ขอมาแบ่งปันประสบการณ์กับรีวิววิธีการเดินทางลุยเดี่ยวนั่งเรือเฟอรี่จากประเทศอิตาลี ข้ามไปยังประเทศกรีซด้วยตัวเองแบบง่ายๆมาฝากจ้า |
(ต่อจากตอนที่แล้ว ตามเว็ปไซต์: http://bit.ly/2C4PTGF) หลังจากที่รีวิวตอนที่แล้ว ดิฉันได้มาบอกเล่าเก้าสิบกับการเดินทางไปเที่ยวชมความงามของเมืองพักตากอากาศริมทะเลที่เมือง Sorrento แล้ว ต้องขอบอกเลยนะค่ะว่า สวยงามตามแบบฉบับอิตาลีจริงๆ ซึ่งดิฉันเองก็ตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่ใช่น้อยเลย เพราะไม่เคยพบด้วยตาตัวเองมาก่อนการได้มาเที่ยวเห็นสถานที่จริง ก็เหมือนสุภาษิตคำพังเพยที่ว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น"ดิฉันว่าน่าจะจริงแล้วกระมังค่ะ แต่บางครั้งมาเห็นของจริงก็ไม่สวยเหมือนในรูปนะค่ะ เนื่องจากในรูปภาพที่ดูในนิตยสารท่องเที่ยว หรือตามสื่อออนไลน์ต่าง ก็แต่งภาพซ่ะสวยเว่อร์เชียว...แต่มาดูสถานที่จริง แม้จะไม่สวยเท่าในรูป แต่บรรยากาศและความรู้สึก ก็นึกรำพึงรำพันไปต่างๆนานา ถึงความงามที่มีอยู่จริง ไม่ได้อิงนิยายอย่างแน่นอนนะจ๊ะ
เอาเป็นว่า หากเพื่อนๆคนใหนที่ยังไม่เคยแบกเป้มาเที่ยวด้วยตัวเอง ลองปักหมุดวางแผนมาเที่ยวดูสักครั้ง ดิฉันรับรองว่าได้ลิ้มลองอะไรใหม่ๆจากการเดินทางเที่ยวยังต่างแดนอย่างแน่นอนจ้า
และแล้วทริปของการเดินทางแห่งประสบการณ์ก็มาถึงแล้วล่ะค่ะ โดยรีวิวในบล็อกนี้ ก็ได้เวลาที่ดิฉันจะต้องแบกเป้เดินทางไกลแล้วล่ะ เรียกว่าต้องเดินทางจริงๆ เพราะว่าจะต้องอำลาประเทศอิตาลี เพื่อไปยังประเทศกรีซ ซึ่งเป็นประเทศสุดท้ายของทริปลุยเดี่ยวครั้งนี้แล้ว
แผนการเดินทางนั่งเรือเฟอรี่ข้ามฟากจากอิตาลีในทริปนี้ เริ่มต้นที่ Naples-Bari port to Patras port- Athens ใช้เวลานานเว่อร์ |
โดยก่อนหน้าจะเดินทางด้วยวิธีนี้ ดิฉันก็อ่านรีวิวของนักเดินทางคนอื่นๆและศึกษาการเดินทางแบบต่างๆอยู่นาน แต่ก็อยากทราบเหลือเกินว่า หากเราจะเดินทางไปประเทศกรีซทางเรือ ต้องเดินทางอย่างไรบ้าง จนได้ไปอ่านในเว็ป Tripadvisor ระบุไว้ว่านักเดินทางสามารถนั่งเรือข้ามฟากจากเมืองบาริ (Bari italy)ไปยังท่าเรือเมืองปาทรัส (Patras Greece) ได้ ด้วยเหตุนี้ก็เลยจูงใจให้ดิฉันอยากจะลองเปิดมุมมองการเดินทางด้วยวิธีนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต คงจะไม่ยากเกินไปกระมัง
ดิฉันเลยอยากจะขอมารีวิวเอาไว้ในเว็ปบล็อกนี้ น่าจะเป็นแนวทาง หรือไกด์ไลน์ (Guideline )ให้กับเพื่อนๆนักทัศนาจรทุกคนไม่มากก็น้อยนะค่ะ
และอีกอย่างเลยก็คือไม่ค่อยมีเพื่อนๆนักเดินทางชาวไทย มาเขียนรีวิวการเดินทางจากอิตาลีด้วยวิธีนี้มากนัก เนื่องจากเป็นการเดินทางที่ใช้เวลานานมากๆ ส่วนใหญ่ก็นั่งเครื่องบินไปเนื่องจากใช้เวลาไม่นาน แป๊บเดียวก็ถึงล่ะ
เอาเป็นว่า เพื่อไม่ให้เสียเวลา ดิฉันขอมาสรุปวิธีการเดินทางจากประเทศอิตาลี ไปยังประเทศกรีซมีดังนี้
(โดยเริ่มต้นนั่งรถบัสจาก Naples ไป Bari อิตาลี - นั่งเรือเฟอรี่ ไปสิ้นสุดจุดหมายที่เมือง Patras ประเทศกรีซ จากนั้นก็นั่งรถบัสโดยสารจากเมืองปาทรัส Patras ไปลงที่กรุงเอเธนส์ หลายต่อมากๆ )
วันที่ 3 มิ.ย.2018 (เดินทางด้วยรถบัสจากเมืองเนเปิลไปยังเมืองบาริ (Take Bus from Naples to Bari)
- เวลา 7.45 น. เริ่มต้นนั่งรถบัสโดยสารจากกรุงเนเปิลส์ ไปยัง เมืองบาริ ซึ่งเป็นเมืองท่าเรือฝั่งตะวันออก โดยราคาตั๋วรถบัสอยู่ที่ 9 ยูโร
- นั่งรถบัสประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงเมืองบาริ โดยรถบัสจอดที่สถานีรถไฟเมืองบาริ
- จากนั้นก็เดินแบกเป้จากสถานีรถไฟไปยังท่าเรือเมืองบาริ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรกว่าๆได้ ใจจริงอยากนั่งแท๊กซี่นะค่ะ แต่ดิฉันสู้ราคาไม่ไหว เลยต้องอดทนแบกเป้ใช้สองเท้าเนี่ยแหละค่ะ เก้าเดินไปยังท่าเรือ
- เมื่อถึงท่าเรือ ก็ยืนใบจองตั๋วทางออนไลน์ให้กับเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่จะออกตั๋วโดยสารเรือให้เราอีกค่ะ โดยราคาเรือเฟอรี่ที่ดิฉันจองผ่านทางออนไลน์ ราคาเรือเฟอรี่อยู่ที่ 57.40 ยูโร
