แน่นเหมือนกันค่ะ


เดี๊ยนเดินทางนั่งรถไฟจากสถานี Santa Apolonia มาลงที่สถานี Rossio ค่ะ ซึ่งโรงแรมอยู่ในโซนนี้ ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยว 

นอกจากอาคารบ้านเรือนเก่าแก่หลายร้อยปี คงเป็นรถรางที่ใครมาก็ต้องไปนั่งกันสักครั้ง เพราะรถรางคันเล็กๆ ดูน่ารักมาก

เสน่ห์ของเมืองลิสบอนอีกอย่าง นอกจากอาคารบ้านเรือนเก่าแก่หลายร้อยปี คงเป็นรถรางที่ใครมาก็ต้องไปนั่งกันสักครั้ง เพราะรถรางคันเล็กๆ ดูน่ารักมากค่ะ 


ออกจากสถานีรถไฟใต้ดินมา ก็มาตั้งหลักเปิด GPS ในมือถือเพื่อเดินทางไปยังโรงแรมอีกค่ะ 

ซึ่งโรงแรมที่เดี๊ยนจองก็ตั้งอยู่บนเนินเขาด้วยค่ะ ทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย เหนื่อยแน่ๆสำหรับสายแบกเป้เที่ยว เพราะต้องเดินขึ้นบันได ขาลากเลยค่ะ 


โรงแรมที่จองไว้คือ โรงแรม This is Lisbon Hostel ตามป้ายสีเขียวที่ติดไว้เลยจ้า เป็นโรงแรมเล็กๆแนวโฮสเทลค่ะ เดินขึ้นมาเหนื่อยทีเดียว 

เรียกว่ากว่าจะเดินมาถึง เล่นเอาหลังแทบหักจ้า  โดยโรงแรมที่จองไว้คือ โรงแรม This is Lisbon Hostel เป็นโรงแรมเล็กๆแนวโฮสเทล สำหรับสายแบกเป้เที่ยว ห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม ใครที่จะพักโรงแรมนี้ หากกระเป๋าใบใหญ่ แนะนำใช้บริการนั่งแท๊กซี่มาดีกว่าค่ะ จะได้ไม่เหนื่อย 


ภายในที่พักเล็กๆ มีห้องครัวให้ทำอาหาร ทำกับข้าวทานได้ ที่พักไม่ใหญ่มาก และไม่วุ่นวายด้วย


มีระเบียงของที่พักออกไปนั่งชมวิวเมืองได้สวยงามมากๆค่ะ แต่ลมก็แรงมากๆเช่นกัน ใครมาเที่ยวต้องสู้ลมทะเลของเมืองลิสบอนหน่อยนะคะ 


ภายในโรงแรม This is Lison Hostel มีห้องครัวให้ทำอาหารทานด้วย ชอบตรงนี้แหละค่ะ เพราะว่าทำกับข้าวทานได้สะดวกดี อีกอย่างร้านซุปเปอร์มาเก็ต ก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักด้วย


ห้องนอนก็เป็นห้องเล็กๆ ภายในห้องเป็นเตียงแบบ Bunk Bed หรือเตียงแบบหอพัก 


ส่วนห้องนอนก็เป็นห้องเล็กๆ ภายในห้องเป็นเตียงแบบ Bunk Bed หรือเตียงแบบหอพัก ห้องนอนรวมกัน ห้องน้ำแยกชาย แยกหญิงชัดเจนค่ะ โดยรวมถือว่าดีทีเดียวนะคะ ไม่วุ่นวายเกินไป 

 

อรุณเบิกฟ้าเช้าวันใหม่ ออกมานั่งรับลมเย็นๆตอนเช้า และลมแรงมาก ใครที่ตัวเบา อาจปลิวได้นะคะ 


อาหารเช้าที่โรงแรม This is Lisbon Hostel 

นอกจากนี้ตอนเช้า ที่โรงแรมก็มีอาหารเช้าง่ายๆให้บริการด้วย เผื่อใครที่ไม่ได้ซื้อของมาไว้ทำกับข้าวทาน มื่้อนี้เดี๊ยนเลยเลือกทานอาหารเช้าที่โรแรมไปเลยค่ะ  

