Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

มาเด้อจ้า..มาเที่ยวบุรีรัมย์ ไม่ต้องตำน้ำกิน เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับไปฟินๆ กินช๊อปเลาะไปตามทาง งามสะพร่างปราสาทหิน ยลถิ่นภูเขาไฟ

ต่อจากตอนที่แล้ว วันนี้ดิฉันคุณนายเว่อร์ เธอขอเป็นคนบ้า มาบอกเล่ารีวิวเที่ยวบุรีรัมย์ เช่ารถมอเตอร์ขับไปย้ำดินแดนปราสาทหิน ถิ่นเมืองกีฬาฟุตบอลเริ่ดสะแมนแตนเว่อร์
ก็ขอสวัสดี๊ดีทักทายเพื่อนๆพี่ๆน้องๆผองชาวไทย ผู้รักการเดินทางท่องเที่ยวทั่วไทย ไปไกลทั่วทีปทั่วแดนกันทุกๆคนนะคะ ดิฉันคุณนายเว่อร์ เธอก็ขอมาเป็นคนบ้า ต้อนรับท่านเข้าสู่เว็ปบล็อกแนะนำที่เที่ยว เขียนไปเรื่อยเปื่อย แนวๆโกโรโกโส สับปะรังเค ให้ท่านได้อ่านกันจนปวดเศียรเวียนตับอีกเช่นเดิมจ้า
 

ต่อจากรีวิวตอนที่แล้ว : http://bit.ly/2OSGZlv
หากจะเอ่ยถึงเมืองรองน่าท่องเที่ยวอีกแห่งในดินแดนอิสานใต้ ดิฉันว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก เมืองบุรีรัมย์เป็นแน่แท้ เพราะได้กลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองแห่งการกีฬาฟุตบอลและการแข่งรถไปเสียแล้ว แต่แท้จริงแล้วเมืองยังนี้ถูกขนามนามว่าเป็นดินแดนแห่งภูเขาไฟ และงามวิไลไปด้วยปราสาทหินขอมเก่าแก่ที่ใครแวะมาก็ต้องแลให้เห็นเป็นบุญตาสักครั้งอย่างแน่นอน เพราะงดงามอรชรไปด้วยผ้าไหมทอมือคุณภาพเยี่ยม เปี่ยมล้นไปด้วยอาหารการกินและเป็นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก

ซึ่งขัดแยังกับในอดีตอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อก่อนนั้น หากเอ่ยถึงชื่อบุรีรัมย์ ก็มักจะได้ยินคนพูดว่า ถ้าบุรีรัมย์ ตำน้ำกิน ดิฉันเองได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกตกใจยิ่งนัก อะไรมันจะกันดารเสียขนาดนั้นค่ะ พอได้ฟังคำบอกเล่าของคนบุรีรัมย์จริงๆถึงได้เข้าใจ เพราะว่าสมัยในอดีตจังหวัดบุรีรัมย์แห้งแล้งยิ่งนัก จนผู้คนต้องเอาไม้มาตำในดินในโคลนเพื่อให้กลายเป็นน้ำดื่มใช้กินกันเลยทีเดียว และด้วยพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงเห็นความทุกข์ของพสกนิกร ได้ทรงจัดการแก้ปัญหาเรื่องดินและน้ำ ทำให้พื้นดินที่เคยแห้งแล้งแห่งนี้ กลายเป็นพื้นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการจัดการระบบชลประทาน และมีน้ำใช้ตลอดทั้งปีเลยทีเดียว จากแต่ก่อนที่คนเคยกล่าวไว้ว่า มาบุรีรัมย์ ต้องตำน้ำกิน คงต้องเปลี่ยนเป็น มาบุรีรัมย์ มีแต่น้ำกินน้ำใช้จนเหลือเฟือแล้วกระมังค่ะ
เพราะตลอดเส้นทางที่ดิฉันนั่งรถตู้โดยสารจากเมืองโคราช ลัดเลาะตามทางหลวงมา ก็เห็นท้องนาท้องไร่เขียวชะอุ่มชุ่มชื่นรื่นฤดี อุดมสมบูรณ์ดียิ่งนัก
เพราะตลอดเส้นทางที่ดิฉันนั่งรถตู้โดยสารจากเมืองโคราช ลัดเลาะตามทางหลวงมา ก็เห็นท้องนาท้องไร่เขียวชะอุ่มชุ่มชื่นรื่นฤดี อุดมสมบูรณ์ดียิ่งนัก จะว่าไปแล้วการเดินทางมาเที่ยวเมืองอีสานใต้ในครั้งนี้ ก็น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อยทีเดียวค่ะ แม้ว่าการเดินทางของดิฉันในครั้งนี้จะค่อนข้างทรหด สู้แดดฟ้าฝนไปบ้าง แต่ก็ลุยๆสบายดีๆค่ะ

สำหรับรีวิวเที่ยวอีสานใต้ตอนที่ 2 นี้ ดิฉันตัดสินใจเดินทางต่อจากเมืองโคราช มาเที่ยวบุรีรัมย์ค่ะ ซึ่งเป็นเส้นทางยลตระการเที่ยวตามชมโบราณสถานเก่าแก่ของอาณาจักรขอมที่มีชื่อเสียงที่สุดแล้วล่ะค่ะ รู้สึกว่านานมากแล้วค่ะที่ไม่ได้มาบุรีรัมย์ มาเที่ยวรอบนี้ก็เพราะเพื่อนๆเหล่านางๆที่ทำงานในเมืองบุรีรัมย์เชิญชวนให้มาเที่ยวเนี่ยแหละค่ะ ก็เลยแวะมาเอนจอย เมาส์มอยพบปะสังสรรค์กันอีกครั้ง เพราะว่าแต่ละคนก็กระจัดกระจายแยกย้ายไปทำงานกันหมดนะคะ

การเดินทางจากเมืองโคราชมายังเมืองบุรีรัมย์ในวันธรรมดาแบบนี้ ดิฉันเลือกโดยสารเดินทางด้วยรถตู้สายนางรองมาค่ะ เนื่องจากเพื่อนแนะนำมา ดิฉันก็เลยต้องเชื่อตามคำแนะนำเพื่อนไป เพราะตอนอยูที่ขนส่งโคราช ก็อิสสะงงๆ สับสนไปหมด เนื่องจากมีหลายเส้นทางมากๆ
ค่าตั๋วรถตู้โดยสารจากเมืองโคราชมาเมืองบุรีรัมย์อยู่ที่ 71 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็เดินทางถึงสถานีขนส่งเมืองบุรีรัมย์ค่ะ
 
ทีสถานีขนส่งเมืองบุรีรีมย์ มีป้ายคำขวัญประจำจังหวัดติดตัวเบ้อเร่อให้นักเดินทางแวะมาได้อ่าน : เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม เลิศล้ำเมืองกีฬา
แต่ถ้าจะให้ดี มีภาษาอังกฤษด้วยก็จะดีนะคะ เพราะมีนักเดินทางจากต่างชาติแบกเป้มาเที่ยวด้วยเหมือนกัน

ใหนก็มาเที่ยวบุรีรัมย์ทั้งที เรารู้จักที่มาของคำว่า บุรีรัมย์กันสักหน่อยเป็นความรู้ 

ที่มาของคำว่าบุรีรัมย์ : บุรี แปลว่าเมือง ส่วนคำว่า รัมย์ แปลว่า รื่นรมย์ หรือมีความสุข 
ดังนั้นเมืองบุรีรัมย์ จึงเป็นเมืองแห่งความรื่นรมย์ตามความหมายของชื่อเมืองที่น่าอยู่ สำหรับคนในท้องถิ่นและเป็นเมืองที่น่ามาเยือนสำหรับคนต่างถิ่นที่ได้แวะมา โดยเป็นเมืองปราสาทหินใหญ่น้อยมากมาย อันหมายถึงความรุ่งเรืองมาแต่อดีต

จากการศึกษาของนักโบราณคดีพบหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยทราวดีและที่สำคัญที่สุดพบกระจายอยู่ทั่วไปในจังหวัดบุรีรัมย์มากคือ หลักฐานทางวัฒนธรรมของเขมรโบราณ ซึ่งมีทั้งปราสาทอิฐ และปราสาทหินเป็นจำนวนมากกว่า 60 แห่ง รวมทั้งได้พบแหล่งโบราณคดีที่สำคัญคือเตาเผา ภาชนะดินเผา และภาชนะดินเผาแบบที่เรียกว่าเครื่องถ้วยเขมร ซึ่งกำหนดอายุได้ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 อยู่ทั่วไปและพระพุทธรูปมหาปรัชญาปารมิตตา

