Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

แบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 10 แวะเมืองเจนีวา-โลซาน ยลตระการศาลาไทย ตามรอยไปชมเมืองวัยเยาว์ของในหลวง ร.9 สุขสกาวกลางฝนพรำ

บล็อกรีวิวทริปแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ตอนที่ 10 แวะชมเมืองเจนีวา นอนลั๊ลลาที่เมืองโลซาน ยลตระการศาลาไทย
สวัสดีค่ะเพื่อนๆพี่ๆน้องชาวโลกออนไลน์ที่น่ารักสดใส งามไฉไลผ่องศรี รื่นฤดีความหวาน ร้าวรานจับใจกันทุกคนนะคะ ดิฉันคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน ขอมาสวีดัดสวัสดีทักทายคุณผู้อ่านทุกๆท่านเข้าสู่เว็ปบล็อกของคนบ้าเที่ยว บ้าเขียนบล็อกไปเรื่อยเปื่อยๆแนวสับปะรังเค ให้ท่านได้ไกวเปล่าอ่านกันจนปวดเศียร เวียนเกล้ากันอีกเหมือนกับบล็อกที่ผ่านมาเช่นเดิมนะคะ

และสำหรับบทความในวันนี้ ดิฉันเองขอมาเขียนรีวิวพาเพื่อนไปเที่ยวกันต่อคะ หลังจากที่ 9 ตอนที่แล้ว (ตามเว็ปบล็อกลิงค์ : https://bit.ly/2NyWRFA)ได้แบกเป้ตะลอนเที่ยวประเทศฝรั่งเหนือ จรดฝรั่งตอนใต้ แวะเดินพร่างพรายชมทะเลเมดิเตอร์เนียนกันมาแล้ว มาตอนที่ 10 นี้ก็ข้ามพรมแดนจากเมืองน้ำหอม มาเดินตรอมตรมให้สุขสมอุราต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อีกหนึ่งประเทศที่ดิฉันปักหมุดวางไว้ว่า ยังไงก็ต้องมาเที่ยวให้ได้ครั้งค่ะ เพราะรายลอมไปด้วยธรรมชาติและขุนเขารวมทั้งทะเลสาบ น้อยใหญ่ แถมยังงามวิไลไปด้วยยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี มีทัศนีภาพที่สวยงาม รวมทั้งประวัติศาสตร์ บ้านม่านชานเรือน เมืองเก่าแก่ ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี และนอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยมาช้านาน รวมทั้งเป็นถิ่นที่ประทับของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งทรงพระเยาว์อีกด้วย

จากแต่ก่อนที่ดิฉันเคยได้แต่ดูภาพที่เที่ยวประเทศนี้จากนิตยสารและอินเตอร์ ในที่สุดก็ได้นำพาตัวเองมาเยือนประเทศนี้สักทีค่ะ ดิฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเก็บสตางค์วนไปวนมาเกือบครึ่งค่อนชีวิต แต่จนแล้วจนเล่า ก็ไม่ได้มาสักที เอาว่ะ...ครั้งนี้เลยตัดสินใจ ใหนๆก็แบกเป้มาเที่ยวยุโรปทั้งที เลยขอแวะเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์สักครั้ง
แผนการเดินทางด้วยรถไฟจากเมืองลียงประเทศฝรั่งเศส ข้ามพรมแดนมายังเมืองเจนีวา และไปพักค้างที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
โดยเมืองแรกที่ดิฉันได้แวะมาพักค้างแรมคือเมืองโลซานค่ะ
จริงๆแล้ววางแผนจะพักค้างที่เมืองเจนีวานะค่ะ แต่ว่าโรงแรมราคาถูกที่เจนนีวา ห้องพักเต็มเหลือแต่โรงแรมราคาแพงๆ ดิฉันเลยตัดสินใจเลือกมาพักที่เมืองโลซานแทน และก็ไม่ผิดหวัง เพราะเป็นเมืองที่สวยงาม เงียบสงบ และอีกอย่างคือจะแวะมาเที่ยวชมศาลาไทย ซึ่งหากเพื่อนๆคนใหนที่วางแผนจะแวะมาเที่ยวเมืองโลซานน์ ยังไงก็ไม่พลาดที่จะแวะมาถ่ายรูปเดินชมศาลาไทยในสวนสาธารณะ ติดริมทะเลสาบเลม็อง หรือทะเลสาบเจนีวา

ต่อจากบทความรีวิวตอนที่ 9 ดูที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2NyWRFA
ก่อนจะเข้าสู่ภาพรีวิวเที่ยวชมเมืองต่างๆ เรามารู้จักเมืองโลซานกันก่อนนะคะ มาอ่านกันดูเป็นความรู้เปิดโลกกว้างคะ
เกี่ยวกับเมืองโลซาน (Lausanne) อ่านดูเป็นความรู้สักนิด
เกี่ยวกับเมืองโลซาน (Lausanne)
เมืองโลซาน (ฝรั่งเศส: Lausanne) เป็นเมืองในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ผู้คนในเมืองใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบเจนีวา โดยติดกับเมืองเอวีย็อง-เล-แบ็งของประเทศฝรั่งเศส โลซานเป็นเมืองหลวงของรัฐโว และตั้งอยู่ห่างจากเมืองเจนีวาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 60 กิโลเมตร มีประชากร 135,629 คน โดยเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์ของธรรมชาติที่สวยงาม โดยโอบล้อมไปด้วยทะเลสาบเจนีวาและหุบเขาน้อยใหญ บรรยากาศดี เงียบสงบ และมีความคลาสสิคจากการเป็นเมืองเก่าที่ยังคงถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี และในแต่ละปีก็มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองนี้ค่อนข้างมาก

และครั้งหนึ่งเมืองนี้ยังเคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8  รัชกาลที่ 9 รวมทั้งสมเด็จย่าและสมเด็จพระนี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯ อีกด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มขึ้นเมื่อใด? 

โดยเริ่มต้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป โดยได้เสด็จประพาสสวิตเซอร์แลนด์ทั้งสองครั้งในปี พ.ศ. 2440 และ พ.ศ. 2450 ต่อมาทั้งสองประเทศได้ลงนามย่อในสนธิสัญญาไมตรีและการค้าระหว่างไทยและสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 ณ กรุงโตเกียว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งสองประเทศจึงได้ถือให้วันดังกล่าวเป็นวันสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ทั้งนี้ การลงนามสนธิสัญญาฯ ดังกล่าวได้มีขึ้นในเวลาต่อมาเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2474 ดังนั้นในปี พ.ศ. 2554 ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและสวิตเซอร์แลนด์จึงจะมีวาระครบ 80 ปี ซึ่งตลอดช่วงเวลาเหล่านี้มีความราบรื่นตลอดมา และรัฐบาลทั้งสองประเทศจะเฉลิมฉลองวาระที่น่ายินดีเช่นนี้ต่อไป
ราชสกุลมหิดล
ห่างจากทะเลสาบเลอมอง หรือทะเลสาบเจนีวาไม่ไกลนักบนถนนทิสโซต์ เป็นที่ตั้งของแฟลตเลขที่ 16 ที่ทั้งสี่พระองค์ทรงใช้เป็นที่ประทับในช่วงปีพ.ศ. 2476-2478 ห่างจากแฟลตจะเป็นที่ตั้งของที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำเนินไปส่งจดหมายถวายสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และไม่ไกลกันคือสถานีรถไฟและตลาดที่ทั้งสี่พระองค์ทรงซื้อเครื่องเสวยเป็นประจำ ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่มาทรงสละราชสมบัติ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดลเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 8 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ขณะมีพระชนมพรรษาได้ 9 พรรษา ดังนั้นเพื่อให้สมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีจึงทรงย้ายจากแฟลตไปประทับที่บ้านเช่าบนเนินเขาไม่ไกล จากทะเลสาบเลอมอง บ้านเลขที่ 51 บนถนน Chamblandes Dessusy ทรงตั้งชื่อว่า “วิลลาวัฒนา” (Villa Vadhana) และประทับอยู่นานกว่า 10 ปี ลักษณะเป็นบ้าน 3 ชั้น มี 13 ห้องมีสวนผลไม้อยู่รายล้อม ปัจจุบันเจ้าของได้พัฒนาเป็นแฟลต 3 ชั้นให้เช่า

