สวีดัด สวัสดีคุณผู้อ่านทุกๆคน รวมทั้งเพื่อนที่รักการทัศนาจร อรชร อ้อนแอ้น สุดสะแนน แสนโสภา ที่กำลังเริงร่า ช่ะช่ะช่าหัวใจอยู่บนโลกออนไลน์ ณ ขณะนี้จ้า ก็กลับมาพบทักทายกันอีกครั้งค่ะ กับบทความบล็อกรีวิวท่องเที่ยว ที่จะมาแบ่งปันภาพการเดินทาง ที่เที่ยว อาหาร การกิน แบบธรรมดา ธรรมด๊า มาให้ได้สไลด์อ่านกัน แต่กว่าจะมานั่งเขียนได้ เดี๊ยนก็มัวแต่สาระวนอยู่กับจัดการงานประจำให้เสร็จก่อนค่ะ และทริปเดือนนี้ก็ไม่ได้ไปเที่ยวใหนไกลจ้า เพราะเป็นทริปรีวิวเที่ยวเวียดนามด้วยตัวเอง ซึ่งเขียนต่อจากรีวิวก่อนหน้านี้
โดยบันทึกการเดินทางเที่ยวไปตามภาพทริปนี้ เดี๊ยนคุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า หลังจากเลิกงานประจำเสร็จก็ขอมาแบ่งปันรีวิวทริปเที่ยวเมืองดานั่ง เว้ ฮอยอัน มาให้เพื่อนๆที่กำลังวางแผนปักหมุด หยุดงานไปเที่ยวประเทศเวียดนามได้อ่านกัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนเรา ที่เดินทางไปง่าย มีที่เที่ยวเปิดใหม่ มาให้ได้ไปสัมผัสภาษา วัฒธรรม วิถีชีวิต และอาหารการกินที่ไม่ได้เหมือนบ้านเรานักให้ได้ไปเที่ยวแลกเปลี่ยนประสมบการณ์ใหม่ๆกันค่ะ
ซึ่งโปรแกรมเที่ยวเมืองดานั่ง เว้ ฮอยอัน ก็เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของนักเดินทางชาวไทยที่ปักหมุดไปเที่ยวกัน เนื่องจากมีสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง และสามารถวางแผนการเดินทางไปเที่ยวได้ด้วยตัวเองได้ง่ายๆด้วย อีกทั้งยังสามารถเลือกเดินทางโดยสารด้วยตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเดินทางด้วยรถบัสโดยสาร หรือว่ารถไฟ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์เดินทางในต่างแดน ที่ต้องฝึกพูดภาษาเวียดนามไปด้วย และถ้าเข้าไปพักตามโรงแรมหรือแหล่งท่องเที่ยวก็จะได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษอีกด้วยล่ะค่ะ
เดี๊ยนเองก็ยังไม่เคยมาเที่ยวเมืองดานังมาก่อนด้วย เห็นแต่เพื่อนๆและคนในที่ทำงานไปกันมาหลายคนล่ะ จำได้ว่ามาเที่ยวเวียดนามล่าสุดก็ไปเที่ยวที่โฮจิมินทร์ จากทริปที่เคยเขียนไว้หลายปีมาแล้วค่ะ จากนั้นก็ไม่ได้ไปอีกเลย จนกระทั่งมีการเปิดประเทศให้เที่ยว หลังโควิด19 คลี่คลาย ถึงได้วางแผนไปเที่ยวเวียดนามอีกครั้ง เลยปักหมุดมาเที่ยวดานัง เว้ ฮอยฮัน 3 เมืองท่องเที่ยวสุดฮิตที่มีชื่อเสียงมานาน อยากมาเที่ยวให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งจ้า ว่าจะสวยปังอลังการแค่ใหน มาม๊ะ....ไปเที่ยวกันเลย
จากนั้นพอรถไฟประกาศเทียบที่ชานชลาสถานีเมืองเว้ เดี๊ยนก็ดีใจสุดๆ เพราะจะได้ลงจากรถแล้วค่ะ พอลงจากรถไฟมาก็มาตั้งหลัก ระหว่างรอเปิดมือถือ ก็จะมีคนขับรถแท๊กซี่มากมาย กวักมือเรียกให้ขึ้นรถค่ะ ระหว่างทีรถให้ผู้โดยสารคนอื่นๆไปก่อน เดี๊ยนเลยออกมาเดินหาดูของฝากที่สถานีรถไฟเมืองเว้ดูว่ามีอะไรบ้าง
|
กินของฝากที่เว้ ส่วนใหญ่เป็นขนมของกิน มีให้เลือกหลากหลาย โดยเป็นของฝากพื้นถิ่นของที่นี่ค่ะ ราคาก็ลองต่อรองกับแม่ค้าดูค่ะ |
อาหารของกินของฝากที่เว้ ส่วนใหญ่เป็นขนมของกิน มีให้เลือกหลากหลาย โดยเป็นของฝากพื้นถิ่นของที่นี่ค่ะ ราคาก็ลองต่อรองกับแม่ค้าดูค่ะ แต่เดี๊ยนเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติคนหนึ่งพยายามต่อรองราคากับแม่ค้าที่นี่อยู่นานพอสมควร เหมือนจะทะเลาะกันเลย เพราะว่าแม่ค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ก็ได้โชว์แต่เครื่องคิดเลขและแสดงธนบัตเป็นเงินมาให้ดู ตอนแรกเดี๊ยนกะว่าจะซื่อขนมของฝากติดกระเป๋าไปสักหน่อย แต่เห็นชาวต่างชาติคนนั้นแล้ว เลยเก็บตังไว้ซื้อของฝากตามร้านค้าที่ดานังและฮอยอันดีกว่า
เมื่อเดินผ่านประตูออกมา ก็มาถ่ายรูปหน้าสถานีรถไฟเมืองเว้ เป็นที่ระลึกให้ระทึกหัวใจสักเล็กน้อย ระหว่างที่เปิดแอปเรียกรถแท็กซี่จาก Grab Car ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็แนะนำให้เรียกรถจากแกร็ปเพราะมีราคาระบุตำแหน่งจากจุดที่ขึ้นรถไปไปยังไปสถานที่ปลายทางหรือโรงแรมที่พักให้ชัดเจนค่ะ
|
ซึ่งโรงแรมที่เลือกพักคืนนี้ เดี๊ยนมานอนพักที่โรงแรม อาเชียน การ์เดน โฮมสเตย์ เว้ (Asean Garden Homestay Hue) |
โดยระยะทางนั่งรถแท๊กซี่แกร็ปจากสถานีรถไฟเมืองเว้ มาที่โรงแรมประมาณ 2.9 กิโลเมตร ราคารถแท๊กซี่อยู่ที่ 52000 ดอง หรือประมาณ 80 บาทค่ะ ซึ่งโรงแรมที่เลือกพักคืนนี้ เดี๊ยนมานอนพักที่โรงแรม อาเชียน การ์เดน โฮมสเตย์ เว้ (Asean Garden Homestay Hue) เป็นที่พักอยู่ใกล้พระราชวังเว้ และราคาถู หลักร้อย ไม่แพง ตกคืนละ 607 บาท/ห้อง
|
พักที่โรงแรม อาเชียน การ์เดน โฮมสเตย์ เว้ (Asean Garden Homestay Hue) |
ภายในบริเวณที่พักก็ดูสะอาดสะอ้าน และไม่วุ่นวายด้วย แต่ช่วงที่ไปตรงบริเวณหน้าโรงแรมมีการปรับปรุงทำถนนใหม่ ทำให้มีฝุ่นเยอะมากๆ
|
ที่พักอยู่ใกล้พระราชวังเว้ โดยห้องพักตกคืนละ 607 บาท ห้องกว้างขวาง สะอาดสะอ้าน |
โดยห้องพักก็เป็นห้อง 2 เตียง ทางพนักงานก็อัพเกรดห้องให้เป็นห้องนอน 3 คนเลยค่ะ เพราะห้องใหญ่กว่าแบบธรรมดา และอยู่ชั้นล่าง ไม่ต้องขึ้นไปนอนชั้นบน ราคาห้องคืนละ 607 บาท สำหรับนอน 2 คน
ห้องน้ำส่วนตัว มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ ถือว่าดีทีเดียว สะอาดสะอ้าน มีห้องน้ำให้ในตัว เหมาะกับการพักค้างแรมชั่วคราว ในราคาไม่แพงค่ะ
|
อาหารค่ำมื้อนี้ ก็ไม่ได้ไปกินใหนไกล เพราะว่าติดกับโรงแรมที่พัก มีร้านขายอาหารด้วย อารมณ์ประมาณร้านขายก๋วยเตี่ยวหรือก๋วยจั๊บเลยค่ะ |
ส่วนอาหารค่ำมื้อนี้ ก็ไม่ได้ไปกินใหนไกล เพราะว่าติดกับโรงแรมที่พัก มีร้านขายอาหารด้วย อารมณ์ประมาณร้านขายก๋วยเตี่ยวหรือก๋วยจั๊บเลยค่ะ แต่กว่าจะสื่อสารกับป้าคนขายได้ ต้องเรียกพนักงานโรงแรมมาช่วยเป็นล่ามให้ เพราะป้าอ่านตัวหนังสือจาก Google Tranlsate ที่เดี๊ยนแปลให้ไม่ได้
หลังจากสั่งอาหารเสร็จ มานั่งรถอาหารที่โต๊ะ เป็นโต๊ะนั่งเล่น บนโต๊ะมีแหนมสด มีเครื่องปรุงและเครื่องเคียงไว้ขายเพิ่มด้วย
|
มีพริกไทย เกลือ ผงชูรส และน้ำปลาพริกให้ คล้ายน้ำพริกจิ้มแจ๋วอีสานเลยค่ะ แต่รสชาติออกเค็มนัวๆ |
มองไปในเครื่องปรุง มีพริกไทย เกลือ ผงชูรส และน้ำปลาพริกให้ คล้ายน้ำพริกจิ้มแจ๋วอีสานเลยค่ะ แต่รสชาติออกเค็มนัวๆ
|
อาหารเวียดนามที่เมืองเว้ |
รอป้านั่งทำอยู่ประมาณ 10 นาที อาหารก็มาลักษณะเหมือนทานอุด้งที่ญี่ปุ่นเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเมนูนี้เรียกว่าอะไร คุณป้าบอกไว้ แต่เดี๊ยนก็ลืมไปแล้ว จำชื่อยากเหลือเกิน
ลักษณะเป็นอุด้งลูกชิ้นปลา มีไข่นกกระทา รสชาติออกเค็มๆ แต่คาวไปหน่อย หากจะกินกลบกลิ่นคาวของปลา แนะนำให้ใส่พริกไทยลงไปเยอะๆ อร่อยทีเดียวค่ะ ถือว่าเป็นอาหารเติมพลังมื้อเย็นได้เป็นอย่างดี หลังจากที่ขับรถมอเตอร์ไซต์เที่ยวฟองญา และต้องเดินทางนั่งรถไฟมาที่เมืองเว้ ....หมดไป 1 วัน
