จัดทริปโปรแกรมแบกเป้คนเดียวไปเที่ยวอังกฤษทริปนี้ คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า ขอพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวชมเมืองยอร์ค ไปเดินชมกำแพงเมืองโบราณ York city Walk มีประวัติน่าสนใจอย่างไร ตามไปเที่ยวชมกันจ้า |
เพื่อไม่ให้บทความร้างไป ในบทความนี้ เลยขอมาแบ่งปันรีวิวภาพเล็กๆน้อย เกี่ยวกับการเดินทางไปเที่ยวเมืองยอร์กและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่น่าสนใจในเมืองนี้ มาให้เพื่อนได้อ่านฆ่าเวลากันค่ะ หวังว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคะ และก่อนจะเข้าสู่บทความภาพรีวิว เราก็มารู้จักประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับมาเมืองยอร์กกันสักเล็กน้อยค่ะ
เรื่องน่ารู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเมืองยอร์ค ประเทศอังกฤษ (York City,North Yorkshire, England,) |
สาระน่ารู้เกี่ยวกับเมืองยอร์ค ประเทศอังกฤษ (York City,North Yorkshire, England,)
สำหรับเมืองยอร์ค (อังกฤษ: York) เป็นเมืองที่ยังมีกำแพงเมืองโบราณเก่าแก่ล้อมรอบ โดยตั้งอยู่ในนอร์ธยอร์กเชอร์ เขตภูมิภาคยอร์กเชอร์ และแม่น้ำฮ้มเบอร์ของอังกฤษ นครยอร์กตั้งอยู่ในบริเวณที่แม่น้ำอูสและแม่น้ำฟอสส์ที่ใหลผ่าน
ยอร์กเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีบทบาทมาเกือบตลอด 2,000 ปีที่ก่อตั้งมา |
โดยยอร์กเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีบทบาทมาเกือบตลอด 2,000 ปีที่ก่อตั้งมา เมืองยอร์กก่อตั้งเป็นเมืองป้อมปราการเอบอราคุม (Eboracum) ในปี ค.ศ. 71 โดยโรมัน และได้รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงของบริทาเนียน้อย (Britannia Inferior)[4] ระหว่างสมัยโรมันบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เช่นจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมือง จักรวรรดิโรมันทั้งหมดปกครองจากยอร์กเป็นเวลาสองปีโดยจักรพรรดิเซปตีมิอุส เซเวรุส (Septimius Severus)
ชาวแองเกิลส์เข้ามาตั้งถิ่นฐานยอร์กก็ได้รับชื่อใหม่เป็น “Eoferwic” ของราชอาณาจักรนอร์ทธัมเบรีย (ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหา) |
หลังจากชาวแองเกิลส์เข้ามาตั้งถิ่นฐานยอร์กก็ได้รับชื่อใหม่เป็น “Eoferwic” ของราชอาณาจักรนอร์ทธัมเบรีย เมื่อชนไวกิงเข้ายึดเมืองในปี ค.ศ. 866 ก็เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นจอร์วิกของราชอาณาจักรจอร์วิก (Jórvík) ที่มีอาณาบริเวณครอบคลุมทางบริเวณตอนเหนือของอังกฤษเกือบทั้งหมด จนกระทั่งราว ค.ศ. 1000 เมืองจึงมารู้จักกันในชื่อ “ยอร์ก”
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 มีพระราชประสงค์ที่จะตั้งยอร์คเป็นเมืองหลวงของอังกฤษแต่ก่อนที่จะสำเร็จพระองค์ก็ทรงถูกถอดจากการเป็นพระมหากษัตริย์เสียก่อน (ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหา) |