จากการศึกษาของนักโบราณคดีพบหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยทราวดีและที่สำคัญที่สุดพบกระจายอยู่ทั่วไปในจังหวัดบุรีรัมย์มากคือ หลักฐานทางวัฒนธรรมของเขมรโบราณ ซึ่งมีทั้งปราสาทอิฐ และปราสาทหินเป็นจำนวนมากกว่า 60 แห่ง รวมทั้งได้พบแหล่งโบราณคดีที่สำคัญคือเตาเผา ภาชนะดินเผา และภาชนะดินเผาแบบที่เรียกว่าเครื่องถ้วยเขมร ซึ่งกำหนดอายุได้ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 อยู่ทั่วไปและพระพุทธรูปมหาปรัชญาปารมิตตา

มีแผ่นพับแผนที่และข้อมูลท่องเที่ยวแนะนำให้แผนที่ให้ด้วย บริเวณเคาว์เตอร์ติดต่อสอบถามประชาสัมพันธ์ค่ะ ใครที่เดินทางมาเที่ยวด้วยรถโดยสารลงที่สถานีขนส่ง อยากจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมก็ไปหยิบ และสอบถามกับเจ้าหน้าที่ได้คะ
เช่ารถมอเตอร์ไซต์ในเมืองบุรีรัมย์ขับเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย
และเพื่อให้การเดินทางไปใหนมาใหนสะดวกสบายยิ่งขึ้น ดิฉันเลือกเช่ารถมอเตอร์ไซต์ในการเดินทางค่ะ โดยการเช่ามอเตอร์ไซต์ที่บุรีรัมย์นี้ดีนัก ต่างจากเมืองโคราชมากๆ เพราะว่าที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ก็เอาใจลูกค้า ด้วยการนำรถมาส่งถึงที่สถานีขนส่งโดยไม่ต้องเดินทางไปที่ร้านเลยล่ะค่ะ

ซึ่งร้านที่เลือกเช่าในครั้งนี้ ดิฉันค้นหาใน Google เอาค่ะ พอดีค้นหาเจอก็เลยติดต่อล่วงหน้าไว้ ชื่อร้านมิสเตอร์เอ็ม รถเช่าบุรีรัมย์ (Mr.M Burirum Motorbike Rental) ใครสนใจเช่าก็ติดต่อกับทางเจ้าของโดยตรงได้เลยค่ะ ที่เบอร์โทร 062-6966196 อันนี้ดิฉันเองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับทางร้านนะคะ มาแนะนำให้เพื่อนๆที่อยากได้รถเช่า ก็มาเหมาเช่าเป็นวันๆไปได้ค่ะ
ซึ่งร้านที่เลือกเช่าในครั้งนี้ ดิฉันค้นหาใน Google เอาค่ะ พอดีค้นหาเจอก็เลยติดต่อล่วงหน้าไว้ ชื่อร้านมิสเตอร์เอ็ม รถเช่าบุรีรัมย์ (Mr.M Burirum Motorbike Rental)
แถมรถมอเตอร์ไซต์ก็ใหม่เอี่ยมอ่องเชียว ดิฉันเองก็กลัวว่าจะขับมอเตอร์ของร้านไปล้มลงกลางทางจริงๆค่ะ
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์อยู่ที่วันละ 350 บาท
ค่ามัดจำ 1500 บาท
ทางร้านจะยึดบัตรประชาชนไว้ ส่วนดิฉันก็ใช้ใบขับขี่แทนค่ะ
ส่วนวันคืนรถเช่า ก็ไม่ต้องไปส่งรถที่ร้านนะคะ เพราะทางร้านมีพนักงานมารับรถถึงที่สถานขนส่งเลย

 หลังจากที่ได้รถมอเตอร์ไซต์เป็นพาหนะแล้ว ดิฉันก็ขับรถมอเตอร์ไซต์มายังที่พักคืนนี้ โดยพักค้างที่โรงแรม SG. Hotel
ซึ่งโรงแรมอยู่ในตัวเมืองบุรีรัมย์เลยค่ะ
สำหรับราคาห้องพักคืนนี้อยู่ที่คืนละ 917 บาท รวมอาหารเช้า โดยราคาห้องพักเป็นห้องสำหรับ 2 คน ถ้ามาพักคนเดียวก็ราคาเดียวกันค่ะ
 ส่วนสภาพห้องพักก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ห้องกว้างขวาง ไม่แออัดหรือแคบเกินไป สะอาดสะอ้านดี
มีทีวี ตู้เย็น น้ำดื่มให้ 2 ขวด มีกาต้มน้ำร้อนให้
มีตู้เสื้อผ้าให้ด้วย แต่จะขาดๆเกินๆก็ตรงไม้แขวนเสื้อในตู้เนี่ยแหละค่ะ เพราะดูไม่เหมือนกัน มีทั้งแบบลวด และแบบพลาสติก น่าจะใช้ไม้แขวนเสื้อแบบไม้ใช้ในโรงแรมน่าจะดีกว่าเยอะเลย
ตั้งใจจะขับรถมอเตอร์ไซต์ไปเที่ยวชมพระอาทิตย์ตกดินที่เขากระโดงต่อ แต่แล้วก็ต้องกินแห้ว เพราะว่าฝนฟ้าคึกคะนองตกลงมาอย่างหนักเลยค่ะ
หลังจากที่ได้เช็คอินน์นำกระเป๋าเอาไปไว้ในห้องแล้ว ดิฉันตั้งใจจะขับรถมอเตอร์ไซต์ไปเที่ยวชมพระอาทิตย์ตกดินที่เขากระโดงต่อ แต่แล้วก็ต้องกินแห้ว เพราะว่าฝนฟ้าคึกคะนองตกลงมาอย่างหนักเลยค่ะ กลายเป็นว่าช่วงบ่ายๆแก่ๆในวันนี้เลยไม่ได้ออกไปใหนเลย
ในเมื่อฝนตกหนักแบบนี้ ดิฉันเลยมานั่งทำงานอีกเหมือนเดิมตามสเต็ป เที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย เดียวตอนดึกก็มานั่งเขียนบล็อกอีก ถือว่าบ่ายวันนี้มาทำงานแล้วกันค่ะ
นอกจากนี้ที่โรงแรมยังมีสระว่ายน้ำกลางแจ้งให้เล่นอีกด้วย
หลังจากที่ฝนหยุดตกแล้ว ก็ได้เวลาทานข้าวเย็น สำหรับอาหารค่ำคืนนี้ ไม่ต้องแบกเป้ลุยเดี่ยวทานข้าวคนเดียวเหมือนทริปก่อนๆแล้วค่ะ เพราะอาหารมื้อนี้ เพื่อนสาวเป็นทั้งเจ้าแม่และเจ้ามือเลี้ยงข้าวเย็น เดี๊ยนเลยประหยัดตังค์ไปอีกมื้อนึง แต่กว่าจะได้ทานก็ปาไปเกือบ 2 ทุ่มครึ่งเลยนะคะ เพราะนางขยันทำงาน ทำโอที ปั้มเงินมากๆ ดิฉันเลยต้องรอทานจนไส้กิ่วท้องร้องจ๊อกๆเชียว ของฟรีของอย่างเนี่ย ต้องอดทนนะ
โดยมื้อเย็นนี้ เพื่อนสาวนัดไปทานข้าวที่ร้านอาหารเม้าส์มอย Mouth Moy อยู่ใกล้วงเวียนช้าง ม.ราชภัฎบุรีรัมย์
นางสั่งอาหารทานมาซ่ะเต็มโต๊ะเชียว ดิฉันเห็นแล้วก็อิ่มทิพย์ไปเลยทีเดียว
สำหรับอาหารที่อร่อยที่สุดในร้าน ที่ดิฉันและเพื่อนสาวคนสวย รวยระกา ลงประชามติกันรสชาติแซ่บเว่อร์ ต้องเป็นวุ้นเส้นผัดกะเพรา อาหารง่ายๆ แต่รสชาติแซ่บซี๊ดจี๊ดไปถึงทรวง เพราะเผ็ดร้อนเร้าเผาไปถึงกระเพาะอาหาร ร้าวรานยิ่งนัก ว่าก็ว่าเถอะมาทานอาหาร้านแถวอีสานใต้ ก็เผ็ดไม่แพ้อาหารใต้เลยล่ะ
ส่วนราคาอาหารก็ไม่แพงด้วยนะ อย่างละ 40-60 บาทค่ะ หากเพื่อนๆผู้รักการทัศนาจรคนใหนที่แวะไปเที่ยวบุรีรัมย์ มองหาร้านอร่อยๆ ราคาไม่แพง ก็แวะมาลิ้มลองทานกันได้นะคะ ดิฉันเองก็ลืมถ่ายภาพหน้าร้านมาลงด้วย เพราะมัวแต่เมาส์มอยกันอย่างมันส์แหลกแหกอก เนื่องจากไม่ได้เจอกันนานมาก ต่างคน ก็ต่างกระจัดกระจายไปทำอาชีพของตน

