|
แบ่งปันทริปรีวิวไปเที่ยวจังหวัดยโสธร แวะออนซอนดูเทศกาลประเพณีบุญบั้งไฟ ยิ่งใหญ่ทุกปี ในเมืองนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ไปเช็คอินถ่ายรูปกันบ้าง ตามไปกันเลย |
สวัสดีเพื่อนๆสายเที่ยวทัศนาจร อรชร อ้อนแอ้น สุดสะแนน แสนโสภา ช่ะช่ะช่าหัวใจทุกๆคนค่ะ ก็กลับมาอีกครั้งค่ะกับบทความบล็อกรีวิวเที่ยวทั่วไทย งามวิไลเริ่ดสะแมนแตน ที่จะพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวชื่นชมแหล่งท่องเที่ยวอันสวยงามตระการตาของจังหวัดต่างๆ และหนึ่งในจังหวัดที่เดี๊ยนปักหมุดจะเดินทางไปตั้งนานแล้ว อยากจะไปเที่ยวชมงานบุญบั้งไฟที่จังหวัดยโสธรสักครั้ง แต่ก็ไม่ได้ปักสักที วันหยุดในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านนี้ ได้โอกาสเหมาะเลยชวนที่บ้านไปเที่ยวด้วย
ในการเดินทางทริปนี้เลยไม่ได้ไปเที่ยวลุยเดี่ยว เหมือนทริปที่ผ่านๆมาค่ะ เพราะว่ามีพี่สาวเป็นโชว์เฟอร์เป็นคนขับรถพาคุณพ่อคุณแม่และหลานๆรวมทั้งตัวเดีียนไปเที่ยวยโสธรในครั้งนี้ด้วยค่ะ โดยทริปนี้เราวางแผนการเดินทางไปเที่ยวกัน 2 วัน 1 คืน แต่ยังเป็นทริปีที่กะทันหันมากๆ เพราะวางแผนกันกระชันชิดมากไป เนื่องจากเป็นช่วงงานเทศกาลบุญบั้่งไฟ ทำให้โรงแรมที่พักต่างๆในตัวเมืองยุโสธร ถูกจองเต็มหมดล่วงหน้าหมดแล้ว เดี๊ยนเลยต้องไปนอนพักโรงแรมต่างอำเภอแทน และก็ได้พากันเดินทางไปเที่ยวเช็คอินถ่ายรูปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆกันด้วยค่ะ
แต่ก่อนที่จะไปดูภาพสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง เรามารู้จักประวัติความเเป็นมาเล็กๆน้อยเกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟกันก่อนสักเล็กน้อยนะคะ
|
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร (Rocket Festival, Yasothon City) |
สาระน่ารู้เกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร (Rocket Festival, Yasothon City)
สำหรับ ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงหรือภาคอีสานของไทย ตลอดจนประเทศลาว โดยมีที่มาซึ่งทำให้เกิดประเพณีบุญบั้งไฟนั้น มาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องพญาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทานพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นนั้น ก็เพื่อเป็นการบูชาพญาแถน ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่า พญาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ (ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2256 เป็นต้นมา) มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะที่ อำเภอสุวรรณภูมิ ที่มีการจัดงานในทุกวันเสาร์ และวันอาทิตย์ในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายนในทุกปี ซึ่งเป็นงานที่มีบั้งไฟเอ้สวยงามขนาดใหญ่มากที่สุด (ลายศรีภูมิ หรือ ลายกรรไกรตัด) รวมทั้งขบวนรำสวยงามมากที่สุดของประเทศ
|
ซึ่งการจัดงานประเพณีบั้งไฟในอดีต และปัจจุบัน ในพื้นที่จังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ด มีความโดดเด่น และเก่าแก่มานาน อายุไม่ต่ำกว่า 300 ปี |
และในการจัดงานประเพณีบั้งไฟในอดีต และปัจจุบัน ในพื้นที่จังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ด มีความโดดเด่น และเก่าแก่ มานาน อายุไม่ต่ำกว่า 300 ปี
|
ในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่า บั้งไฟ ซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง |
ในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่า บั้งไฟ ซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง มีหางยาวเอาดินประสิวมาคั่วกับถ่านไม้ตำให้เข้ากันจนละเอียดเรียกว่า หมื่อ (ดินปืน) และเอาหมื่อนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ตำให้แน่นเจาะรูตอนท้ายของบั้งไฟ เอาไผ่ท่อนอื่นมัดติดกับกระบอกให้ใส่หมื่อโดยรอบ เอาไม้ไผ่ยาวลำหนึ่งมามัดประกบต่อออกไปเป็นหางยาว สำหรับใช้ถ่วงหัวให้สมดุลกัน เรียกว่า “บั้งไฟ”
|
พิธีบูชาแถน หรือพญาแถน ซึ่งเป็นเทพที่ชาวอีสานให้ความเคารพนับถือ การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน |
ประวัติและที่มาของพิธีบูชาแถน หรือพญาแถน ซึ่งเป็นเทพที่ชาวอีสานให้ความเคารพนับถือ การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์
โดยความหมายของคำว่า “บั้งไฟ” ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า “บ้องไฟ” แต่ที่ถูกนั้นควรเรียกว่า”บั้งไฟ”ดังที่ เจริญชัย ชนไพโรจน์ ได้อธิบายความแตกต่างของคำทั้งสองไว้ว่า บั้งหมายถึง สิ่งที่เป็นกระบอก เช่น บั้งทิง สำหรับใส่น้ำดื่ม หรือบั้งข้าวหลาม เป็นต้น
|
ขบวนรถแห่บุญบั้งไฟที่ประดับตกแต่งเป็นเรือนวิมานพญาแถนอย่างสวยงาม วิจิตรตระการตา |
่และส่วนคำว่า บ้อง หมายถึง สิ่งของใด ๆ ก็ได้ที่มี 2 ชิ้น มาสวมหรือประกอบเข้ากันได้ ส่วนนอกเรียกว่า บ้อง ส่วนในหรือสิ่งที่เอาไปสอดใสจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เช่น บ้องมีด บ้องขวาน บ้องเสียม บ้องวัว บ้องควาย
|
บั้งไฟ คือการนำเอากระบอกไม้ไผ่ เลาเหล็ก ท่อเอสลอน หรือเลาไม้อย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุหมื่อ (ดินปืน) ตามอัตราส่วนที่ช่างกำหนดไว้แล้วประกอบท่อนหัวและท่อนหางเป็นรูปต่าง ๆ |
ในทัศนะของผู้วิจัย บั้งไฟ คือการนำเอากระบอกไม้ไผ่ เลาเหล็ก ท่อเอสลอน หรือเลาไม้อย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุหมื่อ (ดินปืน) ตามอัตราส่วนที่ช่างกำหนดไว้แล้วประกอบท่อนหัวและท่อนหางเป็นรูปต่าง ๆ ตามที่ต้องการ เพื่อนำไปจุดพุ่งขึ้นสู่อากาศ จะมีควันและเสียงดัง บั้งไฟมีหลายประเภท ตามจุดมุ่งหมายของประโยชน์ในการใช้สอย
ปัจจุบันมีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ในระดับประเทศมีทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ประเพณีบุญบั้งไฟยโสธร ,ประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ ,ประเพณีบุญบั้งไฟพนมไพร และประเพณีบุญบั้งไฟตะไลล้านกุดหว้า โดยทั้งนี้การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ของ จังหวัดยโสธร ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการประชาสัมพันธ์งานประเพณี เป็นที่รู้จักแก่ชาวไทย และต่างประเทศ นับแต่ ปี 2523 ซึ่งงานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร จะจัดขึ้นในวันเสาร์ อาทิตย์ สัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมในทุกปี โดยทั้งนี้ ในงานที่จัดของจังหวัดยโสธร ยังมีความโดดเด่น ในวันก่อนแห่มีการประกวดกองเชียร์ จำนวนมาก รวมทั้ง วันแห่บั้งไฟ จะมีขบวนบั้งไฟแบบโบราณ และการรำเซิ้งแบบโบราณ จากทั้ง 9 อำเภอของจังหวัดยโสธร เข้าร่วมด้วย เเละยังมีขบวนแห่สวยงาม จาก 9 คุ้มวัด ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย
|