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 มีพระราชประสงค์ที่จะตั้งยอร์คเป็นเมืองหลวงของอังกฤษแต่ก่อนที่จะสำเร็จพระองค์ก็ทรงถูกถอดจากการเป็นพระมหากษัตริย์เสียก่อน หลังจากสงครามดอกกุหลาบ ยอร์คก็กลายเป็นที่ตั้งของสภาแห่งภาคเหนือ (Council of the North) และมีฐานะที่ยอมรับกันว่าเป็นเมืองหลวงของภาคเหนือ จนกระทั่งหลังจากการฟื้นฟูราชวงศ์เท่านั้นที่ความสำคัญทางการเมืองของยอร์คเริ่มลดถอยลง ภาคยอร์กเป็นหนึ่งในภาคคริสตจักรในคริสตจักรแห่งอังกฤษเช่นเดียวกับภาคแคนเทอร์เบอรี
อาสนวิหารยอร์ค อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงในย่านเมืองเก่า |
ยอร์กตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งยอร์ก ซึ่งเป็นพื้นที่ราบที่มีพื้นที่เพาะปลูกอันอุดมสมบูรณ์ ล้อมรอบด้วยเทือกเขาเพนไนน์ นอร์ธยอร์กมัวร์ และยอร์กเชียร์โวลด์ส เมืองนี้สร้างขึ้นที่จุดบรรจบของแม่น้ำ Ouse และ Foss บนจุดจารสุดท้ายที่ทิ้งไว้ในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย
ใจกลางเมืองยอร์กล้อมรอบด้วยกำแพงยุคกลางของเมือง ซึ่งเป็นเส้นทางเดินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอย่างยิ่ง และถือว่าเป็นเป็นแนวกำแพงที่สร้างการป้องกันข้าศึกและมีความสมบูรณ์ที่สุดในอังกฤษ ในเมืองมีกำแพงเพียงแห่งเดียวที่ตั้งอยู่บนกำแพงสูงและยังมีประตูหลักทั้งหมดไว้ ประกอบด้วยส่วนหนึ่งของกำแพงป้อมปราการโรมัน งานนอร์มันและยุคกลางบางส่วน ตลอดจนการบูรณะในศตวรรษที่ 19 และ 20 ที่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้ด้วย (เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/ยอร์ก )
หลังจากที่ได้อ่านสาระน่ารู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเมืองยอร์กไปบ้างแล้ว ก็ตามไปดูรีวิวทริปสั้นๆเที่ยวเมืองยอร์กกันเลยค่ะ
เริ่มต้นการเดินทางทริปนี้ เดี๊ยนเดินทางออกจากโรงแรมที่เมืองแมนเชสเตอร์ มารอรถไฟเพื่อเดินทางไปเมืองยอร์ก |
เริ่มต้นการเดินทางทริปนี้ เดี๊ยนเดินทางออกจากโรงแรมที่เมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อเดินทางมุ่งหน้าไปที่เมืองยอร์ก
โดยระยะทางที่นั่งรถไฟจากสถานีในเมืองแมนเชสเตอร์ ไปยังเมืองยอร์ก ประมาณ 81 ไมล์ ท่าเทียบเป็นกิโลเมตร ก็ประมาณ 140 กิโลเมตรค่ะ
ระหว่างนั่งรถไฟออกจากตัวเมืองมา ก็จะเป็นย่านชนบท เป็นเทือกสวนไร่นาข้าวสาลีมีให้เห็นอยู่ตลอดทาง
และผ่านสถานีรถไฟเล็กๆตามเมืองต่างๆ ดูวิวบ้านเรือนดูทรงสวยงามน่ารัก คล้ายๆบ้านตุ๊กตาคิตตี้เลยค่ะ
จากนั้นก็เปลี่ยนมาขึ้นรถไฟ transpennine express
นอกจากทุ่งนาข้าวสาลีสีเขียวแล้ว ยังมีทุ่งนาข้าวสาลีที่รวงข้าวเริ่มสุก พร้อมเอารถมาเก็บเกี่ยวแล้ว
ใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงสถานีรถไฟเมือง York City แล้วค่ะ
เมื่อมาถึง ก็มาตั้งหลักเปิด GPS ก่อนเลย ว่าจะเดินทางไปโรงแรมที่พักอย่างไร เพราะโรงแรมตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร และจะเดินไปก็ได้ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีค่ะ แต่ถ้าแบกเป้ใบใหญ่ไปไม่ไหวแน่ๆ ทางโรงแรมเลยแนะนำให้นั่งรถบัสโดยสารไปค่ะ
จากที่สอบถามกับทางโรงแรม แจ้งว่าให้ข้ามถนนมา รอขึ้นรถที่ป้ายรถเมลล์
หากเพื่อนคนใหนที่แบกเป้ใบใหญ่มาเหมือนเดี๊ยน หากไปพักโรงแรม Astor York Hostel สามารถนั่งรถบัสโดยสาร สาย 1 หรือสาย 5 ได้ค่ะ |