ยังไงต้องขอขอบพระคุณเพื่อนสาวบุรีรัมย์ที่นัดคุณนายเว่อร์ เธอเป็นบ้าคนนี้ไปเลี้ยงข้าวและต้อนรับอย่างอบอุ่น หลังจากที่ได้ทานอาหารจนอิ่ม ก็เดินทางกลับที่พักนอนพักผ่อนอย่างสลบไสลไป 1 คืนเต็มๆ
--------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันใหม่ในวันถัดมา
ดิฉันตื่นแต่เช้าตรู่เลยค่ะ ออกมาเดินออกกำลังกายแต่เช้า เห็นสระว่ายน้ำก็อย่าลงไปเล่น แต่เสียดายไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำมา ถ้าจะนุ่งผ้าถุงกระโจมอก ถือขันน้ำมาเล่น เกรงจะโดนตำหนิติเตียนเอา 
วันนี้ก็เลยได้แต่เดินไปเดินมา ออกกำลังกายอยู่รอบสระ เพราะอาหารเย็นมื้อคืนนี้ ทำให้ดิฉันพุงปลิ้นเชียว เช้านี้เลยมาเดินออกกำลังกายสักหน่อย
หลังจากไปเดินออกกำลังกายจนเหนื่อยแล้ว ก็มาทานข้าวต่อค่ะ มาดูสิว่าที่โรงแรมเดอะเอสจี บุรีรัมย์แห่งนี้ มีอะไรให้ทานบ้าง
 อาหารเช้าที่โรงแรมเป็นไลน์อาหารแบบบุฟเฟ่ต์ มีอาหารหนัก อาหารเบา มีขนมปัง มีสลัด ไข่ดาว ข้าวต้ม แต่เสียอย่างเดียวไม่มีโยเกิร์ตนะคะ
มื้อเช้านี้ดิฉันเลยทานอาหารแบบเบาๆ ทานข้าวต้มและขนมปังไป 2 แผ่นกับมะเขือเทศก็อิ่มแล้วล่ะค่ะ ถ้าทานไปมากกว่านี้ เดียวมีอันต้องแน่นท้องเป็นแน่แท้
หลังจากทานข้าวอิ่มแล้ว ดิฉันก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วทำการเช็คเอาท์ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนเลย มีเวลาไม่ถึง 1 วัน เพราะตอนบ่ายๆก็ต้องนำรถมอเตอร์ไซต์มาคืนแล้วค่ะ 
สำหรับทริปแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวบุรีรัมย์ในวันธรรมดาครั้งนี้ ดิฉันเลยขอตามรอยยลโฉมชมปราสาทหินดีกว่าค่ะ เพราะใหนๆก็เช่ามอเตอร์ไซต์มาแล้ว

เริ่มต้นขับรถมอเตอร์ไซต์ออกจากเมืองบุรีรัมย์  สถานที่แรกที่ใครแวะมาบุรีรัมย์ก็ต้องไปเช็คอินน์ถ่ายรูปชมวิวกันคงหนีไม่พ้น เขากระโดง แหล่งท่องเที่ยวและจุดชมวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองบุรีรัมย์มากนัก ขับรถมาแป๊บจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตรก็ถึงแล้วค่ะ
 โดยเส้นทางที่จะไปยังเขากระโดง ก็เป็นถนนที่จะมุ่งหน้าไปยังอำเภอประโคนชัยด้วยค่ะ
สนามฟุตบอลช้างอารีน่า ในจังหวัดบุรีรัมย์
ระหว่างทางที่จะไปเขากระโดงก็ผ่านสนามกีฬาช้างอารีน่าด้วยล่ะคะ ว่ากันว่าเป็นสนามกีฬาที่สวยงามและดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว และยังกลายเป็นแลนด์มาร์คที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดบุรีรัมย์ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว นักเดินทาง และนักกีฬาจากทั่วสารทิศให้แวะเวียนมาเยือนเมืองนี้อย่างไม่ขาดสายอีกด้วย

ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า แค่สนามกีฬาก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวนักเดินทางได้ทั่วสารทิศทุกหนแห่ง รู้อย่างนี้แล้ว ดิฉันมีคิดว่าแต่ละจังหวัดในเมืองไทย น่าจะมีสนามกีฬาคล้ายๆเมืองบุรีรัมย์แห่งนี้ น่าจะมีมนต์เสน่ห์กิ๊บเก๋ยูเรก้าไม่ใช่น้อยเลยเชียว
ไม่ไกลนักจากสนามกีฬาช้างอารีน่า ก็ถึงวนอุทยานภูเขาไฟกระโดงแล้วค่ะ เรียกว่ามาถึงบุรีรัมย์ต้องมาชมภูเขาไฟสักครั้ง ตามชื่อคำขวัญประจำจังหวัดค่ะ
เมื่อเดินทางเข้ามา โดยรอบก็เป็นป่าเขาอยู่ใกล้เมือง บรรยากาศเป็นป่าไม้สีเขียว
หากใครที่อยากออกกำลังกาย แนะนำเดินขึ้นบันใดนาคไปยังยอดเขาด้านบนได้เลยจะดีมากค่ะ
แต่ถ้าใครที่ไม่อยากเดินขึ้นไป ก็ขับรถขึ้นไปได้ มีป้ายบอกทางชัดเจน เส้นทางขึ้นเขาก็ไม่ลาดชันด้วยนะ ครั้งแรกที่ดิฉันมาถึง นึกภาพไว้คิดว่าจะต้องเป็นทางลาดชัน คดเดี้ยวเหมือนไปดอยแม่สลอง หรือดอยอ่างขางเสียอีกนะคะ แต่จริงๆแล้วทางขึ้นเขาซำบายขนาดเลยเจ้า
เดินทางมาถึงปากปล่องก็มีป้ายเป้ยให้ถ่ายรง ถ่ายรูปกันอีกด้วย
บริเวรปากปล่องภูเขาไฟ

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ วนอุทยานเขากระโดง อ่านเป็นความรู้กันจ้า

ตั้งอยู่ที่บ้านน้ำซับ ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองจังหวัดบุรีรัมย์ ถือว่าเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว มีปากปล่องทะลุเห็นได้ชัดเจน รอบบริเวณแวดล้อมด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าขนาดเล็กมากมาย โดยเฉพาะนกนานาชนิด โดยบนเขากระโดงยังมีโบราณสถานสมัยขอม รอยพระพุทธบาทจำลอง และพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ชื่อว่า พระสุภัทรบพิตร เป็นที่เคารพสักการะของคนในท้องถิ่น นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปชมทิวทัศน์ของตัวเมืองบุรีรัมย์ และไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลกันอีกด้วย
สำหรับการเดินทางมายังวนอุทยานเขากระโดง หากมีรถยนต์ส่วนตัว ขับจากตัวเมืองใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 ไปทางอำเภอประโคนชัย ผ่านกองร้อยอาสารักษาดินแดนบุรีรัมย์ 2 และสี่แยกใหญ่ ให้ตรงไปจนถึงบ้านน้ำซับ จะเห็นภูเขาทางซ้ายมือ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวนอุทยานฯ สามารถขับรถขึ้นไปได้ถึงยอดเขา หรือจะเดินจากเชิงเขาขึ้นบันไดไปก็ได้
เครดิตข้อมูลน่ารู้จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/วนอุทยานเขากระโดง
และพื้นป่าเขากระโดงมีพื้นที่ 6,212 ไร่ กรมป่าไม้ได้ประกาศให้เป็นวนอุทยานเขากระโดงเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2521 ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักงานป่าไม้เขตนครราชสีมาอีกด้วย
โดยภายในวนอุทยานยังจัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติตามรอยลาวาให้ได้เดินชมกันอีกด้วยค่ะ
 สิไหลเด้อ ตามรอยลาวาชมปากปล่องภูเขาไฟกระโดง หากใครที่อยากลดไขมัน ลองมาเดินๆเพลินศึกษาตามรอยลาวาดู น่าจะลดแคลลอรี่และเผาพลาญไขมันในร่างกายไปได้เยอะทีเดียวเชียวล่ะ
พระพุทธรูปขนาดใหญ่ ชื่อว่า พระสุภัทรบพิตร
เมื่อมาถึงเขากระโดง ไม่พลาดต้องกราบสักการะ พระพุทธรูปขนาดใหญ่ ชื่อว่า พระสุภัทรบพิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปมงคลตั้งอยู่บนยอดเขากระโดง 
พระพุทธรูปขนาดใหญ่ ชื่อว่า พระสุภัทรบพิตร
 บริเวณโดยรอบบนลานพระพุทธรูปก็กว้างขวาง ร่มรืนย์เป็นจุดชมวิวทัศนียภาพอันสวยงามของเมืองบุรีรัมย์
 มองจากลานพระสุภัทรบพิตรไปยังเบื้องล่าง ก็เป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีหมู่บ้าน ดูเขียวชะอุ่มยิ่งนัก ใครบอกว่ามาบุรีรัมย์ต้องตำน้ำกิน คงต้องคิดใหม่แล้วล่ะค่ะ เพราะบุรีรัมย์วันนี้อุดมสมบูรณ์ดียิ่งนักแล
และหากซูมกล้องไปใกล้ๆก็ยังเห็นสนามกีฬาช้างอารีน่าอีกด้วย
 นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงกับลานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ยังมีจุดชมถ่ายภาพเช็คอินน์ให้ฟินกระจายอยู่หลากหลายมุม
จุดชมอาทิตย์อัสดง งามเริ่ดสะแมนแตนบนเขากระโดง
อย่างเช่นมุมชมอาทิตย์อัสดงงามเริ่ดสะแมนแตนมุมนี้ ก็คงจะสวยงามดียิ่งนัก หากได้มานั่งชมช่วงยามสนธยาใกล้เพลาพลบค่ำ คงจะทอแสงสีทองเรืองรองงดงามทีเดียวเชียวค่ะ จริงๆแล้วดิฉันตั้งใจจะขึั้นมาชมแต่เมื่อวาน แต่เสียดายฝนตกหนักมากเมื่อวาน ดิฉันก็เลยแวะมาเก็บตกวันนี้เอาล่ะกัน
มองจากจุดชมวิวไปก็ไปทิวทัศน์ของบ้านเรือนและท้องไร่ท้องนาอันกว้างใหญ่ สลับกับต้นไม้ดูเขียวขจีไปหมด
และใกล้ๆลานจุดชมวิว ก็มีร้านขายผลิตภัณฑ์ของดีเมืองบุรีรัมย์ให้เลือกซื้อเลือกหากันอีกด้วย
 ดูผ้าซิ่นมัดหี่ตีนแดงที่ผาดบนราวแขวนผ้าผืนนี้ ก็สวยงามน่าซื้อไปนุ่งออกงง ออกงานยิ่งนัก

