แบ่งปันทริปสั้นๆ รีวิวเดินทางแบกเป้ไปเที่ยวเมืองบาธ เพื่อไปชมโรงอาบน้ำแร่โรมันเก่าแก่ นำสาระดีๆเล็กๆน้อยมาให้ได้อ่านกันจ้า |
และใหนก็เดินทางมาเที่ยวถึงเมืองผู้ดีอังกฤษทัั้งที บทความในวันนี้ขอจัดทริปสั้นๆมาแบ่งปันการเดินทางไปเที่ยวเมืองบาธ มาให้เพื่อนได้สไลด์อ่านดูกัน และก่อนที่จะเข้าสู่บทความรีวิวท่องเที่ยว เราก็มารู้จักประวัติเป็นมาเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเมืองบาธกันสักเล็กน้อยพอสังเขปค่ะ
สาระเล็กๆน้อยเกี่ยวกับเมืองบาธ ประเทศอังกฤษ |
เรื่องน่ารู้พอสังเปขเกี่ยวกับเมืองบาธ, ประเทศอังกฤษ (Bath City, United Kingdom)
เมืองบาธ (อังกฤษ: Bath) จัดเป็นเมืองที่มีฐานะอีกแห่ง ตั้งอยู่นครในมณฑลซัมเมอร์เซต ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ โดยเมืองบาธนั้น มีระยะห่างจากกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษไปทางตะวันตก 156 กิโลเมตร และจากบริสตอลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 21 กิโลเมตรเท่านั้น
บาธได้รับพระราชทานฐานะเป็น “นคร” โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ในปี ค.ศ. 1590 และได้เป็นเทศบาลมณฑลในปี ค.ศ. 1889 |
โดยบาธได้รับพระราชทานฐานะเป็น “นคร” โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ในปี ค.ศ. 1590 และได้เป็นเทศบาลมณฑลในปี ค.ศ. 1889 ที่ทำให้บาธเป็นอิสระจาการบริหารของมณฑลซัมเมอร์เซต อีกทั้งเมืองบาธเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลเอวอนเมื่อเอวอน ได้รับฐานะเป็นมณฑลในปี ค.ศ. 1974 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 เมื่อมณฑลเอวอนถูกยุบบาธก็กลายเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลท้องถิ่นระดับเดียวของบาธและตะวันออกเฉียงเหนือของซัมเมอร์เซต (B&NES) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลภูมิศาสตร์แห่งซัมเมอร์เซต
ในอดีตช่วยที่อาณาจักรโรมันแผ่ขยายมาถึงเกาะอังกฤษนั้น ก็ทำให้ที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของโรมัน ผู้สร้างโรงอาบน้ำโรมัน (Roman Bath) |
จุดที่น่าสนใจที่ทำให้เมืองบาธนั้น มีความโดดเด่น เนื่องจากตัวเมืองบาธตั้งอยู่เนินหลายลูกในหุบเขาของแม่น้ำเอวอนในบริเวณที่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติรายล้อม ในอดีตช่วยที่อาณาจักรโรมันแผ่ขยายมาถึงเกาะอังกฤษนั้น ก็ทำให้ที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของโรมัน ผู้สร้างโรงอาบน้ำโรมัน (Roman Bath) และแอบบีย์ และตั้งชื่อเมืองว่า “Aquae Sulis” เมืองบาธเป็นสถานที่ที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโสทำพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษที่แอบบีย์บาธ ในปี ค.ศ. 973 ต่อมาในยุคจอร์เจีย บาธกลายเป็นเมืองน้ำแร่ที่เป็นที่นิยมกันมากซึ่งทำให้เมืองขยายตัวขึ้นมากและมีสถาปัตยกรรมจอร์เจียนที่โดดเด่ จากสมัยนั้นที่สร้างจากหินบาธที่เป็นหินสีเหลืองนวล เป็นหินที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างมาก