- จากนั้นก็ผ่านด่านตรวจของในกระเป๋าก่อนขึ้นเรือและตรวจพาสสปอร์ต คล้ายๆด่าน ตม.แต่ก็ไม่ใช่ค่ะ
- เวลา 13.30 น. เรือก็แล่นออกจากท่าเมืองบาริ มุ่งหน้าหัวเรือลงไปทางทิศใต้ตรงไปยังเมืองปาทรัส ประเทศกรีซค่ะ
วันที่ 4 มิ.ย.2018 นั่งรถบัสจากเมืองปาทรัส ไปยังกรุงเอเธนส์ (ฺPatras to Athens )
- เวลาประมาณ 7.30 เรือเฟอรี่ก็จอดเทียบท่าที่เมืองปาทรัส ประเทศกรีซ (ใช้เวลานั่งเรือทั้งหมดประมาณ 18 ชั่วโมงเลยทีเดียว นานมากๆ)
- ลงจากเรือเสร็จ ก็มานั่งแท๊กซีไปยังสถานีขนส่งเมืองปาทรัส โดยใช้วิธีการแชร์ค่าโดยสารกับนักเดินทางคนอื่นๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
- ซื้อตั๋วรถบัสโดยสารราคา 20 ยูโร จากเมืองปาทรัส ไปลงที่กรุงเอเธน
- เวลา 9.00 น. นั่งรถบัสโดยสารออกจากสถานีขนส่งปาทรัส ถึงสถานีขนส่งกรุงเอเธนส์เวลา 12.00 น. โดยสวัสดิภาพ
เพื่อให้เพื่อนๆคุณผู้อ่านได้มองเห็นภาพ ดิฉันขอมาเล่ารีวิววิธีการเดินทางตามรูปแบบให้ดูดังนี้ค่ะ
เริ่มต้นการเดินทางไกลในวันนี้ วันที่ 3 มิ.ย. 61 ทานอาหารมื้อเช้าเสร็จก็ Check out ออกจากที่พัก เดินแบกเป้มาที่สถานีขนส่งเมืองเนเปิลส์ (Napoli Bus Terminal Central) |
เริ่มต้นการเดินทางไกลในวันนี้
วันที่ 3 มิ.ย. 61 ทานอาหารมื้อเช้าเสร็จก็ Check out ออกจากที่พัก เดินแบกเป้มาที่สถานีขนส่งเมืองเนเปิลส์ (Napoli Bus Terminal Central)
โดยสถานีขนส่งในเมืองเมืองเนเปิลส์อยู่ติดๆกับสถานีรถไฟเลยค่ะ โดยอาคารขายตั๋วจะเป็นอาคารขนาดเล็ก ไม่ใหญ่โตมากนัก
เดินเข้ามาในอาคารขายตั๋วก็จะมี เคาว์เตอร์ขายตั๋วรถบัสไม่กี่เจ้าเองค่ะ
ด้านในที่ขายตั๋ว มีขนาดเล็กๆ ไม่ใหญ่โตโอฬาร เหมือนที่ขายตั๋วสถานีหมอชิตบ้านเรานะค่ะ
สำหรับการเดินทางไปท่าเรือเมืองบาริ ดิฉันเลือกใช้บริการของ Marino Bus เนื่องจากไม่ต้องตื่นเช้านัก จะมีรถบัสอีกเจ้านึงชื่อ Flix bus แต่รถบัสออกเช้ามากๆ ดิฉันตื่นไม่ทัน ก็เลยตัดสินใจซื้อบัตรรถโดยสาร Marino Bus
ทั้งนี้เพื่อนๆสามารถเข้าไปดูตารางรถบัสในอิตาลี ได้ที่เว็ปไซต์ https://www.goeuro.com/buses/italy หรือ https://www.checkmybus.com/italy
ค่ารถบัสโดยสารจากเมืองเนเปิลส์ไปเมืองบาริ อยู่ที่ 9 ยูโรโดยจะได้ตั๋วโดยสารเป็นใบกระดาษ A4 เที่ยวรถออกเวลา 7.45 น. ตามรูปเลยค่ะ
เมื่อได้ตั๋วมาแล้วก็มายืนรอรถบัสที่ชานชลาได้เลย ซึ่งชานชลารถบัสจะช่อง Departure และ Arrival ให้ไปรอช่อง Departure นะค่ะ ส่วนรอตรงช่องหมายเลขอะไรนั้น ในตั๋วก็ไม่ได้บอกไว้ด้วยค่ะ ต้องสังเกตุชื่อรถที่จะแล่นมาจอดรอตรงหมายเลขเอง
รถโดยสารที่ใช้บริการนั่งไปในวันนี้ ดิฉันเลือกนั่งรถ Marino Bus |
ดิฉันเลยเข้าไปถามคนขับรถว่าใช่รถคันนี้หรือเปล่า เพื่อความแน่ใจ
ขึ้นมาบนรถบัสโดยสาร ก็ต้องขึ้นมานั่งตามหมายเลขที่นั่งเองนะค่ะ เพราะไม่มีพนักงานบริการด้านอาหารและพานั่ง โดยหน้าที่ตรวจตั๋วจะเป็นคนขับทั้งหมดเลย
เสบียงอาหาร กักตุนไปพร้อม หิวเมื่อไหร่ก็แกะออกมาทาน |
ระหว่างทางรถก็จะวิ่งบนเส้นทาง มอเตอร์เวย์ตลอดทางเลยล่ะค่ะ รถวิ่งไม่เร็วมากๆนะค่ะ คนขับรถก็ขับได้นิ่มมากๆ ไม่ขับเร็วเกินไป
ระหว่างทางที่ดิฉันนั่งอยู่บนรถบัสที่มุ่งหน้าจากเมืองเนเปิลส์ไปยังเมืองบาริ
ก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อแต่อย่างใดเลยค่ะ เพราะวิวสองข้างทาง กะผ่านหมู่บ้านและเมืองต่างๆในอิตาลี
ผ่านทุ่งนาข้าวบาเลย์ หรือข้าวสาลี
ผ่านฟาร์มไร่องุ่น ฟาร์มแอปเปิล ผลไม้ท้องถิ่นในประเทศนี้
และผ่านลานทุ่งหญ้าดอกป๊อบปีสีแดง อร่ามร้อนแรงใจไปทั่วเนินเขา เห็นแล้วก็สวยงามแปลกตาดีนัก
นอกจากนี้ระหว่างทางใกล้จะถึงก็ผ่านสวนองุ่นสีเขียวขจี กว้างใหญ่ไพศาล ดูอลังการละลานตายิ่งนัก