ต่อมาในปี 2478 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นิวัติประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2481 แล้วเสด็จกลับไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กระทั่งปี พ.ศ. 2488 จึงโดยเสด็จพระราชดำเนินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นิวัติประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง
พระตำหนักวิลล่าวัฒนา ณ เมืองโลซานในอดีต
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันนั้น แต่เนื่องจากยังทรงมีพระราชภารกิจด้านการศึกษา จึงต้องทรงอำลาประชาชนชาวไทยเสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 เพื่อทรงศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม ในครั้งนี้ทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมายและวิชารัฐศาสตร์ แทนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ทรงศึกษาอยู่เดิมเพื่อให้เหมาะสมกับการนำมาใช้ดูแลปวงชนชาวไทย

ระหว่างที่ประทับศึกษาอยู่ในต่างประเทศนั้น ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ และหม่อมหลวงบัว (สนิทวงศ์) กิติยากร และต่อมาได้ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้นปีพ.ศ. 2493 เสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนครและโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมในปีเดียวกัน หลังจากนั้นจึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงรักษาสุขภาพ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตามที่คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำ และระหว่างที่ประทับรักษาพระองค์อยู่นั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี มีพระประสูติกาลพระราชธิดาพระองค์แรกคือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งประสูติ ณ โรงพยาบาลมองซัวซีส์ (Clinique de Montchoisi) เมืองโลซานน์ เมื่อวันที่ 4 เมษายนพ.ศ. 2494 และเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์แรกเจริญพระชันษาได้ 7 เดือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเสด็จพระราชดำเนินนิวัติประเทศไทยเป็นการถาวรหลังจากทรงประทับพร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2476 ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2494 รวม 18 ปี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถเมื่อครั้งเยือนสวิตเซอร์แลนด์ ปี พ.ศ.2503
กาลต่อมา เมื่อวันที่ 29-31 สิงหาคม 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนสวิตเซอร์แลนด์อย่างเป็นทางการเพื่อเจริญพระราชไมตรีระหว่างประเทศไทยและสมาพันธรัฐสวิสให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ด้วยสายสัมพันธ์ทางจิตใจที่ประชาชนชาวไทยมีให้กับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเคยเป็นสถานที่ประทับของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในใจคนไทยทั้งแผ่นดิน และด้วยความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสมาพันธรัฐสวิสที่จะมีวาระครบปีที่ 80 ใน พ.ศ.2554 นี้ ความสัมพันธ์ทั้งระหว่างชาวไทยและชาวสวิส และระหว่างรัฐต่อรัฐย่อมดำเนินไปอย่างราบรื่นและแนบแน่นยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะความผูกพันทางจิตใจอันมีรากฐานที่แนบแน่น ย่อมนำไปสู่มิตรภาพที่ยั่งยืน

เครดิตข้อมูลสาระน่ารู้จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น : http://www.thaiembassy.ch/Relation
และ https://th.wikipedia.org/wiki/โลซาน

สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโลซาน ที่น่าสนใจมีที่ใหนบ้าง (Lausanne Tourist Attraction Place)
- มหาวิหารโลซานน์ (Lausanne Cathedral)
- พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก(Olympic Museum)
- ศาลาไทย สวนสาธารณะเดอน็องตู
- ท่าเรืออุชชี่ จุดแวะพักชมทะเลสาบเลอมอง
- ย่านเมืองเก่า
- Escallier du Marche and  Place de la palud

หลังจากได้รู้ข้อมูลสาระเบื้องต้นมาแล้ว ดิฉันก็ขอมาร่ายรีวิวตามภาพสถานที่ท่องเที่ยวให้เพื่อนๆได้ดูกันเลย บอกก่อน รูปภาพอาจไม่สวย มืดบ้าง สว่างบ้างนะค่ะ เพราะไม่ได้แต่งเติมดึงสีประการใด และอีกอย่างวันที่ไปเที่ยวทั้งเมืองโลซาน และเจนีวา ฝนก็ตกฟ้ามืดครึ้มทั้งวันเลย
เช้านี้อยู่ที่โรงแรม โรงแรมโลซานเกสต์เฮ้าส์ แบ็คแพ็คเกอร์ (Lausanne Guesthouse & Backpacker)
เช้าวันที่ 22 พ.ค. 2561 เข้าสู่วันที่ 8 ของทริปแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรปแล้ว เช้านี้อยู่ที่โรงแรม โรงแรมโลซานเกสต์เฮ้าส์ แบ็คแพ็คเกอร์ (Lausanne Guesthouse & Backpacker) เปิดหน้าต่างออกมา ฟ้ามืดครึ้ม ฝนตกปรอยๆ ดูแล้วน่าจะเป็นอีกวันที่ต้องชุ่มฉ่ำอย่างแน่นอน เพราะเมื่อวานมาถึงโลซานฝนก็ตก เช้านี้ก็ยังตก แสดงว่าฝนตกทั้งวัน
ห้องพักสไตล์โฮสเทล ห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม แต่โดยรวมโอเคเลยนะ
สภาพตามที่เห็นจ้า ที่พักราคาถูก ประหยัด ไม่แพง เริ่มต้นคืนละ 1216 บาทแนวโอสเทล ห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม แต่ก็โอเคนะ อยู่ใกล้สถานีรถไฟด้วยนะ ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่นี้ ลองเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ : โรงแรม Lausanne Guesthouse & Backpacker
ล็อบบี้ Space Area ใน เช้านี้อยู่ที่โรงแรม โรงแรมโลซานเกสต์เฮ้าส์ แบ็คแพ็คเกอร์ (Lausanne Guesthouse & Backpacker)
พอตืนเช้ามา เดี๊ยนก็รีบสะส่างเคลียงานให้เรียบร้อยก่อนเลยค่ะ
อาหารเช้ามื้อนี้ก็ไม่ได้จรลี ฉิมพลีไปใหน แวะกระซวกทานสลัดแต่เช้า รสชาติไฉไลพอประทังท้องไปวัดไปวาได้อยู่นะ
หลังจากทำงานเสร็จก็ทานอาหารเช้าค่ะ มื้อเช้านี้ ทานสลัดที่ซื้อมาจากเมื่อวานนี้ แช่ไว้ในตู้เย็น ต้องเอามาทานให้หมด
ล็อบบี้ที่โรงแรม ดูกว้างขวาง ตกแต่งเก๋ดีนะ นั่งได้หลายมุมเลย
ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับค่าครองชีพที่นี้ ลองเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ : โรงแรม Lausanne Guesthouse & Backpacker
ได้เวลา Check out ออกจากที่พักแล้วค่ะ และก็ฝากกระเป๋าเป้ใบไว้ที่โรงแรมได้ด้วย
และหลังจากทานอาหารเช้ายังไม่อิ่มนัก ดิฉันก็รีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้ให้หมด และมาทำการ Check out และฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมเลย เดี่ยวตอนเย็นๆค่อยกลับมาเอาค่ะ แจ้งก่อนค่ะ ตอน Check out ต้องจ่ายค่าภาษีเมือง หรือ Tax city ด้วยนะ โดยค่าภาษีเมืองอยู่ที่ 2 สวิฟฟรังซ์คะ
อย่าลืม พกบัตร Mobillis ไปด้วยนะ เพราะสามารถนำไปใช้ในการขึ้นรถโดยสารสาธารณะในเมืองโลซานได้ฟรี
ช้าก่อน และก่อนจะไปอย่าลืมทางโรงแรมก็แจกบัตรรถโดยสารสาธารณะฟรีให้ด้วยค่ะ เอาไว้ใช้ขึ้นรถราง หรือรถเมลล์วิ่งในเมืองโลซาน ทั้งนี้เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของนักท่องเที่ยวที่แวะมาเที่ยว จะได้เดินทางได้สะดวก ไม่ต้องเดินให้เมื่อยขาจ้า
ด้านหลังบัตร ทางโรงแรมก็จะเขียนชื่อของเรา วันที่เริ่มใช้ และวันหมดอายุให้ด้วยค่ะ
ด้านหลังบัตร ทางโรงแรมก็จะเขียนชื่อของเรา วันที่เริ่มใช้ และวันหมดอายุให้ด้วยค่ะ
ทีนี้พอเวลาเราจะเดินทางไปใหน ก็แค่แสดงบัตรนี้ตอนขึ้นรถสาธารณะ ก็ไปเที่ยวได้ทั่วเมืองแล้วจ้า