และด้วยประวัติศาสตร์เป็นมาที่เก่าแก่ของเมืองที่ยังถูกอนุรักษ์ไว้ถึงปัจจุบัน ทำให้เมืองบาธได้รับฐานะเป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987 โดยมีโรงละคร, พิพิธภัณฑ์ และสิ่งสำคัญทางวัฒนธรรมและทางการกีฬา ที่ทำให้กลายเป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยมีนักท่องเที่ยวพักค้างคืนหนึ่งล้านคน และนักท่องเที่ยวไปเช้าเย็นกลับ 3.8 ล้านคนต่อปี
เมืองบาธมีมหาวิทยาลัยสองมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยและสถานศึกษาอื่น ๆ |
อีกทั้งเมืองบาธมีมหาวิทยาลัยสองมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยและสถานศึกษาอื่น ๆ แรงงานส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมการบริการและมีความเจริญเติบโตทางด้านข้อมูลและเทคโนโลยีที่สร้างงานให้แก่ผู้อยู่อาศัยในเมืองบาธเองและบริเวณปริมณฑล ทำให้เมืองบาธเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหมู่นักเดินทางที่ต้องการไปสัมผัสน้ำแร่ธรรมชาติที่เมืองนี้กันสักครั้ง
หลังจากที่ได้อ่านสาระน่ารู้เกี่ยวกับเมืองบาธไปบ้างแล้ว เราก็มาสไลด์เลื่อนดูทริปรีวิวสั้นๆไปเที่ยวเมืองบาธกันเลยค่ะ
เริ่มต้นการเดินทางไปเที่ยวเมืองบาธ ทริปนี้นั่งรถไฟออกจากสถานี London Paddington ไปลงที่เมืองบาธ |
เริ่มต้นทริปนี้ นั่งรถไฟออกจากสถานีรถไฟในกรุงลอนดอน มุ่งหน้าไปเมืองบาธ โดยเลือกนั่งรถไฟสายที่ไปสุดปลายทางเมืองบริสตัล
ปักหมุดวางแผนเดินทางออกจากกรุงลอนดอน มุ่งหน้าไปที่เมืองบาธ ระยะทาง 156 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง |
สำหรับใครที่จะเดินทางไปเที่ยวเมืองบาธ หรือเมืองต่างๆที่ไม่ได้อยู่ในเขตปริมณฑลของกรุงลอนดอน แนะนำว่าให้จองตั๋วรถไฟและชำระเงินล่วงหน้าผ่านเว็ปไซต์เลยนะคะ
อีกทั้งช่วงนี้ที่เดี๊ยนเดินทางไปเที่ยว ที่อังกฤษก็มีการหยุดประท้วงของพนักงานรถไฟอยู่บ่อยครั้ง ต้องติดตามข่าวสารให้ดีด้วย ไม่งั้นการเดินทางอาจจะหยุดชะงักได้
ใช้เวลาเดินทางนั่งรถไฟออกจากกรุงลอนดอนไม่นาน ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง สถานี Bath Spa แล้วค่ะ โดยทริปนี้วางแผนเที่ยวเมืองบาธแค่ 2 วัน 1 คืนเท่านั้น
ปักหมุดเดินเท้าแบกเป้ออกจากสถานีรถไฟ เพื่อไปยังโรงแรมที่พักที่จองไว้คืนนี้ โดยตัวโรงแรมห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 1 กิโลเมตร และช่วงที่เดินทางมาถึงก็เป็นเวลา 1 ทุ่มแล้วด้วยค่ะ
เป็นช่วงเย็นโพล้เพล้ อากาศค่อนข้างจะเย็นนิดนึง แต่ยังดีที่เป็นช่วงฤดูร้อน ทำให้ไม่ต้องทนกับความหนาวเหน็บ
สะพาน Pulteney Bridge |
ระหว่างเดินเท้ามาเรื่อยๆก่อนจะถึงที่พัก ก็จะเห็นสะพาน Pulteney Bridge เป็นสะพานเก่าแก่และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นแลนด์มาร์คสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองบาธ(Bath) ได้ชมช่วงยามเย็นด้วย บรรยากาศดูเงียบสงบมากๆ วางกระเป๋าเป้ลง แล้วนั่งพักสักแป๊บค่ะ
เดินเท้าไปเรื่อยๆ จากทางเดินเรียบๆก็จะเริ่มชันเป็นเนินลาดขึ้น ร้านค้าต่างๆก็ปิดลงหมด แต่ยังเห็นผุ้คนในเมืองนั้นสัญจรไปมาไม่ขาดสาย