ข้อดีของการนั่งบนรถบัสโดยสารก็คือได้เที่ยวชมวิวข้างทางเนี่ยแหละค่ะ ถือว่าเป็นการเปิดตาและเปิดมุมมองใหม่ๆไปในตัว ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น และการทำเกษตรกรรมที่ประเทศอิตาลีก็ค่อนข้างรุดหน้าก้าวไกลไปมากๆทีเดียว ดิฉันเห็นแล้วก็เกิดจินตนาการนึกคิดอยากจะไปปรับปรุงผืนดินไร่นาที่บ้านยิ่งนัก น่าจะได้ซักเสี้ยวหนึ่งของเขาก็ยังดี
นั่งรถบัสชมวิวริมทางหลับตืนๆไปบ้าง เวลาประมาณ 11.45 น. รถบัสโดยสารก็มาถึงเมืองบาริแล้วค่ะ
โดยรถบัสจะจอดที่ด้านหลังของสถานีรถไฟบาริเลยนะค่ะ
จากนั้นดิฉันก็ไปหยิบกระเป๋าเป้ที่เอาไว้ใต้ท้องรถ ออกมาเพื่อแบกเป้ไปยังด้านหน้าสถานีรถไฟ
เดินแบกเป้จากด้านหลังของสถานีรถไฟมาที่ด้านหน้าสถานีรถไฟเมืองบารี |
โดยทางเจ้าหน้าที่แนะนำให้ดิฉันเดินเท้าไปได้ประหยัดที่สุด แต่ถ้าอยากได้แบบรวดเร็วก็นั่งแท๊กซี่เลย
ตอนแรกดิฉันก็จะตัดสินใจเลือกนั่งแท๊กซี่นะค่ะ แต่ไปสอบถามราคารถแท๊กซี่ในเมืองนี้ ราคาเริ่มที่ 15 ยูโร ดิฉันได้ยินราคาแล้วก็สะอึกไปีนึง และอีกอย่างระยะทางจากสถานีรถไฟไปยังท่าเรือก็ประมาณ 2 กิโลเมตรกว่าๆ ไม่น่าจะแพงขนาดนี้
ดิฉันเลยตัดสินใจยอมอดทนเดินแบกเป้จากสถานีรถไฟไปยังท่าเรือเองดีกว่าค่ะ
แม้จะไม่คุ้นชินเส้นทางก็ตาม และอีกอย่างยังมีเวลาเหลืออีกประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ น่าจะไปทันเวลาเรือออก
เดินมาดูแผนที่จากสถานีรถไฟ ไปยังท่าเรือบาริ ประมาณ 2 กิโลเมตรกว่า น่าจะเกือบๆ 3 กิโลเมตรได้กระมัง
ดิฉันไม่รีรอ รีบก้าวเท้าแบกเป้เดินไปยังท่าเรือเลยค่ะ
และด้วยเป็นการเดินทางมาเมืองนี้ครั้งแรก ไม่ค่อยคุ้นชินเส้นทาง ต้องพึ่งตัวช่วยเปิด GPS คอยนำทางตลอดค่ะ ไม่งั้นหลงทางแน่นอน
เดินตรงออกมาจากสถานี ตามภาพที่เห็นนี้อาคารสองฝั่งนี้ก็จะเป็นย่านการค้า
โดยเป็นตึกอาคารเรียงตลอดแนวๆ และตรงกลางเป็นถนนให้คนเดิน ไม่มีรถผ่านเลยล่ะค่ะ
เดินมาสุดก็เป็นตึกสีแดง ไม่รุ้ว่าอาคารอะไร ดูในแผนที่เป็นภาษาอิตาลี
บรรยากาศในย่านตัวเมือบาริ |
ExConvento di Santa Chiara |
สาระน่ารู้เกี่ยวกับเมืองบาริ (ฺAbout Bari) อ่านเป็นความรู้เปิดสู่โลกกว้างกันค่ะ
เมืองบารี (อิตาลี: Bari) เป็นเมืองหลักของแคว้นปุลยา บนชายฝั่งทะเลเอเดรียติก ประเทศอิตาลี เป็นเมืองสำคัญอันดับ 2 ในด้านเมืองเศรษฐกิจบนแผ่นดินใหญ่ทางใต้ของอิตาลี รองจากเมืองเนเปิลส์ เมืองมีประชากรราว 326,799 คน (ค.ศ. 2015) บนพื้นที่ 116 กม² (45 ไมล์) ขณะที่เขตเมืองมีประชากร 700,000 คน เขตมหานครมีประชากร 1.3 ล้านคน
สาระน่ารู้เกี่ยวกับเมืองบาริ (About Bari City of Italy) |
เครดิตข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/wiki/บารี
บริเวณใกล้ๆปราสาทเก่าพิพิธภัณฑ์ก็มีอาคารบ้านเรือนเก่าแก่มากมาย ถือว่าเป็นเมืองที่น่าเที่ยวอีกแห่งทีเดียว แต่เสียดาย ดิฉันไม่ได้วางแผนมาเที่ยวเมืองนี้โดยตรง เพราะกะว่าจะมาแค่เป็นเมืองผ่านเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเหนื่อยจากการแบกเป้ แต่ข้อดีก็คือได้เห็นสภาพหน้าบ้านเมืองเค้าก็ดูสวยงามดี แม้จะไม่สวยเท่าเมืองริมชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก็ตาม
ระหว่างทางแบกเป้กำลังเดินเท้าไปยังท่าเรือก็เห็นคนกับน้องหมาน่ารักมาเดินเล่นอีกด้วย
ดิฉันเดินเปิด GPS นำทางมาเรื่อยๆ มีหลงทางบ้างเล็กน้อย แต่ก็สนุกตอนหลงทางเนี่ยแหละค่ะ เพราะจะต้องหาทางม้าลายเพื่อข้ามไปยังท่าเรือ...ในที่สุดก็ถึงท่าเรือสักที มองเห็นเรือสำราญขนาดใหญ่เทียบท่าอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็ต้องเดินแบกเป้ไปอีกค่ะ เหนื่อยเหมือนกัน แต่ทำไงได้ เพราะตัดสินใจเดินมาแล้ว ก็ต้องก้าวเดินมาให้ถึงเป้าหมายสังเกตุป้ายบอกทางไปยังท่าเรือ เขียนว่า Terminal |
อาคารผู้โดยสารท่าเรือบาริที่ขายตั๋วโดยสารอยู่ด้านในตัวอาคาร |
พอมาถึงเตรียมเอกสารใบจองตั๋วเรือออกมาเพื่อนำไปแสดงกับเจ้าหน้าที่เพื่อทำการ Check in ซึ่งใบนี้สามารถปริ้นมาจากอีเมลล์ได้เลยนะค่ะ สำคัญมากๆ แนะนำปริ้นมาไว้เลย เผื่อเจ้าหน้าที่ ด่าน ตม.เรียกตรวจ ก็ยื่นให้ดูเลยว่ามาเที่ยวจริงๆ ไม่ได้แอบหลบหนีมาทำงานนะ