โดยราคาอาหารเช้าของโรงแรมอยู่ที่ 3 ยูโร สั่งไข่ 1 ชุด มาทานกับขนามปัง และซีเรียลได้ โดยขนมปังกับซีเรียลตักทานได้ไม่อั้นเลยค่ะ 

ไม่ค่อยมีแขกที่เข้าพัก ออกมานั่งทานที่ชานระเบียงกัน เพราะลมแรงมากๆ  มีแต่เดี๊ยนกระมังที่เป็นคนบ้ามานั่งทานริมระเบียงตอนเช้า 

ซึ่งช่วงเช้าไม่ค่อยมีแขกที่เข้าพัก ออกมานั่งทานที่ชานระเบียงกัน เพราะลมแรงมากๆ  มีแต่เดี๊ยนกระมังที่เป็นคนบ้ามานั่งทานริมระเบียงตอนเช้า 



ทานอาหารเสร็จก็วางแผนไปตามหาร้านขายขนมฝอยทองกันค่ะ เหตุเพราะตามรอยมาจากละครเรื่องบุฟเพสันนิวาศ ที่แม้จะจบไปนานแล้ว แต่ก็ยังเอารีรันให้ชมทางทีวีอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะตัวละครที่มีชื่อว่าแม่ทองมา หรือว่าท้าวทองกีบม้า สาวชาวโปรตุเกสที่เอาสูตรขนมมาเผยแพร่ในประเทศไทย หรือสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว 



ใหนๆ เดี๊ยนก็เดินทางมาถึงโปรตุเกสทั้งที นอกจากไปเดินเช็คอินดูสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว ก็ไม่พลาดไปหาร้านขนมฝอยทอง ซึ่งเป็นเมนูของหวานที่คนไทยรู้จักดี ก็มีถิ่นกำเนิดมาจากโปรตุเกสนี้แหล่ะค่ะ 

ร้านที่ทำขนมฝอยทองในเมืองลิสบอนนั้น มีอยู่ไม่กี่ร้านที่นำเมนูของหวานนี้มาขายให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง ซึ่งร้านที่โด่งดังในเมือง Lisbon และค้นหาเจอใน Google คงเป็นร้าน Casa dos Ovos Moles em Lisboa

โดยร้านที่ทำขนมฝอยทองในเมืองลิสบอนนั้น มีอยู่ไม่กี่ร้านที่นำเมนูของหวานนี้มาขายให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง ซึ่งร้านที่โด่งดังในเมือง Lisbon และค้นหาเจอใน Google คงเป็นร้าน Casa dos Ovos Moles em Lisboa ซึ่งตั้งอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ตัวร้านหาไม่ยากค่ะ เพราะอยู่ใกล้กับวิหาร Carmo Convent ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียงย่านใจกลางเมือง 


ซึ่งภายในร้าน Casa dos Ovos Moles em Lisboa ก็เป็นร้านขนมและคาเฟ่เล็กๆให้ลูกค้าได้นั่งด้วยค่ะ 

เมนูขนมฝอยทองในร้านเบเกอรี่ในเมืองลิสบอน โปรตุเกส  ร้าน Casa dos Ovos Moles em Lisboa

ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าตาฝอยทองของโปรตุเกสแล้ว หน้าตาสวยงาม ตกแต่งใส่ตู้กระจกไว้อย่างดี เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาได้เลือกลิ้มลองทานกัน 

ราคาขนมฝอยทองที่ร้าน Casa dos Ovos Moles  ตกชิ้นละ 3.20 ยูโรค่ะ 



สาระน่ารู้เกี่ยวกับขนมฝอยทอง (ขนมที่ถิ่นกำเนิดจากเมืองเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส )

สาระน่ารู้เกี่ยวกับขนมฝอยทอง (ขนมที่ถิ่นกำเนิดจากเมืองเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส )

สำหรับเมนูขนมฝอยทอง  เป็นขนมที่มีกำเนิดจากเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส โดยภาษาโปรตุเกสคือ  fios de ovos อ่านว่า ฟียุชดึโอวุช  หมายถึงเส้นด้ายที่ทำจากไข่  ลักษณะเป็นเส้นฝอยสีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด แล้วนำเคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก

ฝอยทองของโปรตุเกสนั้นแพร่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมารีอา กียูมาร์ ดึ ปีญา (ท้าวทองกีบม้า, พ.ศ. 2202-2265)

ส่วนฝอยทองของโปรตุเกสนั้นแพร่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อยู่ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมารีอา กียูมาร์ ดึ ปีญา (ท้าวทองกีบม้า, พ.ศ. 2202-2265) เป็นลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น โดยท้าวทองกีบม้าเป็นภรรยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) 


โดยหน้าที่หลักของท้าวทองกีบม้าเป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้น เป็นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้นด้วย และจากเมนูขนมหวานที่เคยอยู่ในรั้งในวัง ก็ถูกเผยแพร่ออกสู่นอกวัง และชาวสยามเองก็ปรับแต่งสูตรให้เข้ากับวิถีชีวิตผู้คน โดยใช้น้ำลอยดอกมะลิเคี้ยวกับน้ำตาล ที่ให้ความหอมและรสชาติอร่อย เป็นขนมมงคลที่ขาดไม่ได้เลยในงานต่างๆ  (เครดิตข้อมูลดีๆจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Fios_de_ovos)



มาถึงเดี๊ยนเลยสั่งขนมฝอยทองที่ทำเป็นหน้าทองหยิบ มาลิ้มลองทานดูค่ะ


ขนมที่นี่จะนิยมทานกับขนมเค้ก หรือว่าเครื่องดื่มร้อนต่างๆค่ะ เดี๊ยนเลยสั่งโก้โก้มาทานคู่กันค่ะ ถือว่าเป็นอาหารว่าง

ถามที่ทางร้านบอกว่า ขนมที่นี่จะนิยมทานกับขนมเค้ก หรือว่าเครื่องดื่มร้อนต่างๆค่ะ เดี๊ยนเลยสั่งโก้โก้มาทานคู่กันค่ะ ถือว่าเป็นอาหารว่าง เติมความหวานเข้าเส้นเลือดแล้วกันค่ะ รสชา่ติของขนมมีความหวานนุ่ม คล้ายๆกับฝอยทองในเมืองไทยเราเลยค่ะ แต่สูตรของโปรตุเกสรู้สึกว่าตัวเนื้อขนมจะแน่นๆ เคี้ยวไปหนึบหนับสักหน่อย แต่ก็อร่อยดีค่ะ ทานแล้วคิดถึงเมืองไทยเลย 

โดยราคาต่อชิ้นอยู่ที่ 3.20 ยูโรค่ะ หรือชิ้นละ 121 บาทค่ะ 


ส่วนโก้โก้ หรือช็อกโกแลต ก็เข้มข้นมากๆ ไม่หวานด้วย รสชาติขมถูกใจเดี๊ยนมาก สั่งทางร้านไม่เอาหวาน 


นอกจากนี้ยังมีเมนูขนมหวานอื่นๆ ซึ่งเป็นเมนูขนมโบราณเก่าแก่เหมือนกันค่ะ


โดยขนมก็จัดใส่กล่องเหล็กอย่างสวยงาม 



สำหรับเพื่อนๆคนใหน ที่ปักหมุดวางแผนมาเที่ยวลิสบอน และอยากลิ้มลองทานขนมฝอยทอง ว่ารสชาติเหมือนกับขนมฝอยทองในเมืองไทยเราไหม ก็ลองปักหมุดมาทานที่ร้าน  Casa dos Ovos Moles em Lisboa ดูได้นะคะ 


เดินทางไปตามหาของหวานอร่อยๆกันต่อค่ะ ทริปนี้เบาหวานกินแน่ๆ 


นอกจากขนมฝอยทอง  หรือขนมฟิยุชดึโอวุชแล้ว ( fios de ovos)  ยังมีขนมหวานทีมีชื่อเสียงที่สุดของโปรตุเกสนั้นก็คือ ขนมทาร์ตไข่ค่ะ โดยที่โปรตุเกส ก็ยังเป็นต้นตำรับของขนมทาร์ตไข่ด้วย ทริปนี้เลยเดินทางไปลิ้มลองทาน ขนมทาร์ตไข่เจ้าแรกของโลกด้วยค่ะ


