บทความวันนี้ ขอมาแบ่งปันรีวิวลุยเดี่ยวไปเที่ยวเมืองเนเปิลส์และเมืองปอมเปอี เยือนซานเมืองมรณะที่โดนภูเขาไฟระเบิดฝั่งคนไว้ทั้งเป็น |
และสำหรับบล็อกวันนี้ ก็ขอมาแบ่งปันรีวิวเที่ยวยุโรปต่อค่ะ รู้สึกว่าเขียนไม่จบสักกะทีนะค่ะ ทริปนี้ยาวนานเหลือเกิน แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะมีอะไรเขียนฆ่าเวลาไปหลังเลิกงานประจำ จะได้ไม่ฟุ้งซ่านค่ะ มีคนมาอ่านหรือเปล่าไม่รู้ เพราะในเว็ปบล็อกนี้ก็ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรมากนัก เอาแค่วันละหนึ่งคนก็เริ่ดแล้วจ้า
หลังจากที่รีวิวตอนที่แล้วคือตอนที่ 20 ได้มารีวิวแบกเป้ไปเที่ยวเยือนกรุงโรมแล้วนะค่ะ ตามเว็ปไซต์: http://bit.ly/2BI8ckL จากนั้นดิฉันก็เดินทางต่อด้วยรถไฟความเร็วสูงจากสถานีรถไฟกรุงโรม มุ่งตรงมาทางเมืองตอนใต้ของประเทศอิตาลีนั้นก็คือเมืองนาโปลี หรือเมืองเนเปิลส์ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่อีกแห่งของประเทศนี้ โดยแวะพักค้างที่เมืองนี้ 2 คืนค่ะ จุดประสงค์ที่ปักหมุดมาที่นี้ก็คือ ต้องการมาชมเมืองปอมเปอี หรือเมืองมรณะแห่งนี้สักครั้งในชีวิต
รีวิวตอนที่ 21 นั่งรถไฟจากกรุงโรมมุ่งหน้าลงมาที่เมืองเนเปิลส์เมืองทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี เพื่อมาชมซากเมืองมรณะปอมเปอีสักครั้ง |
ก่อนจะเข้าสู่ภาพรีวิวแหล่งท่องเที่ยว เรามารู้จักเมืองเนเปิลและเมืองปอมเปอีกันก่อนนะค่ะ มาอ่านกันเป็นความรู้สู่โลกกว้างกันจ้า
เกี่ยวเมืองปอมเปอี อ่านเป็นความรู้กันจ้า
ปอมเปอี (อังกฤษ: Pompeii) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในแคว้นคัมปาเนีย ประเทศอิตาลี เป็นนครโรมันโบราณที่ถูกฝังบางส่วนใกล้กับเมืองเนเปิลส์สมัยใหม่ ซึ่งเมืองปอมเปอีแห่งนี้เป็นเมืองที่ติดชายทะเลที่มีความสวยงาม และเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งในอดีต โดยมีภูเขาไฟวิสุเวียส เด่นตระหง่านอยู่เป็นม่านฉากหลัง และมีสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงาม ปอมเปอีจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
และแล้วเมืองที่เคยเจริญรุ่งเรืองก็ถึงกาลสิ้นอายุขัย เพราะเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 หรือปี พ.ศ. 622 เกิดโศกนาฎกรรม เพราะภูเขาไฟวิสุเวียร์ที่หลับไหลอยู่มานานนับพันปี ได้ปะทุระเบิดปะดาดังขึ้นอย่างรวดเร็วและนำแก๊สพิษ ผงเถ้าถ่าน เศษธุลีและลาวาปกคุลมไปทั่วทั้งเมืองปอมเปอี ท่ามกลางผู้คนที่กำลังนอนหลับไหลกันอยู่ และด้วยความร้อนของเศษระเบิดของหินภูเขาไฟนี้เอง ทำให้คร่าชีวิตไปกว่า 15,000 คนโดยผู้เสียชีวิตถูกฝังทั้งเป็นจากเถ้าหินภูเขาไฟ เนื่องจากสูดดมแก๊สพิษที่แพร่กระจายแทรกซึมอยู่ทั่วทุกพื้นที่เป็นวงกว้าง และหินลาวาที่ร่วงลงมา ภูเขาไฟวิสุเวียส ก็ยังคงปะทุต่อเนื่องไปอีก 2 วัน โดยถูกฝังใต้เถ้าและหินภูเขาไฟหนา 4 ถึง 6 เมตรเลยทีเดียว
ซากเมืองเก่าโบราณปอมเปอี |
และเมืองปอมเปอีก็ได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อมีการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ 1534 และมีการสำรวจอีกครั้งในปี ค.ศ. 1863 โดยนักโบราณคดีได้ทำการขุดหาซากเมืองปอมเปอี และก็ได้ค้นพบร่างของชาวเมืองปอมเปอีที่ถูกฝังไปพร้อมกับเมืองจนกลายเป็นหิน ซึ่งสภาพที่เห็นแสดงออกถึงความเจ็บปวดจากการได้รับความร้อนของภูเขาไฟ และการพยามเอาชีวิตรอด ทำให้เห็นถึงท่าทางต่างๆก่อนที่พวกเขาจะสิ้นลมหายใจอย่างไม่ทันตั้่งตัว ด้วยเหตุนี้เมืองปอมเปอีจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น ซากเมืองแห่งความตาย บ้างก็เรียกว่า เมืองมรณะ