การจัดงานบุญบั้งไฟอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์เเละมีความเก่าเเก่เเละต่อเนื่องมาอย่างยาวนานมากที่สุดเเห่งหนึ่งของภาคอีสานเเละของประเทศไทยด้วย |
การจัดงานบุญบั้งไฟอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์เเละมีความเก่าเเก่เเละต่อเนื่องมาอย่างยาวนานมากที่สุดเเห่งหนึ่งของภาคอีสานเเละของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นงานประเพณีที่ดึงดูดเเละเป็นศูนย์รวมให้ลูกหลานเมืองศรีภูมิหรือเครือข่ายลูกหลานเจ้าเเก้วมงคล (บรรพชนกลุ่มใหญ่ของภาคอีสาน) ที่มีอยู่ทั่วภาคอีสานเเละประเทศไทยให้กลับมาเยี่ยมเยือนถิ่นเก่าของบรรพชน ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองบรรพบุรุษของชาวอีสาน
|
ภายหลังจะมีการอพยพเเยกกันออกไปสร้างเมืองเเละชุมชนต่างๆมากมายทั่วภาคอีสาน นับได้ว่าเป็นศูนย์รวมทางจิตใจให้เเก่ลูกหลานชาวอีสานได้มากมายเลยทีเดียว |
ก่อนที่ภายหลังจะมีการอพยพเเยกกันออกไปสร้างเมืองเเละชุมชนต่างๆมากมายทั่วภาคอีสาน นับได้ว่าเป็นศูนย์รวมทางจิตใจให้เเก่ลูกหลานชาวอีสานได้มากมายเลยทีเดียว อำเภอพนมไพร ที่มีการจัดงานในทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปี ตามรูปแบบประเพณีดั้งเดิมตามฮีตสิบสองคองสิบสี่(งานบุญประจำเดือนทุกเดือนในแต่ละปี)โดยมีการจุดบั้งไฟถวายมากที่สุดในประเทศ โดยในแต่ละปีจะมีบั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน บั้งไฟล้าน รวมกันกว่า 1,000 บั้ง ซึ่งในการจัดการแข่งขันบั้งไฟมีขบวนแห่ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารีอีกด้วย
โดยตั้งเเต่ งานประเพณีบุญบั้งไฟสุวรรณภูมิ 2567 เป็นต้นไป จะมีขบวนแห่รำเซิ้งสวยงาม ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะมีการถูกจัดขึ้นเป็นครั้งเเรกในปี พ.ศ. 2567 ให้สมเกียรติกับดินเเดนที่มีการจัดงานบุญบั้งไฟอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์เเละมีความเก่าเเก่เเละต่อเนื่องมาอย่างยาวนานมากที่สุดเเห่งหนึ่งของภาคอีสานเเละของประเทศไทย
(เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/บุญบั้งไฟ)
สรุปรีวิวโปรแกรมเที่ยวยโสธร 2 วัน 1 คืนแบบกระชันชิด เพื่อไปชมเทศกาลบุญบั้งไฟ มีดังนี้จ้า
--วันที่ 1 (Day 1)--
|
ออกเดินทางมาถึงงยโสธรตั้งแต่เช้ามืดเลยจ้า |
ทริปนี้พี่สาวเป็นโชว์เฟอร์ขับรถเดินทางมาถึงจังหวัดยโสธรตั้งแต่ตอนเช้าเลยค่ะ
|
ทานส้มตำกันหลายๆคนแซ่บอีหลีขนาดเจ้า |
ก่อนจะเดินทางไปเที่ยวก็เติมพลัง หาอะไรทานก่อนคะ่ แวะร้านอาหารขายส้มตำไก่ย่างริมทาง มื้อนี้ทานกันหลายยคน ก็สั่งไก่ย่าง ปลาเผา ส้มตำมาทาน เรียกว่าทานกันหลายๆคนแซ่บอีหลีขนาดเจ้า
ทานอิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันต่อค่ะ หนทางอีกไม่ไกลค่ะ เพราะเข้าเขตจังหวัดยโสธรแล้ว และช่วงที่เดินทางมาเที่ยว ท้องฟ้าดูครึ้มๆ ทำท่าดูฝนจะตกค่ะ
เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านสิงท่าในเมืองยโสธร เพือวนหาที่จอดรถ ไปถามชาวบ้านใกล้เคียงบอกว่าให้ไปจอดใกล้ๆงานตรงที่ว่าการอำเภอ จะมีที่จอดอยู่
ผ่านตึกเก่าแก่ย่านการค้าเก่าแก่ในเมืองยโสธร ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านสิงห์ท่า จะเห็็นอาคารสถาปัตยกรรมที่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี
เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล เลยหาที่จอดยากนิดนึง สรุปแล้วก็ได้จอดรถที่วัดมหาธาตุในเมืองยโสธร มีที่จอดรถว่างอยู่พอดีค่ะ และในวัดแห่งนี้ก็มีพระธาตุอานนท์ ซึ่งเป็นพระธาตุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองยโสธรเช่นกัน ใหนๆมาถึงก็ไปไหว้สักหน่อยค่ะ
มาเดินเก็บภาพบรรยากาศขบวนแห่งานบุญบั้งไฟประจำปี 2567 มาให้ชมกันบางส่วนค่ะ เพราะไม่สามารถเดินฝ่าดงผู้คนเข้าไปแสดงด้านในได้ เนื่องจากคนเยอะมาก เดี๊ยนก็เลยยืนรอเขาเดินแห่ออกมาค่ะ
|
เก็บตกบรรยากาศขบวนงานบุญบั้งไฟยโสธรประจำปี 2567 เก็บเป็นบันทึกไดอารีไว้เปิดดู ยามหวนคิดถึงคนึงหา ว่าเคยมาเมืองนี้แล้วหนา ช่ะช่ะช่าหัวใจ |
|
เก็บตกบรรยากาศขบวนงานบุญบั้งไฟยโสธรประจำปี 2567 เก็บเป็นบันทึกไดอารีไว้เปิดดู ยามหวนคิดถึงคนึงหา ว่าเคยมาเมืองนี้แล้วหนา ช่ะช่ะช่าหัวใจ |
|
เก็บตกบรรยากาศขบวนงานบุญบั้งไฟยโสธรประจำปี 2567 เก็บเป็นบันทึกไดอารีไว้เปิดดู ยามหวนคิดถึงคนึงหา ว่าเคยมาเมืองนี้แล้วหนา ช่ะช่ะช่าหัวใจ |
|
เก็บตกบรรยากาศขบวนงานบุญบั้งไฟยโสธรประจำปี 2567 เก็บเป็นบันทึกไดอารีไว้เปิดดู ยามหวนคิดถึงคนึงหา ว่าเคยมาเมืองนี้แล้วหนา ช่ะช่ะช่าหัวใจ |
|
เก็บตกบรรยากาศขบวนงานบุญบั้งไฟยโสธรประจำปี 2567 เก็บเป็นบันทึกไดอารีไว้เปิดดู ยามหวนคิดถึงคนึงหา ว่าเคยมาเมืองนี้แล้วหนา ช่ะช่ะช่าหัวใจ |
|
งานบุญบั้งไฟนั้นเป็นงานมงคล นอกจากเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมายาวนานแล้ว ยังเป็นประเพณีที่มีแต่ความสนุกสนาน แบบฉบับชาวอีสานบ้านเฮ้าอีหลีเน้อเจ้า |
|
งานบุญบั้งไฟนั้นเป็นงานมงคล นอกจากเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมายาวนานแล้ว ยังเป็นประเพณีที่มีแต่ความสนุกสนาน แบบฉบับชาวอีสานบ้านเฮ้าอีหลีเน้อเจ้า
|
|
งานบุญบั้งไฟนั้นเป็นงานมงคล นอกจากเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมายาวนานแล้ว ยังเป็นประเพณีที่มีแต่ความสนุกสนาน แบบฉบับชาวอีสานบ้านเฮ้าอีหลีเน้อเจ้า
|
|
งานบุญบั้งไฟนั้นเป็นงานมงคล นอกจากเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมายาวนานแล้ว ยังเป็นประเพณีที่มีแต่ความสนุกสนาน แบบฉบับชาวอีสานบ้านเฮ้าอีหลีเน้อเจ้า
|
|
ขบวนแห่บั้งไฟพญานาค ซึ่งจะนำไปจุดขึ้นฟ้าเพื่อขอฝนจากพญาแถน |
|
ขบวนแห่รถแสดงบั้งไฟพญานาค ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ |
|
ขบวนแห่รถแสดงบั้งไฟพญานาค ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ |
|
ขบวนแห่รถแสดงบั้งไฟพญานาค ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ |
|
ขบวนแห่รถแสดงบั้งไฟพญานาค ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ |
|
ขบวนแห่รถแสดงบั้งไฟพญานาค ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ |
|
แต่ละขบวนที่นำมาจัดแสดงก็มีความสวยงามไม่แพ้กันค่ะ |
|
นอกจากบั้่งไฟอันใหญ่ที่จัดอยู่ในรถแห่แล้ว ยังมีบั้งไฟอันเล็กๆที่สามารถจุดเพื่อขอฝนจากพญาแถนได้เช่นกัน มีขายในงานด้วย ราคาไม่แพงค่ะ |
|
นอกจากบั้่งไฟอันใหญ่ที่จัดอยู่ในรถแห่แล้ว ยังมีบั้งไฟอันเล็กๆที่สามารถจุดเพื่อขอฝนจากพญาแถนได้เช่นกัน มีขายในงานด้วย ราคาไม่แพงค่ะ |
|
เดินไปเดินไป เห็นแม้ค้าหาบส้มตำขายตามงาน เป็นตาแซ่บอีหลีเด้อ เห็นแล้วเปรี้ยวปากค่ะ |
|
ใน 1 หาบ ซึ่งมี 2 กระเฌอ หนึ่ง่กระเฌอใส่ครกและเครื่องปรุง อีกหนึ่งกระเฌอก็ใส่ผัก |
โดยเฉพาะใน 1 หาบ ซึ่งมี 2 กระเฌอ หนึ่ง่กระเฌอใส่ครกและเครื่องปรุง อีกหนึ่งกระเฌอก็ใส่ผัก ซึงมีเมนูให้ทาน ทั้งตำแตง ตำกะท้อน ตำหมากหุง ราคาถูกๆ ไม่แพงด้วยนะคะ ช่วยอุดหนุนแม่ค้าสักหน่อย
