![]() |
| แบ่งปันทริปแบกเป้คนเดียวนั่งไปเที่ยวโปรตุเกส ตามหาขนมฝอยทองของ แม่ทองมา ที่เมืองลิสบอน นั่งรถไฟจากเมือง Madrid ไป Lisbon ด้วยตัวเองมาให้ได้อ่านกันจ้่า |
เพราะตั้งแต่ละครไทยเรื่อง บุปเพสันนิวาส ได้ออกอากาศและมีการรีรันให้ดูอยู่เรื่อยๆ ก็ทำให้ขนมไทยได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะตัวละครอย่าง นางทองม้า หรือที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น ท้าวทองกีบม้า สาวชาวโปรตุเกสที่อพยพถิ่นฐานมาอยู่เมืองไทย หรือว่ามาอยู่อาณาจักรอยุธยา ตั้ังแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ได้นำเอาวิถีชีวิตและสูตรขนมมาด้วย โดยเฉพาะขนมตระกูลทองทั้งหลายแหล่ะ ไม่ว่าจะเป็น ขนมฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด และขนมอื่นๆ ที่ได้กลายเป็นขนมของไทยไปด้วย แต่ต้นกำเนิดที่แท้จริงนั้น มาจากประเทศโปรตุเกสนี้เอง
| แบกเป้ลุยเดี่ยวทริปนี้เดินทางมาเที่ยวเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส |
เดี๊ยนเลยอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้เป็น Guideline หรือเป็น้แนวทางให้ได้ดูกัน เผื่อเพื่อนๆคนใหนที่กำลังวางแผนจะเดินทางแบกเป้ไปเที่ยวยุโรปคนเดียว และปักหมุดจะไปสิ้นสุดปลายทางที่ประเทศโปรตุเกส หนึ่งในประเทศที่หลายๆคนมาเที่ยวสเปน ก็มักจะพ่วงประเทศโปรตุเกสไปด้วยเพราะอยู่ติดๆกัน โดยปักหมุดจะนั่งรถไฟจากเมืองแมดริด (Madrid) ประเทศสเปน ไปที่เมืองลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส ว่าเดินทางไปอย่างไร
เอาล่ะค่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า เลยขอมาคุณผุ้อ่านไปตามร้านขนมฝอยทอง ที่ประเทศโปรตุเกสกันเลย
![]() |
| สำหรับการเดินทางทริปนี้ ตามแผนคือ นั่งรถไฟจากเมืองแมดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน ไปเมืองลิสบอน เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส ระยะทางรวมกว่า 620 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 วันเต็มค่ะ |
แผนการเดินทางทริปนี้ นั่งรถไฟจากเมืองแมดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน ไปเมืองลิสบอน เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกส ระยะทางรวมกว่า 620 กิโลเมตร
จากแผนที่ตามรูปคือ จะต้องนั่งรถไฟจาก Madrid ไปลงที่เมือง Badajoz เมืองพรมแดนติดกับประเทศโปรตุเกส จากนั้นก็นั่งรถไฟจาก Badajoz ไปทีลงที่สถานี Entrocamento เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถไฟนั่งไปลงที่เมืองสถานีรถไฟ ลิสบอน ซานต้า อะโพโลเนีย (Lisbon Santa Apolónia) ใช้เวลาเดินทางกว่า 8 ชั่วโมงค่ะ
เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมในเมืองแมดริด ประเทศสเปน แต่เช้าตรู่เลยค่ะ เดินเท้ามาที่สถานีรถไฟ Madrid atocha train station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟศูนย์กลางของเมืองหลวงแห่งนี้
มาถึงก็ติดต่อซื้อตั๋วรถโดยสารกับเจ้าหน้าที่ก่อนเลยค่ะ
| ดยเที่ยวรถไฟที่นั่งไป Badajoz เป็นรถไฟภายในประเทศค่ะ เดี๊ยนเลือกใช้บัตร Eurail Pass แจ้งกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว ราคาตั๋วจะถูกลงไปอีก |
ในตั๋วโดยสารจะระบุหมายเลขที่นั่ง ตู้ขบวนของรถไฟมาให้ ชัดเจนและถ้าใครจะนั่งรถไฟทางไกล ควรจองรถไฟแต่เนิ่นๆก็ดีนะคะ เพราะช่วงเทศกาลวันหยุดคนจะเยอะมากๆ
วันที่ไปเที่ยว รีบมากไปหน่อย เดี๊ยนเลยลืมถ่ายรูปตั๋วโดยสารจากเมือง Madrid ไปเมือง Badajoz มาให้คุณผู้อ่านได้ดูค่ะ ขออภัยจริงๆนะคะ
เมื่อได้ตั๋วรถไฟโดยสารมาแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จะบอกให้ไปดูป้ายชลาเองที่ป้ายจอมินิเตอร์ด้านในสถานีค่ะ มีภาษาอังกฤษแสดงให้ดูด้วย ถ้าไม่เข้าใจ แนะนำสอบถามเจ้าหน้าทีได้เลยค่ะ
| โดยขบวนรถไฟที่นั่งไป Badajoz นี้ จะเป็นรถไฟแบบธรรมดานะคะ ไม่ได้เป็นรถไฟความเร็วสูง |
โดยขบวนรถไฟที่นั่งไป Badajoz นี้ จะเป็นรถไฟแบบธรรมดานะคะ ไม่ได้เป็นรถไฟความเร็วสูง เหมือนรถไฟที่นั่งจาก Barcelona มาที่ Madrid แต่ข้อดีคือ ราคาไม่แพง ข้อเสียก็มี เพราะจอดเกือบทุกสถานี และค่อนช้า ไม่ได้เร็วเหมือนรถไฟความเร็วสูง
| ยถ่ายรูปเสบียงอาหารง่ายๆที่ทำทานเอง เอาไปแช่ไว้ที่ห้องครัวของโรงแรมและพกมาทานด้วย จะได้ทานเป็นมื้อเช้าไปแก้หิวระหว่างเดินทาง |
ขึ้นรถไฟมาผู้โดยสารนั่งกันเต็มเลยค่ะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะติดหน้าคน ก็เลยถ่ายรูปเสบียงอาหารง่ายๆที่ทำทานเอง เอาไปแช่ไว้ที่ห้องครัวของโรงแรมและพกมาทานด้วย จะได้ทานเป็นมื้อเช้าไปแก้หิวระหว่างเดินทาง แนะนำหากเพื่อนๆคนใหนที่เดินทางไกล พกขนมปังหรือแซนวิชมาด้วยก็ดีค่ะ
| นั่งรถไฟมาได้สักพัก ผู้โดยสารเริ่มลดลงแล้วค่ะ |
| กระเป๋าเป้ของเดี๊ยนก็วางไว้ตรงทางเดินริมประตูรถไฟเลยค่ะ วัดดวงเอาว่าจะมีใครยกไปใหม๊ ถ้ายกไปไหว ก็ยกไปเลยจ้า |
| ถึงเมือง Badajoz |
ใช้เวลานั่งรถไฟ 4 ชั่วโมง จากเมือง Madrid ในที่สุดก็ถึงสถานีรถไฟเมือง Badajoz (บาดาโฮส) เวลา 13.00 น.ค่ะ