โดยผู้เสียชีวิตในเมืองปอมเปอีส่วนใหญ่นั้น ร่างกายจะถูกความร้อนหลอมจนในเวลาต่อมาเกิดเป็นโพรงขึ้นภายในซากชั้นธรณี ในการขุดค้นทางโบราณคดีจึงต้องหาโพรงดังกล่าวจากนั้นก็เทปูนหล่อปลาสเตอร์เข้าไปอีก เพื่อทำให้เห็นเป็นร่างผู้เสียชีวิตในอิริยาบทขณะเกิดภัยวิภัยจากธรรมชาติในครั้งนั้น
และการถูกกล่าวว่าเป็นซากเมืองแห่งความตาย หรือเมืองมรณะนี้เอง ทำให้เมืองนี้มีจุดดึงดูดที่น่าสนใจของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกอยากมาเยือนที่นี่สักครั้ง โดยปัจจุบัน ‘ปอมเปอี’ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศอิตาลี และได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1997 โดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองแห่งนี้มากกว่า 2 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว และมีภาพยนตร์มากมายที่เล่าถึงเรื่องราวต่างๆของเมืองแห่งนี้
นอกจากนี้แล้วปอมเปอียังเป็นยังเป็นโบราณและมีเส้นทางท่องเที่ยวประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่น่าค้นหา มีเส้นทางรถไฟไปสู่เมืองท่องเที่ยวเลียบเลาะริมชายทะเลต่างๆใกล้เคียงที่น่าสนใจในประเทศอีตาลีด้วย
เครดิตข้อมูลส่วน https://th.wikipedia.org/wiki/ปอมเปอี
เมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี ภาพที่เห็นคือ ปราสาท Nuovo Castle |
ส่วนสาระน่ารู้เกี่ยวกับเมืองเนเปิลส์
เนเปิลส์ ภาษาอังกฤษ: Naples,ส่วนอิตาลี: Napoli อ่านว่า นาโปลี หรือ นาปูเล (เนเปิลส์: Napule) โดยเป็นเมืองหลักของแคว้นคัมปาเนียและจังหวัดเนเปิลส์ในอิตาลี มีชื่อเสียงในด้านความร่ำรวยทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี และศาสตร์การทำอาหาร เป็นเมืองที่มีบทบาทสำคัญในคาบสมุทรอิตาลี มาตลอด 2,800 ปีนับแต่ก่อตั้งเมืองขึ้นมา ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ที่ชายฝั่งด้านตะวันตกของอิตาลีติดกับอ่าวเนเปิลส์ กึ่งกลางระหว่างพื้นที่ภูเขาไฟสองแห่ง คือ ภูเขาไฟวิสุเวียสและกัมปีเฟลเกรย์
โดยเมืองเนเปิลส์ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากเป็นอันดับสี่ในอิตาลี รองจากมิลาน โรม และตูริน และถูกจัดให้เป็นเมืองที่ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 91 ของโลกโดยวัดจากกำลังซื้อของประชากร และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเหนือกว่าเศรษฐกิจของบูดาเปสต์และซูริก[12] ท่าเรือเนเปิลส์เป็นท่าเรือที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป (มีผู้โดยสารคับคั่งมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากท่าเรือฮ่องกง)
ใจกลางเนเปิลส์เป็นศูนย์กลางเมืองทางประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป[6] (1,700 เฮกตาร์ หรือ 17 ตารางกิโลเมตร) และได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมือง เนเปิลส์เคยมีฐานะเป็นเมืองหลวงของ Duchy และอาณาจักรต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งเคยเป็นเมืองหลวงของ Crown of Aragon และยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญ (โดยเฉพาะในสมัยของลัทธิมนุษยนิยมเรอเนสซองซ์ และตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึง 19) อิทธิพลของเมืองได้แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่หลายส่วนในยุโรปไปจนถึงนอกทวีป และรอบเมืองก็เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่าง ๆ (เช่น พระราชวังกาแซร์ตา ปอมเปอี และเฮอร์คิวเลเนียม) ซึ่งล้วนแต่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดต่อเนเปิลส์ในด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรม
นอกจากนี้แล้วยังเป็นเมืองที่เริ่มมีการทำพิซซาขึ้นเป็นครั้งแรก โดยในขณะนั้นจะใช้การทอดก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการอบในภายหลัง นอกจากนี้วัฒนธรรม Neapolitan ยังมีอิทธิพลด้านดนตรีอย่างแพร่หลาย อย่างเช่นการประดิษฐ์ Romantic guitar และแมนโดลิน รวมทั้งอุปรากรและเพลงท้องถิ่น บุคคลที่เป็นสัญลักษณ์ของเนเปิลส์คือนักบุญ Januarius ผู้ปกป้องคุ้มครองเมือง ส่วนตัวละครจากเรื่องแต่งที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์คือ พูลชิเนลลา และไซเรน สิ่งมีชีวิตจากมหากาพย์โอดิสซีของกรีก
เครดิตข้อมูลจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/เนเปิลส์
และหลังจากที่ได้อ่านสาระน่ารู้คร่าวๆเกี่ยวกับเมืองปอมเปอีและเมืองเนเปิลส์กันไปแล้วนะค่ะ ต่อไปก็ได้เวลามาดูภาพรีวิวกันแล้วค่ะ
มาดูสิว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง เริ่มต้นที่เมืองเนเปิลส์ก่อนเลยนะค่ะ และตามต่อด้วยเมืองปอมเปอี ส่วนภาพที่ถ่ายมาก็เน้นแบบธรรมชาติ ไม่ตกแต่งดึงสีใดๆจ้า
นั่งรถไฟออกจากกรุงโรม มุ่งหน้าสู่เมืองเนเปิลส์ เพื่อค้างแรมที่เมืองนี้ 2 คืน |
นั่งรถไฟออกจากกรุงโรม มุ่งหน้าสู่เมืองเนเปิลส์ เพื่อค้างแรมที่เมืองนี้ 2 คืน
นั่งรถไฟมาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงเมืองเนเปิลส์แล้วค่ะ ภาพที่เห็นนี้ก็คือภูเขาไฟวิสุเวียส ภูเขาลูกนี้เองที่ฝั่งเมืองเปอีไว้ใต้พิภพ ซึ่งเห็นเด่นอยู่แต่ไกลระหว่างรถไฟรอจอดเทียบท่าเข้าตัวเมืองเนเปิลส์
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟเมืองเนเปิลส์ ดิฉันก็เดินแบกเป้มาที่โรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก
โดยที่พักค้างแรมคืนนี้พักที่โรงแรม Grand Hotel Europa ที่พักแนวบูติคในเมืองเนเปิลส์
แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปภาพช่วงสถานีรถไฟมา เพราะมีคนบอกว่า ห้ามสะพายกล้องถ่ายรูป เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวหลายรายโดนฉกกระเป๋าและของมีค่า ดิฉันไม่ได้ถ่ายมาเลยค่
เข้ามาที่โรงแรมก็โอเคอยู่นะ แม้โรงแรมจะดูเก่า แต่ก็ดูออกแนวๆวินเทจ คลาสสิคสวยงามตามแบบอิตาลีเลย
ส่วนสภาพห้องพักก็ถือว่าดีทีเดียว ห้องพักกว้างขวางมาก เหมาะสมกับราคาเค้าแหละ เพราะตกคืนละ 3400 บาทรวมอาหารเช้าค่ะ
ในห้องก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้โอเคอยู่นะ โดยมีโต๊ะนั่งทำงาน มีทีวี ตู้เย็น มีระเบียงหน้าห้องพัก มีตู้เซฟนิรภัยในห้องพัก มีตู้ใส่เสื้อผ้า ก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง แม้ห้องจะเก่าไปหน่อย แต่ก็ปรับปรุงได้ดี
ส่วนห้องน้ำก็โอเคอยู่นะ มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบ มีอ่างอาบน้ำให้ มี Amenities ต่างๆให้ครบ ตามมาตรฐานโรงแรม 3 ดาวเป๊ะ แต่ราคาห้องพักเมื่อเทียบเป็นเงินไทย ถือว่าแพงเท่า 5 ดาวบ้านเราเลยค่ะ
มาถึงห้องพักก็ยังไม่ไปเทียวใหนค่ะ เพราะอย่างที่แจ้งไปจากบทความรีวิวก่อนหน้าก็คือ ตอนที่ 20 ที่ไม่ได้ไปนครวาติกัน ก็เพราะต้องมานั่งทำงานเนี่ยแหละค่ะ งานเข้าด่วนฉับพลัน เดี๊ยนนั่งทำตั้งแต่อยู่บนรถไฟแล้วค่ะ นั่งมาจากกรุงโรม จนถึงเมืองเนเปิ้ล ต้องมาสะส่างงานให้เสร็จ ไม่งั้นโดนลูกค้ากินหัวแน่นอนจ้า
และหลังจากที่สะส่างเคลียงานเรียบร้อยอยู่นานเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ได้เวลาออกมาเที่ยวเมืองเนเปิลส์แล้วค่ะ โดยจะไปเที่ยวชมปราสาทนูโอโว หรือ Castel Nuovo ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟไปประมาณ 3-4 กิโลเมตร
ซึ่งจริงแล้วตามแผนที่วางไว้ กะว่าจะไปเที่ยวหลายที่ แต่ผิดแผนไปหน่อย เพราะงานเข้า ดิฉันก็เลยวางแผนไปชมแค่ทีเดี่ยว เพราะใหนๆก็แวะมาเมืองเนเปิลส์ทั้งทีแล้ว ไปดูสิว่าในเมืองเนเปิลส์ หรือเมืองติดริมชายทะเลแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง
เริ่มต้นก็เดินเท้าจากโรงแรมมาที่สถานีรถไฟเมืองเนเปิลส์ก่อนเลยค่ะ
แผนที่เส้นทางรถไฟในเมืองเนเปิลส์ มีหลายหลายเส้นทางให้เลือกค่ะ ราคาบัตรรถไฟเริ่มต้นที่ 1.10 ยูโร |
โดยในเมืองเนเปิลส์ก็มีรถไฟใต้ดินให้บริการอยู่หลากสายทาง
อาทิ
-เส้นทางรถไฟสีเหลือง
- เส้นทางรถไฟสีส้ม
- สายรถไฟสีฟ้า
- สายรถไฟสีน้ำเงิน
โดยการเดินทางไปชมปราสาทนูโอโว (Castel Nuovo) ใช้เส้นทางรถไฟสายสีเหลือง
ราคาบัตรรถไฟใต้ดินอยู่ที่ 1.10 ยูโรจ้า โดยดูตามแผนที่สายรถไฟสีเหลือง ต้องไปลงที่สถานี Minicipio ซึ่งตามแผนที่บอกว่าอยู่ใกล้ปราสาท Nuovo ที่สุดล่ะ
เพื่อไม่ให้หลงทางเดินไปผิดชานชลา ยังไงต้องดูแผนที่บอกเส้นทางของสถานีรถไฟด้วยค่ะ
จุดมุ่งหมายคือเดินทางจาก Garibaldi ก็คือสถานีรถไฟศูนย์กลางเนเปิลส์ เดินทางมาที่ municipio
ส่วนการใช้บัตรรถไฟที่นี่ก็คล้ายที่เมืองไทยเราเลยค่ะ
แต่รถไฟใต้ดินที่บ้านเค้าอยู่ลึกมากๆ เดี๊ยนว่าสถานีรถไฟสามย่าน หรือสถานีรถไฟในฮ่องกงว่าลึกแล้วนะ ที่นี้โคตะระจะลึกมาก ขึ้นบันลงไปยังชานชลาเหมือนศูนย์การค้าเลยจ้า เดี๊ยนเห็นแล้วก็จะเป็นลมจ๊ะ แต่ก็ดีได้เดินออกกำลังกาย
รถไฟใต้ดินมาแล้ว ก็ขึ้นได้เลยจ้า
อนุสาวรีย์ Gian Battista Vico ในเมืองเนเปิลส์ (Napoli City) |
เดินออกจากสถานีรถไฟมาก็จะพบกับลานอนุสาวรีย์ Gian Battista Vico
บรรยากาศโดยรอบก็เป็นลานกว้างมากๆ ส่วนที่เห็นด้านหลังที่อาคารเว่อร์วังสะท้านโลกา นั้นก็คือ ศาลากลางประจำเมืองเนเปิลส์ค่ะ
ตามรูปภาพค่อนข้างมืดๆหน่อยนะค่ะ เพราะจะ 2 ทุ่มแล้วจ้า มั่วแต่ยุ่งทำงานหน้าคอม ออกมาเที่ยวทีก็ปาไปตอนค่ำเลยนะ แต่ที่นี่ยุโรป บ้านเค้าจะมืดช้ากว่าบ้านเราหน่อยๆ
ภาพสถานีรถไฟใต้ดินที่พึ่งจะเดินออกมาก็เลยดูมืดไปด้วย รอบๆก็มีปั่นจั่นระโยงโทงเทงกำลังจะก่อสร้างอะไรสักอย่าง
และที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟนั้นก็คือ ปราสาทนูโอโว (Castle Nuovo)
เดินมาไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดินนิดเดียวก็ถึงปราสาท Castel Nuovo แล้วค่ะ
Castel Nuovo ปราสาทเก่าแก่ในเมืองเนเปิลส์ |
สาระน่าเล็กน้อยรู้เกี่ยวกับ Castel Nuovo |
Castel Nuovo (อิตาลี: " New Castle หรือ ปราสาทใหม่") มักเรียกว่า Maschio Angioino (อิตาลี: "Angevin Keep") เป็นปราสาทยุคกลางที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของ Piazza Municipio และศาลากลางประจำเมืองเนเปิลส์ (Palazzo San Giacomo) ในใจกลางเนเปิลส์กัมปาเนียอิตาลี โดยเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางสถาปัตยกรรมของเมือง เป็นพระราชบัลลังก์สฟำหรับกษัตริย์แห่งเนเปิลส์อารากอนและสเปนจนถึง ค.ศ. 1815
โดยด้านในเป็นที่ตั้งของ Neapolitan Society of Homeland History และยังมีการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ซึ่งประกอบด้วยโบสถ์ Palatine และเส้นทางให้ได้ศึกษาเข้าชมบนชั้นหนึ่งและชั้นสองของปราสาทแห่งนี้อีกด้วย
ตัวปราสาทค่อนข้างใหญ่โตมาก น่าจะสร้างด้วยอิฐหินดินปูนหลายตันทีเดียวกระมัง
เดินมาดูที่กำแพงก็ใหญ่จนคนเล็กไปเลย
นอกจากนี้ยังมีทางเดินลงไปยังท่าเรืออีกด้วย ดิฉันก็เลยตัดสินใจเดินลงไปดูสักหน่อยสิว่าเป็นยังไง
เดินมาก็เป็นถนนสร้างเลียบติดริมทะเล ต้องข้ามถนนไปอีก
ท่าเรือที่เมืองเนเปิลส์ |
แผนที่เส้นทางจากท่าเรือเนเปิลส์ไปยังเมืองต่าง (Napoli Boat route) |
เดินที่ท่าเรือก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาในระยะไกลที่เรียงตัวทอดยาวสุดลูกตาเชียว
ส่วนบรรยากาศที่นี่ก็ลมพัดเย็นสบาย ช่วยคลายร้อนได้ดีทีเดียว
แต่ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคงจะเป็นภูเขาไฟวิสุเวียสที่ใหญ่โตว่าภูเขาลูกอื่นๆ