หลังจากไปเที่ยวชมงานขบวนแห่บั้งไฟแล้ว ก็เดินทางไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในเมืองยโสธรกันต่อค่ะ
แนะนำที่เที่ยวยอดนิยมในตัวเมืองยโสธร ที่ต้องเดินทางไปเช็คอินถ่ายรูปกันมีดังนี้ค่ะ
|
1.วัดมหาธาตุ เมืองยโสธร ประดิษฐพระธาตุอานนท์ พระธาตุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองยโสธร |
|
1.วัดมหาธาตุ เมืองยโสธร ประดิษฐพระธาตุอานนท์ พระธาตุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองยโสธร |
|
1.วัดมหาธาตุ เมืองยโสธร ประดิษฐพระธาตุอานนท์ พระธาตุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองยโสธร |
|
1.วัดมหาธาตุ เมืองยโสธร ประดิษฐพระธาตุอานนท์ พระธาตุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองยโสธร |
|
หอไตรกลางน้ำภายในวัดมหาธาตุ ศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ สร้างด้วยไม้หันหน้าไปทางทิศใต้ในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส |
1.วัดมหาธาตุ เมืองยโสธร
วัดมหาธาตุ ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองยโสธรมาตั้งแต่แรกสร้างเมือง ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองยโสธร ซึ่งภายในวัดมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญคือ พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์ หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง พระพุทธปรูปบูชาประจำเมืองที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย , พระธาตุอานนท์ พระเจดีย์ที่บรรจุอัฐิธาตุของพระอานนท์แห่งเดียวในประเทศไทย และหอไตรกลางน้ำที่มีศิลปะงดงามอย่างยิ่ง
พระธาตุอานนท์หรือพระธาตุยโสธร ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถ เป็นพระธาตุเก่าแก่ที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1218 ผู้ก่อสร้างคือ เจตตานุวิน และ จินดาชานุ ชาวเวียงจันทน์ กับ เอียงเวธา ชาวขอม เมื่อสร้างเสร็จจึงอัญเชิญพระอัฐิของ พระอานนท์ มาบรรจุไว้ ซึ่งพระอัฐิของพระอานนท์ที่นำมาบรรจุใน พระธาตุอานนท์ นั้น ถูกบรรจุไว้ในผอบ ชั้นนอกเป็นหีบเงิน 3 ชั้น ชั้นถัดไปเป็นหีบทอง 7 ชั้น ถัดจากนั้นเป็นหีบแก้วไพฑูรย์ 2 ชั้น (รวมเป็นหีบ 12 ชั้น) แล้วมีผ้ากะจ๋าคำ(ผ้าลายทอง) ห่อไว้อีก 500 ชั้น ถัดเข้าไปเป็นผ้าสีขาวอ่อนนุ่มเหมือนสำลีห่อพระอัฐิธาตุอยู่
|
2.ชุมชนเก่าบ้านสิงห์ท่า ชมอาคารสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นถึงปัจจุบัน |
|
2.ชุมชนเก่าบ้านสิงห์ท่า ชมอาคารสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นถึงปัจจุบัน |
|
2.ชุมชนเก่าบ้านสิงห์ท่า ชมอาคารสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นถึงปัจจุบัน |
|
2.ชุมชนเก่าบ้านสิงห์ท่า ชมอาคารสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นถึงปัจจุบัน |
|
2.ชุมชนเก่าบ้านสิงห์ท่า ชมอาคารสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นถึงปัจจุบัน |
2.ชุมชนเก่าบ้านสิงห์ท่า ชมอาคารสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็นถึงปัจจุบัน