โดยหากเพื่อนคนใหนที่แบกเป้ใบใหญ่มาเหมือนเดี๊ยน หากไปพักโรงแรม Astor York Hostel สามารถนั่งรถบัสโดยสาร สาย 1 หรือสาย 5 ได้ค่ะ แต่ถ้าใครที่ไม่ได้มีสัมภาระเยอะ มาแค่กระเป๋าใบเล็กๆ แนะนำว่าให้เดินไปดีกว่าค่ะ ประหยัดสตังด้วย โรงแรมอยู่ไม่ไกลมากนักจากสถานีรถไฟ ประมาณ 2 กิโลเมตร
รถนำเที่ยว The Ghost Bus Tour |
ระหว่างยืนรถรถเมล์อยู่ ฝั่งตรงข้าม ก็มีรถนำเที่ยว The Ghost Bus Tour ซึ่งเป็นรถนำเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของเมืองยอร์ก ใครอยากสัมผัสความหลอนๆ ก็มาลองมาใช้บริการรถนำเที่ยวนี้ได้นะคะ แต่ดูทรงแล้ว ไม่ค่อยน่ากลัว ออกจะน่ารักด้วยซ้ำไป ยิ่งช่วงความหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการเยอะมาก
จ่ายค่ารถโดยสารกับคนขับรถได้เลยค่ะ จะมีเครืองสแกนจ่าย ใช้บัตร Trave Card ที่ทำมาจากเมืองไทย จ่ายได้เลย สะดวกมากๆ ส่วนราคาค่าโดยสารไปยังโรงแรม 2.5 ปอนด์ค่ะ ท่าเทียบเป็นเงินไทยก็เกือบๆ ร้อยเลยค่ะ
ใช้เวลานั่งเดินทางไม่นาน ก็ถึงโรงแรม Astor York แล้วค่ะ โดยป้ายรถเมล์ตั้งอยู่เยื้องๆตรงข้ามโรงแรมพอดี แต่ตอนลงต้องเตรียมตัวกดกริ่งให้ดีนะคะ ไม่งั้นนั่งเลยป้ายรถเมล์ไปแน่ๆ
ส่วนที่พักแบบโฮสเทล เอาใจสายแบกเป้ ที่โรงแรมราคาก็จะถูกหน่อยค่ะ บรรยากาศโรงแรมก็นำบ้านมาตกแต่งเป็นที่พักค่ะ เปิดประตูเข้ามาก็เหมือนเข้ามาอยู่ในบ้านเลย
มีทัั้งหมด 6 เตียง ราคาอยู่ที่ 26.10 ปอนด์ต่อคน/คืน ท่าเทียบเป็นเงินไทย ก็ประมาณคืนละ 1160 บาทไทยค่ะ |
โดยราคาห้องพักเป็นแบบ ห้องพักเตียงนอนรวมในห้องเดียวกันค่ะ มีทัั้งหมด 6 เตียง ราคาอยู่ที่ 26.10 ปอนด์ต่อคน/คืน ท่าเทียบเป็นเงินไทย ก็ประมาณคืนละ 1160 บาทไทยค่ะ
ตามภาพที่เห็นคือ สภาพห้องพักค่อนรกรุงรัง เพราะมีลูกค้า่คนอื่นพักอยู่ก่อนแล้วค่ะ ส่วนเดี๊ยนได้เตียงติดริมผนังชั้นบน ส่วนชั้นล่าง มีลูกค้าคนอื่นกำลังนอนอยู่ เลยถ่ายรูปมาเต็มๆไปไม่ได้
ภายในห้องพัก ก็มีห้องน้ำให้ในตัวนะคะ แต่เวลาจะใช้ ก็ต้องรอลูกค้าคนอื่นที่นอนห้องด้วยกัน ออกมาก่อน ถึงจะเข้าไปได้ ถ้าใครปวดหนัก ก็ไปใช้ห้องน้ำข้างล่างได้ค่ะ
ห้องน้ำค่อนข้างคับแคบ และมีกลิ่นอับไปหน่อย เพราะว่าต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับแขกที่นอนในห้องด้วยกัน แต่ไม่เป็นไร นอนพักค้างชั่วคราว แค่พองีบหลับ เดี่ยวก็เดินทางไปเที่ยวเมืองอื่นต่อ
มีมุมให้นั่งทานอาหาร และมีร้านนั่งดริ๊งเล็กๆภายในให้บริการด้วย ดูน่ารักดีค่ะ
ค่าใช้จ่ายบริการเพิ่มเติมของโรแรม หากต้องการซื้อเพิ่ม จ่ายหน้างานได้เลย |
หากใครที่จะมาพักที่นี่ มีบริการต่างๆของโรงแรมให้บริการด้วย บริการฝากกระเป๋าหลังจากเช็คเอาท์แล้ว ตกอยู่ที่ 2 ปอนด์ต่อกระเป๋า แต่ถ้าเช็คเอาท์ล่าช้าก็ 5 ปอนด์ไปเลย
อาหารมื้อค่ำของเดี๊ยนมื้อนี้ ก็ทานแบบง่ายๆ เป็นขนมปังที่พกใส่กระเป๋ามาจากเมืองแมนเชสเตอร์ ต้องนำมาทานให้หมดค่ะ จะได้ประหยัดสตัง |
สำหรับอาหารมื้อค่ำของเดี๊ยนมื้อนี้ ก็ทานแบบง่ายๆ เป็นขนมปังกับชุดผักแซนวิสที่พกใส่กระเป๋ามาจากเมืองแมนเชสเตอร์ ต้องนำมาทานให้หมดค่ะ จะได้ประหยัดสตัง เพราะต้องเดินทางไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ค่าครองชีพที่อังกฤษค่อนข้างสูงมาก