*ยังไงหากเพื่อนคนใหนที่แวะมาพักค้างแรมในเมืองโลซาน หรือมาเที่ยวท่องเที่ยวสำคัญในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็จะได้บัตรโดยสารเริ่ดสะแมนแตนแบบนี้มาจ้า...อย่าลืมทวงกับโรงแรมนะค่ะ ถ้ามาเที่ยวสวิตว่ามีให้ใหม๊?

 ด้านนอกที่พักก็มีลานสวนหย่อมให้นั่งพักได้ด้วย
ดอกกุหลาบกลิ่นหอมรัญจวนใจมากๆ อยากกระชากมาเด็ดดอมดมให้สมอุราเสียจริง
 แผนการเดินทางท่องเที่ยวในทริปนี้รวม 26 วัน เริ่มต้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สิ้นสุดที่เกาะซานโตรินี ประเทศกรีซ
 แผนการเดินทางท่องเที่ยวในทริปนี้รวม 26 วัน เริ่มต้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สิ้นสุดที่เกาะซานโตรินี ประเทศกรีซ ดูรีวิวการเดินทางที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2xlaVuZ
หลังจากที่ไดั Check out ออกจากที่พักเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกมาได้อ้อยสร้อยไปเที่ยวแล้วจ้า
หลังจากที่ได้ทำการ Check out เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาออกไปเดินชิล ชมวิวเมืองโลซานแล้วค่ะ มาดูสิว่าที่เมืองโลซานเล็กแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง
บรรยากาศเช้านี้ ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่ค่อยแจ่มใสนัก มีฝนโปรยหน่อยๆ น่าจะตกทั้งวันเลยค่ะ
บรรยากาศเช้านี้ ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่ค่อยแจ่มใสนัก มีฝนโปรยหน่อยๆ น่าจะตกทั้งวันเลยค่ะ ยังไงหากมาเที่ยวเมืองในหุบเขาแบบนี้ พกร่มมาด้วยนะค่ะ แต่เมืองดูสะอาดสะอ้านสวยงามดีคะ 
อย่าลืมสมุดแนะนำข้อมูลท่องเที่ยว หยิบมาจากที่พักด้วยก็ดี เพราะมีหลายฉบับเลย จะได้ดูว่าเมืองโลซานมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง
ก่อนออกจากที่พักก็อย่าลืม หยิบหนังสือนำเที่ยวออมมาด้วยนะค่ะ เพราะที่โรงแรมจัดใส่แผงไว้ให้เลือกหลายฉบับจนเลือกไม่ถูกเลยค่ะ แต่ก็พยายามเลือกแผนที่หรือหนังสือ ที่มีภาษาอังกฤษมาด้วย น่าจะทำให้เข้าใจได้บ้าง
แผนที่เดินทางดวยรถสาธาณะในเมืองโลซาน ไม่ว่าจะเป็นรถทรัม หรือรถเมลล์ (Travel with Public Transport)
ในสมุดนำเที่ยวก็มีแผนที่ เส้นทางการคมนาคมของรถทรัมและรถบัสโดยสารให้ด้วยค่ะ แต่สำหรับตัวดิฉันเปิดมายังอิสสะงงๆอยู่เลย รู้สึกสับสนนิดหน่อย เช้านี้เลยขอเดินก่อนแล้วกัน
 ระหว่างเดินออกมาจากที่พักไม่ไกลนัก ก็ผ่านร้านขายขนมปัง
เนื่องจากเมื่อเช้าทานสลัดผักไป ยังไม่อิ่มเลยค่ะ เลยจัดแซนวิชแข็งปั๊กสไตล์ฝรั่งเศสทานอีกสักอันนึง รสชาติอร่อยดี แต่กัดทีฟันแทบหักร่วงหมดปากเลยล่ะ
เนื่องจากเมื่อเช้าทานสลัดผักไป ยังไม่อิ่มเลยค่ะ เลยจัดแซนวิชแข็งปั๊กสไตล์ฝรั่งเศสทานอีกสักอันนึง รสชาติอร่อยดี แต่กัดทีฟันแทบหักร่วงหมดปากเลยล่ะ เพราะขนมปังบ้านเค้ามันแข็งมากๆ ตามแบบฝรั่งเศสจริงๆนะ กินแล้วก็นึกถึงขนมปังฝรั่งเศสในบ้านเรา กัดแล้วนิ่มมากๆ แต่ขนมอีกชิ้นไม่รู้ชื่ออะไร คล้ายพายๆรสชาติหอมหวานอร่อยมันมากๆ อยากทานอีกนะ แต่เปลืองตัง
นั่งทานแซนวิชกับชาจนอิ่มได้เวลาออกไปเที่ยวชมเมืองต่อค่ะ
ทานอาหารอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินเที่ยวชมเมืองค่ะ เดินและก็เดิน เป็นการออกกำลังกายที่ช้าและดีที่สุด
 สำหรับการท่องเที่ยวในเช้าวันนี้ ดิฉันวางแผนขอไปเดินชมทะเลสาบเลอมองก่อนค่ะ ซึ่งสามารถเดินเท้าจากที่พักไปได้ไม่ไกลค่ะ
หากไม่เดินก็นั่งรถได้นะ แต่เดี๊ยนเลือกที่จะเดินค่ะ เพราะจะได้ออกกำลังกาย เดินสโลว์ไลฟ์ชมเมืองไปเรื่อยเปื่อยนะคะ
 แต่ถ้าหากใครที่ไม่อยากเดินเท้าออกกำลังกายแบบดิฉัน ก็เลือกใช้บริการรถสาธารณะได้ฟรีค่ะ เพียงแค่มีบัตรที่โรงแรมแจกให้ตอนเข้าพักคะ
 แต่อย่าลืมพกมือถือเปิด GPS มาด้วยนะ จะได้ไม่หลงทางคะ ลำพังเปิดแผนที่ยังไงก็ต้องหลงแน่ๆ แต่ถ้ามีเน็ตก็จะช่วยเบิกเนตรนำทางไม่ให้เราหลงทางได้เยอะเลย เดินมาผ่านร้านขายเครื่องดื่มชากาแฟ ริมทาง ร้านดูเก๋ น่านั่งทานมาก แต่เสียดาย พึ่งจะกินมื้อเช้าไป
ระหว่างเดินเท้าตามทางฟุตบาทถนน Avenue d'Ouchy ข้ามทางม้าลายไปยังทะเลสาบเลอม็อง (ทะเลสาบเจนนีวา) ก็ผ่านโรงแรมรอยัลซาวอย Royal Savoy ซึ่งเป็นที่พักหรูหรา ราคาแพงเว่อร์ด้วยนะค่ะ 
เดินผ่านตึกรางบ้านช่อง ดูสวยงาม สีโทนพาสเทลไม่ฉูดฉาดนัก เป็นระเบียบร้อยเรียบและเรียบร้อยสะอาดสะอ้านสบายตา มีสายรถรางไฟฟ้าเชื่อมโยง ห้อยระโตงระเตงไปตามท้องถนน
 ดิฉันเปิด GPS ในมือถือเดินมาเรื่อยๆตามเส้นทางถนน Avenue d'Ouchy ก็ใกล้ถึงทะเลสาบแล้วค่ะ
ผ่านร้านขายของที่ระลึกให้ได้ระทึกหัวใจด้วย
ระหว่างทางก็ผ่านร้านขายของที่ระลึกด้วย จัดใส่ตู้กระจกเรียงราย น่าซื้อมากๆ เจ้าของร้านก็ดูเฟรนลี่ ยิ้มแย้มมากๆด้วย
ของที่ระลึกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตุ๊กตาตัวน่ารักมุ้งมิ่งสวิงริงโก้มากๆ
 ตุ๊กตาน่าซื้อมากๆดูน่ารักมุ้งมิ้ง แต่งชุดเป็นสาวสวิต ดูสดใสเว่อร์
เห็นแล้วก็อยากได้มากๆ แต่ก็ต้องยับยั้งชั่งใจ เอาไว้มีตังเยอะกว่านี้ก่อนนะ ค่อยแอดไลน์ร้าน แล้วสั่งซื้ออีกที ตอนนี้ก็เที่ยวแบบโกโรโกโสไปก่อนนะ
นาฬิกาของสวยเป็นของฝากขึ้นชื่อที่นี้ด้วย
 นาฬิกาก็เป็นของฝากขึ้นชื่อของประเทศนี้เลยค่ะ
 ตุ๊กตาเซรามิกรูปวัว ก็น่าซื้อไปเป็นของที่ระลึกมากๆ
 โอ้ย..เดี๊ยนเห็นตุ๊กตาแต่ละตัวแล้ว อยากจะเหมาซื้อหมดทั้งตู้เลย เพราะมันน่ารักมากๆ แต่ราคาก็กระชากใจเว่อร์เหมือนกันเนอะ...เฮ้กเฮ่กๆ
เดินมาจุดท่องเที่ยวแรกหากมาเที่ยวโลซาน ต้องเดินชมทะเลสาบเลอม็อง หรือทะเลสาบเจนีวา
 มองไปก็เห็นทะเลสาบแล้วค่ะ ฟ้ามืดครึ้มเชียว แต่ฝนก็ยังไม่ตกนะค่ะ
 เดินข้ามทางม้าลายไปอีกหน่อย
ผ่านร้านอาหารและโรงแรมตกแต่งแนวๆชิคๆสไตล์บูติค วินเทจเก๋ๆด้วยนะคะ
 ถึงแล้วค่ะ ทะเลสาบเลม็อง หรือทะเลสาบเจนีวา ในเมืองโลซาน บรรยากาศเงียบสงบ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดูเหงาๆเคล้าๆความหวิวๆ
 ถึงแล้วค่ะ ทะเลสาบเลม็อง หรือทะเลสาบเจนีวา
บรรยากาศสวยงามสมคำล่ำลือ แต่ถ้าท้องฟ้าเปิด มีแดด คงจะงดงามอร่ามจับตาคณานับกว่านี้มากนะคะ แต่บรรยากาศฟ้ามืดครึมแบบนี้ ก็สวยงามดูเคว้งคว้างไปอีกแบบนะ