-------วันที่ 3 (Day 3)-------
เช้าวันใหม่ในการเดินทางเที่ยวเวียดนามวันที่ 3 ตื่นเช้ามาออกมาเดินดูบรรยากาศหน้าที่พัก เป็นโฮมสเตย์เล็กๆ เหมือนบ้านพักแบบครอบครัว แต่ด้านในเปิดเป็นห้องให้พักมีหลายห้องทีเดียว
ส่วนด้านหน้าโรงแรมก็ตามภาพที่เห็นค่ะ มีการปรับปรุงถนนหนทาง ทำให้ฝุ่นเยอะทีเดียว บางบ้านเห็นมีการฉีดน้ำพรมมาที่ถนนเพื่อลดปริมาณฝุ่นที่จะเข้าไปในบ้าน
วันนี้วางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวพระราชวังเว้ และก่อนจะไปก็ออกไปหาอะไรทานมื้อเช้าก่อนค่ะ
เดินไปเดินมา เจอคุณป้ากำลังปอกสับปะรดเพื่อนำมาเสียบไม้ขายอยู่ เลยขอซื้อ 1 ไม้ ป้าขายไม้ละ 20,000 ดองจ้า หรือตกไม้ละ 30 บาทค่ะ ทานเรียกน้ำเยอะก่อนสักคำ สองคำ
และไม่ไกลนักจากที่พักก็มีร้านขายอาหารแบบยำๆอยู่ เดี๊ยนเห็นวิธีทำแล้วน่าจะอร่อย เพราะใส่ถุงมือหยิบจับดูน่าทานดี เลยขอไปลิ้มลองทานค่ะ
อาหารเช้ามื้อนี้ที่เมืองเว้ เหมือนยำขนมจีนค่ะ ในชามมีเส้นเหมือนขนมจีน มีถั่วลิสงคั่ว แคปหมู ปรุงด้วยน้ำมันพริกเผา รสชาติอร่อยทีเดียว เค็มๆ มัน เหมือนกินยำ แต่ไม่มีมะนาว เหมือนเอาขนมจีนมาทานกับน้ำพริกเผาแบบนั้นเลย
มื้อเช้านี้ เดี๊ยนทานไปหลายจานเลยค่ะ รสชาติอร่อยๆ เค็ม นัวๆ ทานแล้วดื่มน้ำเยอะๆตามด้วยนะคะ
หมดไปชามละ 12,000 ดอง รวมค่าเสียหาย 5 x 12,000 = 60,000 ดอง
หลังจากทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาเที่ยวพระราชวังแล้วค่ะ
|
รถสามล้อถีบเวียดนามที่เมืองเว้ เรียกว่า ซิโคล่ Cyclo |
ใกล้ๆกับพระราชวังเว้ ก็มีรถล้ามล้อถีบให้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก เวียดนามมีสามล้อถีบชื่อ “แซบาแบ้ง” หรือที่นิยมเรียกว่า ซิโคล่ (Cyclo) เป็นรถสามล้อที่นักท่องเที่ยวนิยมมานั่งรถชมเมืองเว้กันเป็นจำนวนมาก
|
ป้อมปราการเมืองหลวงเว้ (Kinh Thah Hue) |
เดินทางมาถ่ายรูปที่ป้อมปราการเมืองหลวงเว้ (Kinh Thah Hue) กำแพงด้านนอกสุดสร้างด้วยหิน อิฐ และดิน สูง 8 เมตร หนา 20 เมตร ยาว 10 กิโลเมตร มีทางเข้า 10 ทาง และมีป้อมระวังภัย 24 ป้อม ล้อมรอบด้วยคูน้ำอีกหนึ่งชั้น ตรงกำแพงด้านใต้ที่หันหน้าเห็นแม่น้ำคือหอธงขนาดใหญ่ สูงเด่น มองเห็นได้จากทุกมุมของเมือง
เนื่องจากพระราชวังเว้มีขนาดใหญ่ ทำให้มีหลายโซน และมีหลายราคาให้เลือกไปท่องเที่ยว
|
เที่ยวโซนราคาถูกที่สุด ราคาค่าเข้า 200,000 ดอง เป็นราคา Price of Ticket to Royal Palace |
ส่วนเดี๊ยนเลือกเที่ยวโซนราคาถูกที่สุด ราคาค่าเข้า 200,000 ดอง เป็นราคา Price of Ticket to Royal Palace
|
พระราชวังเว้ได้รับอิทธิพลมาจากจีน เพราะเคยถูกจีนปกครองมาก่อนนานนับพันปี ความน่าสนใจของพระราชวังแห่งนี้คือเคยถูกฝรั่งเศสเผาในปี พ.ศ. 2488 ทำให้กลายเป็นวังร้าง |
สำหรับพระราชเว้เป็นตั้งอยู่ที่เมืองเว้ จังหวัด Thua Thien Hue พระราชวังเว้ได้รับอิทธิพลมาจากจีน เพราะเคยถูกจีนปกครองมาก่อนนานนับพันปี ความน่าสนใจของพระราชวังแห่งนี้คือเคยถูกฝรั่งเศสเผาในปี พ.ศ. 2488 ทำให้กลายเป็นวังร้าง และต่อมาในปีพ.ศ.2511 ก็ถูกสหรัฐทิ้งระเบิด เนื่องจากเป็นที่ซ่องสุมของคอมมิวนิสต์
|
องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้เข้ามาบูรณะและขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ. 2536 |
จนกระทั่งองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้เข้ามาบูรณะและขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ. 2536 พระราชวังเว้มีพื้นที่กว่า 5.2 ตารางกิโลเมตร และมีกำแพงสร้างล้อมรอบถึง 3 ชั้น ที่นี่จึงถูกเรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า Imperial Citadel “Imperial” หมายถึงจักรพรรดิ ส่วน “Citadel” คือป้อมปราการ
|
สิ่งก่อสร้างที่สร้างในบริเวณกำแพงชั้นนี้ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าซาลอง โดยสร้างเลียนแบบพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่ง |
ป้อมปราการชั้นที่ 2 คือ ป้อมปราการหลวง (Hoang Thanh) สูง 6 เมตร สำหรับป้องกันพื้นที่ขนาดเล็กกว่า ล้อมรอบพระราชฐาน วัง วัด และอุทยาน สิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการชมจะอยู่ในเขตกำแพงชั้นในนี้ สิ่งก่อสร้างที่สร้างในบริเวณกำแพงชั้นนี้ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าซาลอง โดยสร้างเลียนแบบพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่ง
|
ด้านบนประตูมีหอคอยห้าปักษาวายุภักษ์ (เหลิ่วงู้ฟุ่ง) หลังคาตกแต่งด้วยกระเบื้องสีสันสดใส ตรงกลางใช้สีเหลือง ด้านข้างใช้สีเขียว เคยถูกใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิเมื่อเสด็จมาประกอบพิธีกรรมต่างๆ |
ภายในวัง มีประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศตกแต่งอย่างงดงาม ด้านบนประตูมีหอคอยห้าปักษาวายุภักษ์ (เหลิ่วงู้ฟุ่ง) หลังคาตกแต่งด้วยกระเบื้องสีสันสดใส ตรงกลางใช้สีเหลือง ด้านข้างใช้สีเขียว เคยถูกใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิเมื่อเสด็จมาประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในอดีตที่ประตูทางทิศใต้ซึ่งเป็นจุดจำหน่ายขายตั๋ว ถูกใช้เป็นทางเข้าออกสำหรับกษัตริย์เท่านั้น ปัจจุบันประตูเมืองทั้งสี่ประตูเปิดให้ประชาชนสามารถสัญจร
ป้อมปราการชั้นที่ 3 คือ ป้อมปราการต้องห้าม (Tu Cam Thanh) ภายในกำแพงเป็นที่ประทับของกษัตริย์ทั้ง 13 พระองค์ ในราชวงศ์เหงียนและครอบครัว
โดยในเขตพระราชวังก็มีโบราณสถานสำคัญหลายแห่ง ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชมและได้เรียนรู้อย่างน่าสนใจ
ซากของโบราณสถานภายในพระราชวัง ที่ถูกทำลายจากระเบิดในช่วงสงครามโลก ถือเป็นพระราชวังต้องห้ามพลาด ที่คนชอบเที่ยวชมวัง ต้องมาเดินชมกันสักครั้งค่ะ
|
เคยเป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345–2488 มีชื่อเสียงจากโบราณสถานที่มีอยู่ทั่วเมือง จำนวนประชากรอยู่ที่ประมาณ 340,000 คน ภายในพระราชวังยังมีภาพของกษัตริย์ราชวังเหงี่ยน |
|
เดินชมโบราณสถานภายในพระราชวังเว้ |
|
ภายในพระราชวังเว้ |
เดินออกจากพระราชวังมา ก็ยังมีมุมถ่ายรูปอื่นๆ ให้แวะชมด้วย
และอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งที่ไม่ควรพลาดคือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และการปฏิวัติของเว้
|
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเว้ |
ซึ่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเว้ ภายในจัดแสดง สถานที่จัดแสดงโบราณวัตถุสมัยราชวงศ์เหงียน โดยเป็นสถาปัตยกรรมแบบวังที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองเว้ ไว้ให้ชมอย่างสวยงาม บริเวณภายนอกอาคารสามารถถ่ายรูปได้ แต่ด้านในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพหรือบันทีกวีดีโอใดๆค่ะ