เดินมาอีกหน่อยก็เจอร้านขายผ้าซิ่นอีกแล้ว สีสันสวยงามเชียว เห็นแล้วก็อยากได้ เอาไว้นุ่งไปเดินประกวดนางโชว์นะคะ
และหลังจากที่ได้แวะเที่ยวชมปากปล่องภูเขาไฟกระโดงในเมืองบุรีรัมย์แล้ว ดิฉันก็ขับมอเตอร์ไซต์ลอยละล่องท่องตามสายลมลงมายังอำเภอประโคนชัย ระยะทางประมาณ 47 กิโลเมตร

ซึ่งระหว่างนั้นขับรถเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ริมทางพอดี เลยเข้าไปสักการะแวะชมสักหน่อยค่ะ
พระพุทธประโคนชัยมิ่งมงคล เป็นพระพุทธรูปนาคปรก
พระพุทธรูปที่เห็นอยู่นี้มีชื่อว่า พระพุทธประโคนชัยมิ่งมงคล เป็นพระพุทธรูปนาคปรก ตั้งอยู่ติดถนนริมทางหลวงเส้นทางบรุรีรัมย์-ประโคนชัย หากเพื่อนๆคนใหนที่แวะผ่านมา ก็เข้ามากราบสักการะกันได้นะคะ
และไม่ไกลนักจากลานพระพุทธประโคงชัยมิ่งมงคล ขับรถมอเตอร์ไซต์มาอีกหน่อยก็ถึงตัวอำเภอเมืองประโคนชัยแล้วค่ะ
 ระหว่างขับรถเข้ามาตามถนนในตัวอำเภอก็มีร้านขายของฝากให้เลือกซื้อกันอีกด้วย
 ระหว่างขับรถเข้ามาตามถนนในตัวอำเภอก็มีร้านขายของฝากให้เลือกซื้อกันอีกด้วย
 โดยของฝากขึ้นชื่อประจำอำเภอประโคนชัยก็คือ กุ้งจ่อมค่ะ
กุ้งจ่อมเป็นอาหารพื้นบ้านของคนที่นี้  เป็นการถนอมอาหารโดยนำเอากุ้งจ่อมมาหมักกับเกลือใส่ข้าวคั่ว รสชาติจะออกเค็มจ๋า ดี๊ด๊าสุดๆไปเลยล่ะคะ ส่วนใหญ่จะนำไปปรุงทำเป็นกับข้าวสำรับอาหารอย่างอื่นต่อเช่น ทำน้ำพริก ทำน้ำปลาหวาน รสชาติแซ่บสะเดิดเปิดเปิงบันเทิงใจมากๆ แต่ถ้าทานเปล่าๆ เดี๊ยนขอบายๆนะคะ เพราะเค็มปี๋ทีเดียว
 มีขนมกระยาสาทอีกด้วย ดูแล้วรสชาติน่าจะอร่อยนะ 
ใหนๆก็แวะผ่านมาทั้งที เดี่ยวคนที่บ้านและที่ทำงานจะถามหาว่าของฝากอยู่ใหน 
ดิฉันเลยจัดซื้อของฝากขึ้นชื่อในเมืองนี้ไปฝากเลยล่ะกันค่ะ
หากใครที่แวะผ่านเข้ามายังตัวอำเภอประโคนชัย ตามถนนเส้นที่จะไปเขาพนมรุ้ง จะเห็นแผงลอยวางขายของฝากอยู่ริมทางมากมายให้เลือก
ผลิตภัณฑ์สินค้าจากชุมชนอื่นๆก็มีนะคะ อย่างเช่น เหล้าอุข้าวกล้อง ก็มีวางขายให้ลิ้มลองด้วยเช่นกัน ใครชอบดูดเหล้าอุ ก็ซื้อไปดื่มลิ้มลองดู แต่อย่าดื่มเยอะนะคะ เดี่ยวเมาค่ะ
 หลังจากที่แวะซื้อของฝากในอำเภอประโคนชัยแล้ว ก็ขับรถออกจากตัวอำเภอมุ่งหน้าไปยังเส้นทางสู่ปราสาทหินพนมรุ้ง
หากขับรถมาเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องกลัวหลงนะคะ เพราะมีป้ายบอกทางตลอด
 ระหว่างขับรถมาเรื่อยๆตามถนนที่มุ่งหน้าไปยังเขาพนมรุ้ง ก็เห็นแผงลอยของชาวบ้านขายกล้วย และข้าวสาร ดิฉันเลยต้องแวะอุดหนุนช่วยชาวบ้านเลยค่ะ
แวะซื้อของฝากริมทางของชาวบ้าน ที่นำผลิตภัณฑ์ของตนเองมาวางขายให้นักท่องเที่ยว
 มีข้าวสารหลากหลายพันธุ์บรรจุใส่ถุงเรียงตั้งไว้บนแผงลอย
 แต่ที่อร่อยถูกใจเดี๊ยนเป็นที่สุด คงจะเป็นกล้วยฉาบ รสชาติกรุบกรอบอร่อยมากๆ โดยคนขายบอกกับดิฉันว่า กล้วยฉาบที่วางขายอยู่นี้ ไม่ได้ปรุงแต่งรสชาติแต่อย่างใด เป็นรสธรรมชาติล้วนๆ  แถมราคาไม่แพงด้วยนะคะ ถุงละ 30 บาท ถุงเบ้อเริ้มเทิ่มเชียว ได้เยอะด้วย 
แวะซื้อของฝากริมทางของชาวบ้าน ที่นำผลิตภัณฑ์ของตนเองมาวางขายให้นักท่องเที่ยว
ข้าวสารก็น่าซื้อไปหุงทานที่บ้าน ดิฉันมาเที่ยวบุรีรัมย์รอบนี้ได้ของฝากกลับไปที่บ้านเยอะ จนเป็นใยป้าบ้าหอบฝางไปเลยทีเดียว เพราะแวะซื้อโน้นนี้นั้นไปเรื่อย ส่วนใหญ่สินค้าที่ซื้อจะเน้นสินค้าของชาวบ้านในชุมชน เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้เกิดกับคนในพื้นที่ด้วย
 และก่อนจะแวะไปเขาพนมรุ้ง มีปราสาทหินเมืองต่ำ ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญที่อยู่ใกล้ๆกับเขาพนมรุ้ง
ทะเลเมืองต่ำ หรือ "สระบาราย"
ระหว่างทางก็จะผ่านทะเลเมืองต่ำ หรือ "สระบาราย" ตั้งอยู่ที่บ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นมาในสมัยเดียวกันกับตอนสร้างปราสาท อยู่ห่างจากตัวปราสาทเมืองต่ำไปทางทิศเหนือราว 200 เมตร สร้างขึ้นเพื่อการอุปโภค การชลประทานของชุมชน
 ขับรถมาไม่ไกลนักก็ถึงปราสาทเมืองต่ำ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดตาที่น่าสนใจต้องแวะไปเดินชมดูสักครั้ง
 สำหรับค่าธรรมเนียมเข้าชมอยู่ที่ 30 บาท สามารถใช้บัตรดังกล่าวขึ้นเข้าชมปราสาทหินพนมรุ้งได้ด้วยนะคะ
 สำหรับค่าธรรมเนียมเข้าชมอยู่ที่ 30 บาท
ซึ่งบัตรที่ซื้อไปนี้ ทางเจ้าหน้าที่บอกกับดิฉันว่าสามารถนำไปใช้กับปราสาทหินเขาพนมรุ้งได้ด้วย
ปราสาทเมืองต่ำ (Prasat Muang Tam)
ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ ปราสาทเมืองต่ำ อ่านกันเป็นความรู้จ้า