| ถึงสถานีรถไฟ Badajoz แล้ว เห็นป้ายแล้วให้อ่านว่า บาดาโฮสนะคะ ตอนแรกออกเสียงเป็นบาดาโจ คนที่นี่ไม่เข้าใจ |
ถึงสถานีรถไฟ Badajoz แล้ว เห็นป้ายแล้วให้อ่านว่า บาดาโฮสนะคะ ตอนแรกออกเสียงเป็นบาดาโจ คนที่นี่ไม่เข้าใจ เลยถามเขาว่าออกเสียงอย่างไร กลายเป็นว่าเป็น บาดาโฮสไป
| แดดร้อนมากๆ เลยมาหลบร่มด้านในสถานี และรอดูจอมิเตอร์ด้วยว่า รถไฟที่จะไปโปรตุเกสจอดที่ชานชลาใหน |
ส่วนอากาศร้อนมากๆ ร้อนจนคิดถึงเมืองไทย แบบว่าขอฟ้า ขอฝนเลยจ้า เลยมานั่งรับแอร์เย็นๆด้านใน และต้องมาดูป้ายจอมอนิเตอร์อีกครั้ง ว่ารถไฟที่ออกจากเมือง Badajoz ไป Entroncamento ต้องไปขึ้นทีชา่นชลาใหน อันนี้สำคัญค่ะ
| ในช่วงที่รอรถไฟ เดี๊ยนเลยเดินแบกเป้ออกไปร้านซุปเปอร์มาเก็ต ที่อยู่ตรงข้ามสถานีไฟเพื่อไปซื้อน้ำดื่มมา ราคาถูกกว่าด้านในสถานีมากค่ะ ตกขวดละ 1.5 ยูโร |
ระหว่างที่รอหมายเลขชานชลาขึ้น เดี๊ยนเลยเดินแบกเป้ออกไปร้านซุปเปอร์มาเก็ต ที่อยู่ตรงข้ามสถานีไฟเพื่อไปซื้อน้ำดื่มมา เพราะสู้ราคาน้ำดื่มในสถานีรถไฟไมไม่ไหวแพงเกินไป ถ้าใครมาเที่ยวอยากประหยัดนะคะ แนะนำสังเกตุว่ามีร้านสะดวกซื้อด้านนอกสถานีรถไฟไหม เพราะราคาน้ำดื่มถูกกว่าเยอะ โดยน้ำดื่มที่นี่จะเป็น น้ำแร่เลยนะคะ
ด้านในสถานีรถไฟ ขายอยู่ที่่ 3.5 ยูโร แต่ร้านค้าด้านนอกที่เดี๊ยนไปซื้อมาราคา 1.5 ยูโร ถูกกว่ากันครึ่งนึงเลยล่ะ
หากเพื่อนๆคนใหนมาเที่ยวช่วงฤดูร้อนแบบเดี๊ยน ก็ซื้อน้ำดื่มจากซุปเปอร์มาเก็ตมาใส่กระเป๋าเป้ไว้ด้วยก็ดีนะคะ ประหยัดตังกว่าซื้อในสถานีรถไฟ
| สำหรับรถไฟที่จะเดินทางไปประเทศโปรตุเกสนี้ ป้า่ยชานชลาอยู่หมายเลข 5 (Platform Number 5) |
เป็นรถไฟขบวนสีเขึยวตามรูปเลยค่ะ จอดรอรับผู้โดยสารไปสุดป้ายทางที่เมือง Entroncamento
| บางครั้งหมายเลขชานชลาด้านในสถานีไม่แสดงนะคะ แนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่ คุยภาษาอังกฤษหรือโปรตุเกสไม่ได้ ก็ใช้ google translate ช่วยด้วย จนเจ้าหน้าที่บอกว่า ชานชลาอยู่ที่หมายเลข 5 |
| ส่่วนเดี๊ยนใช้บัตร Eurail Pass แสดงกับเจ้าหน้าที่ เลยนั่งฟรี ไม่ต้องจ่ายเงินค่ะ เลยไม่ทราบว่า ราคาตั๋วเท่าไหร่ เผื่อเพื่อนๆคนใหนที่จะนั่งรถไฟไม่ได้ใช้บัตร Eurial Pass ก็สามารถมาซื้อตั๋วบนรถไฟได้เลยนะคะ ราคาน่าจะไม่แพงมากนัก |
ส่วนตั๋วโดยสารหากใครที่ไม่ได้ใช้ บัตร Eurail Pass ก็สามารถซื้อตั๋วบนขบวนรถไฟได้เลย จะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บตังบนรถไฟ สามารถจ่ายผ่า่นบัตรเครดิตหรือ เดบิตได้ด้วย ส่่วนเดี๊ยนใช้บัตร Eurail Pass แสดงกับเจ้าหน้าที่ เลยนั่งฟรี ไม่ต้องจ่ายเงินค่ะ อันนี้เลยไม่ทราบว่า ราคาตั๋วเท่าไหร่