สาระน่ารู้เกี่ยวกับทะเลสาบเลม็อง (ทะเลสาบเจนีวา)

ทะเลสาบเจนีวา (อังกฤษ: Lake Geneva) ภาษาฝรั่งเศสเรียกทะเลนี้ว่า ทะเลสาบเลมอง (Lac Léman) โดยทะเลสาบ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์และมีบางส่วนอยู่ในเขตประเทศฝรั่งเศส มีพื้นที่ 582 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรปกลางรองจากทะเลสาบบาลาต้นในประเทศฮังการี เป็นที่ตั้งของเมืองสำคัญคือเมืองเจนีวาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
โดยทะเลสาบเจนีวา มีชื่อในภาษาฝรั่งเศสว่า ทะเลสาบเลม็อง (Lac Léman)
สาระน่ารู้จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/ทะเลสาบเจนีวา
 มองไปที่มุมเมืองก็เป็นเห็นโรงแรมหรูอยู่ตรงหน้า แต่ติดกับทะเลสาบ น่าจะราคาแพงพอสมควรค่ะ
 เรือขนาดเล็กจอดลอยลำอยู่กลางทะเลสาบ
 มีนกเป็ดน้ำกำลังแหวกว่ายออกหากินหมู่ปลาที่วังมัจฉาแห่งนี้
 มีคุณลุงใจดีกำลังสุขขี ดลฤดีกับเจ้าตูบน้อยกลอยใจ ดูน่ารักสดใสฟรุ้งฟริ้งเชียว
 มีคุณลุงใจดีกำลังสุขขี ดลฤดีกับเจ้าตูบน้อยกลอยใจ ดูน่ารักสดใสฟรุ้งฟริ้งเชียว
 หันกล้องมาอีกที ก็เห็นหนูน้อยหน้าใส วัยกำลังสน กำลังสุขล้นดลใจไปกับม้าโยก กระโชกโหกฮ้าก กระชากใจเว่อร์อยู่ด้วย
 หันกล้องมาอีกที ก็เห็นหนูน้อยหน้าใส วัยกำลังสน กำลังสุขล้นดลใจไปกับม้าโยก กระโชกโหกฮ้าก กระชากใจเว่อร์อยู่ด้วย
เดินมาอีกนิดก็จะเป็นสวนสาธารณะขนาดย่อมใกล้ๆกับท่าเรือ ทิวทัศน์สวยงามตามสไตล์สวิซเซอร์แลนด์ แดนธรรมชาติ อากาศดีเริ่ดเว่อร์จ้า
หนูน้อยน่ารักกำลังคึกคักกับการปั่นจักรยานอยู่ ดูแล้วจุ๊กกรูน่าชังซ่ะจริงๆเชียว
อากาศเย็นดีอยู่นะ 18 องศา ช่ะช่ะช่าหัวใจ
 สภาพอากาศในวันที่ 23 พ.ค.นี้ อยู่ที่ 18 องศา ถือว่าอากาศเย็นกำลังดีเลยค่ะ แต่บวกกับฟ้ามืดครึ้ม ลมพัดอีกหน่อย ก็หนาวเลยทีเดียว
 มองไปทางฝั่งเมือง ทิวทัศน์ก็สวยงาม บ้านม่านชานเรือนดูสะอาดสะอ้านสบายตา
ถึงแล้วค่ะ ทะเลสาบเลม็อง หรือทะเลสาบเจนีวา ในเมืองโลซาน บรรยากาศเงียบสงบ ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดูเหงาๆเคล้าๆความหวิวๆ
 หากจะให้ดี ต้องมานั่งพักสุขขี เริงฤดีกับริมทะเลสาบที่กว้างขวางใหญ่โต กับท้องฟ้าที่กำลังจะพาฝนเฮโลเข้ามา
ถ้าหากเดินมาเหนื่อย เมื่อยก็นั่งพักชมวิวทะเลสาบก่อนได้ค่ะ อากาศดีใช่ได้ทีเดียว
เดินมาเหนื่อยๆ ก็นั่งพักผ่อนชมวิวทิวทัศน์ หลับตาและสูดอากาศรับลมเย็นๆสักพัก ก่อนจะขยับไปที่อื่นต่อ