เรือสำราญลำนี้น่าจะได้เวลาเทียบท่าแล้วกระมัง เพราะพ่นควันดำออกจากปล่องมาทำลายชั้นบรรยากาศมากมายทีเดียว
หลังจากที่ได้ไปเปิดหูเปิดตาชมที่เที่ยวในเมืองเนเปิลส์แล้ว
ก็เดินทางกลับมายังสถานีรถไฟ แวะหาซื้อของกินมื้อเย็นนี้
เดินไปเดินมาอยู่ที่สถานีรถไฟ จัดไปสปาเก็ตตี้แบบง่ายๆ แต่รถชาติไม่ค่อยถูกปากนัก ออกแนวๆเลี่ยนๆยังไงไม่รู้ ไม่ค่อยอร่อยเลยค่ะ แต่ก็ทนทานจนหมด เพราะเสียดายสตัง....จบทริปไป 1 วัน
------------------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันใหม่ที่ 2 มิ.ย.2561
วันนี้ตื่นสายเป็นพิเศษค่ะ เพราะเมื่อคืนก็เดินทางมาซะดึกกว่าจะนั่งเคลียงง เคลียงานเสร็จ บรรทมนอนหลับซะดึกเลยค่ะ ตื่นมาสายเกือบจะ 9 โมงเช้า
แหงนดูนาฬิการอีกที ก็ต้องรีบจรลีมาที่ห้องอาหารโรงแรม เพราะเดี่ยวห้องอาหารปิดไปเสียก่อน เพราะเห็นบอกว่า อาหารเช้าเปิดให้บริการถึงตอน 10 โมงเช้าเท่านั้น
อาหารที่โรงแรม Grand Hotel Europa ก็เป็นไลน์อาหารเช้าบุฟเฟ่ต์แบบตะวันตก แนว Continental Breakfast เน้นพวกผัก ผลไม้สด ขนมปัง ชีส แฮม ธัญพืช โยเกิร์ต ประมาณนี้แหละค่ะ แต่ไม่มีเบคอน ไส้กรอกให้นะค่ะ
บรรยากาศห้องอาหารก็เงียบๆหน่อย เพราะแขกที่มาทานหนีกันไปหมดล่ะ
ห้องทานอาหารก็อยู่ชั้นใต้ดินเลยค่ะ ตอนแรกเดินหาอยู่นานเลย ไปถามเจ้าหน้าฟร้อน บอกให้เดินลงไปให้ลึกจนสุดทาง
มื้อเช้าวันนี้ทานแค่นี้พอค่ะใจจริงแล้วอยากทานผัดกะเพรามากๆ แต่ก็ต้องอดทน ไม่รู้จะไปหากะเพราะที่ใหนมาให้พ่อครัวผัดให้กิน |
แค่ขนมปังก็อิ่มล่ะ เดี่ยวตอนเที่ยงก็ตอนทานอีก จัดไปให้พออิ่มท้อง ถ้าทานมาก เดี่ยวมีหวังโรคกรดไหลย้อนกำเริบขึ้นมา คงยุ่งแน่ๆ ไม่ได้เที่ยวกันล่ะทีเนี่ย
หลังจากที่ทานอาหารอิ่มที่โรงแรมและจัดงานสะส่างเคลียงานจนเสร็จดีแล้ว
ก็ได้เวลาเดินทางไปยังเมืองปอมเปอีแล้วค่ะ
เริ่มต้นมาที่สถานีรถไฟเมืองเนเปิลส์ก่อนเลยค่ะ โดยมาซื้อบัตรโดยสารรถไฟที่เคาว์เตอร์ตามภาพค่ะ
ต้องเรียงคิวเข้าแถวซื้อเลยนะค่ะ เนื่องจากเป็นรถไฟวิ่งออกนอกเมือง
แผนที่เส้นทางรถไฟโดยสารให้วิ่งออกนอกเมืองเนเปิลส์ไปยังเมืองต่างๆ |
ซึ่งเส้นทางรถไฟที่จะไปเมืองปอมเปอี คือ เส้นทางรถไฟสายสีน้ำเงินค่ะ ตามภาพเลยค่ะ
แต่ภาพค่อนข้างเบลอๆไปหน่อน มันไม่ค่อยชัดเลยค่ะ
โดยเส้นทางรถไฟสายสีน้ำเงิน เป็นเส้นทาง Napoli-Sorrento ตามภาพซึ่งเป็นสายรถไฟยาวสุดแล้วล่ะ
ส่วนราคาก็ตามภาพด้านล่างเลยค่ะ
โดยราคาตั๋วรถไฟที่จะไปยังเมืองปอมเปอี ค่าโดยสารอยู่ที่ 2.80 ยูโรตามภาพเลยจ้า |
ค่าโดยสารอยู่ที่ 2.80 ยูโรตามภาพเลยจ้า
นอกจากนี้ยังมีเคาว์เตอร์ให้คำปรึกษาเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองนี้ด้วย
โดยทางเจ้าหน้าที่จะแจกตารางเวลาเดินทางโดยรถไฟจากเมือง Napoli ไปยังเมือง Popeii และเมือง Sorento ให้ด้วยค่ะ
โดยการเดินทางไปยังเมืองปอมเปอี
เริ่มต้นที่สถานี Napoli Garibaldi ตามภาพที่วงไว้เลยค่ะ ภาพดูเล็กไปหน่อย
ซื้อตั๋วแล้วก็เดินมาตามที่เจ้าหน้าที่บอกให้เดินลงมารถขึ้นรถไฟที่ชานชลาหมายเลข 3 มีลูกศรชี้
ตามรูปภาพเลยค่ะ
เมื่อมาถึงก็จะมีหมายเลขชานชลาของขบวนรถไฟที่กำลังจะมาถึงด้วย
ตามภาพคือชานชลาสถานีรถไฟ Napoli Garibaldi ก็คือสถานีต้นทาง
โดยรถไฟจะวิ่งไปสุดปลายทางที่เมือง Sorrento ค่ะ
รอรถไฟไม่นานประมาณ 10 นาทีก็มาจอดรับผู้โดยสารที่ชานชลา
มาขึ้นรถไฟก็ไม่ได้นั่งเลยค่ะ เนื่องจากเป็นเส้นทางรถไฟสายท่องเที่ยว
มีคนมาเที่ยวเยอะมาก ไม่มีที่ให้นั่ง ต้องยืนไปตลอดทางแบบนี้เลยล่ะค่ะ
บนขบวนรถไฟก็มีป้ายบอกเส้นทางเหมือนรถไฟบ้านเราด้วยนะค่ะ เผื่อใครที่กลัวหลงทางและนั่งเลยสถานีไปก็สังเกต สังกาป้ายเอา เพราะบางครั้งบนรถไฟ ก็ไม่ได้ประกาศว่าถึงสถานีใหนแล้ว