ระหว่างทางก็นั่งรถไฟชมวิวบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามทีเดียวค่ะ
| ผ่านปราสาทเก่าแก่โบราณริมแม่น้ำ ไม่รู้ว่าชื่อปราสาทอะไร ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนเชิงเขา |
นั่งรถไฟผ่านปราสาทเก่าแก่โบราณริมแม่น้ำ ไม่รู้ว่าชื่อปราสาทอะไร ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนเชิงเขา รายล้อมไปด้วยป่ามากมาย
ผ่านเทือกสวนไร่นาของชาวบ้าน แต่ที่เห็นเด่นชัด คนที่นี่ก็ทำไร่มะกอกกันเยอะเหมือนกัน
| นั่งรถไฟประมาณ 2 กว่าๆ ก็ถึงสถานีรถไฟ Entroncamento แล้วค่ะ |
ใช้เวลาเดินทางนั่งรถไฟประมาณ 2 กว่าๆ ก็ถึงสถานีรถไฟ Entroncamento แล้วค่ะ
| เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ Entroncamento ก็ต้องเดินแบกเป้ข้ามสะพานลอยไปจองตั๋วตรงไฟตรงอาคารสถานีหลังคาสีแดงๆตามรูปเลยค่ะ |
ตอนมาถึงเดี๊ยนถามเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลรถไฟบอกว่า ต้องไปซื้อตั๋วที่เคาว์เตอร์เท่านั้นนะคะ และไม่มีระบบจองทางออนไลน์ค่ะ
| การจองตั๋วรถไฟก็ต้องไปกดบัตรคิว แต่การสื่อสารของเจ้าหน้าที่ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แนะนำใช้ Google translate ช่วยเลยจ้า |
| จองตั๋วรถไฟจากเมือง Entroncamento ไปที่สถานี Lisbon Apolonia Staion ค่าตั๋วรถไฟอยู่ที่ 5 ยูโรค่ะ |
| จะเดินทางไป Lisbon ชานชลาอยู่หมายเลข 5 |
เมื่อได้ทำการซื้อตั๋วรถไฟมาแล้วนะคะ ก็มาดูหมายเลขชานชลาที่จะเดินทางไป Lisbon อยู่ที่หมายเลข 5 ค่ะ รอบเวลา 16.59 น.
มารอขึ้นรถไฟรอบเวลา 16.59 น. แต่วันที่ไปเที่ยว รถไฟล่าช้าไปประมาณ 15 นาทีเลยค่ะ
| ต้องปรับตัวให้ได้ว่าจะต้องไปขึ้นที่ตู้ขบวนหมายเลขโบกี้อะไร และต้องนั่งให้ถูกที่นั่งด้วย อีกทั้งยังต้องลุ้นด้วยว่า บริเวณที่นั่งเหนือศรีษะนั้นมีที่วางกระเป๋าว่างหรือไม่ |
เวลาขึ้นรถไฟทีไร ตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะรถไฟแต่ะประเทศ และแต่ละขบวนไม่เหมือนกันค่ะ ต้องปรับตัวให้ได้ว่าจะต้องไปขึ้นที่หมายเลขโบกี้อะไร และต้องนั่งให้ถูกที่นั่งด้วย อีกทั้งยังต้องลุ้นด้วยว่า บริเวณที่นั่งเหนือศรีษะนั้นมีที่วางกระเป๋าว่างหรือไม่
พอมาถึงก็แบกเป้ลงจากรถไฟ มาตัั้งหลักที่สถานีสักพัก เพื่อเปิด GPS ว่าพอถึงสถานีรถไฟแล้ว จะเดินทางไปโรงแรมที่พักอย่างไร
| จากภาพเป็นสถานีรถไฟ Lisboa Orinte เป็นสถานีใหญ่อีกแห่ง อยู่ไม่ไกลจากสนามบินเมืองลิสบอน |