โดยเพื่อนๆสามารถเข้าไปเช็คราคาเรือได้ที่เว็ปไซต์ ferries-booking.com ได้ค่ะ เว็ปไซต์ออกแนวๆโบราณหน่อยๆ แต่ก็เข้าใจง่ายดี แต่ก็มีหลายเว็ปไซต์นะค่ะ แต่ราคาก็ต่างกันด้วย
เข้ามาในอาคารผู้โดยสารจะเป็นเคาว์เตอร์ขายตั๋วโดยสาร มีเรือหลักให้บริการอยู่ไม่กี่เจ้าเองค่ะ ด้านในดูโหวงเหว๋งไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก
ยื่นพาสปอร์ตกับใบจองให้เจ้าหน้าที่ ก็จะได้ตั๋วโดยสารเรือ Anek Superfast Ferry |
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เรือก็จะพิมพ์ตั๋วโดยสารใบจริงออกมาให้ Checkin คล้ายสนามบินเลยค่ะ โดยแสดงราคาตั๋วโดยสารค่าเรือออกมาให้ด้วย ค่าเรืออยู่ที่ 57.40 ยูโรค่ะ ซึ่งราคาในแต่ละช่วงก็ไม่เหมือนกันด้วยนะค่ะ
เมื่อทำการ Check in ได้ตั๋วโดยสารมาแล้ว ก็อย่าลืมทานอาหารกลางวันนะค่ะ ไม่งั้นเดี่ยวเป็นโรคกระเพาะเอาได้ มื้อเที่ยงนี้ดิฉันขอซัดผักสลัดที่พกมาด้วย มาโซ้ยให้หมดจะได้ไม่เกะกะพื้นที่ในกระเป๋า
หลังจากทานข้าวอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินแบกเป้ไปขึ้นเรือแล้วล่ะค่ะ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าให้เดินไปเอง โดยให้ไปขึ้นที่เรือสีแดงๆ มีลำเดียว โดยที่อาคารผู้โดยสารไม่มีรถบริการไปยังตัวเรือนะค่ะ ต้องเดินเท้าไปเอง และช่วงที่ไปเป็นช่วงตอนเที่ยงวันด้วย แดดริมทะเลก็ร้อนแบบสุดๆไปเลยค่ะ
เดินข้ามาก็จะเห็นรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์สินค้ามากมาย จอดเรียงรายอยู่ จากนั้นให้เดินหาเรือสีแดง
เมื่อเดินมาถึง ดิฉันเห็นท่าเรือนี้แล้วก็ดูเหมือนคล้ายๆท่าเรือแหลมฉบังเลยค่ะ เพราะใหญ่โตไม่แพ้กัน แต่จะแตกต่างที่ท่าเรือในเมืองนี้ มีเรือสำราญมาจอดเทียบท่าให้นักท่องเที่ยวแวะลงในเมืองบารินี้ด้วย
เจอแล้วค่ะเรือสีแดง Anek Superfast มีอยู่ลำเดียว จอดเทียบท่าอยู่ริมทะเล |
เดินมาที่เรือก็มีพนักงานต้อนรับทักทายเป็นภาษากรีกด้วยนะค่ะ
และทางขึ้นเรือก็ใช่เป็นบันใด ไก๋ก๋าไม่ แต่เป็นบันใดเลื่อนขึ้นไปยังส่วนของผู้โดยสารด้ารบน
โดยตั๋วที่ดิฉันจองมาเป็นตั๋วแบบนั่ง มาถึงก็เลือกที่นั่งได้ตามใจชอบเลยค่ะ ว่าจะนั่งตรงใหนก็ได้ เพราะที่นั่งวางบานเชียว
ซึ่งบนเรือลำนี้มีห้องพักสำหรับผู้โดยสารให้บริการบนเรือด้วย โดยมีห้องนอนให้ส่วนตัว เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากนั่งเรือให้เมื่อยหลัง แต่ราคาก็แพงเอาการอยู่ทีเดียวค่ะ ดิฉันเลือกยอมนั่งแทนดีกว่า จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย
และด้านหลังก็เป็นที่สำหรับวางกระเป๋า มีหลายช่อง ยัดใส่ไปได้เลย โดยเอาของมีค่าออกให้หมดนะค่ะ แม้บนเรือจะมีกล้องวงจรปิดก็ตาม ยังไงก็ปลอดภัยไว้ก่อน เพราะบนเรือไม่รู้ใครเป็นใคร
โดยบนเรือก็มีที่นั่งพักดื่มชากาแฟ คล้ายเลาจ์ให้นั่งพักด้วยค่ะ
แผนที่การให้บริการของเรือ Anex Superfast ให้บริการจากประเทศอิตาลีไปยังประเทศกรีซ |
มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับสุบบุหรี่ได้ด้วย
บรรยากาศบนเรือ Anex Superfast |
ส่วนห้องน้ำก็แยกชายหญิงนะค่ะ ตัวดิฉันจะเข้าหญิงก็ได้ชายก็ดี เจ้าหน้าที่บนเรือคงไม่สังเกตุกระมัง
โดยห้องน้ำก็พอใช้ แต่ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ เพราะมีคนเข้าตลอดเลย
บางคนเข้าห้องน้ำ ทำธุระขึ้เสร็จก็ไม่ยอมราดก็มี เดี๊ยนเห็นแล้วจะเป็นลมค่ะ เพราะขี้และกลิ่นโชยเตะจมูกเชียว จนเดี๊ยนทนไม่ไหว ต้องกดชักโครกให้ เพื่อให้เจ้าขี้ที่อยู่ในโถชักโครกนั้นหายไปกับสายน้ำ ไม่รู้ใครกันขี้เสร็๗แล้วก็ไม่กดชักโครก ขอความกรุณาเถอะค่ะ อย่าทำแบบนี้เลย ช่วยกดปุ่มชักโครกสักนิดก็ยังดี
มีที่ให้นั่งพักชมวิว รับลมเย็นด้านนอกเรือด้วย |
บรรยากาศในส่วนของที่นั่งเรือ มีผู้โดยสารนั่งพักกันอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ก็จะมากันเป็นครอบครัว