ปราสาทเมืองต่ำเป็นศาสนาสถาน ศิลปะขอมแบบบาปวน อายุประมาณ พ.ศ. 1551-1630 หรือราวพุทธศตวรรษที่ 16-17สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ในศิลปะบาปวนตอนต้น และลดความสำคัญลงไปในราวพุทธศตวรรษที่ 18 และถูกทิ้งร้างในที่สุด จนเมื่อราวปี พ.ศ. 2490 จึงเริ่มมีการอพยพเข้ามาของชาวบ้าน มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้อีกครั้งหนึ่ง
โดยปราสาทเมืองต่ำนั้น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มปราสาทมรรคโค เป็นศาสนสถานที่สร้างตามคติความเชื่อทางศาสนาฮินดู สันนิษฐานว่าสร้างขึ้น เพื่อถวายพระศิวะ มีลักษณะเป็นศาสนสถานประจำเมืองหรือประจำชุมชน ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดปราสาทบูรพาราม ตำบลจระเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
ซึ่งคำว่า เมืองต่ำ ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิม แต่เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองเรียกโบราณสถานแห่งนี้ เพราะปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นราบ
ซึ่งคำว่า เมืองต่ำ ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิม แต่เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองเรียกโบราณสถานแห่งนี้ เพราะปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นราบ ส่วนปราสาทพนมรุ้งตั้งอยู่บนเชิงเขา ซึ่งทั้งปราสาทเมืองต่ำและปราสาทพนมรุ้งอยู่ไม่ห่างกันมาก คือห่างกันเพียง 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ วัสดุส่วนหนึ่งจากโบราณสถาน และโบราณวัตถุ ของปราสาทเมืองต่ำ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงนำมาเป็นส่วนประกอบในการทำพระเครื่อง ที่เรียกว่า "พระสมเด็จจิตรลดา" อีกด้วย
กลุ่มปราสาทอิฐ และปรางค์ประธาน ที่เหลือแต่ส่วนฐานที่ยังมีอยู่
กลุ่มปราสาทอิฐ และปรางค์ประธาน ที่เหลือแต่ส่วนฐานที่ยังมีอยู่
บริเวณพื้นกลางห้องภายในซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก มีการสลักเป็นลายเส้นรูปดอกบัว 8 กลีบ ซึ่งอาจหมายถึงจุดกำหนดในการตั้งจิต อธิษฐานบูชาเทพเจ้า
ทับหลังบนซุ้มประตูทางเดินอันวิจิตรตระการตาของศิลปะขอม
โดยบริเวณพื้นกลางห้องภายในซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก มีการสลักเป็นลายเส้นรูปดอกบัว 8 กลีบ ซึ่งอาจหมายถึงจุดกำหนดในการตั้งจิต อธิษฐานบูชาเทพเจ้า หรือหมายถึงการจำลองแผนผังของจักรวาล อันประกอบด้วยทิศสำคัญทั้ง 8 ทิศ
และระเบียงคดในปราสาทนั้น เป็นแนวกำแพงชั้นในของโบราณสถาน
และระเบียงคดในปราสาทนั้น เป็นแนวกำแพงชั้นในของโบราณสถาน ก่อสร้างด้วยหินทรายเชื่อมต่อกันโดยรอบ ล้อมรอบกลุ่มปราสาทอิฐ ภายในห้องกว้าง ประมาณ 2 เมตร พื้นปูด้วยศิลลาแลง ที่บริเวณกึ่งกลางของระเบียบคดทุกด้าน ก่อสร้างเป็นซุ้มประตูในแนวเดียวกันกับซุ้มประตูของกำแพงแก้ว
โดยสระน้ำ 4 สระ ล้อมรอบระเบียงคดมีลักษณะเป็นรูปตัวแอล
โดยสระน้ำ 4 สระ ล้อมรอบระเบียงคดมีลักษณะเป็นรูปตัวแอล ก่อสร้างด้วยศิลาแลงเป็นขั้นบันไดลงไปถึงก้นสระ ขอบสระด้านบนแกะสลักด้วยหินทรายเป็นลำตัวนาค ที่มุมสระสลักเป็นนาค 5 เศียร สระน้ำทั้ง 4 สระนี้ ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ปราสาทหินเมืองต่ำ ตัวปราสาททางด้านทิศเหนือนั้นก่อสร้างด้วยอิฐเดิมมีลวดลายปูนปั้นประดับ
และปราสาทแถวหน้าองค์ทิศเหนือ ก่อสร้างด้วยอิฐ เดิมมีลวดลายปูนปั้นประดับ ทับหลังทำจากหินทรายสลักภาพพระศิวะคู่กับพระอุมาประทับนั่งเหนือ โคนนทิ เรียกภาพตอนนี้ว่า "อุมามเหศวร
ปรางค์ประธาน ตั้งอยู่ตรงกลางเยื้องมาข้างหน้าเล็กน้อย ระหว่างปรางค์บริวารทั้งสองมีขนาดใหญ่กว่าปรางค์บริวารอีก 4 องค์ ทับหลังเป็นหินทราย
ปัจจุบันปรางค์ประธานได้ถล่มลงมาแล้วคงเหลือเฉพาะฐานที่ก่อด้วยศิลาแลง ลักษณะอาคารใช้อิฐเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
ปัจจุบันปรางค์ประธานได้ถล่มลงมาแล้วคงเหลือเฉพาะฐานที่ก่อด้วยศิลาแลง ลักษณะอาคารใช้อิฐเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก พบเพียงฐานเป็นศิลาแลง และหน้าบันซึ่งสลักจากหินทราย เป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ศิลปะปาปวน สันนิษฐานว่าตัวปราสาทเป็นปราสาทหินทราย
กลุ่มปราสาทอิฐ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางของตัวปราสาทเมืองต่ำเป็นอาคารสำคัญที่สุด
กลุ่มปราสาทอิฐ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางของตัวปราสาทเมืองต่ำเป็นอาคารสำคัญที่สุด ใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพและประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้าประกอบด้วยปราสาทอิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกันองค์ปราสาทก่อด้วยอิฐเรียงเป็น 2 แถว แถวหน้า 3 องค์ และแถวหลัง 2 องค์ กลุ่มปราสาทอิฐ 5 องค์นี้แสดงสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุศูนย์กลางจักรวาลปราสาทประธาน ส่วนตรงกลางคือส่วนปรางค์ประธาน ซึ่งได้ปรักหักพังเหลือเพียงฐาน
เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/ปราสาทเมืองต่ำ
 หลังจากได้เดินชมปราสาทแล้ว ก็มาเดินชมบรรยากาศริมทะเลเมืองต่ำซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน มีร้านขายอาหารและเครื่องดื่มเปิดบริการให้นั่งพักชมบรรยากาศริมน้ำด้วย แต่ดูเงียบสงัดไร้นักท่องเที่ยวเหลือเกิน เนื่องจากเป็นวันธรรมดา ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวนัก
 ใกล้ๆกับลานจอดรถก็มีร้านขายเครื่องจักรสานด้วย หวดนึ่งข้าวเหนียว
เครื่องจักรสานจำพวกตะกร้า กระด้ง ผลิตภัณฑ์ทำจากฝีมือล้วนๆก็น่าซื้อไปใช้นะคะ
และระหว่างทางขับรถออกจากปราสาทเมืองต่ำ ชะแว๊ปเห็นมะละกอของชาวบ้านวางขายอยู่ ดิฉันเลยแวะไปอุดนหนุนคุณยายสักหน่อยค่ะ มะละกอที่นี้ราคาก็ถูกเสียเหลือเกินนะคะ ลูกละ 10 บาทเอง ถ้าเป็นที่กรุงเทพตกลูกนึงคง 4 ซ่า 50 บาทได้กระมัง

แถมคุณยายคนขายจะแถมได้อีกนะคะ แต่ดิฉันก็ปฎิเสธไม่รับไปค่ะ เพราะเกรงใจ เอาไว้ให้คุณยายขายให้ลูกค้าคนอื่นบ้าง และอีกอย่างมอเตอร์ไซต์ที่ดิฉันเช่าขับมานี้ ก็ไม่ค่อยมีที่เก็บด้วยค่ะ
จากนั้นก็เดินทางมาที่อุทยานประวัติศาสตร์เขาพนมรุ้ง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและโด่งดังที่สุดในจังหวัดบุรีรัมย์ เรียกว่าหากใครมาเที่ยวบุรีรัมย์ ไม่ได้แวะมาชมปราสาทหินแห่งนี้ ถือว่ามาไม่ถึงจังหวัดบุรีรัมย์เลยทีเดียวล่ะคะ