เช้าวันใหม่ในเมืองยอร์ก เช็คเอาท์ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ก็เดินออกจากที่พักไปเที่ยวในตัวเมืองกันค่ะ โดยจุดหมายแห่งแรกที่จะพาเพื่อนๆไปเที่ยวคือ ชมกำแพงเมืองโบราณ York City Walk ซึ่งหากใครมาเที่ยวเมืองยอร์ก ไม่ได้มาเดินชมกำแพงที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึงเลยล่ะะ
จากที่พักเดินมาที่ย่านประตูเมืองเก่า หรือกำแพงเมือง ไม่ไกลมากนัก ประมาณ 10 นาทีก็ถึงค่ะ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่พักที่โรงแรมก็เดินมากัน
ไปเดินเที่ยวชมและเรียนรู้ประวัติศาสตร์กำแพงเมือง York กันค่ะ
กำแพงเมืองเก่าแก่ที่มาตั้งแต่สมัยโรมัน เป็นแนวกําแพงเมืองโบราณที่โอบล้อมเมืองยอร์กไว้ และยังมีสภาพสมบูรณ์จนกระทั่งถึงทุกปัจจุบัน กำแพงเมืองยอร์คจัดได้ว่ายังคงความสมบูรณ์ครบถ้วนยาวหลายไมล์มากกว่าเมืองอื่นๆ ในอังกฤษ
อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ กำแพงเมืองยอร์ก กำแพงบาร์ และกำแพงโรมัน (แม้ว่าสุดท้ายนี้จะเรียกชื่อผิดเนื่องจากงานหินที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยมากมีต้นกำเนิดจากโรมัน และแนวของกำแพงก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตั้งแต่สมัยโรมัน) กำแพงโดยทั่วไปมีความสูง 13 ฟุต (4 ม.) และกว้าง 6 ฟุต (1.8 ม.) เป็นกำแพงเมืองที่ยาวที่สุดในอังกฤษ
โดยแนวกำแพงโรมันที่เหลือทอดยาวไปทางตะวันตกเฉียงใต้จากมุมตะวันออก และข้ามผ่าน Principis ของป้อมปราการ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นที่ตั้งของจัตุรัสคิงส์ และในบริเวณที่ปัจจุบันคือเฟสเกต จากตัวกำแพงทอดยาวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไปยังมุมตะวันตก จุดที่กำแพงตัดข้ามผ่าน praetoria มีแผ่นโลหะทำเครื่องหมายไว้ที่จัตุรัสเซนต์เฮเลนใกล้กับคฤหาสน์เฮาส์
หลังจากยุคการแผ่ขยายของอาณาจักรโรมัน ชาวเดนมาร์กเข้ายึดครองเมืองในปี 867 ในเวลานี้แนวป้องกันกำแพงไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลเท่าที่ควร และชาวเดนมาร์กได้ทำลายหอคอยทั้งหมด ยกเว้นหอคอยมัลแองกูลาร์และบูรณะกำแพงใหม่
ปัจจุบันแนวกำแพงเมืองยอร์ก ถูกจัดให้เป็นกำแพงเมืองเก่าแก่โบราณที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมถ่ายรูป และเข้าไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองเก่าแก่แห่งนี้ ที่ถูกสร้างมาเกือบ 2000 ปี โดยกลายเป็น York City Walk ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดมาเยือนกันเลย
แผนที่แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองยอร์ค ซึ่งที่เที่ยวแต่ละแห่งสามารถเดินเท้าไปหากันได้ไม่ไกลค่ะ |
และนอกจากกำแพงเมืองโบราณแล้ว ในเมืองยอร์ค ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่งเลยค่ะ โดยที่เที่ยวแต่ละแห่งอยู่ใกล้ๆกับ สามารถเดินเท้าเที่ยวชมเมืองได้ด้วยตัวเองค่ะ ซึ่งสำหรับเพื่อนๆคนใหนที่วางแผนมาเที่ยวเมืองยอร์ค แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวที่ใหนดี วันนี้เดี๊ยนเลยสรุป สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเมืองยอร์คมาให้อ่านกันดังนี้