นอนค้างชั่วคราวที่โรงแรม St Christopher's Inn | Hostel in Bath |
ส่วนโรงแรมที่เดี๊ยนเลือกจองและเข้าพักคืนนี้ ไปนอนค้างชั่วคราวที่โรงแรม St Christopher's Inn | Hostel in Bath เป็นโรงแรมสไตล์โฮสเทล ห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม ราคาไม่แพงมาก น่าจะถูกที่สุดแล้วในเมืองบาธ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสะพาน Pulteney Bridge น่าจะอยู่ในย่านใจกลางเมืองเลยค่ะ
โดยโรงแรมตั้งอยู่ใกล้ๆกับโบสถ์ St Michael's Church และห้างสรรพสินค้า Waitrose & Partners Bath ทำให้หาของกินง่าย ไม่ต้องเดินไกล
ห้องพักนอนรวม ราคาคืนละ 18.88 ปอนด์ต่อคืน หรือประมาณคืนละ 855 บาท |
ในห้องพักไม่มีแอร์นะคะ มีแต่พัดลมให้ 1 ตัว และต้องคอยเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศไว้ตลอด เพราะห้องค่อนข้างเหม็ดอับไปหน่อย โดยเฉพาะกลิ่นถุงเท้า ต้องอดทนดมทุกครั้งเมื่อได้มาพักโรงแรมแนวโฮสเทลห้องนอนรวม ซึ่งต้องนอนกับแขกคนอื่นๆ
โดยห้องพักมีล็อกเกอร์เก็บกระเป๋าไว้ใต้เตียงให้ด้วยค่ะ มีโต๊ะให้นั่งพักอยู่ 1 ตัว และถังขยะ
และยังดีทีมีล็อกเกอร์ไว้เก็บของมีค่าได้
ยังดีที่โรงแรมตั้งอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ทำให้สามารถซื้อของกินราคาไม่แพงมาทานได้ มื้อนี้เลยจัดไปกับสลัดเพนนี่ กับแซนวิชค่ะ
มองไปข้างนอกหน้าต่าง ก็เห็นนกนางนวลตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม ยื่นเกาะผนังกำแพงขอบหน้าต่างอยู่...หมดไปอีก 1 วันค่ะ
ราคาเท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว แต่รวมๆน่าจะ 200 กว่าบาท
ซึ่งร้านคาเฟ่และร้านอาหารต่างๆอยู่ใกล้สะพาน Pulteney Bridge
ซึ่งตรงอาคารที่อยู่ตรงสะพาน ถูกทำให้เป็นร้านค้าและร้านคาเฟ่
เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Avon ใจกลางเมืองบาธ มีเส้นทางเชื่อมต่อกับโซนจอร์เจียนที่พึ่งสร้างใหม่ในเขต Bathwick |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสะพาน Pulteney Bridge ก็ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสะพานเก่าแก่ที่สวยที่สุดอีกแห่งในอังกฤษ โดยเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Avon ใจกลางเมืองบาธ มีเส้นทางเชื่อมต่อกับโซนจอร์เจียนที่พึ่งสร้างใหม่ในเขต Bathwick
โดยสะพานแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1770 และสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ ค.ศ. 1774 สร้างขึ้นสำหรับ William Pulteney ออกแบบโดย Robert Adam ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบปัลลาดีโอ
แม่น้ำ Avon ที่ไหลผ่านสะพาน Pulteney ในเมืองบาธ |
สายชอบถ่ายรูปภาพ ก็ไม่พลาดไปนั่งจิบชาที่ร้านคาเฟ่ตรงสะพาน ซึ่งมีลูกค้า่ไปใช้บริการตลอด เพราะอยากได้บรรยากาศวิวสวยๆ มองออกไปก็จะเห็นแม่น้ำ Avon และวิวเมืองบาธ |
ส่วนใครที่เป็นสายชอบถ่ายรูปภาพ ก็ไม่พลาดไปนั่งจิบชาที่ร้านคาเฟ่ตรงสะพาน ซึ่งมีลูกค้า่ไปใช้บริการตลอด เพราะอยากได้บรรยากาศวิวสวยๆ มองออกไปก็จะเห็นแม่น้ำ Avon และวิวเมืองบาธ