เพราะเป็นปราสาทหินสวยงามที่ตั้งตระหง่านอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟสูง ดิฉันเองก็เคยมาเยือนที่ปราสาทหินแห่งนี้แล้วเมื่อสมัยตอนเด็กๆ เรียกว่านานมากๆแล้วล่ะค่ะ นานจนลืม พ.ศ.ไปเลยล่ะ

มาเที่ยวชมปราสาทหินพนมรุ้งรอบนี้ เหมือนมารำลึกความหลังว่าปัจจุบันที่ปราสาทหินแห่งนี้ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ใหนบ้าง ก็เลยจัดทริปเที่ยวนำมารีวิวเล่าสู่กันฟังค่ะ
ก่อนจะไปเดินขึ้นชมปราสาทเขาพนมรุ้ง เติมพลังกันก่อนค่ะ กับอาหารไทยๆไม่สิ้นคิด แต่นึกไม่ออกทานอะไร ก็จัดไปเน้อเจ้า ผัดกระเพราไก่ไข่ดาว เผ็ดคั๊กขนาดเจ้า
มีแผ่นพับข้อมูลเกี่ยวกับเขาพนมรุ้งให้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษค่ะ
มีแผ่นพับข้อมูลเกี่ยวกับเขาพนมรุ้งให้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษค่ะ
แต่ที่เห็นอยู่ในกล่อง เหลือแต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว
ส่วนทางเดินขึ้นไปยังตัวปราสาทก็ดีกว่าเมื่อสมัย 20 กว่าปีก่อนมากนะคะ เพราะทำเป็นทางเดินพื้นแผ่นเหล็กเดินไปได้อย่างสะดวกสบาย
ระหว่างเดินไปก็พบกลุ่มนักเรียน นักศึกษากำลังฟังบรรยายของมัคคุเทศน์ที่กำลังให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับปราสาทหินเขาพนมรุ้งอีกด้วย เห็นแล้วก็นึกย้อนไปตอนสมัยเรียนมหาลัยจังค่ะ วันวานยังหวานอยู่นะ
ปราสาทหินพนมรุ้ง


พอได้ยินมัคคุเทศน์ของอุทยานบอกเล่าเรื่องราวของปราสาทแห่งนี้แล้ว เราก็มารู้จักเขาพนมรุ้งให้มากขึ้นดีกว่านะคะ

คำว่า พนมรุ้ง มาจากภาษาเขมรว่า "วนำรุง" แปลว่า ภูเขาอันกว้างใหญ่ มีความหมายตรงกับจารึกภาษาขอมและภาษาสันสกฤต


สาระน่ารู้เกี่ยวกับเขาพนมรุ้ง 
สาระน่ารู้เกี่ยวกับเขาพนมรุ้ง  อ่านกันเป็นความรู้ค่ะ

ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นโบสถ์พราหมณ์ลัทธิไศวะ มีการบูรณะก่อสร้างต่อเนื่องกันมาหลายสมัย ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ถึงพุทธศตวรรษที่ 17 และในพุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขะแมร์ได้หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน เทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นวัดมหายาน ในช่วงแรกปราสาทหินพนมรุ้ง สร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพู ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้งสูง 1,320 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ชื่อพนมรุ้งแปลว่าภูเขาใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 15-18

ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทเมื่อ 900,000 ปีมาแล้ว เมื่อบรรพชนขึ้นมาสร้างศาสนสถานบนยอดเขาแห่งนี้ ได้ดัดแปลงภูเขาไฟให้กลายเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ สำหรับกักเก็บน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างดี โดย พนมรุ้ง เป็นชื่อเดิมของภูเขา และศาสนาสถานที่ตั้งอยู่บนยอดเชาลูกนี้อย่างน้อยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 16 หรือ พ.ศ.1532 ปรากฎคำนี้ในศิลาจารึก อักษรขอมภาษาเขมร พบที่ปราสาทพนมรุ้งถึง 4 หลัก 
ทางเดินสู่ปราสาททั้งสองข้างประดับด้วยเสามียอดคล้ายดอกบัวตูมเรียกว่า เสานางเรียง
ทางเดินสู่ปราสาททั้งสองข้างประดับด้วยเสามียอดคล้ายดอกบัวตูมเรียกว่า เสานางเรียง
ทางเดินสู่ปราสาททั้งสองข้างประดับด้วยเสามียอดคล้ายดอกบัวตูมเรียกว่า เสานางเรียง จำนวนข้างละ 35 ต้น ทอดตัวไปยัง สะพานนาคราช ซึ่งเป็นรูปทรงกากบาทยกพื้นสูง ราวสะพานทำเป็นลำตัวพญานาค 5 เศียร สะพานนาคราชนี้ ตามความเชื่อเป็นทางที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับเทพเจ้า
สิ่งที่น่าสนใจคือ จุดกึ่งกลางสะพาน มีภาพจำหลักรูปดอกบัวแปดกลีบ อาจหมายถึงเทพประจำทิศทั้งแปด ในศาสนาฮินดู หรือเป็นจุดที่ผู้มาทำการบูชา ตั้งจิตอธิษฐาน จากสะพานนาคราชชั้นที่ 1 มีบันไดจำนวน 52 ขั้นขึ้นไปยังลานบนยอดเขา
ด้านข้างของทางเดินทางทิศเหนือมีพลับพลาสร้างด้วยศิลาแลง 1 หลัง เรียกกันว่า โรงช้างเผือก สุดสะพานนาคราชเป็นบันไดทางขึ้นสู่ปราสาท
ด้านข้างของทางเดินทางทิศเหนือมีพลับพลาสร้างด้วยศิลาแลง 1 หลัง เรียกกันว่า โรงช้างเผือก สุดสะพานนาคราชเป็นบันไดทางขึ้นสู่ปราสาท ซึ่งทำเป็นชานพักเป็นระยะ ๆ รวม 5 ชั้น สุดบันไดเป็นชานชลาโล่งกว้าง ซึ่งมีทางนำไปสู่สะพานนาคราชหน้าประตูกลางของระเบียงคด อันเป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านเข้าสู่ลานชั้นในของปราสาท และจากประตูนี้ยังมีสะพานนาคราชรับอยู่อีกช่วงหนึ่งก่อนถึงปรางค์ประธาน
ที่หน้าซุ้มประตูระเบียงคดทิศตะวันออก มีสะพานนาคราชชั้นที่ 2
ที่หน้าซุ้มประตูระเบียงคดทิศตะวันออก มีสะพานนาคราชชั้นที่ 2 ระเบียงคดก่อเป็นห้องยาวต่อเนื่องกัน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ารอบลานปราสาทแต่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ เพราะมีผนังกั้นอยู่เป็นช่วง ๆ มีซุ้มประตูกึ่งกลางของแต่ละด้าน ที่มุมระเบียงคดทำเป็นซุ้มกากบาท ที่หน้าบันของระเบียงคดทิศตะวันออกด้านนอก มีภาพจำหลักรูปฤๅษีซึงหมายถึงพระศิวะในปางที่เป็นผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และอาจรวมหมายถึง นเรนทราทิตย์ ผู้ก่อสร้างปราสาทประธานแห่งนี้ด้ว
ปราสาทหินพนมรุ้งสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดูลัทธิไศวะ พนมรุ้งจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะ
ปราสาทหินพนมรุ้งสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดูลัทธิไศวะ ซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด ดังนั้นเขาพนมรุ้งจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะ
โดยองค์ประกอบและแผนผังของปราสาทพนมรุ้งได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นแนวเส้นตรง และเน้นความสำคัญเข้าหาจุดศูนย์กลาง นั่นคือปราสาทประธานซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านขวาของบันไดทางขึ้นสู่ศาสนสถานมีอาคารที่เรียกว่า พลับพลา อาคารนี้อาจจะเป็นอาคารที่เรียกกันในปัจจุบันว่า พลับพลาเปลื้องเครื่อง ซึ่งเป็นที่พักจัดเตรียมองค์ของพระมหากษัตริย์ ก่อนเสด็จเข้าสู่การสักการะเทพเจ้าหรือประกอบพิธีกรรมในบริเวณศาสนสถาน
สำหรับตัวปราสาทประธานนั้น ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของลานปราสาทชั้นใน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมมณฑป
สำหรับตัวปราสาทประธานนั้น ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของลานปราสาทชั้นใน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมมณฑป คือห้องโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เชื่อมอยู่ทางด้านหน้าที่ส่วนประกอบของปรางค์ประธานตั้งแต่ฐานผนังด้านบนและด้านล่าง 
และเสากรอบประตู เสาติดผนัง ทับหลัง หน้าบัน ซุ้มชั้นต่าง ๆ ตลอดจนกลีบขนุน ก่อด้วยหินทรายสีชมพูมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมกว้าง 8.20 เมตร สูง 27 เมตร ด้านหน้าทำเป็นมณฑปโดยมีอันตราละหรือฉนวนเชื่อมปราสาทประธานนี้ เชื่อว่า สร้างโดย นเรนทราทิตย์ ซึ่งเป็นผู้นำปกครองชุมชนที่มีปราสาทพนมรุ้งเป็นศูนย์กลาง ราว พุทธศตวรรษที่ 17
บริเวณหน้าบันและทับหลังของปราสาทประธานมีภาพจำหลักแสดงเรื่องราวในศาสนาฮินดู
ที่บริเวณหน้าบันและทับหลังของปราสาทประธานมีภาพจำหลักแสดงเรื่องราวในศาสนาฮินดู เช่น ศิวนาฏราช (ทรงฟ้อนรำ) ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ อวตารของพระนารายณ์ เช่น พระราม (ในเรื่องรามเกียรติ์) หรือพระกฤษณะ ภาพพิธีกรรม ภาพชีวิตประจำวันของฤๅษีเป็นต้น โดยเฉพาะทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ เป็นทับหลังที่ถูกขโมยไปเมื่อราวปี พ.ศ. 2503 และได้กลับคืนมาในปี พ.ศ. 2531
และภายในเรือนธาตุตรงกึ่งกลาง เรียกว่า ห้องครรภคฤหะ เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่สำคัญที่สุด ในที่นี้คือ ศิวลึงค์
และภายในเรือนธาตุตรงกึ่งกลาง เรียกว่า ห้องครรภคฤหะ เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่สำคัญที่สุด ในที่นี้คือ ศิวลึงค์ ซึ่งแทนองค์พระศิวะ เป็นที่น่าเสียดายว่า ประติมากรรมชิ้นนี้ได้สูญหายไป เหลือเพียงแต่ ท่อโสมสูตร คือร่องน้ำมนต์ที่ใช้รับน้ำสรงจากการสักการะศิวลึงค์เท่านั้น
ทางเดินด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน มีปราสาทอิฐสององค์และปรางค์น้อย จากหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม กล่าวได้ว่า ปราสาททั้งสามหลังได้สร้างขึ้นก่อนปราสาทประธานราวพุทธศตวรรษที่ 15 และ 16 ตามลำดับ
บรรณาลัยในปราสาทเขาพนมรุ้ง
ส่วนทางด้านหน้าของปราสาทประธาน คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีอาคารสองหลังก่อด้วยศิลาแลง เรียกว่าบรรณาลัย ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์ทางศาสนา ก่อสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 ร่วมสมัยเดียวกันกับ โรงช้างเผือก พลับพลาที่สร้างขึ้นด้วยศิลาแลงข้างทางเดินขึ้นสู่ปราสาททางทิศเหนือ
ปราสาทปรางค์ประธานของเขาพนมรุ้ง
ปราสาทปรางค์ประธานของเขาพนมรุ้ง
ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้น ส่องแสงลอดประตูทั้ง 15
สำหรับปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้น ส่องแสงลอดประตูทั้ง 15 นั้นจะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 2-4 เมษายน และ 8-10 กันยายน ของทุกปี ดวงอาทิตย์ขึ้น ส่องแสงลอดช่องประตูทั้ง 15 บาน ชาวบ้านจะเดินเท้าขึ้นมาเพื่อชมความอลังการที่ผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างของบรรพชน นอกจากนี้ในวันที่ 5-7 มีนาคม และ 5-7 ตุลาคม ของทุกปี ดวงอาทิตย์ก็ตก ส่องแสงลอดช่องประตูทั้ง 15 บาน เช่นกัน ทำให้มีนักเดินทางจากทั่วสารทิศขึ้นมาชมความมหัศจรรย์ที่ปราสาทแห่งนี้
เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
และด้านหลังทางเข้าปราสาทหินพนมรุ้ง สังเกตเห็นประตู 15 ช่อง ตรงกลางคือ ศิวลึงค์ และ โคนนทิ
โดยด้านหลังทางเข้าปราสาทหินพนมรุ้ง สังเกตเห็นประตู 15 ช่อง ตรงกลางคือ ศิวลึงค์ และ โคนนทิ
 ภาพหินสลักบนซู้มทางเดินเข้าไปยังตัวปราสาท ที่สลักได้อย่างวิจิตรบรรจงงดงาม แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมานานนับพันกว่าปีก็ตาม
มองจากยอดเขาพนมรุ้งไปก็เทือกเขาพนมดงรักและท้องนาของชาวบ้านในระแวกที่ชะอุ่มชุ่มชื่น รื่นบานฤทัยไปด้วยนาข้าวสีเขียวขจี
หลังจากที่ดิฉันได้เดินชมตัวปราสาทหินพนมรุ้งจนเต็มอิ่มแล้ว แหงนดูนาฬิกาก็ได้เวลาต้องเดินทางกลับตัวเมืองบุรีรัมย์แล้วล่ะค่ะ เพราะต้องรีบนำรถมอเตอร์ไซต์ที่เช่ามาไปคืนทางร้าน ไม่งั้นเดี่ยวโดนปรับเพิ่มอีก 1 วันได้จ่ายตังเพิ่มแน่ๆ
เสียดายจังแป๊บๆ หมดเวลาไป 1 วันแล้ว ยังเที่ยวบุรีรัมย์ไม่หมดเลยค่ะ จริงๆแล้วในจังหวัดบุรีรัมย์มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อยเลยนะคะ
เสียดายจังแป๊บๆ หมดเวลาไป 1 วันแล้ว ยังเที่ยวบุรีรัมย์ไม่หมดเลยค่ะ จริงๆแล้วในจังหวัดบุรีรัมย์มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อยเลยนะคะ หากจะเที่ยวให้ครบจริงๆ เห็นควรจะต้องพักค้างแรมอยู่อีกสัก 2-3 วันเลยน่าจะได้กระมัง