ทะเลสาบเจน
 แม้ฟ้าจะมืดครึม แต่การท่องเที่ยวก็คึกคัก เพราะมองก็เห็นเรือให้บริการนักท่องเที่ยว ลอยละล่องแล่นชมบรรยากาศอันสวยงามของทะเลสาบเลอม็องแห่งนี้
เรือจอดเทียบท่าอยู่กลางทะเลสาบ ดูเหวงๆ เคว้งคว้างยังไงชอบกล
ดอกม้ง ดอกไม้ก็บานสะพรั่งรับฤดูกาลใหม่
 นอกจากนี้ยังมีดอกไม้สีสันสดใส ให้ได้ชื่นชมกันอีกด้วยนะคะ
ไม่รู้ดอกไม้อะไร ไม่มีกลิ่น แต่กำลังเบ่งบานสะพรั่ง รับพลังฤดูกาลใหม่ในเดือนพฤษภาสุดลั๊ลลานี้
มวลบุปผาช่อฟ้าผกาสดใส ริมทางเดิน ดูแล้วก็เพลิดเพลินใจยิ่งนักแล
เพราะบางดอกไม้บางสายพันธ์ก็ไม่ค่อยพบเห็นในเมืองไทยเรานัก แต่พอมาที่นี้ค่อนข้างจะสวยงามแปลกตา ช่ะช่ะช่าหัวใจเหลือเกิน
 นอกจากนี้จากนี้ยังมีหงส์สีขาว พราวเสน่ห์มากมาย กำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลสายอีกด้วยค่ะ
ตอนแรก ดิฉันก็บอกหาหงส์อยู่นะ ว่าหงส์หายไปใหน ปกติถ้าเมืองอากาศเย็นๆแบบนี้ น่าจะมีหงส์ พอเดินมามุมนี้ เห็นหมู่หงส์ กำลังเริงรมกันอยู่หลายตัวเชียว มีคนให้อาหารด้วยนะ
แวะเดินพักชมวิวที่ท่าเรือทะเลสาบเลอม็อง
 มุมนี้คืออะไรทำเป็นเนินกั้นไว้น่าจะไม่ให้คลื่นซัดหรืออย่างไร
แวะเดินพักชมวิวที่ท่าเรือทะเลสาบเลอม็อง
มีเรือจอดเทียบท่าหลายลำเลย ที่จอดเกยตื้นอยู่ริมทะเล

เดินเท้าต่อไปอีกหน่อย
 หลังจากที่ได้นั่งพักชมวิวทะเลสาบเลม็องที่ท่าเรือโลซานไปแล้วนะค่ะ
เดินเลียบถนนริมทะเลสาบมาอีกนิดประมาณ 200 เมตรตามป้ายบอกทาง ก็จะเป็นเส้นทางไปพิพิธภัณฑ์โอลิมปิคคะ
 เดินมาถึงแล้วค่ะ พิพิธภัณฑ์โอลิมปิค เป็นอึกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโลซาน
 เดินมาถึงแล้วค่ะ พิพิธภัณฑ์โอลิมปิค อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวของกีฬาโอลิปปิคตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน
โดยพิพิธภัณฑ์โอลิมปิค ถือได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิค ตั้งแต่สมัยอดีตตั้งแต่ยุคโบราณเก่ากาล มาจนถึงปัจจุบันไว้ให้นักท่องเที่ยวได้และชมเข้าไปศึกษาเรียนรู้และเป็นยังเป็นสำนักงานกรรมการโอลิมปิคสากลอีกด้วย
 ตอนที่ดิฉันไปไปเที่ยวก็ไม่ได้แวะขึ้นไปชมด้านในพิพิธภัณฑ์คะ
เพราะเนื่องจากด้วยเกรงจะใช้เวลานาน ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปด้านนอก ชมแบบผ่านๆไป
 เดินมาถึงแล้วค่ะ พิพิธภัณฑ์โอลิมปิค อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวของกีฬาโอลิปปิคตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน
 แต่ว่าด้านในน่าจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจให้ชมเยอะอยู่เหมือนกันนะค่ะ
ดูหุ่นปูนปั้นตัวนี้สิ มือก็ขาด อาจู๋ก็โดนตัดขาดอีก ไม่รู้ใครตัดไป หากใครตัดไป ยังไงเอามาต่อคืนให้ด้วยนะคะ
ดูหุ่นปูนปั้นตัวนี้สิ มือก็ขาด อาจู๋ก็โดนตัดขาดอีก ไม่รู้ใครตัดไป ยังไงเอามาต่อคืนให้สมประกอบด้วยนะค่ะ หรือว่าเค้าทำให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่ทราบแน่ชัด โอ้ย..เดี๊ยนงงจ้า
 และจากพิพิธภัณฑ์โอลิมปิคเดินอีกประมาณ 100 เมตรก็จะถึงสวนสาธารณะเดอน็องตู
 และจากพิพิธภัณฑ์โอลิมปิคเดินอีกประมาณ 100 เมตรก็จะถึงสวนสาธารณะเดอน็องตู
 ถึงแล้วค่ะสวนสาธารณะเดอน็องตู
เดินเข้ามาสวนสาธารณะเดอน็องตูก็ถึงแล้วค่ะ ศาลาไทยอันสวยงาม
 เดินเข้ามาในสวนอีกนิดก็เห็นแล้ว ศาลาไทยสีทองอร่ามเรืองรองผุดผ่องเป็นยองใย งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนสุดๆไปเลยค่ะ
ศาลาไทย (Le Pavillon Thailandais) สวนสาธารณะเดอน็องตู เมืองโลซานน์
 ศาลาไทยในเมืองสวิตเซอร์แลนด์ อีกหนึ่งจุดเช็คอินน์ ฟินสุดขั้วที่พี่น้องผองชาวไทยคนใหนมาเที่ยสสวิตต้องแวะมาถ่ายรูป ชื่นชมให้สุขสมฤทัยกันสักครั้งนะ เพราะสวยงามโดดเด่น วิจิตรบรรจงงดงามตามแบบไทยแท้
เกี่ยวกับศาลาไทย ณ เมืองโลซานน์ อ่านดูเป็นความรู้กันค่ะ