นั่งรถไฟออกจากเมือง Entroncamento ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆก็มาถึงเมือง Lisbon เมืองหลวงของประเทศโปรตุเกสแล้วค่ะ จากภาพเป็นสถานีรถไฟ Lisboa Orinte เป็นสถานีใหญ่อีกแห่ง อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน
| ทริปนี้ใช้เวลานั่งรถไฟกว่า 8 ชั่วโมงเลยค่ะ เรียกว่านานพอสมควรทีเดียว ถึงสถานีรถไฟ Lisbon Santa Apolonia |
ส่วนการเดินทางของเดี๊ยนทริปนี้ นั่งรถไฟ 2 ต่อเลยค่ะ กว่าจะเดินทางมาถึงสถานีรถไฟ Lisbon Santa Apolonia ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง และเป็นสถานีรถไฟเก่าแก่ที่อยู่ใกล้ย่านท่องเที่ยวที่สุดเแล้ว ทริปนี้ใช้เวลานั่งรถไฟกว่า 8 ชั่วโมงเลยค่ะ เรียกว่านานพอสมควรทีเดียว
เดี๊ยนเลยต้องมาศึกษาเส้นทางการนั่งรถไฟใต้ดินของเมืองลิสบอน เพื่อเดินทางไปยังโรงแรมค่ะ |
ดูแผนที่รถไฟในสถานีว่า สถานีใหนอยู่ใกล้โรงแรมที่สุดก่อน
เมื่อทำการศึกษาดูเส้นทางรถไฟใต้ดินของเมืองลิสบอนแล้ว ก็มาต่อคิวรอซื้อตั๋วรถไฟจากเครื่องขายบัตรอัติโนมัติค่ะ
| เข้าคิวรอซื้อบัตรโดยสารรถไฟ Metro ในเมืองลิสบอน |
จากนั้นก็จะให้เราเลือกจำนวนบัตร ว่ากี่คน หนึ่งบัตรต่อ 1 คนค่ะ
โดยราคาบัตรเริ่มต้น 1.65 ยูโร เป็นตั๋วเที่ยวเดียว เดินทางด้วย Metro หรือ Bus ไปได้ทุกสถานีเลยค่ะ
แต่ถ้าใครอยากได้คุ้มกว่านั้นก็เลือก 6.6 ยูโร เดินทางด้วย Metro และ Bus ได้ 24 ชั่วโมง
พอเลือกบัตรที่ต้องการก็กดชำระเงินด้วยบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต Travel Card ได้ค่ะ สำหรับใครที่่จะซื้อบัตรโดยสารผ่านเครื่องขายบัตร จะต้องเสียค่ากระดาษบัตรเหลือตามรูปอีกนะคะ น่าจะประมาณ 20 เซนต์ค่ะ
| ใครที่ใช้บัตร Visa ก็ใช้บัตรแตะที่ประตูผ่านเข้าสถานีได้เลยค่ะ อันนี้สะดวกกว่าเยอะมากๆ เพราะไม่ต้องไปเสียค่าธรรมเนียมบัตรเหลือง |
แต่ถ้าให้ดีนะคะ ใครที่ใช้บัตรเดบิต Visa ก็ใช้บัตรแตะที่ประตูผ่านเข้าสถานีได้เลยค่ะ อันนี้สะดวกกว่ามากๆ เพราะไม่ต้องไปเสียค่าธรรมเนียมบัตรเหลืองจากเครื่องขายบัตรแต่อย่างใด
เดี๊ยนเดินทางนั่งรถไฟจากสถานี Santa Apolonia มาลงที่สถานี Rossio ค่ะ ซึ่งโรงแรมอยู่ในโซนนี้ ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยว
| นอกจากอาคารบ้านเรือนเก่าแก่หลายร้อยปี คงเป็นรถรางที่ใครมาก็ต้องไปนั่งกันสักครั้ง เพราะรถรางคันเล็กๆ ดูน่ารักมาก |
เสน่ห์ของเมืองลิสบอนอีกอย่าง นอกจากอาคารบ้านเรือนเก่าแก่หลายร้อยปี คงเป็นรถรางที่ใครมาก็ต้องไปนั่งกันสักครั้ง เพราะรถรางคันเล็กๆ ดูน่ารักมากค่ะ