สำหรับ ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมืองยโสธร เป็นย่านการค้าตั้งแต่สมัยโบราณ และได้เจริญขึ้นเมื่อสมัยฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลมาก ช่วงนั้นเองผู้ที่มีฐานะดีได้มีการนำช่างฝีมือจากเวียดนามจำนวนมากเข้ามาสร้างบ้านเรือน ทำให้บ้านเรือนมีรูปแบบศิลปกรรมแบบจีนผสมยุโรปที่งดงาม ปัจจุบันยังคงเหลือให้เห็นสองข้างทางของถนนศรีสุนทร ถนนนครทุม ถนนอุทัยรามฤทธิ์ และถนนวิทยธำรง บางแห่งยังคงความสมบูรณ์อยู่มาก บ่งบอกถึงบรรยากาศของความเป็นอดีต สร้างเสน่ห์ให้บ้านสิงห์ท่าสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ปัจจุบันยังคงเหลือให้เห็นบนสองข้างทาง ตึกแถวโบราณที่มีรูปทรงและลวดลายงดงาม และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ซึ่งเหมาะแก่การท่องเที่ยว ด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นเมืองอีกแห่งหนึ่ง
|
3.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก (Phaya Khan Khak Museum, Giant Toad Museum) |
|
3.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก (Phaya Khan Khak Museum, Giant Toad Museum) |
|
3.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก (Phaya Khan Khak Museum, Giant Toad Museum) |
|
3.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก (Phaya Khan Khak Museum, Giant Toad Museum) |
|
3.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก (Phaya Khan Khak Museum, Giant Toad Museum) |
|
3.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก (Phaya Khan Khak Museum, Giant Toad Museum) |
|
3.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก (Phaya Khan Khak Museum, Giant Toad Museum) |
|
3.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก (Phaya Khan Khak Museum, Giant Toad Museum) |
3.พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก (Phaya Khan Khak Museum, Giant Toad Museum)
หนึ่งในแลนด์มาร์คอีกแห่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวแวะเยือนเมืองยโสธรอย่างไม่ขาดสาย อาคารรูปทรงคางคกมีความสูงกว่า 19 เมตร หันหน้าไปทางอ่างเก็บน้ำลำทวน มีความโดดเด่น กลายเป็นจุดเช็คอินและสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองยโสธร ที่ต้องห้ามพลาดไปกัน ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำลำทวน บริเวณอุทยานสวรรค์วิมานพญาแถน ลักษณะเป็นอาคารจำลองรูปร่างพญาคันคาก หรือคางคกตัวใหญ่ สูง 19 เมตร
ภายในพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก ประกอบด้วยพื้นที่จัดนิทรรศการจำนวน 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ 1 แสดงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองยโสธร ชั้นที่ 2 ตำนานพญาแถนและพญาคันคาก ชั้นที่ 3 ตำนานและเรื่องราวของบั้งไฟ ชั้นที่ 4 อัตลักษณ์เมืองยโสธร และชั้นที่ 5 จุดชมวิวเมืองยโสธร เปิดทุกวันพุธ-วันจันทร์ (ปิดวันอังคาร ยกเว้นวันอังคารที่ตรงกับวันนักขัตฤกษ์) วันธรรมดา เวลา 09.00-12.00 น. และ 15.00-18.00 น. วันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.00-19.00 น. อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
|
4.พิพิธภัณฑ์พญานาค จัดแสดงนิทรรศการภาพตำนานและความเชื่องูใหญ่ทั่วโลก |
|
4.พิพิธภัณฑ์พญานาค จัดแสดงนิทรรศการภาพตำนานและความเชื่องูใหญ่ทั่วโลก |
|
4.พิพิธภัณฑ์พญานาค จัดแสดงนิทรรศการภาพตำนานและความเชื่องูใหญ่ทั่วโลก |
|