เนื่องจากหลายหลายเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชดำเนินขึ้นที่เมืองโลซานน์ กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น จึงเลือกเมืองแห่งนี้เป็นสถานที่ตั้งศาลาไทย ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีและเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบ 75 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสมาพันธรัฐสวิสในปีพ.ศ. 2549
ศาลาไทย (Le Pavillon Thailandais) สวนสาธารณะเดอน็องตู เมืองโลซานน์
โดยทางการสวิสได้อนุญาตให้รัฐบาลไทยก่อสร้างศาลาไทย (Le Pavillon Thailandais) ในพื้นที่สวนสาธารณะเดอน็องตู ตำบลอุชชี่ (Ouchy) ในเขตเทศบาลเมืองโลซานน์ กระทรวงต่างประเทศสนับสนุนงบประมาณ กรมศิลปากรดำเนินการก่อสร้าง โดยมีพลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น สถาปนิกหลวง ศิลปินแห่งชาติสาขาสถาปัตยกรรมและอดีตอธิบดีกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบ นายก่อเกียรติ ทองผุด เป็นนายช่างศิลปกรรม นายเศกสรรค์ ปัญญารัมย์ เป็นนายช่างเขียนแบบ นายสุทิน เจริญสวัสดิ์ เป็นวิศวกรโยธา ช่างฝีมือและคนงาน 50 คน ร่วมกันสร้างชิ้นส่วนทุกชิ้นจากโรงงานในเมืองไทย รวมทั้งการทำฐานและบันไดด้วยหินแกรนิต ใช้ระยะเวลาประมาณสามเดือนจึงเสร็จสิ้น ขนส่งทางเรือจากประเทศไทยมายังสวิตเซอร์แลนด์
ศาลาไทยหลังนี้เป็นศาลาไม้แบบจัตุรมุขคือ มีหน้าจั่วสี่ด้าน ขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 6 เมตร สูง 16 เมตร น้ำหนักเฉพาะตัวศาลาอยู่ที่ประมาณ 27 ตัน ก่อสร้างด้วยไม้ตะเคียนและไม้สักตามลักษณะการก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมไทยแบบโบราณ ประดับตกแต่งด้วยเครื่องลำยองคือ ช่อฟ้า ใบระกา นาคสะดุ้ง หางหงส์
โดยทั้งนี้เทศบาลเมืองโลซานน์รับผิดชอบงานปรับพื้นที่และภูมิทัศน์ การติดตั้งกล้องวงจรปิด เครื่องตรวจจับควันไฟ ระบบแสงและไฟฟ้า และการดูแลศาลาไทยภายหลังการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว กระทั่งเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2550 จึงเปิดให้สาธารณชนได้ชื่นชม โดยเฉพาะในช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ศาลาไทยได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งของเมืองโลซานน์ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก
หน้าบันประดิษฐานพระราชลัญจรกร ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วย
ส่วนที่สำคัญที่สุดของศาลาหลังนี้คือ ลวดลายที่หน้าจั่วหรือที่เรียกว่า หน้าบัน เป็นที่ประดิษฐานพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสองพระองค์ ด้านหน้าทางทิศใต้คือพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ด้านตะวันตกคือพระปรมาพิไธยย่อ อปร. ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ด้านตะวันออกคือพระนามาภิไธยย่อ สว. ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ส่วนหน้าบันด้านทิศเหนือประดับตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
และสิ่งที่นำความปลาบปลื้มใจมาสู่พสกนิกรชาวไทยที่อาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์คือ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2552 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังเมืองโลซานน์เป็นการส่วนพระองค์เพื่อทรงประกอบพิธีเปิดศาลาไทยอย่างเป็นทางการ คนไทยที่เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทจึงได้ชื่นชมพระบารมีของพระองค์ท่านด้วยความปีติยินดี
เครดิตข้อมูลดีๆอ่านต่อได้ที่ : http://www.thaiembassy.ch/Content/Embassy/84.html
มองไปตรงเพดาน กับประดับประดาด้วยโคมไฟตามสไตล์ไทยแท้ ผุดผ่องเป็นสีทองเรืองรองเป็นยองใย สว่างสดใสแพรวพราวสกาวรุ่งโรจน์ยิ่งนักเชียว
 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะมาถ่ายรูปด้วยนะคะ
แม้ฝนจะตกลงมาปรอยๆก็ตาม 
 ในสวนก็เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชะอุ่ม ชุ่มชื่นรื่นฤทัยมากค่ะ
บรรยากาศภายในสวนสาธารณะเดอน็องตู เมืองโลซานน์
นั่งรถเมลล์สาย 8 จากสวนสาธารณะเล็อนองตู เดินทางไปย่านใจกลางเมือง
 และหลังจากได้ที่ชมศาลาไทยแล้วนะคะ ดิฉันก็เดินเปิด GPS และแผนที่ในหนังสือนำเที่ยวเพื่อไปรอขึ้นรถเมลล์เข้าไปในตัวเมืองคะ โดยป้ายรถเมลล์ที่อยู่ใกล้สวนสาธารณะเล็อนองตูคือ รถเมลล์สาย 8
ตอนขึ้นรถเมลล์ก็งงๆ ว่าจะใช่รถเมลล์คันเดียวที่จะผ่านไปหรือเปล่า ก็เลยถามคนในที่จะขึ้นมาด้วย โชคดีที่คุณพี่เค้าพูดภาษาอังกฤษได้ ก็แนะนำไว้ใช่คันเดียวกันคะ
อย่าลืมถือบัตรไว้ด้วยนะค่ะ เผื่อมีเจ้าหน้าที่มาตรวจ
 เวลาขึ้นรถเมลล์โดยสารในเมืองโลซาน ก็ถือบัตรนี้ไว้ด้วยเผื่อเค้าเรียกตรวจคะ
บนรถเมลล์สาย 8 ก็มีจอมอนิเตอร์บอกป้ายด้วยนะคะ เริ่ดมากๆ
บนรถเมลล์สาย 8 ก็มีจอมอนิเตอร์บอกป้ายด้วยนะคะ เริ่ดมากๆ
 นั่งรถเมลล์โดยสารมาไม่นานก็ถึงย่านใจกลางเมืองแล้วค่ะ แถวโบสถ์โปรเตสแตนท์ L'Esprit Saint
 ลงจากก็เดินต่อมาจะเห็นตลาด
โบสถ์โปรเตสแตนท์ L'Esprit Saint
 และก็เป็นโบสถ์โปรเตสแตนท์ L'Esprit Saint
แผงขายดอกไม้สดในเมือง ดอกไม้สวยๆทั้งนั้นเลยนะ
มีร้านเปิดขายแผงดอกไม้เล็กๆให้ได้เลือกซื้อด้วยนะ
ดอกไม้แต่ละดอกก็สวยงามมากๆ 
บรรยากาศในย่านตัวเมืองก็คึกคักอยู่นะค่ะ
 จุดมุ่งหมายของสถานที่ท่องเที่ยวถัดไปก็คือ มหาวิหารโลซาน
ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้ เมื่อมาเยือนเมืองนี้ เนื่องจากเป็นจุดชมวิวเมืองที่สวยงามอีกแห่งด้วย
 เดินไปก็ขึ้นลงเนิ่น ชมเมืองแบบเพลินๆไปเรื่อยๆคะ
เดินมาแป็บเดียวก็ถึง มหาวิหารโลซาน (Cathedral de Lausanne)
เดินมาก็ถึงแล้วมหาวิหารโลซานแล้ว
เกี่ยวกับ มหาวิหารโลซาน (Cathedral de Lausanne)
สาระน่ารู้เกี่ยวกับมหาวิหารโลซาน (Cathedral de Lausanne)