ใครมาเที่ยวเมืองบาธ ตอนเช้าๆ ก่อนจะเช็คเอาท์จากโรงแรม ก็มาเดินออกกำลังกาย ชมวิวสะพาน Pulteney Bridge ได้ค่ะ
มีบริการเรือนำเที่ยวชมทิวทัศน์เมือง ก็ได้เป็นหนึ่งในกิจกรรม ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่มาเป็นครอบครัวหรือคู่รัก
โดยทางเดินริมแม่น้ำ สามารถเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ จะเห็นคนจูงน้องหมา พาน้องแมว มาเที่ยวกันอยู่เนืองๆ เพราะช่วงเช้าอากาศเย็นสบายดีมาก ไม่ร้อนเกินไป
เพื่อนๆคนใหนที่เป็นสายเที่ยวแบบชิลๆ ชมวิวไปเรื่อยเปื่อย มาอังกฤษครั้งแรก นอกจากเที่ยวลอนดอน ก็ลองตะลอนปักหมุดมาเที่ยวเมืองบาธดูกัน
โดยเมืองบาธเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแบบ 1 day trip หรือ 2 วัน 1 คืน มาเที่ยวได้ ก่อนจะปักหมุดไปเที่ยวเมืองอื่นๆต่อค่ะ ซึ่งสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ฤดูที่สวยงามและ Peak Season ที่สุด คงเป็นฤดูร้อน เพราะดูมีสีสันมากๆ
หลังจากที่ไปเดินชมสะพานเก่าแก่ที่สวยที่สุดไปแล้ว จากนั้นเดี๊ยนก็เช็คเอาท์ออกจากที่พัก แบกเป้เดินทางมาร้านฝากกระเป๋าใกล้ๆกับสถานีรถไฟ
เผื่อว่าใครที่ไม่อยากต่อคิวรอทานคาเฟ่ ก็มีร้านคาเฟ่ด้านล่าง บรรยากาศสวยงามไม่แพ้กัน อีกอย่างไม่ต้องรอคิวนานด้วย
เดินลงมาเป็นสวนสาธารณะ มีจุดเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อน หาของกินมารับประทานได้ แต่ห้ามให้อาหารนก
ก่อนจะเช็คเอาท์จากโรงแรม ก็มาเดินออกกำลังกาย ชมวิวสะพาน Pulteney Bridge ได้ค่ะ |
บรรยากาศวิวทิวทัศน์เมืองบาธ บริเวณทางเดิน Riverside Walk Avon สะพาน Pulteney Bridge |
บรรยากาศวิวทิวทัศน์เมืองบาธ บริเวณทางเดิน Riverside Walk Avon สะพาน Pulteney Bridge |
เพื่อนๆคนใหนที่เป็นสายเที่ยวแบบชิลๆ ชมวิวไปเรื่อยเปื่อย มาอังกฤษครั้งแรก นอกจากเที่ยวลอนดอน ก็ลองตะลอนปักหมุดมาเที่ยวเมืองบาธดูกัน
โดยเมืองบาธเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแบบ 1 day trip หรือ 2 วัน 1 คืน มาเที่ยวได้ ก่อนจะปักหมุดไปเที่ยวเมืองอื่นๆต่อค่ะ ซึ่งสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ฤดูที่สวยงามและ Peak Season ที่สุด คงเป็นฤดูร้อน เพราะดูมีสีสันมากๆ
แต่ค่าครองชีพเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ ก็สูงมากๆเช่นกันค่ะ
จากนั้นเดี๊ยนก็เช็คเอาท์ออกจากที่พัก แบกเป้เดินทางมาร้านฝากกระเป๋าใกล้ๆกับสถานีรถไฟ |
หากเพื่อนๆคนใหน ที่เดินทางมาเที่ยวและอยากหาร้านฝากกระเป๋าใกล้สถานีรถไฟ มีร้านฝากกระเป๋าอยู่ 2-3 ร้านให้เลือกเเลยค่ะ
ค่าฝากกระเป๋าที่นี่ ราคาสูงมากๆ ตกชิ้นละ 5.5 ปอนด์/วัน สำหรับใบใหญ่ |
สำหรับใครที่ไม่อยากเสียเงิน แนะนำไว้ให้ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมและยอมเดินกลับไปเอาดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเงินเยอะ ส่วนเดี๊ยนไม่ทันแล้วค่ะ ที่จะเดินแบกไปโรงแรม เพราะจะเสียเวลา เพราะถ้าฝากที่โรงแรมอาจจะไม่ต้องเสียเงิน หรือเสียเงินน้อยกว่า 4.5 ปอนด์ แน่นอน