หลังจากได้เดินเที่ยวชมพระราชวังเว้แล้ว ก็ออกไปหาอาหารเที่ยงทาน โดยในช่วงกลางวัน มีร้านอาหารให้เลือกทานหลายแห่ง และใกล้ๆกับที่พักก็มีร้านอาหารเจให้ทานด้วย เลยไปลิ้มลองทาน รสชาติอร่อยดี และไม่แพงด้วยค่ะ รวมอาหารมื้อนี้ หมดไป 50,000 ดอง
|
อาหารราคาไม่แพง คนขายยิ้มแย้ม ดูเอาใจใส่ลูกค้ามากๆ เดี๊ยนให้คะแนนเต็ม 10 ไปเลย |
ภายในร้านอาหารเจ้แห่งนี้ก็มีโต๊ะเก้าอี้นั่งให้นั่งสะดวก มีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนเวียดนามมาทาน ดูสะอาดสะอ้านดี และอาหารราคาไม่แพง คนขายยิ้มแย้ม ดูเอาใจใส่ลูกค้ามากๆ เดี๊ยนชอบมากๆ ให้คะแนนเต็ม 10 ไปเลย
|
โดยการเดินทางไปเมืองฮอยกัน เดี๊ยนก็เลือกใช้บริการรถโดยสาร ซื้อตั๋วจากที่พักเลยค่ะ เนื่องจากสะดวกดี |
หลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงอิ่มแล้ว ก็เช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก เพื่อเดินทางต่อไปเที่ยวที่เมืองฮอยอัน โดยการเดินทางไปเมืองฮอยกัน เดี๊ยนก็เลือกใช้บริการรถโดยสาร ซื้อตั๋วจากที่พักเลยค่ะ เนื่องจากสะดวกดี โดยทางที่พักจะเป็นคนจัดการให้ ทั้งติดต่อรถบัสและมีรถแท๊กซี่มารับส่ง
|
ตอนแรกนึกว่าไปส่งที่สถานีขนส่งคล้ายๆเมืองดานัง แต่มาส่งที่บริษัทรถบัสโดยสารลิมูซีนแทน |
โดยรถแท๊กซี่ะมารับลูกค้าที่โรงแรมและไปส่งเราทีบริษัทรถบัสโดยสารค่ะ ตอนแรกนึกว่าไปส่งที่สถานีขนส่งคล้ายๆเมืองดานัง แต่มาส่งที่บริษัทรถบัสโดยสารลิมูซีนแทน มาถึงทางคนขับแท๊กซี่ก็มีการติดต่อโทรกับบริษัทรถเพื่อมาส่งเราที่นี่ค่ะ
|
ส่วนราคารถบัสโดยสารอยู่ที่คนละ 375 บาท โดยเป็นราคาที่รวมแท๊กซี่+ค่ารถไปเมืองฮอยอันแล้วค่ะ |
ซึ่งเป็นรถบัสโดยสารแบบนอนเหมือนกับทริปที่เดินทางเมื่อวานเลยค่ะ แต่รถนี้สีหวานแหว๋วกว่า ส่วนราคารถบัสโดยสารอยู่ที่คนละ 375 บาท โดยเป็นราคาที่รวมแท๊กซี่+ค่ารถไปเมืองฮอยอันแล้วค่ะ ก็เลยไม่รู้ราคาจริงของรถบัสที่นั่งจากเว้ไปฮอยอันค่ะ แต่เอาเป็นว่าซื้อตั๋วโดยสารกับโรงแรมก็สะดวกดี
|
ข้อเสียของการนั่งรถแบบนอนคือ ไม่มีห้องน้ำค่ะ ถ้าปวดต้องอั้นไว้นะคะ แต่เคยอ่านกระทู้ของชาวต่างชาติบอกว่า บางคนปวดฉี่มากทนไม่ไหว ฉี่ใส่ขวดก็มี แต่ถ้าปวดขี้ขึ้นมานี้ คงลำบากแน่ๆ |
แต่ข้อเสียของการนั่งรถแบบนอนคือ ไม่มีห้องน้ำค่ะ ถ้าปวดต้องอั้นไว้นะคะ แต่เคยอ่านกระทู้ของชาวต่างชาติบอกว่า บางคนปวดฉี่มากทนไม่ไหว ฉี่ใส่ขวดก็มี แต่ถ้าปวดขี้ขึ้นมานี้ หรือทุกข์หนักอยากอุจจาระถ่ายท้อง เห็นจะลำบาก ถ้าขี้ใส่ถุง คงจะส่งกลิ่นคละคลุ้งหอมหวนไปทั่วรถโดยสาร ดูไม่เป็นที่สมควรนักที่จะกระทำ
|
ใช้เวลาเดินทางออกจากเมืองเว้ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงเมืองฮอยอันแล้วค่ะ |
หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางออกจากเมืองเว้ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็เดินทางมาถึงเมืองฮอยอันแล้วค่ะ รถมาส่งบริเวณจุดท่องเที่ยวใหผู้โดยสารเดินไปเองได้ มาถึงจุดนี้ เอากระเป๋าเสร็จ เดี๊ยนเลยต้องเปิดพิกัด GPS ในมือถือ เพื่อหาตำแหน่งไปยังโรงแรมต่อค่ะ
การเดินทางเที่ยวเองแบบนี้ถือว่าสะดวกกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะสามารถดูแผนที่ในมือถือ นำพาไปยังโรงแรมได้ ถ้าไปเที่ยวสมัยแต่ก่อนทำไม่ได้เลย ต้องนั่งแท๊กซี่ หรือใช้บริการบริษัททัวร์แทน
เดินทางเท้าจากจุดจอดรถไปยังโรงแรมที่พักคืนนี้ ประมาณ 1.5 กิโลเมตรค่ะ ไม่ไกลมาก แต่ก็ต้องระวังมอเตอร์ไซต์ เพราะทางเท้าบางช่วงก็เดินไม่ได้ มีรถจอดอยู่เหมือนกัน
มาถึงสักทีค่ะ หลังจากเดินแบกเป้มาเป็นกิโล โรงแรมในเมืองฮอยอัน เราพักที่ Gold Stone Homestay ที่พักเล็กๆอยู่ใกล้ตลาดถนนคนเดินฮอยอัน และใกล้ย่านท่องเที่ยวเมืองเก่ามรดกโลกด้วย
เป็นโรงแรมเล็กๆ ลักษณะอาคารพาณิชย์ทาวเฮ้าส ทำเป็นที่พัก มีจักรยานให้ปั่นด้วยค่ะ เจ้าของโฮมสเตย์ก็ใจดี ยิ้มแย้ม ต้อนรับขับสู้กับลูกค้าที่พักได้เป็นอย่างดี
|
ราคาห้องพักที่ Gold Stone Homestay Hoi An ตกคืนละ 427 บาท ถือว่าราคาถูกมากๆ |
ส่วนราคาห้องพักที่ Gold Stone Homestay Hoi An ตกคืนละ 427 บาท ถือว่าราคาถูกมากๆ ห้องพักเป็นห้องนอนส่วนตัว มีห้องน้ำให้ในตัวเลย ห้องมี 2 เตียง เตียงใหญ่นอน 2 คนได้ 1 เตียง และยังมีอีกหนึ่่งเตียงอยู่ใกล้ๆกับประตูทางเข้า
ภายในห้องพักก็มีตู้เย็น และตู้เสื้อผ้าให้ด้วย
ส่วนห้องน้ำก็สะอาดสะอ้าน น้ำไหลแรงดี ถือว่าดีทีเดียวกับการพักค้างแรมชั่วคราว ด้วยการเที่ยวเมืองฮอยฮันทริปนี้
|
ไม่ไกลจากที่พักมากนักๆ เดินเท้าออกมาประมาณ 70 เมตร ก็จะเป็นย่านตลาดถนนคนเดินเมืองฮอยฮัน |
และหลังจากที่ได้เอากระเป๋าไปไว้ในห้องพักแล้ว ไม่ไกลจากที่พักมากนักๆ เดินเท้าออกมาประมาณ 70 เมตร ก็จะเป็นย่านตลาดถนนคนเดินเมืองฮอยฮัน เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่เที่ยวยามราตรีที่มีชื่อเสียงทางเวียดนามตอนกลางเลยทีเดียว
ภายในตลาดก็คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาจากหลายเชื้อชาติ
ภายในตลาดมีร้านขายสินค้าของที่ระลึก และมีร้านอาหารของกินมากมาย
อาหารในตลาดถนนคนเดินเมืองฮอยอัน ก็จะเน้นทานได้แบบง่ายๆค่ะ เอาใจขาเที่ยวได้ลิ้มลองทานกัน
|
จุดถ่ายรูปโคมไฟแต่ละร้านที่ตลาดถนนคนเดินเมืองฮอยอัน |
แต่ที่เป็นไฮไลท์เด็ดของการมาเที่ยวที่ตลาดถนนคนเดินยามกลางคืนแห่งนี้ คงหนีไม่พ้น การมถ่ายรูปคู่กับโคมไฟ ซึ่งนอกจากจะขายโคมไฟแล้ว คนขายยังได้เงินจากนักท่องเที่ยวไปที่ไปนั่งถ่ายรูปด้วย
โดยโคมไฟแต่ละร้านก็เป็นจุดเด่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีมากๆ เพราะโคมไฟแต่ละดวงสีสันฉุดฉาดสวยงามมากๆ
ใครที่แวะมาเที่ยวฮอยอันและชอบถ่ายรูป แนะนำเลยว่า ให้มาค้างที่นี่สักคืน เพื่อจะได้มาเดินชมตลาดถนนคนเดินยามราตรีและถ่ายรูปคู่กับโคมไฟแต่ละร้านที่สวยงามไม่แพ้ก้น
และนอกจากไปถ่ายรูปที่โคมไฟแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมที่หมู่นักท่องเที่ยวต้องมาทำกันค่ะ การนั่งเรืรอลอยยกระทงชม ราคาเรือเที่ยวลำละ 150,000 ดอง
ซึ่งเป็นไฮไลท์ยอดฮิตที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาพักค้างแรมที่เมืองนี้กัน เนื่องจากทำให้เมืองฮอยอันมีชีวิตชีวาและมีสีสันมาก ที่แม่น้ำเต็มไปด้วยเรือของนักท่องเที่ยว
กระทงกระดาษจุดเทียนที่ลอย ราคาก็ไม่แพงมาก ตกกระทงละ 5000 ดองเท่านั้น สามารถจุดเทียนและลอยที่แม่น้ำ สร้างสีสันได้งดงาม
ซึ่งช่วงเวลาที่เดี๊ยนไปเที่ยว ก็เป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำให้มีนักท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะมากันเป็นจำนวนมาก ที่แม่น้ำก็คลาคล่ำไปด้วยเรือหลายลำ พานักท่องเที่ยวลอยกระทงและชมวิวเมือง