1.อาสนวิหารยอร์ก (York Minster) ถือเป็นอาสนวิหารสไตล์กอธิคที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ |
1.อาสนวิหารยอร์ก (York Minster) ถือเป็นอาสนวิหารสไตล์กอธิคที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ |
1.อาสนวิหารยอร์ก (York Minster) ถือเป็นอาสนวิหารสไตล์กอธิคที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ |
1.อาสนวิหารยอร์ก (York Minster) |
1.อาสนวิหารยอร์ก (York Minster) ถือเป็นอาสนวิหารสไตล์กอธิคที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ |
1.อาสนวิหารยอร์ก (York Minster)
ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียงและโดดเด่นที่สุดอีกแห่ง ที่ใครมาเมืองยอร์ค ต้องได้เห็นมหาวิหารขนาดใหญ่ ซึ่งมีชื่อว่า อาสนวิหารยอร์ก (York Minster) มีชื่อเป็นทางการว่า "อาสนวิหารและคริสตจักรมหานครแห่งนักบุญเปโตรในกรุงยอร์ก" (The Cathedral and Metropolitical Church of St Peter in York) เป็นคริสต์ศาสนสถานประเภทอาสนวิหารที่สร้างเป็นแบบกอธิคที่ใหญ่ ที่เป็นที่สองรองจากอาสนวิหารโคโลญในประเทศเยอรมนี ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป
อาสนวิหารยอร์กตั้งอยู่ที่เมืองยอร์กในยอร์กเชอร์ ทางตอนเหนือของ สหราชอาณาจักร เป็นโบสถ์ประจำตำแหน่งของของอาร์ชบิชอปแห่งยอร์กซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในคริสตจักรแห่งอังกฤษรองจากอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี อาสนวิหารยอร์กถือกันว่าเป็น “high church” ของนิกายแองโกล-คาทอลิก (Anglo-Catholicism) ของคริสตจักรแองกลิคัน (เครดิต : https://th.wikipedia.org/wiki/อาสนวิหารยอร์ก)
2.หอคอยคลิฟฟอร์ดส์ (Clifford's Tower) เป็น 1 ใน 2 ปราสาทที่หลงเหลืออยู่ และยังเคยเป็นศูนย์การการปกครองของอังกฤษฝั่งเหนือ ตั้งอยู่บนเนินเล็กๆใกล้กับย่านถนนคนเดินเมืองเก่า |
2.หอคอยคลิฟฟอร์ดส์ (Clifford's Tower) |
2.หอคอยคลิฟฟอร์ดส์ (Clifford's Tower) เป็น 1 ใน 2 ปราสาทที่หลงเหลืออยู่ และยังเคยเป็นศูนย์การการปกครองของอังกฤษฝั่งเหนือ ตั้งอยู่บนเนินเล็กๆใกล้กับย่านถนนคนเดินเมืองเก่า |
2.หอคอยคลิฟฟอร์ดส์ (Clifford's Tower) เป็น 1 ใน 2 ปราสาทที่หลงเหลืออยู่ และยังเคยเป็นศูนย์การการปกครองของอังกฤษฝั่งเหนือ ตั้งอยู่บนเนินเล็กๆใกล้กับย่านถนนคนเดินเมืองเก่า |
2.หอคอยคลิฟฟอร์ดส์ (Clifford's Tower)
สำหรับหอคอยคลิฟฟอร์ด จัดเป็นหนึ่งในหอคอยที่เก่าแก่อีกแห่ง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากย่านถนนคนเดินเมืองเก่า โดยเป็น 1 ใน 2 ปราสาทที่หลงเหลืออยู่ และยังเคยเป็นศูนย์การการปกครองของอังกฤษฝั่งเหนือ ตั้งอยู่บนเนินเล็กๆใกล้กับย่านถนนคนเดินเมืองเก่า ซึ่งแต่เดิมทีในอดีตเคยเป็นทั้งคุก ปราสาทยอร์ค (York Castle) และป้อมปราการของเมืองยอร์ค ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ร่องรอยอิฐที่เป็นรูปอาคารหักพังอยู่บนเนินดินสูงที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองยอร์ค โดยเปิดบริการให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเดินชม ซึ่งด้านบนหอคอยมีการจัดแสดงนิทรรศการต่างๆของประวัติหอคอยแห่งนี้ และยังเป็นจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ย่านตัวเมืองเก่ายอร์ค