ออกจากสถานีรถไฟใต้ดินมา ก็มาตั้งหลักเปิด GPS ในมือถือเพื่อเดินทางไปยังโรงแรมอีกค่ะ
| โรงแรมที่จองไว้คือ โรงแรม This is Lisbon Hostel ตามป้ายสีเขียวที่ติดไว้เลยจ้า เป็นโรงแรมเล็กๆแนวโฮสเทลค่ะ เดินขึ้นมาเหนื่อยทีเดียว |
ภายในที่พักเล็กๆ มีห้องครัวให้ทำอาหาร ทำกับข้าวทานได้ ที่พักไม่ใหญ่มาก และไม่วุ่นวายด้วย
มีระเบียงของที่พักออกไปนั่งชมวิวเมืองได้สวยงามมากๆค่ะ แต่ลมก็แรงมากๆเช่นกัน ใครมาเที่ยวต้องสู้ลมทะเลของเมืองลิสบอนหน่อยนะคะ
ภายในโรงแรม This is Lison Hostel มีห้องครัวให้ทำอาหารทานด้วย ชอบตรงนี้แหละค่ะ เพราะว่าทำกับข้าวทานได้สะดวกดี อีกอย่างร้านซุปเปอร์มาเก็ต ก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักด้วย
| ห้องนอนก็เป็นห้องเล็กๆ ภายในห้องเป็นเตียงแบบ Bunk Bed หรือเตียงแบบหอพัก |
ส่วนห้องนอนก็เป็นห้องเล็กๆ ภายในห้องเป็นเตียงแบบ Bunk Bed หรือเตียงแบบหอพัก ห้องนอนรวมกัน ห้องน้ำแยกชาย แยกหญิงชัดเจนค่ะ โดยรวมถือว่าดีทีเดียวนะคะ ไม่วุ่นวายเกินไป
อรุณเบิกฟ้าเช้าวันใหม่ ออกมานั่งรับลมเย็นๆตอนเช้า และลมแรงมาก ใครที่ตัวเบา อาจปลิวได้นะคะ
| อาหารเช้าที่โรงแรม This is Lisbon Hostel |
โดยราคาอาหารเช้าของโรงแรมอยู่ที่ 3 ยูโร สั่งไข่ 1 ชุด มาทานกับขนามปัง และซีเรียลได้ โดยขนมปังกับซีเรียลตักทานได้ไม่อั้นเลยค่ะ
| ไม่ค่อยมีแขกที่เข้าพัก ออกมานั่งทานที่ชานระเบียงกัน เพราะลมแรงมากๆ มีแต่เดี๊ยนกระมังที่เป็นคนบ้ามานั่งทานริมระเบียงตอนเช้า |
ซึ่งช่วงเช้าไม่ค่อยมีแขกที่เข้าพัก ออกมานั่งทานที่ชานระเบียงกัน เพราะลมแรงมากๆ มีแต่เดี๊ยนกระมังที่เป็นคนบ้ามานั่งทานริมระเบียงตอนเช้า
ทานอาหารเสร็จก็วางแผนไปตามหาร้านขายขนมฝอยทองกันค่ะ เหตุเพราะตามรอยมาจากละครเรื่องบุฟเพสันนิวาศ ที่แม้จะจบไปนานแล้ว แต่ก็ยังเอารีรันให้ชมทางทีวีอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะตัวละครที่มีชื่อว่าแม่ทองมา หรือว่าท้าวทองกีบม้า สาวชาวโปรตุเกสที่เอาสูตรขนมมาเผยแพร่ในประเทศไทย หรือสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว
| ร้านที่ทำขนมฝอยทองในเมืองลิสบอนนั้น มีอยู่ไม่กี่ร้านที่นำเมนูของหวานนี้มาขายให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง ซึ่งร้านที่โด่งดังในเมือง Lisbon และค้นหาเจอใน Google คงเป็นร้าน Casa dos Ovos Moles em Lisboa |
| เมนูขนมฝอยทองในร้านเบเกอรี่ในเมืองลิสบอน โปรตุเกส ร้าน Casa dos Ovos Moles em Lisboa |
ราคาขนมฝอยทองที่ร้าน Casa dos Ovos Moles ตกชิ้นละ 3.20 ยูโรค่ะ