ออกมาในย่านถนนคนเดิน Shopping Street ในเมืองบาธ |
อย่างเช่นภาพที่เห็นนี้ เป็นมหาวิหารบาธ Bath Abbey ซึ่งเป็นมหาวิหารใจกลางเมืองขนาดใหญ่ เป็นแลนด์มาค์สำคัญอีกแห่งของเมืองนี้
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและดึงดูดมาเมืองนี้คือ Roman Bath |
โรงอาบน้ำโรมัน อยู่ใกล้มหาวิหารบาธ และย่านช็อปปิ้ง มาถึงต้องต่อคิวเข้าแถว เพื่อรอซื้อบัตรด้านในค่ะ มีนักท่องเที่ยวมากันเยอะมาก
แนะนำเลยว่า ใครที่จะมาเที่ยวช่วง Peak Season ในฤดูร้อน ควรจองตั๋วเข้าโรงอาบน้ำโรมันตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะถ้ามาช่วงวันหยุด คนจะเยอะมากๆ
เจ้าหน้าที่ก็จะมีเครื่องช่วยฟังข้อมูลตามจุดต่างๆ แต่โชคดีที่ทางพิพิธภัณฑ์โรงอาบน้ำโรมัน มีแผ่นข้อมูลภาษาไทยให้ด้วย |
พอได้ตั๋วแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะมีเครื่องช่วยฟังข้อมูลตามจุดต่างๆ แต่โชคดีที่ทางพิพิธภัณฑ์โรงอาบน้ำโรมัน มีแผ่นข้อมูลภาษาไทยให้ด้วย เนื่องจากฟังภาษาอังกฤษพวกภาษาทางโบราณคดีไม่รู้เรื่องด้วย มีแต่ศัพท์ยากๆ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับโรงอาบน้ำแร่โรมัน (Roman Bath) |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรงอาบน้ำแร่โรมัน (Roman Bath) ในเมืองบาธ
ในเมืองบาธนั้น มีบ่อพุร้อนธรรมชาติ 3 แห่งด้วยกัน บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดคือ Roman Sacred spring ซึ่งบ่อแห่งนี้มีน้ำผุดจากใต้ดินประมาณ 3000 เมตร ในน้ำมีแร่ธาตุ 43 ชนิด และใหลในอัตราประมาณ 1,250,000 ลิตรต่อวัน โดยอุณหภูมิของน้ำร้อนนั้น วัดได้ถึง 46.5 องศาเซลเซียส ซึ่งชาวโรมันได้สร้างโรมันบาธ Roman Bath และวิหาร หรือ Temple ขึ้นรอบบริเวณบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติแห่งนี้
หลังจากที่ชาวโรมันเข้ามารุกรานเกาะอังกฤษในสมัยปีคริสต์ศักราช 43 (AD) ชาวโรมันได้เริ่มก่อสร้างสถานอาบน้ำแร่โรมันที่เมือง Baht หรือชื่อเดิม Aquae Sulis |
ที่มาของการถือกำเนิดโรงอาบน้ำแร่โรมันบาธ : หลังจากที่ชาวโรมันเข้ามารุกรานเกาะอังกฤษในสมัยปีคริสต์ศักราช 43 (AD) ชาวโรมันได้เริ่มก่อสร้างสถานอาบน้ำแร่โรมันที่เมือง Baht หรือชื่อเดิม Aquae Sulis จากการค้นพบอักษรที่จารึกไว้ ทำให้เราได้ทราบสถานที่แห่งนี้เกิดขึ้นแล้วในสมัยคริสต์ศักราช 75 ชาวโรมันได้ตั้งชื่อเรียกสถานแห่งนี้โดยเรียกรวมกันตามชื่อท้องถิ่นของเทพธิดาแห่งน้ำคือ Sulis ซึ่งผู้ที่เทียบเท่ากับเทพธิดาแห่งน้ำของโรมันคือ Roman Goddess Minerva อยู่ทางทิศเหนือของบ่อน้ำร้อน มีการสร้างเสาระเบียงเรียงราย ประกอบเป็นวิหาร Sulis Minerva และทางทิศใต้ มีการสร้างสถานที่อาบน้ำแบ่งเป็นห้องต่างๆ สำหรับอาบน้ำแร่เพื่อความบริสุทธิ์และเพื่อการบำบัดโรค
บ่อน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ Sacred Spring ใช้เพื่อวัตถุประสงค์สองอย่าง โดยอย่างแรกคือเพื่อการบูชา อย่างที่สองคือใช้เป็นแหล่งเก็บน้ำร้อนเพื่อใช้ใ่นเมืองบาธ |