3.วิหารเซนต์ แมรี่ย์ แอบบีย์ (St. Mary’s Abbey) ซากกลุ่มอาคารนิกายเบเนดิกตินที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิลเลียมในศตวรรษที่ 11 แอบบีย์อันใหญ่โต และในอดีตก่อนที่จะกลายเป็นซากปรับหักพังตามภาพที่เห็น |
3.วิหารเซนต์ แมรี่ย์ แอบบีย์ (St. Mary’s Abbey) ซากกลุ่มอาคารนิกายเบเนดิกตินที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิลเลียมในศตวรรษที่ 11 แอบบีย์อันใหญ่โต และในอดีตก่อนที่จะกลายเป็นซากปรับหักพังตามภาพที่เห็น |
3.วิหารเซนต์ แมรี่ย์ แอบบีย์ (St. Mary’s Abbey) ซากกลุ่มอาคารนิกายเบเนดิกตินที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิลเลียมในศตวรรษที่ 11 แอบบีย์อันใหญ่โต และในอดีตก่อนที่จะกลายเป็นซากปรับหักพังตามภาพที่เห็น |
3.วิหารเซนต์ แมรี่ย์ แอบบีย์ (St. Mary’s Abbey) ซากกลุ่มอาคารนิกายเบเนดิกตินที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิลเลียมในศตวรรษที่ 11 แอบบีย์อันใหญ่โต และในอดีตก่อนที่จะกลายเป็นซากปรับหักพังตามภาพที่เห็น |
3.วิหารเซนต์ แมรี่ย์ แอบบีย์ (St. Mary’s Abbey) ซากกลุ่มอาคารนิกายเบเนดิกตินที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิลเลียมในศตวรรษที่ 11 แอบบีย์อันใหญ่โต และในอดีตก่อนที่จะกลายเป็นซากปรับหักพังตามภาพที่เห็น |
3.วิหารเซนต์ แมรี่ย์ แอบบีย์ (St. Mary’s Abbey)
จัดเป็นวิหารเก่าแก่ อยู่ในกลุ่มซากอาคารโบราณสถานที่สำคัญของเมืองยอร์ค โดยวิหารเซนต์ แมรี่ย์ แอบบีย์ นั้นตั้งอยู่ในสวนใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์ยอร์ก มีพื้นที่กว้างใหญ่ พร้อมทัศนียภาพที่สวยงาม วิหารเซนต์แมรีส์แอบบีย์ ซากกลุ่มอาคารนิกายเบเนดิกตินที่มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิลเลียมในศตวรรษที่ 11 แอบบีย์อันใหญ่โต และในอดีตก่อนที่จะกลายเป็นซากปรับหักพังตามภาพที่เห็นนั้น เคยเป็นอารามที่ยิ่งใหญ่และหรูหรามากที่สุดของประเทศ จนกระทั่ง พระเจ้าเฮนรีที่ 8 ปฏิรูปโบสถ์ในทศวรรษ 1500 มีผลให้ถูกยกเลิกใช้งาน และชาวบ้านมาขนหินเพื่อไปต่อเติมบ้านของตัวเอง ปัจจุบันซากปรักหักพัง กำแพงบางส่วน รวมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของตัวอาคาร King’s Manor เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยยอร์ก จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
4.ถนนคนเดินแชมเบิ้ล (The Shambles) ถนนสายเก่าแก่ในยุคกลางใจกลางเมืองยอร์ก ที่เต็มไปด้วยร้านค้า และอาคารบ้าเรือนเก่าแก่มากมาย |
4.ถนนคนเดินแชมเบิ้ล (The Shambles) ถนนสายเก่าแก่ในยุคกลางใจกลางเมืองยอร์ก ที่เต็มไปด้วยร้านค้า และอาคารบ้าเรือนเก่าแก่มากมาย |
4.ถนนคนเดินแชมเบิ้ล (The Shambles) ถนนสายเก่าแก่ในยุคกลางใจกลางเมืองยอร์ก ที่เต็มไปด้วยร้านค้า และอาคารบ้าเรือนเก่าแก่มากมาย |
4.ถนนคนเดินแชมเบิ้ล (The Shambles) ถนนสายเก่าแก่ในยุคกลางใจกลางเมืองยอร์ก ที่เต็มไปด้วยร้านค้า และอาคารบ้าเรือนเก่าแก่มากมาย |