หากเพื่อนๆคนใหนที่ยังไม่เคยเยือนเมืองบุรีรัมย์ ลองแวะมาสัมผัสกลิ่นไอวัฒนธรรมของอีสานใต้สักครั้งครา ดิฉันรับรองว่าสุขอุราไปถึงทรวงในอย่างแน่นอนจ้า
ตีตั๋วเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุรินทร์
เมื่อได้เดินทางกลับจากปราสาทเขาพนมรุ้งมา ดิฉันก็ขับรถมอเตอร์ไซต์มาคืนกับพนักงานที่รอรับรถอยู่ที่สถานีขนส่งเลยค่ะ จากนั้นก็ตีตั๋วเดินทางต่อไปยังจังหวัดสุรินทร์
ราคาตั๋วโดยสารรถบัสประจำทางจากบุรีรัมย์ไปยังสุรินทร์อยู่ที่ 45 บาท เป็นรถแอร์ผสมกับพัดลม อา
ซึ่งการเดินทางไปจากเมืองบุรีรัมย์ไปยังสุรินทร์นั้นไม่ยากเลยล่ะค่ะ เพราะมีรถโดยสารทุกๆชั่วโมง และอีกอย่างระยะทางจากบุรีรัมย์ไปยังจังหวัดสรินทร์ก็ไม่ไกลด้วย

ราคาตั๋วโดยสารรถบัสประจำทางจากบุรีรัมย์ไปยังสุรินทร์อยู่ที่ 45 บาท  เหมือนรอ ปอ.2 เป็นรถแอร์ผสมกับพัดลม เย็นบ้างไม่เย็นบ้าง ตามอัตภาพ แต่ส่วนที่ดิฉันนั่งอยู่นี้ก็เย็นพอสมควร เพราะอัดแน่นไปด้วยพัดลมและช่องโหว่ของแอร์เย็นเจี๊ยบเชียว

นั่งรถแบบนี้ก็ได้สัมผัสวิถีการเดินทางแบบบ้านๆดีค่ะ เพราะบนรถก็มีของมาขายอีกด้วย ทั้งมะม่วง ทั้งน้ำส้ม น้ำมะพร้าว เห็นแล้วก็ต้องช่วยอุดหนุนแม่ค้าคนขายเลยนะคะ

ขึ้นมาบนรถหากใครตัวสูงต้องระวังพัดลมปั่นหัวหลุดจากคอเอานะคะ เพราะบางส่วนของพัดลมที่่ติดบนเพดานก็ไม่มีที่ครอบไว้ ดิฉันเห็นแล้วก็ตกใจ ถ้าใครไม่รู้ไม่เคยขึ้นมาก่อนแบบดิฉัน มีหวังเดินขึ้นมา ไม่ทันระวัง คงโดนใบพัดของพัดลม เชือนหัวหลุดแน่นอนนะ ฮ่าๆๆ

สำหรับระยะทางจากบุรีรัมย์ไปสุรินทร์ประมาณ 50 กว่ากิโลเมตร นั่งรถไม่นานนักก็ถึงสถานีขนส่งจังหวัดสุรินทร์โดยสวัสดิภาพ.....จบทริปเที่ยวบุรีรัมย์