แต่ดิฉันใช้วิธีสังเกตุป้ายกระจกด้านนอกเอาว่าจอดชานชลาใหนแล้วบ้าง
นั่งรถไฟมาได้เกือบ 40 นาทีกว่าๆก็มาถึงเมืองปอมเปอีแล้วค่ะ พอมาถึงสถานีแห่งนี้ก็มีนักท่องเที่ยวแห่หรูลงจากรถไฟ จนขบวนที่นั่งมาค่อนข้างโล่งไปเลยล่ะ
สถานีรถไฟ Pompei Sacavi |
ส่วนตู้ขบวนรถไฟก็ออกแนวอาร์ต ติ๊ดๆหน่อยล่ะค่ะ ออกแนวขีดๆเขียนๆศิลปะแบบสุดขั้วไปเลยทีเดียว
น่าจะถูกใจวัยแนวเลยนะค่ะ
บรรยากาศตอนลงก็คึกคักมากๆด้วย
โดยที่สถานีรถไฟจะมีจุดขายตั๋วเข้าชม และแผนที่ท่องเที่ยวด้วย
ใกล้ๆกับสถานีรถไฟก็เป็นร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม ของฝากและของที่ระลึกมากมายให้เลือกซื้อเลือกหากันค่ะ
ก่อนจะเข้าไปเดินชมด้านในเมืองโบราณ ก็เติมพลังงานสักหน่อยด้วยการทานอาหารเที่ยง
ไม่รู้จะทานอะไรดี มาจบเอาที่สปาเกตตี้แล้วกันค่ะ เป็นอาหารพื้นๆของประเทศอิตาลี ที่มีขายอยู่แทบทุกที่เลย แต่รสชาติที่ร้านนี้ขายอร่อยดีค่ะ
ไปหยิบแผ่นผับท่องเที่ยวจากสถานีรถไฟเอามาอ่านด้วย
พอทานอาหารเสร็จใกล้ๆเดินมาอีกนิดเดียวค่ะ ก็ถึงทางเข้าชมเมืองโบราณปอมเปอีค่ะ
พอเข้ามาด้านในก็มาเข้าแถวเพื่อเสียค่าธรรมเนียม ซื้อบัตรเข้าชมเมืองก่อนเลยค่ะ
สำหรับราคาบัตรเข้าชมเมืองปอมเปอี
ค่าธรรมเนียมเข้าชมอยู่ที่ 15 ยูโรค่ะ
แผนที่เมืองเก่าปอมเปอี (Pompeii Map) |
โดยเแผนที่จะบอกโซนต่างๆในเมืองโบราณแห่งนี้ว่าแต่ละจุดชื่ออะไรบ้าง
ซึ่งดูภาพในแผนที่แล้ว เมืองโบราณแห่งนี้น่าจะมีขนาดใหญ่มากๆเลยล่ะค่ะ
แผนที่เมืองเก่าปอมเปอี (Pompeii Map) |
เริ่มต้นตั้งแต่ โซน Regio I
ตามไปด้วย II III V และ VI ไปสุด IX
เห็นภาพแผนที่แล้วต้องเดินเหนื่อยแน่ๆเลยค่ะ หากจะเดินไปทุกซอกทุกมุมจริงๆ วันเดียวคงไม่พอแน่ๆนะค่ะ เพราะค่อนข้างใหญ่ทีเดียว
ตามภาพที่เห็นคือประตูทางเข้าชมซากเมืองโบราณปอมเปอีค่ะ
เดินลอดอุโมงประตูสู่ซากเมืองโบราณ
และก่อนจะแวะผ่าน ก็จะมีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปเดินชมและได้ศึกษาเรียนรู้กันอีกด้วย
ใหนๆแวะมาทั้งที ก็เข้าไปชมสักหน่อยนะค่ะ โดยพิพิธภัณฑ์ก็อยู่ตรงอุโมงทางเข้าเมืองโบราณปอมเปอีเลยค่ะ
เดินเข้ามาด้านในก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งตาน้ำข้าวเยอะทีเดียว
ไม่ค่อยจะเห็นคนเอชง เอเชียมากนัก
โดยในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเรื่องราวและวัตถุโบราณของมีค่าในเมืองปอมเปอี มาจัดแสดงไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันแบบเพลินๆ
หลังจากเดินผ่านอุโมงออกมาก็จะเป็นทางเดินและซากเมืองโบราณปอมเปอีที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้เห็น
พอเข้ามาถึงมุมตรงนี้ ก็เดินเที่ยวได้ตามใจชอบเลยค่ะ
และถ้าใจให้ดีนะค่ะ หากใครที่เก่งภาษาอังกฤษก็สามารถ Join trip ร่วมกับลูกทัวร์อื่นๆ
เพราะที่นี้มีไกด์พาเดินเที่ยว แนะนำตามจุดท่องเที่ยวต่างๆอีกด้วย ก็จะได้ความรู้ไปได้เยอะทีเดียว
แต่วันที่ไป ดิฉันเองก็ไม่ได้ร่วมจอยทริปกับเค้านะค่ะ เพราะภาษาอังกฤษพวกคำศัพท์ประวัติศาสตร์ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่นัก เลยเดินถือแผนที่ชมไปเรื่อยเอาๆค่ะ
ซากโบราณเมืองเก่าปอมเปอี ที่โดนระเบิดภูเขาไฟทำลายล้างเมืองนี้ให้จมหายไปนานเป็นพันปี |
เพื่อไม่รีวิวนี้ยาวจนเกินไป ดิฉันเลยขอมาสรุปแหล่งท่องเที่ยวในซากเมืองโบราณปอมเปอี มาให้ชมกันดังนี้ค่ะ มาดูสิว่าในเมืองนี้ มีอะไรน่าชมบ้าง
จตุรัสปอมเปอี (Forum at Pompeii) |
เทวสถาน Temple of Jupiter |
จตุรัสปอมเปอี (Forum at Pompeii) ใจกลางย่านเมืองเก่าและเป็นที่ให้ร่มเงาสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย |
ตรงนี้ดูตามแผนที่แล้วเป็น Temple of Venus |
ตรงนี้ดูตามแผนที่แล้วเป็น Temple of Venus