อาสนวิหารโลซาน (Cathédrale de Lausanne) หรือชื่อเต็มคือ อาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งโลซาน (ฝรั่งเศส: Cathédrale Notre-Dame de Lausanne) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ระดับอาสนวิหารประจำเมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อาสนวิหารแห่งนี้เริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1170 และแล้วเสร็จในปี 1235 ต่อมาอาสนวิหารแห่งนี้ถูกประกาศอุทิศให้แก่พระแม่มารีย์โดยคำประกาศของสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 10ในปี 1275
เครดิตข้อมูลจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/อาสนวิหารโลซาน
 บรรยากาศโดยรอบวิหารก็สวยงาม มีนักท่องเที่ยวบ้างแต่ก็ไม่เยอะมาก
จุดชมวิวที่มหาวิหารโลซาน (Cathedral de Lausanne)
 พอเดินมาอีกนิดก็จะเป็นจุดชมทิวทัศน์เมืองโลซานที่สวยงามอีกแห่งด้วยคะ
 จากจุดชมวิวที่มหาวิหารก็สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองโลซานได้อย่างสวยงาม
จุดชมวิวที่มหาวิหารโลซาน (Cathedral de Lausanne)
 บ้านม่านชานเรือนในโลซานสวยดีนะค่ะ เป็นเมืองเก่าแก่ที่ยังอนุรักษ์ไว้อย่างดีทีเดียว ทั้งตัวอาคาร หลังคาก็สีโทนเดียวกัน ดูไม่ฉูดฉาดบาดตานัก
นั่งชมวิวเมือง อากาศเย็นหน่อยนะคะ
 ที่มุมชมวิวก็มีที่นั่งให้พักชมวิวอีกด้วย
 เหมาะสำหรับนั่งพักรับประทานอาหารกลางวัน ถ้าจะให้ดี พกแซนวิชชิ้นเล็กขึ้นมาทานด้วยก็ดีนะค่ะ เพราะว่าเดินเที่ยวแบบนี้ก็ใช้พลังงานเยอะเหมือนกัน
มองไปก็เห็นโบสถ์โปแตสแตนที่อยู่ใกล้ๆกับจุดจอดป้ายรถเมลล์โดยสารด้วยค่ะ
เข้าเดินจุดชมวิวที่มหาวิหารโลซาน (Cathedral de Lausanne) ด้านในกันคะ
 เข้าไปชมโบสถ์ด้านในก็สามารถเข้าชมได้ฟรีค่ะ
แต่ห้ามเสียงส่งเสียงดังนะ
 บรรยากาศด้านในเงียบมากๆ
ภายในจุดชมวิวที่มหาวิหารโลซาน บานหน้าต่างกระจก ประดับตกแต่งสวยงาม
หน้าต่างเรือนกระจก ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
บ้านเรือนแต่ละหลังก็สวยงามน่ารักดีจังคะ 
ไม่นานนักฝนก็ตกโปรยปรายลงมาแล้วจ้า
 หลังจากชมวิหารด้านใน พอเดินออกมาฝนก็ตกโปรยปรายลงมาพอดีเลยค่ะ
ดีนะที่พกร่มมาด้วย ไม่งั้นเปียกปอนแน่นอนจ้า
หาาที่หลบภัยเดินมาลอดใต้อุโมงค์
 ทางเดินลงจากวิหาร
ย่านเมืองเก่า มีทางเดินขึ้นและลงไปยังจุดชมวิวที่มหาวิหารโลซาน (Cathedral de Lausanne)
พอเดินลงมาจากวิหารก็จะเป็นย่านชุมชนเก่า
ทางเดินขึ้นลงมายังวิหารอีกฝั่งก็ดูคลาสสิคสวยงาม
 มีมุมถ่ายรูปสวยๆเก๋ๆ มากมายเลยนะคะ แล้วแต่ว่าจะชอบมุมใหน จัดไปเลย
ย่านเมืองเก่าโลซาน ดูสวยงามน่ารักดีนะคะ
 ย่านตึกเก่า เดินลงมาฝนค่อยโปรยปรายซ่าลงมาเรื่อยๆ
เดินต่อไปท่ามกลางสายฝนพรำ ก็ชื่นฉ่ำใจไม่น้อยเลยนะ
 เดินลงมาก็จะเป็นย่านตลาดและแหล่งช๊อปปิ้งในตัวเมือง
ย่านตลาดขายผักและผลไม้สด
 ที่ตลาดก็ยังมีลูกค้าและนักท่องเที่ยวเดินอยู่บ้าน บรรยากาศก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนโปรยปราย
ผักสดๆ ดูแล้วน่ารับประทาน ร้าวรานจับใจมากๆนะคะ
 ผักปลูกไว้ในกระถางดูเขียวสด ท่าทางจะกรอบมากๆนะคะ
ดอกไม้ก็สีสันสวยงาม
ดอกไม้ที่ปลูกในกระถามก็กำลังผลิบานแย้มรับละอองของน้ำฝนที่หล่นมาจากฟากฟ้า
เดินมาสักพักก็ชักจะหิวแล้วจ้า ขนมปังงเพรทเซลกลิ่นหอมโชยเตะจมูก
 เดินมาพักสัก แหงนดูเข็มนาฬิกาในข้อมือ ได้เวลาหาอะไรทานแล้วคะ
เหลียบไปเห็นร้านขายขนมปังเพรทเซล น่าทานมากๆ และราคาก็ไม่แพงมากด้วย เลยขอจัดไปสักหน่อยคะ
ควักเงินเหรียญออกมาจ่าย ขนมเค้าราคาไม่แพง
ยังมีเงินเหรียญเหลืออยู่ เลยควักออกมาจ่ายซ่ะเลย
 ร้านขนมปังขายอยู่ติดริมฟุตบาทเลย คนขายหน้าตาหล่อเหลามีหนวดเครา ตามสไตล์ฝรั่ง มีลูกค้าอุดหนุนตลอดเลยนะกับร้านขนมปังยี่ห้อนี้
ขนมปังเพรทเซลรสธรรมดานี้แหละ อร่อยสุดล่ะ นำมาทานเป็นมื้อเที่ยงไปค่ะ
จัดมาหนึ่งชิ้นทานไปอาหารเที่ยงมื้อนี้ไปแล้วกัน
เดินเท้าต่อไปยังสถานีรถไฟโลซาน มาเที่ยวทริปนี้ต้องขยันเดินหน่อยนะ
 หลังจากได้ซื้อขนมทานเป็นมื้อเที่ยงนี้แล้ว
ดิฉันก็เดินตรงต่อไปยังสถานีรถไฟเมืองโลซาน เพื่อนั่งรถไฟไปเที่ยวชมเมืองเจนีวาค่ะ
สถานีรถไฟเมืองโลซาน (lausanne railway station)
 เดินเปิด GPS ตามทางมาเรื่อยๆ ก็ถึงสถานีรถไฟโลซาน
พอมาถึงก็รอขึ้นรถไฟขบวนเวลา 13.42 น.เพื่อไปยังเมืองเจนีวา
พอมาถึงก็รอขึ้นรถไฟขบวนเวลา 13.42 น.เพื่อไปยังเมืองเจนีวา
รอขึ้นรถไฟที่ชานชลา เดี่ยวรถไฟก็มา เพราะรถไฟที่เมืองนี้ ตรงเวลามากๆนะคะ ถ้าพลาดรถไฟเที่ยวนี้ ก็รอรถไฟขบวนถัดไปเลยจ้า
อาหารเที่ยงมื้อนี้
อาหารเที่ยงมื้อนี้ ทานขนมปังกับโยเกิร์ตสุดประหยัด แต่โยเกิร์ตที่นี้อร่อยมากๆเลยนะค่ะ หากเพื่อนๆคนใหนแวะมาก็ลองซื้อทานกันดู อีกอย่างราคาไม่แพงเลย
 ขึ้นมานั่งบนรถไฟไม่ค่อยมีผู้โดยสารมากนักค่ะ เนื่องจากไม่ใช่เวลาเร่งด่วน และเป็นทำงาน
ชมวิวทิวทัศน์ริมทางระหว่างนั่งรถไฟไปเมืองเจนีวา ก็ผ่านไร่องุ่นสวยงามจับตาคณานับเชียว
 นั่งรถไฟจากเมืองโลซาน มุ่งหน้าไปยังเมืองเจนีวา ใช้เวลาประมาณเกือบๆ 1 ชั่วโมงค่ะ
ระหว่างก็ผ่านไร่องุ่นขนาดใหญ่ปลูกบนเนินเขา เรียงรายเป็นตับๆ ดูสวยงามมากๆ
ชมวิวทิวทัศน์ริมทางระหว่างนั่งรถไฟไปเมืองเจนีวา ก็ผ่านไร่องุ่นสวยงามจับตาคณานับเชียว
 ถ้าท้องฟ้าเปิดสดใส น่าจะงามวิไลกว่านี้มากๆนะค่ะ
มองไปก็เป็นไร่องุ่นกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา น่าจะเป็นองุ่นสำทำไวน์
 ทางเดินเข้ามาตามท้องไร่และท้องนาก็สวยงามตามสไตล์สวิตเซอร์แลนด์จริงนะคะ
นั่งรถไฟมาไม่นานถึงสถานีรถไฟเมืองเจนีวาแล้วจ้า
 นั่งรถไฟมาไม่นานนักก็ถึงเมืองเจนีวาแล้วค่ะ
การคมนาคมโดยรถสาธารณะในเมืองเจนีวา
 พอเดินออกจากสถานีรถไฟก็เป็นสถานีรถรางให้บริการอีกด้วย
ท้องฟ้าวันนี้ไม่เป็นใจ ฝนตกพรำๆตลอดเลยจ้า
 พอมาถึงถ้าไม่ให้หลง เปิด GPS ไว้เลยค่ะ จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ
พอเดินออกมาประมาณ 100 เมตรกว่า ก็จะเจอป้าย Tourist information Centre ค่ะ
แผนที่ท่องเทียวในเมืองเจนีวา
 จากนัั้นก็เดินเข้าไปด้านในศูนย์ให้บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว เพื่อไปหยิบแผนที่และสอบถามเรื่องแหล่งท่องเที่ยวได้คะ
แต่ดูรูปภาพน่าสนใจกว่านะค่ะ
แผนที่ท่องเที่ยวในเมืองเจนีวา