นั่งรถไฟจากเมืองลิสบอนมาประมาณ 10 นาที มาลงที่เมือง Belem ค่ะ 



เดินทางมาลิ้มลองทานขนมทาร์ตไข่เจ้าแรกของโลก ที่ร้าน Pastéis de Belém  

เดินทางเมืองเบเลม (Belem) นอกจากไปดูอารามวิหารเก่าแก่ Jerónimos Monastery ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของยุโรปแล้ว ใกล้ๆก็เป็นร้านขนมทาร์ตไข่เจ้าแรกของโลกด้วย  

จากรูปที่มีคนยืนรอต่อคิวกันเยอะๆ คือร้านขนม Pastéis de Belém เป็นร้านขายขนมทาร์ตไข่โปรตุเกส ซึ่งเป็นเจ้าแรกของโลก ก่อนถูกเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก 



เนื่องจากร้านขนมคิวรอเยอะมากๆเกินไป รอไม่ไหวค่ะ ก็เลยไปเที่ยวชม วิหารเก่าแก่ Jerónimos Monastery ก่อนค่ะ 



หลังจากไปเที่ยวเช็คอินถ่ายรูปตามสถานที่ทอ่งเที่ยวต่างๆ ก่อนเดินทางกลับ ก็แวะไปซื้อขนมทาร์ตไข่เจ้าแรกของโลกมาทานสักหน่อย คิวไม่ยาวแล้วค่ะ 



ราคากล่องละ 7.80 ยูโรค่ะ มี 6 ชิ้น 
แต่ถ้าซื้อไม่ถึง หรือจะซื้อแค่ 1 ชิ้นทางร้านก็ขายนะคะ 


ราคาต่อ 1 ชิ้น ตกชิ้นละ 1.30 ยูโร 

ราคา 6 ชิ้น 7.8 ยูโร

แต่ถ้าซื้อ 50 ชิ้น 65 ยูโร 


นอกจากนี้ยังมีเมนูขนมหวานอื่นๆอีกด้วย 


เห็นลูกค้ายืนรอซื้อขนมไปทานกันเยอะเชียวค่ะ 


ส่วนขนมทาร์ตไข่ รสชาติหวานอร่อยค่ะ ไม่หวานเกินไป  แป้งมีความร่วน ไม่เหนียวหรือแข็งกระด้าง ถือว่าให้ผ่านค่ะ 


นั่งรถเมลกลับเข้าไปในเมืองลิสบอนต่อค่ะ 


นอกจากร้านที่เมืองเบเลมแล้วนะคะ ในเมืองลิสบอน ย่านท่องเที่ยวก็มีขนมทาร์ตไข่ขายอยุ่ทั่วเมืองเลยค่ะ



หากใครที่เดินทางมาเที่ยวเมืองลิสบอน จะเห็นขนมทาร์ตไข่ วางขายอยู่ทั่วเมือง เรียกว่าหาซื้อทานได้ ส่วนรสชาติก็แตกต่างกันออกไป ถ้าร้านดังๆอย่างที่เดี๊ยนไปทานที่เมืองเบเลม คนก็เยอะหน่อย เพื่อนคนใหนที่แบกเป้มาเที่ยวโปรตุเกสครั้งแรก ก็ไม่พลาดลิ้มลองทานกันดูนะคะ 


ทานขนมหวานแล้ว ก็อย่าลืมไปเดินออกกำลังกาย ใช้น้ำตาลในเส้นเลือดด้วยนะคะ แวะชมสถาปัตยกรรมอาคารต่างๆในเมืองลิสบอน ดูสวยงามไม่แพ้ที่ใหนในยุโรปเลยเชียว 

และเมื่อได้ทานขนมหวานแล้ว ก็อย่าลืมไปเดินออกกำลังกาย ใช้น้ำตาลในเส้นเลือดด้วยนะคะ แวะชมสถาปัตยกรรมอาคารต่างๆ หรือไปเดินรับลมทะเลเย็นๆ เช็คอินถ่ายรูปก็สวยงามไม่แพ้กัน 


สำหรับบทความรีวิวนั่งรถไฟจากสเปน มาเที่ยวตามหาร้านขนมฝอยทอง ในเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกสในบทความนี้ ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาคลิ๊กสไลด์เลื่อนอ่านดูกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในบทความถัดไปค่ะ....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------



แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น