มีทีวีให้ดู แต่ก็เป็นทีวีภาษาอิตาลี และก็ภาษากรีซทั้งนั้นเลย ดิฉันฟังดูแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก จะเอาแค่ฟังภาษาอังกฤษยังไม่รอดเลยจ้า แต่ต้องมาดูทีวีภาษาอิตาลีกับภาษากรีซ ยิ่งสับสนงวยงงไปกันใหญ่เลยจ้า
นอกจากนี้บนเรือยังมีบริการ WiFi อีกด้วย แต่ต้องซื้อเพิ่มนะค่ะ
ดิฉันเลยไปติดต่อขอซื้อกับเจ้าหน้าที่ Reception
เพื่อซื้อรหัส WiFi ใช้ได้ตลอดอยู่บนเรือค่ะ ราคาอยู่ที่ 5 ยูโร
โดยรหัสจะอยู่ในใบเสร็จรับเงิน มี Username และ Password ให้ตามภาพเลยค่ะ
เมื่อได้รหัสมาก็ใส่รหัสและพาสเวิสด์ได้เลยค่ะ จากที่ดิฉันได้ลองเปิดใช้งานแล้ว ความเร็วของสัญญาณอินเตอร์เน็ตถือว่าดีใช่ได้เลยแหละค่ะ
ถือว่าเป๊นอีกหนึ่งบริการที่ช่วยทำให้ดิฉันได้นั่งตอบเมลล์งานที่บริษัท และนั่งทำงานอื่นๆอีกด้วย เนื่องจากการนั่งบนเรือไปยังประเทศกรีซนี้ ใช้เวลาค่อนข้างนานมากๆ
ห้องผู้โดยสารและที่นั่งในเรือ Anex Superfast Ferry |
หลังจากนั่งทำงานมาหลายชั่วโมง ทางเจ้าหน้าที่ Receptions ก็มีเจ้าหน้าที่ประกาศเสียงตามสายออกทางลำโพงทั่วลำเรือ เพื่อประกาศว่า ขณะนี้อาหารเย็นพร้อมให้บริการแล้ว ทางลูกค้าสามารถไปซื้อรับประทานได้ที่ ภัตตาคารบนเรือ (โดยจะประกาศเป็นภาษากรีซ และภาษาอังกฤษค่ะ)
เดินมาที่ภัตคารบนเรือ เพื่อมาสั่งอาหาร
โดยอาหารเย็นที่นี้ เป็นอาหารคล้ายข้าวราดแกงเลยค่ะ โดยให้เราไปหยิบถาด แล้วไปเลือกอาหารเอง จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ตรงแคชเชียร์ คิดราคาอาหารให้เรา
ซึ่งอาหารก็มีให้เลือกหลากหลายแบบจัดใส่ตู้ไว้ ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารของประเทศกรีซ ออกแนวแขกๆ มีสลัด ข้าวราดแกงก็มีนะค่ะ
อาหารเย็นบนเรือ Anex superfast |
ค่าอาหารมื้อเย็นนี้อยู่ที่ 12.20 ยูโร ก็ถือว่าราคาอยู่ในระดับกลางๆ ไม่แพงเว่อร์ไป พอรับได้ค่ะ
หลังจากทานข้าวจนอิ่ม ก็มานอนพักผ่อนไปตลอดคืนค่ะ หมดไป 1 วันเต็ม
--------------------------------------------------------------
เช้าตรู่วันที่ 4 มิ.ย.2561
ดิฉันตื่นแต่เช้าตรู่ เพราะนอนไม่ค่อยจะหลับนัก เนื่องจากผู้โดยสารที่นั่งบนเรือมาด้วยกัน บางคนนอนเสียงกรนเหลือเกิน ดิฉันก็เลยตื่นมารอรีบแสงแดดยามเช้าบนเรือลำนี้
เดินออกไปด้านนอกริมระเบียงเรือ ก็มีคุณลุงชาวชิลี มายืนรอรับแสงตะวันซันไชน์ก่อนดิฉันอีกค่ะ
ส่วนอาการบนเรือช่วงเช้านี้ ลมพัดเย็นดีมากๆ
นั่งเรือมาเรื่อย พระอาทิตย์ก็ค่อยเฉิดฉายเจิดจรัสเปล่งแสงเรืองรองผุดผ่องอำไพ ทะแยงดวงตาผู้โดยสารทุกคนที่อยู่บนเรือให้ตื่นขึ้นมามองจากเรือไปเริ่มเห็นตัวเมืองปาทรัส (Patras city of Greece) เมืองท่าเรือสำคัญติดริมทะเลไอโอเนียน |
เมืองปาทรัส เป็นเมืองท่าเรือสำคัญ และเป็นเมืองเก่าแก่และเป็นเมืองท่าเรือเศรษฐกิจสำคัญอีกแห่งของประเทศกรีซ
โดยระยะทางจาก
เมื่อเรือจอดเทียบท่า ผู้โดยสารทุกคนก็มารอลงบันใดเลื่อน เพื่อรอลงจากเรือค่ะ มองไปด้านนอก รถที่บรรทุกสินค้ามากับเรือลำนี้ ก็ทยอยลงจากเรือลำนี้เหมือนกันค่ะ เป็นเรือที่บรรทุกทั้งคนและบรรทุกทั้งสินค้าไปในตัว ถือว่าลำใหญ่พอสมควรค่ะ
ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ก็ประกาศเสียงตามสาย บอกให้ลูกค้าลงจากเรือได้แล้ว
ดิฉันเลยต้องรีบจรลี หนีลงจากเรือไปด่วนเลยค่ะ
ก่อนจะออกก็มีป้ายแสดงการขอบคุณเป็นภาษากรีซ และภาษาอังกฤษ เพื่อขอบคุณผู้มาใช้บริการ
พอลงจากเรือมาเสร็จ ก็ไม่ต้องเดินเท้าไปยังอาคารผู้โดยสารนะค่ะ เพราะจะมีรถมารับ คล้ายกับที่สนามบินเลยค่ะ
นั่งรถโดยสารมาลงที่อาคารผู้โดยสารเรือขาเข้า เมื่อเดินเข้ามาอาคารผู้โดยสารเรือขาเข้าแล้ว ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ด่าน ตม.ตรวจเข้มแต่ประการใด เดินผ่านฉลุยไปได้เลยค่ะ ตอนแรกดิฉันคิดว่าเหมือนที่ฮ่องกง มาเก๊าเสียอีก แต่ลืมไปว่า ตอนนี้ดิฉันอยู่เขตประเทศเชงเก้น
เดินออกมาจากอาคารท่าเรือ ดิฉันและผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็มายืนออ รอขึ้นรถบัสเพื่อจะไปสถานีขนส่งรถโดยสารเมืองปาทรัสต่อค่ะ