4.ถนนคนเดินแชมเบิ้ล (The Shambles) ถนนสายเก่าแก่ในยุคกลางใจกลางเมืองยอร์ก ที่เต็มไปด้วยร้านค้า และอาคารบ้าเรือนเก่าแก่มากมาย |
4.ถนนคนเดินแชมเบิ้ล (The Shambles) ถนน
และสำหรับสายเที่ยวคนใหน ที่เดินทางมาเที่ยวเมืองยอร์คแล้ว ไม่ได้มาเช็คอินเดินชมถนนแชมเบิ้ล ถือว่ามาไม่ถึงเมืองยอร์คเลยล่ะค่ะ เพราะ แชมเบิลส์ คือ ถนนสายเก่าแก่ในยุคกลางใจกลางเมืองยอร์ก ที่เต็มไปด้วยร้านค้า และอาคารบ้าเรือนเก่าแก่มากมาย โดยตัวถนนนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำเอาส์ใจกลางเมืองยอร์ก โดยอยู่ระหว่างวิหารเซนต์แมรีส์แอบบีย์และหอคอยคลิฟฟอร์ดส์
ถนนแชมเบิลส์เป็นถนนสายเก่าในยอร์ก สันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยคริตศตวรรษที่ 14 เนื่องจากการตกแต่งตัวอาคารที่มี Fleshammels ยื่นอยู่ใต้ชายคาไว้แขวนโชว์เนื้อสัตว์นั่นเอง
โดยชื่อ “แชมเบิลส์” มาจากคำว่า “Fleshhammels” (เฟลชแฮมเมลส์) ในภาษาแซกซอน ซึ่งมีที่มาจากการเป็นย่านชำแหละสัตว์ในอดีต
ซึ่งผังถนนที่ยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร มีแกลเลอรี และร้านขายของที่ระลึกกระจายตัวอยู่ตลอดแนวถนนแคบๆ ถนนแชมเบิลส์ ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำตรอก Diagon Alley ในภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter ที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้วย และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เมืองยอร์กแกลายเป็นสถานที่่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงของอังกฤษมากขึ้น โดยทีมงานกูเกิลสตรีทได้โหวตให้สถานที่แห่งนี้ กลายเป็นถนนที่งดงามที่สุดในประเทศอังกฤษอีกด้วย
5.สวนสาธารณะพิพิธภัณฑ์แห่งยอร์ค (York Museum Gardens) |
5.สวนสาธารณะพิพิธภัณฑ์แห่งยอร์ค (York Museum Gardens) |
5.สวนสาธารณะพิพิธภัณฑ์แห่งยอร์ค (York Museum Gardens) |
5.สวนสาธารณะพิพิธภัณฑ์แห่งยอร์ค (York Museum Gardens) |
5.สวนสาธารณะพิพิธภัณฑ์แห่งยอร์ค (York Museum Gardens) |
5.สวนสาธารณะพิพิธภัณฑ์แห่งยอร์ค (York Museum Gardens) |
5.สวนสาธารณะพิพิธภัณฑ์แห่งยอร์ค (York Museum Gardens)
สวนพิพิธภัณฑ์แห่งยอร์ก ถือว่าเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองที่ติดอยู่กับแม่น้ำอูส Ouse ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 10 เอเคอร์รวมบริเวณโบสถ์เซนต์แมรี่ (St Mary’s Abbey) ที่ถูกสร้างขึ้นในยุค 1830 โดยเป็นพื้นที่สีเขียวที่เต็มไปด้วยต้นไม้และพันธุ์พืชหลากหลาย ภายในสวนเป็นที่ตั้งของโบราณสถาน ซากปรักหักพังของโบถส์ในยุคกลางอย่าง St Mary Abbey กำแพงและหอคอยจากยุคโรมัน รวมถึงพิพิธภัณฑ์แห่งแรกในประเทศอังกฤษสร้างขึ้นมาเพื่อเก็บชิ้นส่วนและวัตถุทางประวัติศาสตร์ ‘Yorkshire Museum’ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชมและเรียนรู้เรื่องราวที่น่าใจด้วย
6.พิพิธภัณฑ์ปราสาทแห่งเมืองยอร์ค (York Castle Museum) |
6.พิพิธภัณฑ์ปราสาทแห่งเมืองยอร์ค (York Castle Museum) |
6.พิพิธภัณฑ์ปราสาทแห่งเมืองยอร์ค (York Castle Museum) |