4.พิพิธภัณฑ์พญานาค จัดแสดงนิทรรศการภาพตำนานและความเชื่องูใหญ่ทั่วโลก |
|
4.พิพิธภัณฑ์พญานาค จัดแสดงนิทรรศการภาพตำนานและความเชื่องูใหญ่ทั่วโลก |
|
4.พิพิธภัณฑ์พญานาค จัดแสดงนิทรรศการภาพตำนานและความเชื่องูใหญ่ทั่วโลก |
|
4.พิพิธภัณฑ์พญานาค จัดแสดงนิทรรศการภาพตำนานและความเชื่องูใหญ่ทั่วโลก |
4.พิพิธภัณฑ์พญานาค จัดแสดงนิทรรศการภาพตำนานและความเชื่องูใหญ่ทั่วโลก
พิพิธภัณฑ์พญานาค เป็นมากกว่าวังบาดาล แหล่งนิทรรศการภาพ 4 D ตำนานและความเชื่องูใหญ่ทั่วโลก พิพิธภัณฑ์พญานาค ตั้งอยู่ ณ วิมานพญาแถน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร เป็นอาคารรูปทรงพญานาคที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในโลก ขนาดความสูง 29 เมตร ยาว 111.5 เมตร กว้าง 5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 560 ตารางเมตร นาคเศียรเดียวพ่นน้ำลงลำน้ำทวน บริเวณภูมิทัศน์รอบตัวพญานาคจำลองเป็นก้อนเมฆสีฟ้าโดยรอบ รวมทั้งลำน้ำทวน
ภายในตัวอาคารพิพิธภัณฑ์พญานาค สื่อสารบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาตำนานพญานาคและงูใหญ่ทั่วโลก และความเชื่อ จารีตประเพณีสำคัญของภาคอีสานกับพญานาค รวมทั้งตำนานงูใหญ่ทั่วโลก ทั้งนี้การจัดแสดงนิทรรศการในรูปแบบ ภาพ 4 มิติ หรือ 4 D โดยแบ่งเป็นโถงๆ
โถง 1 - เป็นเรื่องราวกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาค ( ตำนานงูใหญ่ทั่วโลก )
โถง 2 - พญานาคกับพระพุทธศาสนา นาคในคติพราหมณ์ฮินดู และพุทธโถง
โถง 3 - ตำนานการเกิดแม่น้ำโขง รับรู้เรื่องราวการกำเนิดแม่น้ำโขงโดยพญานาค
โถง 4 ความเชื่อ –จารีตประเพณีกับพญานาค
โถง 5 – ชีววิทยาเกี่ยวกับพญานาคในรูปแบบของงูเพื่อให้เข้าใจเรื่องราวของงูแบบรอบด้าน
|
5. พระธาตุก่องข้าวน้อย |
|
5. พระธาตุก่องข้าวน้อย |
|
5. พระธาตุก่องข้าวน้อย |
|
5. พระธาตุก่องข้าวน้อย |
|
5. พระธาตุก่องข้าวน้อย |
|
5. พระธาตุก่องข้าวน้อย |
5. พระธาตุก่องข้าวน้อย
พระธาตุตาดทอง หรือ พระธาตุถาดทอง หรือที่นิยมเรียกกันว่า ธาตุก่องข้าวน้อย ตั้งอยู่ในกลางทุ่งนาของบ้านตาดทอง ตำบลตาดทอง อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 9 กิโลเมตร พระธาตุตาดทองจากรูปแบบสถาปัตยกรรมสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 24 และอาจจะมีความเกี่ยวเนื่องกับนิทานพื้นบ้านเล่าสืบกันมาว่า เมื่อผู้คนในแถบอำเภอรัตนบุรีทราบข่าวการบูรณะพระธาตุพนม จึงพร้อมใจกันรวบรวมวัตถุมงคลสิ่งมีค่าเพื่อนำไปบรรจุไว้ในพระธาตุพนม แต่เมื่อเดินทางถึงบ้านตาดทองได้พบกับชาวบ้านสะเดา ตำบลตาดทอง ที่ไปช่วยบูรณะพระธาตุเดินทางกลับมาบ้านเพราะการบูรณะพระธาตุพนมได้เสร็จสิ้นแล้ว ผู้คนเหล่านั้นจึงพร้อมใจกันสร้างเจดีย์บรรจุของมีค่าที่ตนนำมา ชาวบ้านสะเดาจึงนำถาดทองที่ใช้อัญเชิญของมีค่านำไปบรรจุในพระธาตุพนม มารองรับของมีค่าที่ชาวอำเภอรัตนบุรีที่จะนำไปบรรจุไว้ในเจดีย์ที่กำลังสร้าง จึงเรียก พระธาตุตาดทอง หรือ พระธาตุถาดทอง
ส่วนของฝากที่ยโสธร ก็โดดเด่นจำพวกเครื่องจักรสาน อาทิเช่น หวด กระติกข้าวเหนียว ก็ถือเป็นของฝากขึ้นชื่อ อีกทั้งราคาก็ไม่ได้แพงด้วย
หลังจากได้เดินทางไปท่องเที่ยวตามจุดเช็คอินที่เที่ยวต่างๆในเมืองยโสธรแล้ว ในส่วนของที่พัก ทริปนี้เดี๊ยนพาครอบครัวไปนอนพักกันที่โรงแรมโฮมรูม จันทร์หอม ที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว ซึ่งห่างจากตัวเมืองยโสธรประมาณ 30 กิโลเมตร