ตรงจตุรักสปอมเปอี ก็มีรูปปั้นรูปคนครึ่งมันตั้งอยู่ใจกลางจตุรัสนี้ด้วยส่วนภาพตรงนี้เป็น Temple of Apollo |
ส่วนภาพตรงนี้เป็น Temple of Apollo |
เนื่องด้วยวันที่ไปเที่ยวเป็นเดือนมิถุนายน อากาศร้อนๆ อย่าลืมพกหมวก ทาครีมกันแดดมาด้วยนะค่ะ แดดร้อนสุดๆไปเลยล่ะค่ะ
และใกล้ๆกับจตุรัสปอมเปอีใกล้ๆก็เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุโบราณให้ชม และไฮไลท์ก็คงเป็นซากมนุษย์ที่เสียชีวิตจัดแสดงให่ชมด้วย
โดยผู้เสียชีวิตในเมืองปอมเปอี ร่างกายจะถูกความร้อนหลอมจนในเวลาต่อมาเกิดเป็นโพรงขึ้นภายในซากชั้นธรณี ในการขุดค้นทางโบราณคดีจึงต้องหาโพรงดังกล่าว และเทปูนหล่อปลาสเตอร์เข้าไป เพื่อทำให้เห็นเป็นร่างผู้เสียชีวิตในอิริยาบทขณะเกิดวิบัติภัยจากธรรมชาติครั้งนั้น
รูปที่เห็นน่านี้ น่าจะเป็นเด็กซึ่งนอนเสียชีวิต
โดยรอบก็เต็มไปด้วยเครื่องชามโบราณมากมาย ส่วนใหญ่ทำจากหินทั้งนั้นเลย ทำให้คงสภาพให้เห็นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ร่างชาวเมืองปอมเปอีที่เสียชีวิตจากเถ้าถ่านลาของภูเขาไฟวิสุเวียส บางคนก็ตายอย่างไม่ทันตั้งตัว ดูแล้วอนาถใจน่าสงสารมากๆ
ส่วนรูปที่เห็นนี้ ตอนแรกคิดว่าเป็นไก่ย่าง 5 ดาว จริงๆถ้าดูดีๆเป็นรูปน้องหมา โดนความร้อนและแก๊สพิษจนน้องหมาต้องขดตัวนอนตาย |
ที่สงสารก็คงเป็นเด็กน้อย ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ต้องรับเคราะห์จากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วย
ชมร่างผู้คนที่ตายจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วแล้วก็สงสารมากๆ เห็นแล้วก็หดหู่จริง
นอกจากนี้เดินไปตามเมืองโบราณแห่งนี้ ก็ยังมีจุดแวะชมต่างๆมากมาย
Teatro Grande |
แต่จริงแล้วเป็น Teatro Grande
Teatro Grande at Pompeii |
Quadriporch Excavation |
นอกจากโรงละครขนาดใหญ่แล้ว ใกล้ก็ยังมีโรงละครขนาดเล็กอีกด้วย
ส่วนมุมนี้มีชื่อว่า Odeon-Teatro Picolo |
ภาพที่เห็นนี้คื Casa del Menandro (House of Menander) |
ภายใน Casa del Menandro (House of Menander)
Casa del Menandro (House of Menander) |
เดินเท้าออกกำลังกายไปเรื่อยๆ หากเมื่อยก็นั่งพักนะค่ะ
นั่งแหงนมองฟ้าชมต้นไม้ใบหญ้าที่เมืองโบราณแห่งนี้ ก็ดูสูงใหญ่โตโอฬาร กิ่งก้านใบช่ะช่ะใบก้านกิ่ง แตกกิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาดีเหลือเกิน
โรงละครที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองปอมเปอี Amphitheatre of Pompeii |
ทางเดินเข้าไปยังโรงละคร |
โรงละคร Amphitheatre of Pompeii |
เดินมาอีกเส้นทางก็เป็นทางเดินที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ของต้นองุ่น
องุ่นกำลังออกผลสีเขียวอ่อนๆ
ออกจากโรงละครขนาดใหญ่มา ก็เดินทะลุมาอีกทางนึงซึ่งเชื่อมกัน
เดินซอกแซกมาตามตรอกซอยในเมืองโบราณแห่งนี้ ก็จะมีบ้านเก่าโน้นนี้นั้นให้ชมมากมาย
ทางเดินบางส่วนก็เป็นเนินลาดชันนิดหน่อย
Casa Theremopolium di Vetutius at Pompeii |
ตามบ้านต่างๆ ก็จะมีป้ายบอกชื่อของแต่ละบ้านที่น่าสนใจให้แวะเข้าไปชม
โดยสามารถดูตามแผนที่ควบคู่ไปด้วยได้
ซึ่งบ้านบางแห่งก็ยังคงเหลือร่องรอยความสมบูรณ์ไว้ให้ชมอย่าง Casa Theremopolium di Vetutius Placidus โดยเป็นภาษาอิตาซ่ะเสียส่วนใหญ่ อย่างเช่นบ้านนี้ ก็ปูด้วยโมเสกทำเป็นรูปน้องหมา ดูสวยงามแปลกตามากๆ พื้นบ้านยังคงดูสมบูรณ์อยู่มากๆเลยนะค่ะ เนี่ยขนาดผ่านมา 2000 กว่าปีแล้วนะ
และที่ขาดไม่ได้เดินเหนื่อยมากขนาดนี้ ปวดฉี่สุดๆ อยากจะบอกว่า กว่าจะเดินมาเจอห้องน้ำ ฉี่แทบราดเลยล่ะค่ะ
ห้องน้ำตั้งอยู่บนเนินเขาเลยค่ะ เดินขึ้นก็เป็นจุดชมวิวมองเห็นทัศนียภาพเมืองเก่าปอมเปอีสวยงามไปอีกแบบ