โดยบ่อน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ Sacred Spring ใช้เพื่อวัตถุประสงค์สองอย่าง โดยอย่างแรกคือเพื่อการบูชา ผู้นำเครื่องบูชาต่อเทพธิดา Sulis Minerva จะโยนเครื่องบูชาไว้ที่ลานแห่งนี้ และอย่างที่สองคือใช้เป็นแหล่งเก็บน้ำร้อนเพื่อใช้ใ่นเมืองบาธ เนื่องจากสถานที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีผู้ลงไปอาบน้ำ
จุดน่าสนใจที่โดดเด่นที่สุดในโรงอาบน้ำแร่โรมันคือ The Great Bath (หมายเลข8)ซึ่งน้ำพุร้อนเป็นน้ำแร่จากธรรมชาติจะใหลผ่านเข้าสู่บ่อขนาดใหญ่แห่งนี้ |
และจุดน่าสนใจที่โดดเด่นที่สุดในโรงอาบน้ำแร่โรมันคือ The Great Bath (หมายเลข8)ซึ่งน้ำพุร้อนเป็นน้ำแร่จากธรรมชาติจะใหลผ่านเข้าสู่บ่อขนาดใหญ่แห่งนี้ โดยชาวโรมันได้สร้างบันไดหินรอบบ่อ เป็นลำดับขั้นลงไปจนถึงส่วนลึกสุดของบ่อ ซึ่งเป็นที่ราบและมีความลึกถึง 1.6 เมตร และที่พื้นบ่อยังคงเคลือบด้วยตะกั่วของชาวโรมัน และชาวโมันยังสร้างหลังคาทำด้วยหินและอิฐเป็นโค้งครอบบ่อน้ำแร่ ซึ่งจะได้เห็นส่วนหนึ่งที่จัดแสดงไว้ข้างบ่อน้ำแร่ใหญ่แห่งนี้
ทั้งสองด้านของบ่อน้ำแร่ เป็นซุ้มสำหรับให้ผู้อาบน้ำ สามารถนั่งพักผ่อนและสนทนากันได้โดยห่างออกจากขอบสระพอสมควร |
โดยทั้งสองด้านของบ่อน้ำแร่ เป็นซุ้มสำหรับให้ผู้อาบน้ำ สามารถนั่งพักผ่อนและสนทนากันได้โดยห่างออกจากขอบสระพอสมควร และมีการสร้างน้ำพุขึ้นตรงกึ่งกลาง ระหว่างทางเดินสู่อาคารทิศเหนือ
บ่อน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ Sacred Spring (หมายเลข 1) น้ำพุร้อนธรรมชาติที่ผุดขึ้นจากใต้ดินและใหลเข้าสู่บ่อเก็บน้ำ ที่ชาวโรมันสร้างขึ้นเพื่อเก็บน้ำร้อน |
The Bath หรือบ่อน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ Sacred Spring (หมายเลข 1) น้ำพุร้อนธรรมชาติที่ผุดขึ้นจากใต้ดินและใหลเข้าสู่บ่อเก็บน้ำ ที่ชาวโรมันสร้างขึ้นเพื่อเก็บน้ำร้อน โดยชาวโรมันได้สร้างหลังคารูปโค้งคร่อมบ่อน้ำแร่ และเมื่อชาวโรมันได้อพยพไปแล้ว หลังคาก็ทรุดลงไปในบ่อน้ำแร่ ต่อมาประมาณปี ค.ศ.1100 มีการสร้าง King's Bath คร่อมลงบนส่วนที่เหลืองของ Roman remains จากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายครั้ง และสิ่งที่ท่านเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 และ 19 ซึ่งคราบสีส้มติดอยู่ที่เหล็ก แสดงให้เห็นถึงระดับความสูงของน้ำในอดีต ปัจจุบันก็มีการรักษาระดับน้ำให้สูงเท่าเทียมกับสมัยโรมันเช่นกัน
เดินเข้าชมห้องจัดแสดงในส่วนของนิทรรศการส่วนต่างๆ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับโรอาบน้ำแร่โมันแห่งนี้ |
โครงสร้างของอาคารโรงอาบน้ำแร่โมันแบบดั้งเดิม ก่อนจะถูกดัดแปลงและเปลี่ยนไป |
โดยสามารถกดฟังข้อมูลเพิ่มเติมได้จากรีโมทกดปุ่มฟังเสียงได้ อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ
โรงอาบน้ำแร่โรมัน เมืองบาธ สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองบาธ |
โรงอาบน้ำแร่โรมัน เมืองบาธ สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองบาธ |
----------------------------------------------------------------------------------------------
0 ความคิดเห็น