6.พิพิธภัณฑ์ปราสาทแห่งเมืองยอร์ค (York Castle Museum) |
6.พิพิธภัณฑ์ปราสาทแห่งเมืองยอร์ค (York Castle Museum) ค่าเข้าชมผู้ใหญ่คนละ 16 ปอนด์ |
6.พิพิธภัณฑ์ปราสาทแห่งเมืองยอร์ค (York Castle Museum)
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจ ตัั้งอยู่ใกล้ๆกับ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้น หอคอยคลิฟฟอร์ดส์ (Clifford's Tower) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดย John L. Kirk ในปี 1938 และตั้งอยู่ภายในเรือนจำเก่าของปราสาทสมัยศตวรรษที่ 11 ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์เป็นประตูประตูเมืองบูทแธม ที่เป็นประตูเข้าไปในย่านตัวเมืองเก่า จัดแสดงนิทรรศการต่างๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งครอบคลุมยุคจาโคเบียนและยุควิกตอเรียจนถึงศตวรรษที่ 20 นักโบราณคดีค้นพบพิพิธภัณฑ์ในอาคารเรือนจำสมัยศตวรรษที่ 18 ในปี 1938 สัมผัสบรรยากาศชีวิตนักโทษ ขณะที่คุณเดินผ่านระเบียงอันน่ากลัว ภายในพิพิธภัณฑ์มีแกลเลอรีแบบถาวรหลายแห่ง และนิทรรศการหมุนเวียน มีพื้นที่เด็กเล่น Teddy Trail พื้นที่ส่วน The Sixties เป็นอีกสถานที่ยอดนิยมภายในพิพิธภัณฑ์ เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่วงการดนตรีและศิลปะก่อให้เกิดขึ้นในสังคมอังกฤษในยุค 60 เรียกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ที่ไม่ควรพลาดไปเลยล่ะค่ะ
7.พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองยอร์ค (York Art Gallery) |
7.พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองยอร์ค (York Art Gallery) |
7.พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองยอร์ค (York Art Gallery) |
7.พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองยอร์ค (York Art Gallery) |
7.พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเมืองยอร์ค (York Art Gallery)
จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงภาพแกลอรี่และศิลปะของเมืองยอร์ค มีภาคคอลเลกชั่น สะสมภาพวาดตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 มาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาพพิมพ์ ภาพวาดใช้สีน้ำ และยังมีเครื่องเซรามิกที่จัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชมกันด้วย
แต่หากใครที่มาเที่ยวคนเดียวแบบนี้ บางครั้งเดินหลงทางก็มี เพราะมีซอกตรอกซอยทะลุหากันได้หมด นึกถึงเขาวงกตเลยค่ะ
ก่อนจะเดินกลับโรงแรม ก็แวะนั่งพักชมวิวแม่น้ำอูส ( river ouse) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองยอร์ค |
และก่อนจะเดินกลับโรงแรม ก็แวะนั่งพักชมวิวแม่น้ำอูส ( river ouse) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองยอร์ค บริเวณทางเดินมีจุดให้นั่งพัก และมีท่าเรือคอยให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย
ขอบพระคุณผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาสไลด์เลื่อนชมกันค่ะ หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในบทความถัดๆไปค่ะ....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
0 ความคิดเห็น