แต่เสียดายค่ะ เพราะรถบัสที่ให้บริการรับผู้โดยสารนั้น จะเริ่มมารับเวลา
10 โมงเช้าเป็นต้นไปค่ะ แต่เรือโดยสารที่นั่งมานี้ มาถึงตอนเช้าตรู่เลย
ถ้าจะรอรถบัสตอน 10 โมงเช้าคงไม่ไหวแน่ๆ
ตามป้ายเขียนไว้ว่า Bus route No.18 daily. New Port of Patras to Ktel patras station from 10.00 to 17.00 everyday 60's approx. รถบัสสาย 18 จะบริการรับลูกค้าตั้งแต่เวลา 10 โมงเช้าถึง 17.00 น.ทุกวัน
ถ้าให้รอรถบัสตอน 10 โมงเช้า ดิฉันคงไม่ไหวแน่ๆ เลยตัดสินใจ แชร์ค่าโดยสารแท๊กซี่กับผู้โดยสารคนอื่นที่นั่งเรือมาด้วยกัน |
วันที่นั่งเรือมา มีนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงเป็นวัยรุ่นผู้หญิง 2 คน เดินทางมาด้วย นักท่องเที่ยว 2 คนนั้นก็เลยมาชวนให้ดิฉันแชร์ค่ารถแท๊กซี่ด้วยกัน เพื่อจะเดินทางไปสถานีขนส่งปาทรัสด้วยกัน โดยแท๊กซี่คิดค่าโดยสารคนละ 5 ยูโร
นั่งแท๊กซี่ออกจากท่าเรือปาทรัส มาถึงสถานีขนส่งปาทรัส หรือ KTEL Patras terminal station
KTEL Patras terminal station สถานีขนส่งเมืองปาทรัส |
และจะไม่มีหมายเลขเกตชานชลาจอดเหมือนในเมืองไทยเรานะค่ะ
มื่อมาถึงก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ตามเคาว์เตอร์ เพื่อติดต่อขอซื้อตั๋วโดยสารรถบัสจากเมืองปาทรัสไปยังกรุงเอเธนส์
ราคาตั๋วโดยสารรถบัสจากเมืองปาทรัสไปยังกรุงเอเธนส์อยูที่ 20.70 ยูโร |
เวลาที่รถออกคือ 9.00 น.
มีหมายเลขบอกในตั๋วโดยสาร แต่มองไปที่ตั๋วก็มีแต่ภาษากรีซเต็มไปหมดเลย ดิฉันเห็นแล้วก็งวยงงสับสนพอสมควร แต่ก็ยังดีที่ตัวเลขบอกไว้ ทำให้เข้าใจอยู่บ้าง
ไม่นานนักเวลา 9 โมงเช้า ก็ได้เวลาขึ้นรถแล้วค่ะ โดยใกล้ๆเวลาจะขึ้นรถ ก็ให้เราออกมารอขึ้นรถด้านหน้าเลยค่ะ จะมีรถมารับผู้โดยสารตามเวลาเป๊ะ เนื่องจากที่สถานีค่อนข้างเล็กและพื้นที่จำกัด ไม่มีได้มีชานชลาเหมือนสถานีขนส่งในเมืองเรา ดังนั้นก็ออกมารอด้านหน้า บขส.เลย
ส่วนรถโดยสารก็เป็นรถบัสชั้นเดี่ยว คล้ายๆกับรถบัสโดยสารที่นั่งจากเมืองเนเปิลส์เลยค่ะ
ระหว่างนั่งบนรถบัสมุ่งหน้าจากกรุงปาทรัส ไปยังกรุงเอเธนส์ ก็นั่งชมวิวอ่าวคอรินท์ไปค่ะ |
มีสะพานข้ามอ่าวคอรินทร์ ซึ่งข้ามจากเมืองปาทรัส ไปยังอีกเมืองนึงด้วยค่ะ แต่ดิฉันก็ไม่ทราบแน่ชัด ว่าชื่อเมืองอะไร เพราะดูในมือถือแผนที่ก็เป็นภาษากรีซทั้งนั้นเลย ดิฉันพยายามอ่านแล้ว ก็วินเวียนเศียรเกล้ามากๆเลย
มองเห็นเรือใบ ลอยอยู่ในทะเลอ่าวคอรินท์ |
นั่งรถโดยสารเลียบเลาะภูเขามาได้สักพัก ก็เป็นด่านทางมอเตอร์เวย์ คล้ายๆเหมือนในเมืองไทยเราเลยค่ะ แต่ถนนบ้านเค้า ค่อนข้างกว้างใหญ่ยิ่งนัก
ส่วนบ้านม่านชานเรือนของชาวกรีซ ส่วนใหญ่จะเน้นโทนสีส้มพาสเทล ดูหลังคาก็สีเหมือนๆกันหมดเลยนะค่ะ ไม่มีบ้านใหนใช่หลังคาสีชมพู สีเหลือง หรือสีที่แตกต่างจากนี้เลย
นั่งรถมาเรื่อยก็มีร้านขายสินค้า ขายอาหารและของฝากอยู่ริมทาง ให้รถนักท่องเที่ยวได้จอดแวะพักอีกด้วย คล้ายกับบ้านเราเลยล่ะค่ะ
ไม่ไกลจากร้านขายของฝากริมทางที่นั่งรถผ่านกำลังข้ามสะพาน ช่องแคบอะไรสักอย่าง ดิฉันก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร แต่ดูแล้วมีนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ชาวจีน ออกมาแวะชมและถ่ายรูปชมช่องแคบเขาลูกนี้กันเป็นส่วนมาก
มอกจากกระจกหน้าต่างรถออกไป ก็เห็นตัวเมืองบ้านเรือ และภูเขาหัวโล้นๆไม่ค่อยจะมีต้นม้งต้นไม้ใหญ่โตนัก ดูแล้วคล้ายๆกับบ้านเรือนแทบประเทศอาหรับเลยนะค่ะ
นั่งรถบัสโดยสารมาเรื่อยๆใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ตอนนี้ก็เข้าสู่เมืองหลวงเอเธนส์แล้วล่ะค่ะ สภาพถนนหนทางในเมืองหลวงแห่งนี้ ก็ไม่ต่างจากบ้านเรานะค่ะ รถราติดเหมือนกัน แต่ไม่ได้ติดหนักแบบสาหัสสากัสเหมือนกรุงเทพบ้านเรา บริเวรป้ายรถเมลล์ในสถานีขนส่งกรุงเอเธนส์ |
พอเดินลงมา ก็มีแต่ป้ายเป็นภาษากรีซ จะต้องสับสน งวยงงหน่อยล่ะค่ะ เพราะไปเที่ยว 3 ประเทศก่อนหน้านี้ ก็ยังมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษให้อ่านได้บ้าง แต่รูปลักษณ์ภาษาของประเทศนี้ ออกคล้ายๆภาษารัสเซียเลยกระมัง