| สาระน่ารู้เกี่ยวกับขนมฝอยทอง (ขนมที่ถิ่นกำเนิดจากเมืองเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส ) |
สาระน่ารู้เกี่ยวกับขนมฝอยทอง (ขนมที่ถิ่นกำเนิดจากเมืองเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส )
สำหรับเมนูขนมฝอยทอง เป็นขนมที่มีกำเนิดจากเมืองอาไวรู (Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส โดยภาษาโปรตุเกสคือ fios de ovos อ่านว่า ฟียุชดึโอวุช หมายถึงเส้นด้ายที่ทำจากไข่ ลักษณะเป็นเส้นฝอยสีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด แล้วนำเคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก
| ฝอยทองของโปรตุเกสนั้นแพร่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมารีอา กียูมาร์ ดึ ปีญา (ท้าวทองกีบม้า, พ.ศ. 2202-2265) |
ส่วนฝอยทองของโปรตุเกสนั้นแพร่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อยู่ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยมารีอา กียูมาร์ ดึ ปีญา (ท้าวทองกีบม้า, พ.ศ. 2202-2265) เป็นลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น โดยท้าวทองกีบม้าเป็นภรรยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน)
โดยหน้าที่หลักของท้าวทองกีบม้าเป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้น เป็นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้นด้วย และจากเมนูขนมหวานที่เคยอยู่ในรั้งในวัง ก็ถูกเผยแพร่ออกสู่นอกวัง และชาวสยามเองก็ปรับแต่งสูตรให้เข้ากับวิถีชีวิตผู้คน โดยใช้น้ำลอยดอกมะลิเคี้ยวกับน้ำตาล ที่ให้ความหอมและรสชาติอร่อย เป็นขนมมงคลที่ขาดไม่ได้เลยในงานต่างๆ (เครดิตข้อมูลดีๆจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Fios_de_ovos)
มาถึงเดี๊ยนเลยสั่งขนมฝอยทองที่ทำเป็นหน้าทองหยิบ มาลิ้มลองทานดูค่ะ
| ขนมที่นี่จะนิยมทานกับขนมเค้ก หรือว่าเครื่องดื่มร้อนต่างๆค่ะ เดี๊ยนเลยสั่งโก้โก้มาทานคู่กันค่ะ ถือว่าเป็นอาหารว่าง |
โดยราคาต่อชิ้นอยู่ที่ 3.20 ยูโรค่ะ หรือชิ้นละ 121 บาทค่ะ
ส่วนโก้โก้ หรือช็อกโกแลต ก็เข้มข้นมากๆ ไม่หวานด้วย รสชาติขมถูกใจเดี๊ยนมาก สั่งทางร้านไม่เอาหวาน
นอกจากนี้ยังมีเมนูขนมหวานอื่นๆ ซึ่งเป็นเมนูขนมโบราณเก่าแก่เหมือนกันค่ะ
สำหรับเพื่อนๆคนใหน ที่ปักหมุดวางแผนมาเที่ยวลิสบอน และอยากลิ้มลองทานขนมฝอยทอง ว่ารสชาติเหมือนกับขนมฝอยทองในเมืองไทยเราไหม ก็ลองปักหมุดมาทานที่ร้าน Casa dos Ovos Moles em Lisboa ดูได้นะคะ
| เดินทางไปตามหาของหวานอร่อยๆกันต่อค่ะ ทริปนี้เบาหวานกินแน่ๆ |