|
ห้ามพลาดกิจกรรมนั่งเรือลอยกระทงและชมเมืองมรดกโลกฮอยอันยามราตรีแห่งนี้นะคะ ถือว่าสวยงามและคึกคักมากๆทีเดียวค่ะ |
สำหรับใครที่แวะมาเที่ยวฮอยอัน ก็ห้ามพลาดกิจกรรมนั่งเรือลอยกระทงและชมเมืองมรดกโลกฮอยอันยามราตรีแห่งนี้นะคะ ถือว่าสวยงามและคึกคักมากๆทีเดียวค่ะ
และจุดถ่ายรูปอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันคือ บริเวณสะพานญี่ปุ่นเมืองฮอยอัน หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า Lai Vien Kieu แปลว่า สะพานแห่งมิตรไมตรี ก็ไม่พลาดแวะเดินมาชมกัน
|
ตามตรอกซอกซอยเล็กๆ มีร้านอาหาร ร้านคาเฟ่เล็กๆน่ารักให้ไปลิ้มลองทาน และถ่ายรูปด้วย |
เดินข้ามสะพานญี่ปุ่นมาอีกฝั่ง ตามซอกตรอกซอยเล็กๆ มีร้านอาหาร ร้านคาเฟ่เก๋น่ารักซ่อนตัวอยู่อีกด้วย
ตามร้านคาเฟ่เล็กๆตกแต่งสวยงาม น่ารักให้ถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลินจำเริญใจ
บรรยากาศเมืองฮอยอันยามราตรี พอยิ่งดึก คนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
|
ใครที่เป็นชื่นชอบการเที่ยวถ่ายรูป และเป็นสายกิน ก็ไม่พลาดแวะมาพักค้างที่เมืองฮอยอันสักคืนค่ะ |
ใครที่เป็นชื่นชอบการเที่ยวถ่ายรูป และเป็นสายกิน ก็ไม่พลาดแวะมาพักค้างที่เมืองฮอยอันสักคืนค่ะ
|
ขนมถังแตกแบบเวียดนาม กลิ่นหอมดีค่ะ |
เดินไป เดินมา ชักเริ่มหิวแล้วค่ะ เห็นขนมถังแตกอันเล็กๆแบบเวียดนามส่งกลิ่นหอมยวนย้วย
ภายในย่านถนนคนเดินมีอาหารของกินหลายอย่าง ข้าวจี๋ปิ้งเตาถ่านก็น่าทาน
|
เห็นแม่ค้าขายขนมเบื้องญวน ราคาไม่แพง แม่ค้าลดเหลือชิ้นละ 15,000 ดอง เลยช่วยอุดหนุนแม่ค้าดีกว่าค่ะ |
แต่เดี๊ยนเดินออกมานอกตลาดถนนคนเดินนิดหน่อย เห็นแม่ค้าขายขนมเบื้องญวน ราคาไม่แพง แม่ค้าลดเหลือชิ้นละ 15,000 ดอง เลยช่วยอุดหนุนแม่ค้าดีกว่าค่ะ
รสชาติขนมเบื้องญวนที่เวียดนาม เป็นแผ่นใหญ่ เอาไปย่างเต่าถ่าน ไส้มีรสชาติเค็มคล้ายๆ ขนมเบื้องไทยไส้กุ้งแถวบ้านเราเลยค่ะ แต่กลิ่นต้นหอมผักชีแรงกว่าเยอะ
|
เป็นร้านอาหารแบบเวียดนาม คล้ายแหนมเนืองเมืองไทยเราเลยค่ะ |
ส่วนอาหารมื้อค่ำ เดี๊ยนมาทานอาหารเวียดนามแท้ๆ อีกหนึ่งร้าน อยู่ไม่ไกลเดินข้ามสะพานมาสักหน่อยค่ะ พอดีทางเจ้าของที่พักแนะนำมาว่า เป็นร้านอาหารแบบเวียดนาม คล้ายแหนมเนืองเมืองไทยเราเลยค่ะ
|
แนะนำร้านอาหารเวียดนามอร่อยๆในเมืองฮอยอัน ไม่แพง เดินจากถนนคนเดินฮอยอันมาได้ไม่ไกล |
ชื่อร้านอาหารเวียดนาม Ba Hieu Thit Heo Hap ปักหมุดตามรูปเลยค่ะ เผื่อใครที่วางแผนไปเที่ยวฮอยอัน และมองหาร้านอาหารเวียดนาม เน้นทานแบบผักๆ ลองมาทานร้านนี้ดู เดี๊ยนก็ไม่ได้ค่าสปอนเซอร์นะคะ
เมนูอาหาร ราคาก็ไม่ได้แพงมากจนเกินไป ภายในร้านมีที่นั่งทานสะดวก คนไม่ค่อยเยอะด้วย ราคาเริ่มต้นที่ 40,000 ดองเท่านั้น ถูกกว่าร้านที่ตั้งแถวถนนคนเดินฮอยอันมากๆ แบบว่าคนเวียดนามก็มาทานกันค่ะ
เมนูมี้เดี๊ยนสั่งมาทานกัน 2 คน จัดมาแบบอลังการ สำหรับคนชอบทานผักเลยค่ะ
อารมณ์เหมือนทานแหนมเนืองค่ะ อร่อยดี
|
เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ ใครที่มาเที่ยวฮอยอัน และพักค้างที่เมืองนี้ ไม่รู้ว่าจะไปทานอะไรดี ก็ลองปักหมุดเดินเท้ามาทานที่ร้านอาหารเวียดนามนี้ดูนะคะ |
รสชาติของน้ำจิ้ม หรือน้ำอาจาดเป็นน้ำใส ไม่จัดจ้านมากนัก แต่พอทานคู่กับพริก เผ็ดถึงใจสุดๆ รสชาติอร่อยมากๆ เพราะว่าเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ ใครที่มาเที่ยวฮอยอัน และพักค้างที่เมืองนี้ ไม่รู้ว่าจะไปทานอะไรดี ก็ลองปักหมุดเดินเท้ามาทานที่ร้านอาหารเวียดนามนี้ดูนะคะ
|
เดินทางทางกลับมาพักผ่อน จบทริปหมดไป 1 วัน กับการเที่ยวเมืองเว้ตอนกลางวัน และยามค่ำก็มาเดินที่ตลาดถนนคนเดินฮอยอัน
|
หลังจากทานอาหารเวียดนามนสมใจแล้ว ก็เดินทางทางกลับมาพักผ่อน จบทริปหมดไป 1 วัน กับการเที่ยวเมืองเว้ตอนกลางวัน และยามค่ำก็มาเดินที่ตลาดถนนคนเดินฮอยอัน
------วันที่ 4 (Day 4)-----
|
แต่เช้า เพื่อมาเดินออกกำลังกายชมเมืองมรดกโลกฮอยอัน ซึ่งบรรยากาศต่างจากเมื่อคืนนี้มากๆค่ะ |
รับเช้าวันใหม่ เดี๊ยนตื่นแต่เช้า เพื่อมาเดินออกกำลังกายชมเมืองมรดกโลกฮอยอัน ซึ่งบรรยากาศต่างจากเมื่อคืนนี้มากๆค่ะ
ออกมาเดินดูวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองมรดกโลกแห่งนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนสีเหลือส้มโดดเด่น มีนักท่องเที่ยวออกมาเดินกันยังไม่เยอะมากนัก
|
เมืองฮอยอัน หรือ โห่ยอาน เป็นเมืองขนาดเล็กริมฝั่งทะเลจีนใต้ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม |
สาระเล็กๆน้อยเกี่ยวกับเมืองฮอยอัน นำมาให้อ่านกันจ้า
สำหรับเมืองฮอยอัน หรือ โห่ยอาน เป็นเมืองขนาดเล็กริมฝั่งทะเลจีนใต้ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกว๋างนาม มีประชากรอาศัยอยู่ราว 80,000 คน ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
|
ในปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเขตเมืองเก่าของฮอยอันให้เป็นมรดกโลก ที่ยังคงอนุรักษ์สถาปัตยกรรมบ้านเรือนแบบดั้งเดิมในช่วงศตวรรษที่15-19 ไว้ได้อย่างดีเยี่ยาม |
และในปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเขตเมืองเก่าของฮอยอันให้เป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ที่มีการผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมทั้งของท้องถิ่นและของต่างชาติไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์ และอาคารต่างๆภายในเมืองได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี
ฮอยอันยังคงเป็นเมืองขนาดเล็กเช่นเดิม แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมาก ผู้มาเยือนมักมาเยี่ยมชมร้านค้าขายผลงานทางศิลปะและหัตถกรรม ริมฝั่งแม่น้ำมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารเปิดเรียงรายอยู่มากมายซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าใช้บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่มีอยู่มากมาย
และในอดีตในสมัยของอาณาจักรจามปา บริเวณนี้เคยเป็นเมืองท่าบนปากแม่น้ำทูโบน ซึ่งมีชื่อว่า ไฮโฟ โดยเป็นศูนย์กลางทางการค้าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 มีชาวต่างชาติมาตั้งถิ่นฐานและค้าขายในเมืองนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และอินเดีย
|
เมืองนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยมีคลองสายหนึ่งคั่นอยู่กลางเมือง มีสะพานญี่ปุ่นทอดข้ามคลองเพื่อกั้นแบ่งเขตชุมชนของชาวญี่ปุ่นที่อีกฝั่งหนึ่งของคลอง |