และช่วงที่นั่งอยู่บนรถ ดิฉันก็ได้ถามหญิงสาวชาวเอเธนส์ที่นั่งมาด้วยกัน นางพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดี่ยว ดิเลยสอบถามว่า จะเดินทางไปย่านใจกลางเมืองโอโมเนีย (Omonia Central) แบบใหนดี
นางก็เลยบอกว่าให้ดิฉันนั่งรถเมลล์โดยสารในเมืองไปดีกว่า เพราะถ้านั่งแท๊กซี่ไปราคาค่อนข้างแพง
โดยหญิงสาวคนนี้ ได้ช่วยพูดกับคุณลุงที่นั่งมาใกล้ๆกัน ให้พาดิฉันไปที่ป้ายจอดรถเมลล์โดยสาร เพื่อรอขึ้นรถบัสไปลงที่ย่านโอโมเนีย
ดิฉันเลยเดินแบกเป้ตามตูดคุณลุงไปเรื่อยๆเลยค่ แต่คุณลุงก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะค่ะ ดิฉันก็เลยได้แต่ยิ้มกว้างๆ ถือเป็นการแสดงไมตรีจิตทีดี และตอบขอบคุณเป็นภาษากรีซว่า Sas efxaristó อ่านว่า ซาเซฟการิโต้ แปลว่าขอบคุณ
ส่วนคำว่าสวัสดี ภาษากรีซ พูดว่า ยาซู (Yasu) หรือ ย่า
ที่รู้จักคำนี้ เพราะหญิงสาวที่นั่งมาด้วยกัน นางบอกดิฉันค่ะ เพื่อจะเอาไว้ใช้ทักทายเบื้องต้นในประเทศนี้ เพราะคนที่นี้ส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษกัน
คุณลุงพาดิฉันมาซื้อตั๋วรถเมลล์โดยสารที่เคาว์เตอร์ขายตั๋วซึ่งอยู่ตรงปค่ะ โดยการขึ้นรถเมลล์ที่เมืองหลวงแห่งนี้ จะไม่มีกระเป๋ารถเมลล์เหมือนกรุงเทพบ้านเรา หรือว่าไปจ่ายเงินกับคนขับแบบประเทศอื่นๆนะคะ เราจะต้องซื้อตั๋วรถเมลล์ล่วงหน้าก่อนขึ้นเลยค่ะ
และที่ขายตั๋วก็อยู่ใกล้ๆกับป้ายจอดรถเมลล์เลย โดยจะมีรถเมลล์หลายสายวิ่งผ่านมารับ-ส่งผู้โดยสารที่สถานีขนส่งแห่งนี้
ราคาบัตรรถ |
ถือว่า ราคาถูกมากๆ และใช้งานสะดวกดี ไม่ต้องเสียเวลาไปจ่ายสตังกับคนเก็บให้ยุ่งยาก
ซึ่งสายรถเมลล์โดยสารที่จะเดินทางไปยังย่านโซนโอโมเนีย Omonia ก็ต้องนั่งรถเมลล์สาย 51 ไปค่ะ
นั่งรอรอผ่านหน้าป้ายจอดสักพัก เดี่ยวรถก็มาค่ะ
โดยตอนขึ้นรถเมลล์โดยสารให้เราเอาบัตรที่ซื้อมา อย่าลืมเอาบัตรไปแตะที่เครื่องตอนขึ้นประตูค่ะ
ทั้งนี้ดิฉันก็ลืมถ่ายรูปมาให้คุณผู้อ่านได้ดูกัน เพราะเวลานั้น มันทุลักทุเลเหลือเกิน ใหนจะกระเป๋าใหนจะกล้องถ่ายรูป และผู้คนขึ้นเบียดเสียดบนรถเมลล์มากมาย
อย่าลืมเปิด GPS เพื่อนำทางไปยังที่หมาย |
ไคร่หากจะไปถามคนข้างๆ ก็สื่อสารกันไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้จะถามยังไง เกรงใจเค้าเหลือเกิน ดูทุกคนบนรถหน้าตาเคร่งเครียดกันยิ่งนัก พอเห็นแล้ว เดี๊ยนก็พลอยเครียดตามไปด้วย
วงเวียนโอโมเนีย ย่านใจกลางกรุงเอเธนส์ |
โดยย่านโอโมเนีย ถือได้ว่าเป็นย่านใจกลางเมืองอีกแห่งในกรุงเอเธนส์ ถ้าเปรียบกับกรุงเทพบ้านเรา ก็น่าจะเหมือนกับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่วงเวียนอนุสาวรีย์ของเราใหญ่กว่า แต่วงเวียนทีนี้เล็กกว่า และรถราในช่วงเวลากลางวันก็เยอะกว่ามากด้วย
สภาพบ้านเมืองและการจราจรในกรุงเอเธนส์ |
เดินจากป้ายรถเมลล์มาถึงโรงแรมสักทีคืนนนี้ พักที่ Hotel Cosmopolit |
Check in ได้กุญแจเสร็จ ก็ขึ้นลิฟท์มาที่ห้องพักเลยค่ะ ห้องพักขนาดกะทัดรัดไม่ใหญ่โตมากนัก อยู่ราคาตกคืนละ 1300 บาทมีอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ให้ด้วย ถือว่าไม่แพงมากนัก เมื่อเทียบกับห้องพักแถบประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี ที่นี้ถือว่าค่าครองชีพถูกลงกว่ามาก
มีห้องน้ำในตัวด้วยนะ
มาถึงห้องก็ขออาบน้ำให้ชื่นใจก่อนล่ะกัน
เพราะตั้งแต่วานเย็น ก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลยค่ะ ยอมทนเน่าไปทั้งคืน
ตั้งใจกว่าหากเดินทางมาห้องพักในกรุงเอเธนส์ จะอาบน้ำให้สดชื่นเลยล่ะ
ที่ย่าน Omonia ก็มีร้านอาหารอยู่ในซอยโรงแรมหให้เลือกทานมากมาย |
ส่วนใหญ่อาหารที่นี้ก็เป็นอาหารยุโรปคล้ายที่ฝรั่งเศส อิตาลีเลยค่ะ
สั่งชาร้อนมาดื่มแก้กระหาย