ขึ้นมาด้านบนก็เห็นซากอาคารบ้านเรือนเมืองเก่าปอมเปมากมาย
มีนักท่องเที่ยวกำลังนั่งพักผ่อนถ่ายรูปชมวิวเมืองนี้อยู่ด้วย
เห็นหอคอยของโบสถ์เมืองปอมเปอี
จุดชมวิวเหมาะสำหรับนั่งพักรับลมเย็นๆ แต่แดดที่นี่ก็ร้อนไม่ใช่เล่นเลยนะ
จะเห็นได้ว่าซากโบราณเมืองเก่าปอมเปอีที่โดนดินภูเขาไฟฝั่งจมไว้มานานกว่า 2000 ปีแห่งนี้ มีพื้นที่ใหญ่ไม่ใช่น้อยเลยนะค่ะ ถ้าจะให้เดินจริงๆคงต้องเดินทั้งวันเลยล่ะค่ะ
หลังจากที่ได้เดินชมเมืองเก่าปอมเปอีแล้ว ก็เดินเท้ากลับมาที่สถานีรถไฟ มาตั้งหลักที่สถานีรถไฟปอมเปอีเพื่อเดินทางไปยังเมือง Sorrento ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวถัดไปค่ะ
วิวภูเขาไฟวิสุเวียส ระหว่างนั่งรถไฟจากเมืองปอมเปอี (Pompeii)ไปสุดปลายทางที่เมืองซอเรนโต้ (Sorrento) |
ไปเดินเล่นรับลมทะเลและดูบ้านเมืองเค้าหน่อยสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับรีวิวในบล็อกนี้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ ...ขอบพระคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่เสียสละเวลาคลิ๊กเข้ามาลั๊ลลาเปิดสไลด์เลื่อนดูกันไว้ ไว้พบกันใหม่ในเว็ปบล็อกถัดไปนะค่ะ จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
----------------------------------------------------------------------------------------------
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และรีวิวท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อยตามเมืองต่างๆ มีดังนี้ค่ะ
รวมเด็ด 9 ที่เที่ยวยอดนิยมในประเทศอิตาลี ที่คนชอบหนีไปเที่ยว คลิ๊กดูข้อมูลค่ะ>> |
รีวิวตอนที่ 20 เที่ยวกรุงโรม ไปจู่โจมอาณาจักรโรมันสักครั้งสิ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2BI8ckL
รีวิวตอนที่ 19 แวะเที่ยวเมืองโรแมนติคที่ฟลอเรนซ์-ปิซ่า คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2MDjbQz
รีวิวตอนที่ 18 แบกเป้ลุยเดี่ยวเมืองเวนิชครั้งแรก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2KQvnsh
รีวิวตอนที่ 17 แบกเป้ไปเที่ยวเมืองมิลาน มีอะไรให้ชมบ้างนะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2AWC1xk
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 16 ไปเดินลั๊ลลาไปชมน้ำตกไรน์-ซูริค คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2MiG5cz
รีวิวลุยเดี่ยวตอนที่ 15 แบกเป้เดินเที่ยวรอบเมืองลูเซิร์นแบบชิลๆ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2vjt0bK
รีวิวลุยเดี่ยวตอนที่ 14 แบกเป้ไปชมความน่ารักที่เมืองกอลมาร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2uQBBTE
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 13 วิธีการเดินทางไปจุงเฟราด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2LHckBV
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 12 ลุยเดี่ยวไปเมืองสปิซ-อินเทอร์ลาเก้น คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2LkZvQM
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 11 แบกเป้เที่ยวกรุงเบิร์น ดูเพลินๆสวยดีนะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2uoxRbX
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 10 เยือนสวิตเซอร์แลนด์ เจนีวา-โลซาน คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2N0X57i
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 9 เดินชมเมืองลียง ชมอัสดงที่เขาฟูรวิแยร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2NyWRFA
เที่ยวยุโรปตอนที่ 8 แวะนั่งพักตากอากาศริมหาดที่เมืองนีซ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/dLDKAX
0 ความคิดเห็น