และแต่เดิมทีนั้น เมืองนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยมีคลองสายหนึ่งคั่นอยู่กลางเมือง มีสะพานญี่ปุ่นทอดข้ามคลองเพื่อกั้นแบ่งเขตชุมชนของชาวญี่ปุ่นที่อีกฝั่งหนึ่งของคลอง (เครดิตข้อมูลดีๆจาก :
https://th.wikipedia.org/wiki/ฮอยอัน)
|
สะพานสร้างโดยชาวญี่ปุ่น มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวยอดนิยมที่ต้องไม่พลาดมาถ่ายรูปกัน |
ตัวสะพานสร้างโดยชาวญี่ปุ่น มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวยอดนิยมที่ต้องไม่พลาดมาถ่ายรูปกัน
|
สะพานญี่ปุ่นเมืองฮอยอัน หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า Lai Vien Kieu หมายถึง สะพานแห่งมิตรภาพไมตรีอันดีงาม |
|
ที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นโดยชุมชนชาวญี่ปุ่น เป็นสะพานที่สร้างขึ้นข้ามคลองที่ในอดีต 400 ปีกว่าที่ผ่านมา มีชุมชนชาวญี่ปุ่นมาตั้งรกรากอยู่ |
โดยสะพานญี่ปุ่นเมืองฮอยอัน หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า Lai Vien Kieu หมายถึง สะพานแห่งมิตรภาพไมตรีอันดีงาม ที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นโดยชุมชนชาวญี่ปุ่น เป็นสะพานที่สร้างขึ้นข้ามคลองที่ในอดีต 400 ปีกว่าที่ผ่านมา มีชุมชนชาวญี่ปุ่นมาตั้งรกรากอยู่ และสร้างขึ้นท่ามกลางหมู่บ้านชาวจีน และ ญี่ปุ่น โดยตัวสะพานมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามสะดุดตา และยังเป็นสะพานเก่าแก่ที่ใช้งานจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน
เสน่ห์ของการมาเที่ยวฮอยอัน คือการได้เดินชมสถาปัตยกรรมบ้านเรือนเก่าแก่ และได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ด้วย
สำหรับใครที่อยากชมเมืองเก่าให้ทั่วถึง แนะนำว่าปั่นจักรยานรอบเมืองได้ค่ะ โดยที่โรงแรมก็มีจักรยานให้บริการค่ะ ซึ่งการปั่นจักรยานก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวพอสมควร
บรรยากาศเดินชมเมืองยามเช้า ถือว่าสวยงามทีเดียวค่ะ ดูไม่วุ่นวาย เหมาะกับการเดินถ่ายรูป ดูวิถีชีวิตผู้คนที่เมืองนี้ไปแบบชิวๆ สบายๆ
และการเช่าชุดเสื้อผ้าประจำชาติเวียดนามถ่ายรูป ก็ได้รับความนิยมเช่นกันค่ะ
|
แวะมานั่งจิบเครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อชมวิวเมืองฮอยอันที่ ร้าน 92 station คาเฟ่ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวหลังคาเมืองฮอยอันได้อย่างทั่วถึง |
เดินมาเหนื่อยๆ เลยแวะมานั่งจิบเครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อชมวิวเมืองฮอยอันที่ ร้าน 92 station คาเฟ่ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวหลังคาเมืองฮอยอันได้อย่างทั่วถึง
หากเพื่อนๆคนใหน ที่อยากถ่ายรูปวิวเมืองฮอยอัน แบบเห็นหลังคาบ้าน แนะนำว่าให้ไปตามร้านคาเฟ่ที่เป็นตึกสูง ซึงมีอยู่หลายร้านเหมือนกันค่ะ
|
บรรยากาศจุดนั่งพักชมวิวที่ร้านคาเฟ่ 92 Station Hoi An |
โดยที่ร้านช่วงเช้าก็ยังมีนักท่องเที่ยวไม่มากด้วย ทำให้สามารถนั่งพักชมวิวเมืองได้แบบสบายๆ ไม่วุ่นวายผู้คนด้วย
|
สั่งเครื่องดื่มโก้ๆร้อนมาทานค่ะ ราคาก็ถือว่าแพงเหมาะสมกับราคาที่แลกมาพร้อมวิวเมืองมรดกโลกที่สวยงาม |
เดี๊ยนสั่งเครื่องดื่มโก้ๆร้อนมาทานค่ะ ที่ร้านคาเฟ่ 92station ในเมืองฮอยอัน ราคาก็ถือว่าแพงเหมาะสมกับราคาที่แลกมาพร้อมวิวเมืองที่สวยงาม
นั่งชมวิวเมืองยามเช้าสายๆ ถือว่าสวยงามทีเดียวค่ะ
มีบันไดทางขึ้นเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดได้อีกค่ะ
|
ดาดฟ้าของร้านคาเฟ่ก็จะมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งชมวิวสวยๆ ซึ่งน่าจะเหมาะกับการมาชมวิวยามเย็นค่ะ |
โดยด้านบนดาดฟ้าของร้านคาเฟ่ก็จะมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งชมวิวสวยๆ ซึ่งน่าจะเหมาะกับการมาชมวิวยามเย็นค่ะ เพราะช่วงกลางวัน ค่อนข้างร้อนทีเดียว
แต่ด้านบนสุดของร้านคาเฟ่สามารถมองเห็นทัศนียภาพบ้านเรือนเก่าของเมืองฮอยฮันได้อย่างสวยงามามากๆ
ข้อดีของการมาเที่ยวถ่ายภาพช่วงเช้าคือ คนไม่เยอะค่ะ สำหรับเพื่อนคนใหนที่มาพักที่นี่ และเป็นคนชอบถ่ายรูป แนะนำว่ามาช่วงเช้าๆก็ดีค่ะ แต่อากาศก็จะร้อนไปหน่อย แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศดีๆ ก็มาช่วงเย็นเลย แต่คนก็น่าจะเยอะนะคะ เพราะเห็นว่าที่ร้านนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติขึ้นมานั่งดื่มชมวิวกัน อย่างไม่ขาดสายเลย
|
ถ่ายรูปวิวเมืองฮอยสวยๆแห่งนี้ ปักหมุดมาได้ที่ร้านคาเฟ่ 92station Hoi An โดยใส่ชื่อใน Google map ได้เลยค่ะ |
ส่วนพิกัดร้านคาเฟ่ถ่ายรูปวิวเมืองฮอยสวยๆแห่งนี้ ปักหมุดมาได้ที่ร้านคาเฟ่ 92station Hoi An โดยใส่ชื่อใน Google map ได้เลยค่ะ
|
ในร้านคาเฟ่ก็ตกแต่งสวยงาม ดูมีเอกลักษณ์โดดเด่น |
ด้านในร้านคาเฟ่ก็ตกแต่งสวยงาม ดูมีเอกลักษณ์โดดเด่น
หรือจะมานั่งดื่มด้านล่าง ก็ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเช่นกัน
|
หลังจากที่นั่งจิบเครื่องดื่มอร่อยๆชมวิวเมืองฮอยอันแล้ว ก็ไปหาอาหารเช้าทานกันต่อค่ะ |
หลังจากไปนั่งจิบเครื่องดื่มและชมวิวเมืองที่ร้านคาเฟ่แล้ว ก็เดินเท้าไปหาอาหารเช้าทานกันต่อค่ะ เพราะยังไม่ได้ทานอาหารมื้อเช้าเลย
ระหว่างปากทางตรงซอยไปยังโรงแรมใกล้ๆกับถนนคนเดินเมื่อคืนวานนี้ มีร้านขายก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารเช้าขายอยู่ เดี๊ยนเลยไม่รีรอขอสั่งมาทาน เพราะไม่รู้จะทานอะไรแล้ว
|
ในชามมีเนื้อหมู มีไข่นกกระทา มีข้าวเกรียบกรอบๆ เติมน้ำซุปเล็กๆน้อย คล้ายน้ำยาหมี่กะทิอีสานเลย รสชาติเค็มๆหวานๆ อยากได้เปรี้ยวก็บีบมะนาวหน่อย ถือว่าอร่อยทีเดียวค่ะ |
โดยอาหารเช้าที่ฮอยอันแห่งนี้ ไม่รู้ว่าเมนูนี้เรียกว่าอะไร คนขายเคยบอกอยู่ แต่เดี๊ยนจำชื่อไม่ได้ เพราะไม่ได้จดไว้ ลักษณะเหมือนเส้นบะหมี่แบบๆ ในชามมีเนื้อหมู มีไข่นกกระทา มีข้าวเกรียบกรอบๆ เติมน้ำซุปเล็กๆน้อย รสชาติออกเปรี้่ยวๆหวานๆคล้ายน้ำยาหมี่กะทิ ถือว่าอร่อยทีเดียวค่ะ ใครมาเที่ยวฮอยอัน และอยากสัมผัสอาหารแบบบ้านๆ แนะนำลองทานดู อร่อยๆค่ะ ส่วนค่าเสียหายตกชามละ 40,000 ดอง ไม่แพงเลยค่ะ
หลังจากทีทานอาหารอิ่ม ก็เดินกลับมาเช็คเอ้าท์กับทางโรงแรม และทางเจ้าของที่พักก็ได้ติดต่อรถแท๊กซี่ที่จะเดินทางไปเมืองดานังให้ด้วย
|
ต้องใช้บริการรถแท๊กซี่จากทางโรงแรมไปส่งที่เมืองดานังแทนค่ะ โดยราคาเหมารวมอยู่ที่ 375 บาท ถือว่าไม่แพงนะคะ กับระยะทางไป 30 กิโลเมตร |
เนื่องจากรถบัสสีเหลืองที่เคยให้บริการจากฮอยอัน- ไปดานังถูกยกเลิก ตั้งแต่มีโรคโควิดระบาด เดี๊ยนเลยต้องใช้บริการรถแท๊กซี่จากทางโรงแรมไปส่งที่เมืองดานังแทนค่ะ โดยราคาเหมารวมอยู่ที่ 375 บาท ถือว่าไม่แพงนะคะ กับระยะทางไป 30 กิโลเมตร ตอนแรกเทียบราคาดูใน Grap Car ราคาค่อนข้างแพงทีเดียว แต่เมื่อใช้บริการที่เจ้่าของที่พักติดต่อให้ก็ราคาถูกกว่ามาก