อาหารเที่ยงมื้อนี้ จัดไปแซนวิชอีกเช่นเคย แต่ที่พิเศษก็คือ แซนวิชที่ประเทศกรีซ จะใส่ชีส ซึ่งเรียกว่า feta cheese (เฟต้าชีส) ใส่ลงไปด้วย จะไม่มีชีสแผ่นประเทศอื่นๆ รสชาติออกเปรี้ยวเค็ม ตอนแรกดิฉันก็เหมือนจะกินไม่ได้ แต่ก็ฝืนทานไปเรื่อย ก็อร่อยดี เพราะมันมีประโยชน์ต่อร่างกาย เลยต้องทานค่ะ
ทานอาหารจานหลักไปเสร็จ ก็มาสอดส่องมองดูขนมที่จะทานต่อค่ะ
ไปชะแว๊ปเห็นขนมอย่างนึงเข้า ไม่รู้คือขนมอะไร ออกแนวครีมหวาน ลักษระเหมือนพาย กลิ่นหอม รสชาติหวานอร่อยดีค่ะ
ถึงสักทีนะค่ะกรุงเอเธนส์ หลังที่เดินทางแรมรอน นั่งรถบัส นั่งเรือเฟอรี่มานานข้ามวัน ข้ามคืน |
ถ้านั่งเครื่องบิน ป่านี้ก็คงถึงตั้งนานล่ะ แต่สิ่งที่เครื่องบินให้ไม่ได้คือ ประสบการณ์ใหม่ๆและภาพบรรยากาศระหว่างการเดินทาซึ่งไม่เหมือนกันเลย ถือว่าคุ้มค่ายิ่งนัก หากเพื่อนคนใหนที่ชอบเที่ยวแนวๆแบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวไปเรื่อยแบบดิฉัน ก็สามารถตามรอยมาเที่ยวได้นะค่ะ รับรองว่าได้พบเจออะไรใหม่ ได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษและได้เรียนรู้ภาษาท้องถิ่นในประเทศนั้นๆด้วยค่ะ...จบทริปการเดินทางรีวิวตอนที่ 23
เดี่ยวตอนต่อไป คุณนายเว่อร์จะมารีวิวการเดินทางท่องเที่ยวในกรุงเอเธนส์ต่อค่ะ มาดูสิว่าเมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง
สำหรับรีวิววิธีการเดินทางนั่งเรือเฟอรี่ข้ามจากประเทศอิตาลีมายังประเทศกรีซก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ ดิฉันหวังว่าบทความรีวิวข้างต้นที่ได้นำเสนอมา น่าจะมีประโยชน์และเป็นแนวทางต่อเพื่อนๆนักเดินทางทุกคนไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาด ประการใด ดิฉันต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกคนที่แวะเข้ามาสไลด์ดูกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกในเว็ปบล็อกถัดไปนะค่ะ...จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
-------------------------------------------------------------------
บทความอื่นและรีวิวท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อยตามเมืองต่างๆ มีดังนี้ค่ะ
สถานที่ท่องเที่ยวในเกาะซานโตรินีที่เหล่านักเดินทาง ต้องมาถ่ายรูปที่นี่กันสักครั้ง>>> |
รีวิวเที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
มาม๊ะ..เที่ยวเกาะสมุยชิลๆ ชมวิวทะเลสวยๆ รุ่มระรวยด้วยของกินเลิศๆ คลิ๊กดูรีวิวจ้า>> |
ตอนจบกับทริปแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรป 26 วัน คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูรีวิวการเดินทางที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2xlaVuZ
รีวิวตอนที่ 22 แบกเป้ลุยเดี่ยวไปเที่ยวเมือง Sorrento คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2C4PTGF
รีวิวตอนที่ 21 ลุยเดี่ยวไปเที่ยวเนเปิล-เมืองมรณะปอมเปอี คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2oiNldZ
รีวิวตอนที่ 20 เที่ยวกรุงโรม ไปจู่โจมอาณาจักรโรมันสักครั้งสิ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2BI8ckL
รีวิวตอนที่ 18 แบกเป้ลุยเดี่ยวเมืองเวนิชครั้งแรก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2KQvnsh
รีวิวตอนที่ 17 แบกเป้ไปเที่ยวเมืองมิลาน มีอะไรให้ชมบ้างนะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2AWC1xk
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 16 ไปเดินลั๊ลลาไปชมน้ำตกไรน์-ซูริค คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2MiG5cz
รีวิวลุยเดี่ยวตอนที่ 14 แบกเป้ไปชมความน่ารักที่เมืองกอลมาร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2uQBBTE
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 13 วิธีการเดินทางไปจุงเฟราด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2LHckBV
เที่ยวยุโรปตอนที่ 8 แวะนั่งพักตากอากาศริมหาดที่เมืองนีซ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/dLDKAX
0 ความคิดเห็น