และตอนต่อไปดิฉันจะมารีวิวเที่ยวจังหวัดสุรินทร์ต่อค่ะ อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวในแดนอีสานใต้ ที่มากมายไปด้วยวัฒนธรรมและภาษาถิ่นดินแดนแห่งอารยธรรมขอมที่น่านใจอยู่ไม่น้อย สำหรับรีวิวทริปเที่ยวบุรีรัมย์ก็ขอจบเพียงเท่านี้ ขอขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่เสียสละเวลาคลิ๊กมาสไลด์ดูกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกในเว็ปบล็อกถัดไปนะคะ...จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
-----------------------------------------------------------------------------
บทความรีวิวเที่ยวเมืองอื่นๆ มีดังนี้จ้า
 แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ แวะไปจุดเช็กอิน ถ่ายรูปภาพกัน คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>>
แนะนำ 7 สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ แวะไปเช็กอิน ถ่ายรูปกันอย่างสำราญใจ มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งดูจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดแหล่งท่องเที่ยวค่ะ>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวระนอง ลองแช่น้ำแร่ เช่ารถแลชมที่เที่ยวต่างๆ ตามไปกันเลย>>
มาม๊ะ..มารีวิวเที่ยวเมืองระนอง ลองไปแช่น้ำแร่ เช่ารถนั่งแลชมทะเลสวยๆ และสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ ตามไปกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>

สาระน่ารู้กับเพลงภาษาอังกฤษยุค 60-70's เพื่อฝึกภาษาพร้อมคำแปล คลิ๊กดูบทความค่ะ>>
น่ารู้กับเพลงสากลยุค 60-70's เพื่อฝึกภาษาอังกฤษผ่านบทเพลง พร้อมคำแปล มีเพลงอะไรบ้าง ลองฟังวันย้อนวันวานกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>

แบ่งปันรีวิวนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองบราติสลาวา 1 วัน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง>>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวเมืองบราติสลาวา เมืองหลวงประเทศสโลวาเกีย มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง ตามไปเที่ยวชมดูสักครั้งสิ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
รีวิวเที่ยวกรุงบูดาเปสต์ 1 วัน ไป-กลับ ขยับเท้าเดินชมสถานที่เที่ยวต่างๆ มีอะไรบ้าง>>>
เก็บตก รีวิวเที่ยวฮังการี เดินฉิมพลีชมกรุงบูดาเปส์แห่งนี้ มีที่เที่ยวอะไรให้ชื่นชมกันอีกบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
ไหว้พระ 9 วัดในกรุงเทพ ใกล้รถไฟฟ้า เดินไปได้มีวัดใหนบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียด>>
รวมไหว้พระ 9-12 วัดในกรุงเทพใกล้รถไฟฟ้า เดินลั๊ลลาไปไม่ไกล งามวิไลรับสิ่งดีๆต้นปีนี้ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>>>
แบกเป้เที่ยวกรุงเวียนนาด้วยตัวเอง มีที่เที่ยวจุดถ่ายรูปอะไรบ้าง ตามไปกันเลย>>
แบ่งปันทริปเที่ยวกรุงเวียนนาด้วยตัวเองง่ายๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้เริงสุขสันต์กันบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางค่ะ>>>
รีวิวพาเที่ยวชมพระราชวังเดิม เติมความรู้แบบไทยๆ ไปชมกันเลยจ้า คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
เก็บตกวันหยุด พารีวิวเที่ยวชมพระราชวังเดิม เติมความรู้ไทยๆ มีอะไรให้ชมบ้างในโบราณสถานแห่งนี้ คลิ๊กดูรายละเอียดและการเดินทางค่ะ>>>

แบ่งปันรีวิวเที่ยวขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ไปถ่ายรูปวิวสวยงาม คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
มาเด้อมาเที่ยวเมืองขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ขับรถไปถ่ายรูปชมวิวต่างๆ มีที่ใหนเช็คอินบ้าง ตามไปเที่ยวกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
รีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถขับตะลอนไปชมสถานที่ต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ>>
มาม๊ะ..มารีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถออนซอน ตะลอนไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวเวียงจันทร์ 1 วัน ไป-กลับ ขยับเดินชมตามที่เที่ยวต่างๆ มีอะไรบ้าง>>>
เก็บตก รีวิวเที่ยวเวียงจันทร์ 1 วัน ไปเช้า-เย็นกลับ มีที่เที่ยวอะไรให้ชื่นชมกันอีกบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวแบกเป้เที่ยวหนองคาย เมืองนี้มีอะไรมากมายให้ชมจริงๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวจ้า>>
มาเด้อมารีวิวเที่ยวหนองคาย 3 วัน 2 คืน ไปชื่นชม ภิรมย์ใจตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>

รีวิวแบกเป้เที่ยวเมืองอินสบรูค 2 วัน 1 คืน มีที่เที่ยวอะไรให้ชมบ้าง ตามไปดูกันค่ะ>>
แบ่งปันรีวิวแบกเป้เที่ยวอินส์บรูค 2 วัน 1 คืน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ชื่นชมกันบ้าง ตามไปดูกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
แบ่งปันรีวิวเดินทางไปชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิววิธีการเดินทางไปเที่ยวชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝากใน 1 วัน มีที่เที่ยวอะไรให้ชมอีกบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวพาชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกรุงเทพ เสพความรู้แบบไทยๆ ไปชมกันเลย>>
พารีวิวเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกรุงเทพ เสพความรู้แบบไทยๆ เดินชมในนิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้ คลิ๊กดูรายละเอียดภาพรีวิวค่ะ>>>
หรือดูรายละเอียดที่ : http://bit.ly/2l05FdT
รีวิวเที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>

เที่ยวนครนายกไม่มีรถส่วนตัว ก็เช่ารถมอเตอร์ไซต์เที่ยวไปทั่วได้ด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิว>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวนครนายก ไม่มีรถส่วนตัว ก็เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับเที่ยวไปทั่วได้ใน 1 วันแบบชิลๆ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวจ้า>>>
รีวิวเที่ยวหลังสวน ลิ้มลองทุเรียนจากสวนหวานฉ่ำ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวหลังสวน แวะเยือนเมืองผลไม้ เมืองนี้มีอะไรให้เที่ยวชมบ้างนะ คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางค่ะ>>
รีวิวตอนที่ 24 แวะเที่ยวกรุงเอเธนส์ 1 วัน มีที่เที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้ตอนที่ 24 แวะเที่ยวในกรุงเอเธนส์ 1 วัน เดินสุขสันต์ชมโบราณสถาน และมีที่เที่ยวใหนให้ชมบ้างอีกนะ คลิ๊กดูภาพรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
หรือดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2NrtXcU
รีวิวตอนที่ 23 เมื่อฉันต้องนั่งเรือเฟอรี่จากอิตาลีไปกรีซครั้งแรก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 23 ขอแบ่งปันประสบการณ์ วิธีการเดินทางนั่งเรือเฟอรี่จากอิตาลี ข้ามไปยังประเทศกรีซด้วยตัวเองมาฝากคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวค่ะ>>
หรือดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2Q4tkEC

รีวิวตอนที่ 20 เที่ยวกรุงโรม ไปจู่โจมอาณาจักรโรมันสักครั้งสิ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวตอนที่ 20 แบกเป้เที่ยวกรุงโรม แวะไปจู่โจมอาณาจักรโรมัน มีที่เที่ยวอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยจ้า คลิ๊กดูภาพรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2BI8ckL
รีวิวตอนที่ 18 แบกเป้ลุยเดี่ยวเมืองเวนิชครั้งแรก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 18 เที่ยวเมืองเวนิช นอนแนบชิดติดริมน้ำ เดินตามหาของกินอร่อยในซอกซอยเล็กๆ คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางค่ะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2KQvnsh
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 16 ไปเดินลั๊ลลาไปชมน้ำตกไรน์-ซูริค คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยว ตอนที่ 16 มาเดินชิคๆชมวิวเมืองซูริค นั่งรถไฟกุ๊กกิ๊กไปดูน้ำตกไรน์ น้ำใสสวยสด งดงามอร่ามตา คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2MiG5cz

แสดงความคิดเห็น

1 ความคิดเห็น

  1. รถรับจ้าง ชลบุรี เหน่ง บริการ (ทีมงานเด็กเมืองมหา) บริการดี รับประกันความประทับใจ ทีมงาน บริการดี รับประกันความประทับใจ บริการขนของ ย้ายบ้าน ห้องเช่า ออฟฟิศ สำนักงาน ย้ายบูธ แคมป์ก่อสร้าง และขนส่งอื่นๆ มีให้บริการทั้ง รถ 4 ล้อ รถ 6 ล้อ รถ 10 ล้อ รถเฮี๊ยบ พร้อมคนยกของ ในราคาเป็นกันเอง ให้บริการรถรับจ้างในจังหวัดชลบุรี จังหวัดใกล้เคียง และมีเครือข่ายรถรับจ้างทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย พร้อมมีคนยกของ ลูกค้า(จังหวัดชลบุรี และทั่วประเทศ)ที่สนใจใช้บริการ

    ตอบลบ