|
พักที่โรงแรม Val Soleil Hotel ซึ่งจะพักค้างที่โรงแรมนี้ 2 คืน เมืองดานัง
|
คนขับแท๊กซี่พามาส่งที่โรงแรมที่พักคืนนี้ โดยเราพักที่โรงแรม Val Soleil Hotel ซึ่งจะพักค้างที่โรงแรมนี้ 2 คืน เมืองดานัง
ราคาห้องพักตกคืนละ 1022 บาท รวมอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ค่ะ โดยสภาพห้องพักถือว่าดีมากๆ
มีห้องน้ำส่วนตัว แบ่งเป็นโซนเปียก โซนแห้งให้ชัดเจน
ภายในห้องพักพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ห้องแอร์ มีทีวี ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า โต๊ะนั่งทำงาน มินิบาร์ กาต้มน้ำร้อน ชากาแฟ น้ำดื่มฟรี รองเท้าสลิปเปอร์ในห้องพัก เสื้อคลุมอาบน้ำ
มองจากห้องพักไป ก็เป็นวิวตัวเมืองดานังที่เต็มไปด้วยอาคารตึกรางบ้านช่องมากมาย
จุดเด่นของโรงแรม Vasolier Hotel คือชั้นบนสุดของโรงแรม มีสระว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้า
|
สระว่ายน้ำอยู่ชั้น 16 สามารถมองเห็นวิวสะพานมังกรได้อย่างสวยงาม |
โดยสระว่ายน้ำอยู่ชั้น 16 สามารถมองเห็นวิวสะพานมังกรได้อย่างสวยงาม
และใกล้ๆกับสระว่ายน้ำ ยังมีบาร์ให้บริการด้วย แต่วันที่ไปพัก บาร์ยังปิดอยู่ค่ะ เนื่องจากนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะมากนัก
|
สระว่ายน้ำโรงแรมเปิดให้บริการตั้งแต่ 13.30 น.- 21.00 น.ค่ะ |
ซึงสระว่ายน้ำโรงแรมเปิดให้บริการตั้งแต่ 13.30 น.- 21.00 น.ค่ะ โดยช่วงยามเย็น น่าจะเหมาะกับการมาว่ายน้ำเพื่อชมวิวเมืองดานัง เพราะอากาศไม่ร้อน
หลังจากทำการเช็คอินนำกระเป๋าไปไว้ที่ห้องพักแล้ว ก็เดินออกไปเที่ยวชมเมืองดานังกันต่อค่ะ
ใกล้ๆกับโรงแรม มีร้านอาหารให้เลือกทานหลายร้านเลยค่ะ เลยเลือกทานข้าวหน้าหมูย่าง
อาหารเที่ยงมื้อนี้ทานข้าวหน้าหมูย่าง ราคา 60,000 ดองจ้า
|
แวะไปชมโบสถ์คริสต์สีชมพู ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นในตัวเมืองดานัง โดยโบสถ์แห่งนี้ มีชื่อว่าโบสถ์ทันดินห์ หรือโบสถ์คริสต์ ดานัง (Da Nang Cathedral) |
ทานข้าวเที่ยงอิ่ม ก็แวะไปชมโบสถ์คริสต์สีชมพู ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นในตัวเมืองดานัง โดยโบสถ์แห่งนี้ มีชื่อว่าโบสถ์ทันดินห์ หรือโบสถ์คริสต์ ดานัง (Da Nang Cathedral) โบสถ์สีชมพู ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดานัง โบสถ์นี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2466 สมัยที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาคริสต์ในประเทศเวียดนาม เริ่มจากมิชชันนารีตะวันตกพวกแรกได้เดินทางเข้ามาในอ่าวตังเกี๋ย ทางภาคเหนือของเวียดนามในปี พ.ศ. 2076 และเผยแผ่ศาสนาคริสต์ ทำให้โบสถ์ดังกล่าวมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งที่มีนักเดินทางเข้ามาถ่ายรูปภาพกัน
เดินมาอีกหน่อยไม่ไกลจากมาก จากโบสถสีชมพู ก็จะเป็นที่ตั้งของตลาดฮั่น หรือ Han Market เป็นอีกหนึ่งแหล่งช็อปปิ้งขายสินค้าของฝากขึ้นชื่อประจำเมืองดานัง
โดยตลาดฮัน (ตลาดฮั่น) เป็นตลาดเก่าแก่ ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2440 ยังเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองดานังอีกด้วย ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำฮัน ติดถนนเส้นทางหลัก การเดินทางไปมาสะดวก
ภายในตลาดแบ่งเป็น 2 ชั้น มีแผงร้านค้าขายมากมายกว่า 570 กว่าแผง ของแต่ละร้านก็โดดเด่น เต็มไปด้วยสินค้าประจำท้องถิ่นและของกิน ของฝากในเวียดนามมากมาย
ดูแล้วก็ๆคล้ายกับตลาดในบ้านเราค่ะ มีสินค้าขายและราคาถ้าซื้อจำนวนมากๆ ก็สามารถต่อรองสินค้าได้ด้วย
แต่ส่วนใหญ่ที่มาเมืองดานัง ก็มักจะเห็นแต่พวกของฝากจำพวก ขนม ถั่ว ผลไม้อบแห้งต่างๆ ก็นิยมมักซื้อไปฝากกันค่ะ
จากนั้นก็เดินมาเที่ยวชมสะพานมังกรเมืองดานัง ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำห่าน โดยสร้างในปี 2553 และเปิดให้บริการสู่ประชาชนเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556 ฉลองครบรอบ 38 ปีของอิสรภาพของเมืองดานัง
|
สะพานยังถูกออกแบบและสร้างในรูปร่างของมังกรเพื่อที่จะหายใจเป็นเปลวไฟในทุก ๆ คืนและยังพ่นน้ำได้ด้วย โดยจัดแสดงเวลา 21:00 น. หรือ เวลา 3 ทุ่มตรงในช่วงวันศูกร์และวันเสาร์ |
ความโดดเด่นของสะพานแห่งนี้ นอกจากทำเป็นรูปมังกรข้ามแม่น้ำแล้ว สะพานยังถูกออกแบบและสร้างในรูปร่างของมังกรเพื่อที่จะหายใจเป็นเปลวไฟในทุก ๆ คืนและยังพ่นน้ำได้ด้วย โดยจัดแสดงเวลา 21:00 น. หรือ เวลา 3 ทุ่มตรงในช่วงวันศูกร์และวันเสาร์ ซึ่งกลายเป็นไฮไลท์เด็ดที่ใครมาเที่ยวเมืองดานัง ก็ต้องแวะมาชมกัน
และใกล้ๆกับสะพานมังกร ก็ยังมีหัวปลามังกร ซึ่งเป็นจุดแลนด์มาร์คที่เที่ยวโดดเด่นอีกแห่งในเมืองดานัง ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกัน
โดยยามค่ำคืนมังกรจะพ่นน้ำและบริเวณดังกล่าว มีสะพานรูปหัวใจให้ไปถ่ายรูปกันด้วย
และจากสะพานมังกร เดินมาอีกประมาณ 2.5 กิโลเมตร ก็เป็นที่ตั้งของชายหาดหมีเคว เป็นหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองดานัง เนื่องจากมีหาดทรายขาวทอดยาวและน้ำทะเลใสสวยงามยิ่งนัก ท้องทะเลที่เงียบสงบประกอบกับสายลมอ่อนๆ เหมาะแก่การว่ายน้ำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมากับเด็กๆ
|
เดินมาถึงชายหาดหมีเคว (My Khe beach) ชายหาดที่มีชื่อเสียงในเมืองดานัง เวียดนาม |
โดยความโดดเด่นของชายหาดแห่งนี้คือ ชายหาดหมีเป็นชายหาดที่สวยที่สุดในเมืองดานัง มีแนวโค้งตามลักษณะภูมิประเทศของเวียดนาม ซึ่งยาวกว่า32กิโลเมตร อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจมาตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม
ซึ่งช่วงวันที่เดี๊ยนไปเที่ยว คลื่นลมทะเลค่อนข้างแรง มีป้ายติดเตือน ไม่ให้นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำ อาจเกิดอันตรายได้ ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มานอนอาบแดดกันค่ะ
|
บริเวณชายหาด ก็มีที่นั่งพักกว้างขวาง รับลมพัดเย็นสบายๆ |
และบริเวณชายหาด ก็มีที่นั่งพักกว้างขวาง รับลมพัดเย็นสบายๆ และมีสถานประกอบการร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ร้านค้าของฝากของที่ระลึก มีโรงแรมเปิดให้บริการเข้าพักมากมาย และราคาห้องพักก็ไม่แพงมากด้วย
|
ขึ้นมาพักผ่อน และมาว่ายน้ำชมวิวเมืองดานังต่อค่ะ หลังจากที่เดินเที่ยวเมืองฮอยอันแต่เช้า |
กลับจากหาดหมีเควช่วงเย็น ก็เดินเท้ากลับมาที่โรงแรมอีก 3 กิโลเมตร ขึ้นมาพักผ่อน และมาว่ายน้ำชมวิวเมืองดานังต่อค่ะ หลังจากที่เดินเที่ยวเมืองฮอยอันแต่เช้า พอขึ้นมาก็มีแขกที่เข้ามาพัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูค้าชาวเกาหลี และชาวมาเลเซีย กำลังว่ายน้ำอยู่อย่างสนุกสนานเลยค่ะ