เนื่องจากห้องพักในเมืองเต็มหมด เราเลยต้องเดินทางมาพักนอกเมืองกันไกลเลยคะ่ แต่ว่าก็ได้ห้องราคาถูก ประหยัด ไม่แพงด้วยนะคะ
ราคาห้องพักตกคืนละ 690 บาท สำหรับนอน 3 คน
ส่วนของกินก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก เดินข้ามถนนใหญ่ไป ก็จะเป็นตลาดโต้รุ่งเล็กๆค่ะ มีอาหารให้กินให้เลือกทานเช่นกัน และช่วงเย็นฝนตกหนักมาก ก็เลยไปซื้ออาหารตามสั่งง่ายๆมาทานที่ห้องพัก เป็นอันจบทริปหมดไป 1 วันค่ะ
---วันที่ 2 (Day 2)--
ตื่นแต่เช้า เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว เดินทางไปเที่ยวกันต่อที่จังหวัดร้อยเอ็ดค่ะ แวะทานอาหารเช้าง่ายๆก่อนค่ะ
ส่วนมื้อเช้านี้เดี๊ยนทานก๊วยจั๊บญวน ส่วนคนอื่นๆ ทานต้มจืดเลือดหมูกัน
เดินทางจากยโสธรมาที่ร้อยเอ็ด ประมาณ 66 กิโลเมตร
เพื่อเดินทางเที่ยวชมหอโหวต ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ต้องไปเช็คอินกัน
|
แวะมาเที่ยวชมหอโหวดเมืองร้อยเอ็ด สถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คแห่งใหม่ประจำจังหวัดร้อยเกิน |
|
แวะมาเที่ยวชมหอโหวดเมืองร้อยเอ็ด สถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คแห่งใหม่ประจำจังหวัดร้อยเกิน |
|
หอชมเมืองร้อยเอ็ด หรือ หอโหวด 101 |
|
หอชมเมืองร้อยเอ็ด หรือ หอโหวด 101 |
|
หอชมเมืองร้อยเอ็ด หรือ หอโหวด 101 |
|
จุดชมวิวบนหอชมเมืองร้อยเอ็ด หรือ หอโหวด 101 |
|
สามารถมองเห็นทัศนียภาพเมืองร้อยเอ็ดได้อย่างทั่วถึง |
|
หอชมเมืองร้อยเอ็ด หรือ หอโหวด 101 |
หอชมเมืองร้อยเอ็ด หรือ หอโหวด 101 เป็นหอคอยอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด ตั้งอยู่ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ร้อยเอ็ด บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดและบึงพลาญชัย เปิดทำการเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563 มีพื้นที่ใช้สอยจริงจำนวน 12 ชั้น เทียบเท่าความสูงของตึก 35 ชั้น มีความสูง 123 เมตร รวมพื้นที่ทั้งหมด 3,621 ตารางเมตร หอชมเมืองหรือหอโหวด ๑๐๑ ตั้งชื่อตามเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน "โหวด" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำจังหวัดและถูกนำมาออกแบบเป็นรูปทรงของอาคาร และชื่อจังหวัด "๑๐๑" ภายในอาคารประดับตกแต่งโดยสอดแทรกเรื่องราวท้องถิ่นกับความร่วมสมัย เช่น ดอกอินทนิลบก ดอกไม้ประจำจังหวัด ที่ทำจากคริสตัล
|
ก่อนจะมีหอโหวด ถ้ามาร้อยเอ็ด จุดเด่นที่สูดก็คือ พระสูงใหญ่ที่วัดบูรพาภิรามแห่งนี้ นี่แหล่ะค่ะ |
และหลังจากไปเที่ยวชมวิวที่หอโหวดชมเมืองร้อยเอ็ดแล้ว อีกหนึ่งแห่งที่ไม่พลาดไปก็คือไปไหว้พระเจ้าใหญ่ ซึ่งก่อนจะมีหอโหวด ถ้ามาร้อยเอ็ด จุดเด่นที่สูดก็คือ พระสูงใหญ่ที่วัดบูรพาภิรามแห่งนี้ นี่แหล่ะค่ะ ภายในวัดประดิษฐาน พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี หรือพระเจ้าใหญ่ ที่สามารถมองเห็นแต่ไกล
|
ไหว้พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี หรือพระเจ้าใหญ่ ก่อนจะเดินทางกลับจ้า |
และสำหรับเพื่อนๆคนใหนที่วางแผนจะลัดเลาะมาเที่ยวร้อยเอ็ด ก็อย่าลืมแวะมาไหว้พระทำบุญและเช็คอินที่วัดบูรพาภิรามกันนะคะ สำหรับบทความเดินทางรีวิวเที่ยวงานบุญบั้งไฟกับทริปสั้นๆ 2 วัน 1 คืน ที่ได้นำเสนอในบทความนี้ น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ขอบพระคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
0 ความคิดเห็น