นอกจากขนมฝอยทอง หรือขนมฟิยุชดึโอวุชแล้ว ( fios de ovos) ยังมีขนมหวานทีมีชื่อเสียงที่สุดของโปรตุเกสนั้นก็คือ ขนมทาร์ตไข่ค่ะ โดยที่โปรตุเกส ก็ยังเป็นต้นตำรับของขนมทาร์ตไข่ด้วย ทริปนี้เลยเดินทางไปลิ้มลองทาน ขนมทาร์ตไข่เจ้าแรกของโลกด้วยค่ะ
นั่งรถไฟจากเมืองลิสบอนมาประมาณ 10 นาที มาลงที่เมือง Belem ค่ะ
| เดินทางมาลิ้มลองทานขนมทาร์ตไข่เจ้าแรกของโลก ที่ร้าน Pastéis de Belém |
เดินทางเมืองเบเลม (Belem) นอกจากไปดูอารามวิหารเก่าแก่ Jerónimos Monastery ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของยุโรปแล้ว ใกล้ๆก็เป็นร้านขนมทาร์ตไข่เจ้าแรกของโลกด้วย
จากรูปที่มีคนยืนรอต่อคิวกันเยอะๆ คือร้านขนม Pastéis de Belém เป็นร้านขายขนมทาร์ตไข่โปรตุเกส ซึ่งเป็นเจ้าแรกของโลก ก่อนถูกเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก
เนื่องจากร้านขนมคิวรอเยอะมากๆเกินไป รอไม่ไหวค่ะ ก็เลยไปเที่ยวชม วิหารเก่าแก่ Jerónimos Monastery ก่อนค่ะ
แต่ถ้าซื้อไม่ถึง หรือจะซื้อแค่ 1 ชิ้นทางร้านก็ขายนะคะ
ราคา 6 ชิ้น 7.8 ยูโร
แต่ถ้าซื้อ 50 ชิ้น 65 ยูโร
นอกจากนี้ยังมีเมนูขนมหวานอื่นๆอีกด้วย
เห็นลูกค้ายืนรอซื้อขนมไปทานกันเยอะเชียวค่ะ
ส่วนขนมทาร์ตไข่ รสชาติหวานอร่อยค่ะ ไม่หวานเกินไป แป้งมีความร่วน ไม่เหนียวหรือแข็งกระด้าง ถือว่าให้ผ่านค่ะ
นั่งรถเมลกลับเข้าไปในเมืองลิสบอนต่อค่ะ
หากใครที่เดินทางมาเที่ยวเมืองลิสบอน จะเห็นขนมทาร์ตไข่ วางขายอยู่ทั่วเมือง เรียกว่าหาซื้อทานได้ ส่วนรสชาติก็แตกต่างกันออกไป ถ้าร้านดังๆอย่างที่เดี๊ยนไปทานที่เมืองเบเลม คนก็เยอะหน่อย เพื่อนคนใหนที่แบกเป้มาเที่ยวโปรตุเกสครั้งแรก ก็ไม่พลาดลิ้มลองทานกันดูนะคะ
| ทานขนมหวานแล้ว ก็อย่าลืมไปเดินออกกำลังกาย ใช้น้ำตาลในเส้นเลือดด้วยนะคะ แวะชมสถาปัตยกรรมอาคารต่างๆในเมืองลิสบอน ดูสวยงามไม่แพ้ที่ใหนในยุโรปเลยเชียว |
และเมื่อได้ทานขนมหวานแล้ว ก็อย่าลืมไปเดินออกกำลังกาย ใช้น้ำตาลในเส้นเลือดด้วยนะคะ แวะชมสถาปัตยกรรมอาคารต่างๆ หรือไปเดินรับลมทะเลเย็นๆ เช็คอินถ่ายรูปก็สวยงามไม่แพ้กัน
สำหรับบทความรีวิวนั่งรถไฟจากสเปน มาเที่ยวตามหาร้านขนมฝอยทอง ในเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกสในบทความนี้ ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาคลิ๊กสไลด์เลื่อนอ่านดูกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในบทความถัดไปค่ะ....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------










































0 ความคิดเห็น