พอถึงตอนค่ำ ก็ได้เวลาออกไปหาอะไรทานแล้วค่ะ ใกล้กับโรงแรมมีร้านอาหารให้เลือกเยอะมากๆค่ะ ยกเว้นอย่างเดียวคือ ไม่มีร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงเหมือนไทยเรา
|
ทานอาหารเวียดนามแบบดั้งเดิมในเมืองดานัง ร้านใกล้ๆกับโรงแรม |
ซึ่งอาหารค่ำมื้อนี้ ก็เลือกทานใกล้ๆกับโรงแรมค่ะ เลือกทานอาหารเวียดนามอีกแล้วค่ะ แต่มื้อนี้เป็นเมนูทอดๆย่างๆ เป็นปอเปี๊ยะเวียดนาม ทานคู่กับเส้นขนมจีน และน้ำอาจาด เรียกเป็นชื่อภาษาเวียดนามว่าอะไรไม่ทราบได้ แต่ดูน่าตา น่าทานทีเดียว
|
ทานอาหารเวียดนาม แนมกับผักสดๆ |
รสชาติอร่อยๆค่ะ ต้องทานแนมคู่กับผักมีกลิ่นฉุนหน่อยๆ ไม่รู้ว่าชื่อผักอะไร ตอนสั่งอาหาร เดี๊ยนก็พยายามสื่อสารกับพนักงานในร้าน แต่คนในร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เลยต้องใช้ Google Tranlsate พอช่วยได้บ้าง แต่ในปุ่มโทรศัพท์ของเราก็มีแต่แป้นพิมพ์ภาษาไทยและอังกฤษ ไม่มีแป้มพิมพ์ภาษาเวียดนามด้วย เลยค่อนข้างสื่อสารลำบากไปหน่อย
|
ชื่อร้านตามในรูปเลยจ้า ราคาอาหารก็ไม่แพงด้วยนะคะ ราคาปอเปี๊ยะเริ่มต้นแค่ 45,000 ดองเท่านั้น |
เอาเป็นว่า หากเพื่อนๆคนใหน ที่พักที่โรงแรม Vasolier Hotel ก็ปักหมุด GPS มาทานได้นะคะ ชื่อร้านตามในรูปเลยจ้า น่าจะเป็นร้านดังในเวียดนาม มีหลายสาขา ชื่อร้าน Bun Cha Hanoi ราคาอาหารก็ไม่แพงด้วยนะคะ ราคาปอเปี๊ยะเริ่มต้นแค่ 45,000 ดองเท่านั้น เวลาทานก็ตักใส่น้ำจิ้มอาจาดเหมือนในรูปเลยจ้า
หลังจากทานอาหารมื้อเย็นอิ่มแล้ว ก็เดินเท้าจากร้านอาหาร เดินย่อยอาหารมาเรื่อย เพื่อมารอดูมังกรพ่นไฟ เป็นไฮไลท์เด็ดของเมืองนี้เลยค่ะ โดยการแสดงมังกรพ่นไฟจะแสดงเวลา 3 ทุ่ม ทุกวันศุกร์-เสาร์ และจะมีการปิดถนนไม่ให้รถสัญจรผ่านได้
|
เวลา 3 ทุ่มนาที ระทึกใจก็มาถึงค่ะ มีการแสดงการพ่นไฟให้นักท่องเที่ยวได้ชมอย่างตื่นตาตื่นใจ |
พอเวลา 3 ทุ่มนาที ระทึกใจก็มาถึงค่ะ มีการแสดงการพ่นไฟให้นักท่องเที่ยวได้ชมอย่างตื่นตาตื่นใจ โดยพ่นถึง 6 ครั้งเลย แต่กลิ่นควันของไฟเหม็นเหมือนน้ำมันกาดเลยค่ะ
ถือเป็นไฮไลท์การแสดงที่การท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม เข้าใจทำมากๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
|
มังกรพ่นไฟเสร็จสักพัก ก็พ่นน้ำต่อค่ะ ใครที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ เตรียมตัวเปียกได้เลยค่ะ เพราะลมพัดมาทางนี้พอดี เดี๊ยนอยู่ฝั่งซ้าย เปีกยชุ่มฉ่ำไปทั้งตัวเลย |
พอมังกรพ่นไฟเสร็จสักพัก ก็พ่นน้ำต่อค่ะ ใครที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ เตรียมตัวเปียกได้เลยค่ะ เพราะลมพัดมาทางนี้พอดี เดี๊ยนอยู่ฝั่งซ้าย เปีกยชุ่มฉ่ำไปทั้งตัวเลย.....จบทริปเที่ยววันที่ 4 เดินกลับโรงแรมไปสระผม อาบน้ำนอนจ้า
---วันที่ 5 (Day 5)---
|
ก่อนจะเดินทางก็ไปทานอาหารเช้าของโรงแรมก่อนค่ะ โดยอาหารเช้าที่โรงแรมก็เป็นไลน์อาหารบุฟเฟ่ต์ |
สำหรับทริปเที่ยวดานังในวันนี้ เป็นวันสุดท้ายแล้วค่ะ แน่นอนว่าถ้ามาเที่ยวดานังแล้ว ต้องไม่พลาดไปเที่ยวบานานาฮิลล์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวต้องห้ามพลาด สำหรับคนที่มาเท่ยวเมืองนี้ ว่ากันว่าหากมาเที่ยวดานัง แล้วไม่ได้มา Banana Hill ถือว่ามาไม่ถึงเมืองดานังเลยเชียวล่ะ
ก่อนจะเดินทางก็ไปทานอาหารเช้าของโรงแรมก่อนค่ะ โดยอาหารเช้าที่โรงแรม Val Soleil Hotel ก็เป็นไลน์อาหารบุฟเฟ่ต์ให้ทานหลากหลายค่ะ
มีอาหารให้เลือกทานหลายอย่าง ทั้งอาหารคาว และอาหารหวาน ผักและผลไม้
|
ไลน์อาหารเช้าบุฟุที่โรงแรม Val Soleil Hotel ถือว่าดีเยี่ยมทีเดียว เหมาะสมกับราคาห้องพัก |
โดยไลน์อาหารเช้าที่โรงแรม Val Soleil Hotel ถือว่าดีเยี่ยมทีเดียว เหมาะสมกับราคาห้องพัก ราคาหลักพันนิดๆ มีอาหารให้ทานทั้งคาวหวาน ทานจนอิ่มไปเลยค่ะ
ทานอาหารเสร็จช่วย 8.00 โมง ก็ลงมารอรถบัสนำเที่ยวที่จะมารับไปเที่ยวบาน่าน่าฮิล ตรงล็อกบี้ของโรงแรมค่ะ
โดยการเดินทางขึ้นไปเที่ยวบานานาฮิล ทริปนี้ เราเลือกซื้อแพ็คเกจทัวร์จากทางโรงแรมในราคาคนละ 1,800 บาท
เป็นราคาที่รวมทุกอย่างแล้ว และรวมอาหารกลางวันแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย โดยเป็น Join trip tour Banana Hill หมายถึงซื้อเที่ยวไปเที่ยวรวมกับคนอื่นๆ
|
โดยการเดินทางขึ้นไปเที่ยวบานานาฮิล ทริปนี้ เราเลือกซื้อแพ็คเกจทัวร์จากทางโรงแรมในราคาคนละ 1,800 บาท ราคาที่รวมทุกอย่างแล้ว และรวมอาหารกลางวันแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย |
และเวลา 8.20 น. นั่งรอรถบัสนำเที่ยวไม่นานนัก ก็มีไกด์นำเที่ยวมาตามที่ล็อบบี้ของโรงแรม เพื่อขึ้นไปยังรถทัวร์นำเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวบานาน่าฮิลจ้า
|
ไกด์แนะนำแหล่งท่องเที่ยว และนัดเวลารวมพล ว่าจะต้องไปรอตรงใหน อะไร ยังไง เนื่องจากเป็นการเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ค่ะ
|
ซึ่งไกด์ที่นำเที่ยวก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียวค่ะ จะเป็นไกด์แนะนำแหล่งท่องเที่ยว และนัดเวลารวมพล ว่าจะต้องไปรอตรงใหน อะไร ยังไง เนื่องจากเป็นการเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ค่ะ โดยทางบริษัททัวร์นำเที่ยว จะเป็นคนดำเนินการซื้อตั๋วเข้าให้ทั้งหมด
เดี๊ยนเลยไม่มีบัตรราคาเข้าให้ชม เพราะบัตรเข้าเที่ยวบาน่าน่าฮิลอยู่กับไกด์ทัวร์ค่ะ
|
ส่วนราคาสำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อแบบกรุ๊ปทัวร์มานะคะ เลือกเหมารถมาเที่ยวเอง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่คนละ 850,000 ดอง ไม่รวมอาหาร แต่ถ้ารวมอาหารกลางวันอยู่ที่คนละ 990,000 ดองค่ะ ราคาดังกล่า |
ส่วนราคาสำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อแบบกรุ๊ปทัวรมานะคะ และจะเหมารถแท๊กซี่เดินทางจากเมืองดานัง มาซื้อบัตรเข้าเที่ยวด้วยตัวเอง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 850,000 ดอง ไม่รวมอาหาร แต่ถ้ารวมอาหารบุฟเฟ่ต์อยู่ที่ 990,000 ดองค่ะ
|
เดินทางเข้าไปเที่ยวบาน่าน่าฮิลได้เลยค่ะ |
หลังจากที่ไกด์ได้นัดประชุมพล เพื่อฟังข้อกำหนดกฎเกณฑ์ในการท่องเที่ยวแล้ว ก็เดินทางเข้าไปเที่ยวบาน่าน่าฮิลได้เลยค่ะ โดยตอนไปเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์ ก็จะต้องตามไกด์ไปตลอด จนกว่าจะถึงจุดสถานที่ท่องเที่ยว ที่ไกด์สามารถปล่อยให้ไปเที่ยวถ่ายรูปได้ตามอัธยาศัยได้
นั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปยังบาน่าน่าฮิล
โดยกระเช้าลอยฟ้าที่บานาน่าฮิล ถูกจัดให้ให้เป็นหนึ่งกระเช้าลอยฟ้าที่ยาวที่สุดในโลกด้วย
ขึ้นมาได้สักพัก สภาพอากาศก็มีแต่หมอกสีขาวโพลนไปทั่วเลยค่ะ
ขึ้นมาถึงจุดถ่ายรูปตรงสะพานรูปมือ Golden Bridge สภาพอากาศก็ตามที่เห็นค่ะ หมอกเต็มเลยจ้า เลยอากาศก็เย็นมากๆด้วย โดยสะพาน Golden Bridge นี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร และความยาว 150 เมตร
ส่วนนักท่องเที่ยวบนสะพานไม่ต้องพูดถึง คนเยอะมากๆ เนืองจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์
สำหรับใครที่ขึ้นมาเที่ยวบาน่าน่าฮิล แนะนำพกเสื้อกันหนาว และร่มมาด้วยนะคะ และถ้าอยากมาเที่ยวแบบท้องฟ้าแจ่มใส ทางไกด์นำเที่ยวบอกว่า ให้มาเที่ยวช่วงเดือนเมษายน ช่วงนั้นท้องฟ้าโปร่งไม่มีหมอก
สำหรับ Golden Bridge เป็นสะพานลอยฟ้า ที่ออกแบบมาได้เหมือนในนิทานบ้านยักษ์เลยทีเดียวค่ะ ตั้งอยู่ที่ บานาฮิลล์ (Ba Na Hills) เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม โดยกลายเป็นแลนด์มาร์ค แหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักเดินทางให้มาเยือนเพื่อถ่ายรูปอย่างไม่ขาดสาย
นอกจากสะพานมือยักษ์แล้ว ยังมีสวนดอกไม้สวยๆ ให้เดินถ่ายรูป
และมีสวนนกยูง จัดตกแต่งได้อย่างงดงาม
มีดอกไฮเดรนเยียร์ให้ได้ชื่นชมและถ่ายรูปด้วย
เดินไปอีกหน่อยก็เป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ เรียว่าเดินเที่ยวให้เมื่อยขากันไปเลยจ้า
หลังจากเที่ยวบริเวณสะพานมือยักษ์ และสวนดอกไม้แล้ว เวลา 11.30 ไกด์ก็นัดรวมพล เพื่อนั่งกระเช้าขึ้นไปทานอาหารบนยอดบาน่าน่าฮิล
อาหารบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันที่บาน่าน่าฮิล มีอาหารให้เลือกทานเยอะมากๆ เรียกว่าคุ้มกับราคาที่เสียไปค่ะ
เพราะมีเมนูให้เลือกทานหลากหลาย ทั้งอาหารฝรั่งและเวียดนาม
ส่วนใหญ่เน้นอาหารคาวมื้อหนัก เป็นเนื้อสัตว์ มีหมู ปลา ไก่ ซูชิ สลัด ต้ม ผัด แกง ปิ้งย่าง มีครบค่ะ
แต่ช่วงที่เดี๊ยนมาเที่ยว คนเยอะมากๆ ทำให้ต้องเดินหาโต๊ะนั่งทาน นานพอสมควร
่มื้อนี้เลยเน้นทานอาหารแบบผักๆ พวกๆยำๆ รสชาติออกเปรี้ยวๆ เผ็ด พอใช้ได้ค่ะ ไม่จัดจ้านมากนัก
หลังจากที่ทานอาหารเที่ยงอิ่ม ก็เดินทางไปเที่ยวชมบรรยากาศสถาปัตยกรรมอาคารสไตล์ยุโรปที่บาน่าฮิลต่อค่ะ
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ บานาน่าฮิล ()
บาน่าฮิลส์ ตั้งอยู่ที่เมืองดานัง (Da Nang) อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 40 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมมากที่สุดของเวียดนาม โดยการก่อสร้างนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากหมู่บ้านของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 แต่เดิมนั้นบาน่าฮิลส์เป็นเมืองตากอากาศของเวียดนามมากกว่าร้อยปีแล้ว
นับตั้งแต่สมัยที่เวียดนามยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวฝรั่งเศสไม่สามารถเดินทางกลับประเทศตนเองได้ ข้าหลวงฝรั่งเศสจึงมีแนวคิดที่จะสร้างที่พักตากอากาศสำหรับชาวฝรั่งเศสรวมทั้งทหารที่ประจำการอยู่ที่นั่น จนกระทั่งปี ค.ศ. 1901 จึงได้ค้นพบเทือกเขาบานาและเลือกที่นี่สำหรับสร้างวิลล่าขึ้นมา
จนกระทั่งถูกกลับมาบูรณะเป็นเมืองท่องเที่ยวอีกครั้งในปี 2009 ซึ่งมีการสร้างกระเช้าลอยฟ้า 5,801 เมตร ที่ใช้เวลาถึง 50 นาทีในการนั่งกระเช้าจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน จัดเป็นสถานที่พักตากอากาศที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เนื่องจากตั้งอยู่บนเทือกเขาสูง และยังเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งด้วย
ส่วนวันที่เดี๊ยนมาเที่ยว ก็เป็นวันที่ไม่โชคดีนัก เพราะมีพายุเข้าพอดี ทำให้มีหมอกปกคลุมและฝนตกลงมาตลอดทั้งวันค่ะ
ตามภาพที่เห็นคือ ฝนตกลงมาอย่างหนักเลยค่ะ จะเห็นว่านักท่องเที่ยวต้องเข้าไปหลบในร่มร้านค้า
พอฝนค่อยๆซาลง ก็ออกไปเดินเที่ยว แต่อากาศก็เย็นมากๆนะคะ หน้าชาไปหมดเลยค่ะ แถมลมก็พัดแรงด้วย
แต่ก็สวยไปอีกแบบนะคะ เหมือนมาเที่ยวยุโรป เพราะเต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก มีความงดงาม ถ้าฝนไม่ตก มีหมอกอย่างเดียว ก็น่าเดินเที่ยวต่อ แต่ตอนที่ไปฝนตกตลอดค่ะ สำหรับเพื่อนๆคนใหนที่ไปเที่ยว แนะนำว่าให้มาช่วงเดือนที่ไม่มีพายุนะคะ ท้องฟ้าน่าจะเปิดและสวยงามทีเดียว
|
16.00 น. ไกด์เรียกตัวให้มารวมพล เพื่อนั่งกระเช้าลงไปยังด้านล่าง เพื่อนั่งรถไปส่งที่โรงแรม |
เวลา 16.00 น. ไกด์เรียกตัวให้มารวมพล เพื่อนั่งกระเช้าลงไปยังด้านล่าง เพื่อนั่งรถไปส่งที่โรงแรม
เมื่อถึงโรงแรมแล้ว ก็เดินทางไปเที่ยวต่อค่ะ แวะไปตลาดถนนคนเดินกลางคืนเมืองดานัง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสะพานมังกร
ภายในตลาดมีร้านขายของที่ระลึก และอาหารการกินให้เลือกทานมากมาย
ทั้งอาหารปิ้งย่างๆ และอาหารตามสั่ง
มีกุ้งมังกรให้เลือกทานด้วย ราคาตามป้ายเลยจ้า
|
แวะซื้อขนมของฝากจากเมืองดานัง |
แน่นอนมาถึงดานังทั้งที ก็แวะเลือกซื้อของฝากให้ที่บ้านสักหน่อย เลยได้ขนมโก๋อ่อน ราคา 15,0000 ดอง
|
แวะซื้อขนมของฝากจากเมืองดานัง ฮอยอัน |
และอีกหนึ่งขนมของฝากคือ ขนมปังแคกเกอร์มะพร้าว ซึ่งเป็นของฝากประจำของเมืองฮอยอัน ราคาขนมของฝากก็ไม่แพงมากนัก
|
ราคาขายขนมของฝากในตลาดกลางคืนเมืองดานัง ราคาถูกกว่า ขนมที่ขายในตลาดฮั่นอีกค่ะ เดี๊ยนเลยเลือกซื้อที่นี่ค่ะ |
โดยราคาขายขนมของฝากในตลาดกลางคืนเมืองดานัง ราคาถูกกว่า ขนมที่ขายในตลาดฮั่นอีกค่ะ เดี๊ยนเลยเลือกซื้อที่นี่ค่ะ และยังถูกกว่าร้านที่กรุ๊ปทัวร์พาไปให้เลือกซื้อด้วย
ทานอาหารค่ำที่ตลาดถนนคนเดินแห่งนี้ ทานแบบง่ายๆ เป็นมื้อค่ำสุดท้ายที่เมืองดานัง ก่อนเดินทางกลับเมืองไทย
จากนั้นก็ไปเดินชมมังกรพ่นน้ำริมแม่น้ำฮั่น ก่อนเดินเท้ากลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน จบทริปวันที่ 5 ตลอดวันอยู่บนบานาน่าฮิล ที่มีฝนตกและหมอกปกคลุมตลอดทั้งวันค่ะ
---วันที่ 6 วันสุดท้าย (Day 6)---
ทานอาหารมื้อเช้าที่โรงแรม ก่อนจะทำการเช็คเอาท์ และเรียกแท๊กซี่ จาก Grab Car เพื่อให้มารับที่โรงแรม ซึ่งระยะทางจากโรงแรมไปยังสนามบิน ประมาณ 3 กิโลเมตรค่ะ
|
เดินทางกลับถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ..... เป็นอันจบทริปเที่ยวเมืองดานังโดยสวัสดิภาพ |
มารอเข้าคิวเช็คอินเพื่อขึ้นเครื่องบินไฟลทตอนเช้าให้ทัน และเดินทางกลับถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบทริปเที่ยวเมืองดานังโดยสวัสดิภาพ
ขอบพระคุณผุ้อ่านทุกๆคน ที่เสียสละเวลาเข้ามาคลิ๊กเปิดสไลด์อ่านดูกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในบทความถัดๆไปนะคะ .....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
-----------------------------------------------------------------------------------
บทความบล็อกเที่ยวเมืองอื่นๆ มีดังนี้ค่ะ
0 ความคิดเห็น