ก่อนจะไปเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยว เรามารู้จักเมืองเจนีวาก่อนค่ะ 

เกี่ยวกับเมืองเจนีวา
สำหรับเจนีวา (อังกฤษ: Geneva) หรือออกเสียงในภาษาท้องถิ่นว่า เฌอแนฟว์ (ฝรั่งเศส: Genève) เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (รองจากซือริช) ถือเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในภาครอม็องดี อันเป็นภูมิภาคที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักในสวิตเซอร์แลนด์ นครเจนีวาตั้งอยู่บริเวณต้นแม่น้ำโรนซึ่งไหลออกจากทะเลสาบเจนีวา เจนีวามีสถานะเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐแห่งรัฐเจนีวา

เจนีวาถือเป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางของโลก โดยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน, ศูนย์กลางทางการทูต เจนีวาถือเป็นเมืองที่มีองค์กรระหว่างประเทศตั้งอยู่มากที่สุดในโลก ในบรรดาองค์กรเหล่านี้อาทิ หน่วยงานของสหประชาชาติและกาชาดสากล เป็นต้น ในปี 2017 เจนีวาได้รับการจัดอันดับโดย Global Financial Centres Index ให้เป็นเมืองศูนย์กลางทางการเงินอันดับ 15 ของโลก และเป็นที่ 5 ของทวีปยุโรป รองจากลอนดอน, ซือริช, แฟรงเฟิร์ต และลักเซมเบิร์ก และยังได้รับการจัดอันดับโดย Mercer's Quality of Living index ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลกในปีเดียวกัน
มาเที่ยวเจนีวา ไม่พลาด แวะเดินชม น้ำพุเจทโด (Jet d'Eau)
 พอได้แผนที่ท่องเที่ยวมาแล้ว เดินตามทางฟุตบาทมาอีกนิดก็จะพบกับน้ำพุเจทโด (Jet d'Eau) เป็นน้ำพุขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นยอดฟ้า ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งของเมืองเจนีวา ใครที่แวะมาเที่ยวเมืองเจนีวาครั้งแรกก็ไม่พลาดต้องแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันแทบทุกราย
เกี่ยวกับน้ำพุ เจทโด (Jet d'Eau) “สัญลักษณ์ของเมืองเจนีวา"
เกี่ยวกับน้ำพุ เจทโด (Jet d'Eau)
โดยน้ำพุเจ็ทโดถือเป็นน้ำพุที่มีชื่อเสียงก้องโลก และเป็น“สัญลักษณ์ของเมืองเจนีวา" ที่ใครแวะมาต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกัน โดยมีความสูงถึง 390 ฟุต โดยจะมีการส่งน้ำครั้งละ 500 ลิตรต่อวินาที ขึ้นไปพุ่งกระจายบนอากาศที่ความสูง 140 เมตร ด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ในทะเลสาบเจนีวา และมีการตั้งเป็นระบบ security valve ของโรงงาน Coulouvreniere hydraulic factory ตั้งแต่ปี 1891 ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ท่องเที่ยวของ Geneva มาจนถึงปัจจุบัน
บรรยากาศแม้ท้องฟ้ามืดครึ้ง มีฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อย แต่ก็สวยงาม อากาศดีจับใจทีเดียวค่ะ
เมืองเจนนีวาถือเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งในยุโรป นอกทะเลสาบเจนีวาที่สวยงามใหญ่โตแล้ว ยังมีเมืองก่อน โบสถ์และวิหารในตัวเมืองให้ได้แวะไปเดินชมกันอีกด้วย
มาเที่ยวเจนีวา ไม่พลาด แวะเดินชม น้ำพุเจทโด (Jet d'Eau)
(สวนสาธารณะ Jardin Anglais)
 ริมทะเลสาบก็เป็นสวนสาธาณะให้นั่งพักผ่อนกันอีกด้วยนะ (สวนสาธารณะ Jardin Anglais)
มีเก้าอี้นั่งชมวิวทะเลสาบ กับอากาศลมพัดเย็นสบายดีเว่อร์
(สวนสาธารณะ Jardin Anglais)
 ภายในสวนJardin Anglais ก็มีบ่อน้ำพุให้แวะถ่ายภาพกันด้วย
 นอกจากนี้ยังมีการจัดสวนหย่อมเป็นเข็มนาฬิกาอีกด้วยนะค่ะ
เนื่องจากเมืองเจนีวาเป็นเมืองที่ผลิตนาฬิกาแบรนด์ดังๆส่งขายไปยังทั่วโลกดังนี้จึงขาดไม่ได้ ที่จะต้องแวะถ่ายภาพสวนหย่อมไว้เป็นที่ระลึกคะ
ย่านเมืองเก่าก็เป็นอาคารร้านขายนาฬิกาสุดหรูให้แวะไปเลือกซื้อกันด้วยนะ
 ใกล้กับสวนสาธารณะติดริมทะเลสาบเจนีวา ก็เป็นร้านขายนาฬิกายี่ห้อดังสุดหรู เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเลือกซื้อด้วยนะค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา ปาเต๊ะ ฟิลิปป์ (Patex Philippe) ดิฉันชอบเรียกปาเต๊ะฟิลิปเป้
ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา ปาเต๊ะ ฟิลิปป์ ( Patex Philippe) ก็ถือว่าเป็นต้นตำหรับของนาฬิกาสุดหรูหรา คลาสสิคที่มีความทน แข็งแกร่ง และมีราคาที่แพงเว่อร์อีกด้วยล่ะค่ะ เดี๊ยนเห็นราคานาฬิกาแล้วต้องถอยหนี เพราะตกเรือนนึงก็ 3-4 หมื่นสวิสฟรังค์เลย เทียบเป็นเงินไทยซื้อรถยนต์ หรือบ้านหลังนึงได้เลยนะค่ะ โอ้ยเดี๊ยนจะเป็นลมค่ะ ตอนนี้ขอใช่นาฬิกาเรือนละ 100 บาทดีกว่าค่ะ ดูแล้วไม่เหมาะกับคนแนวๆโกโรโกโสอย่างตัวดิฉันแน่ๆ
หรือนาฬิกาโรเล็คก็ราคาสูงเหมือนกัน
หรือนาฬิกาโรเล็คก็ราคาสูงเหมือนกัน ใครที่เป็นนักสะสมและชอบนาฬิกา คงไม่พลาดต้องซื้อไปสักเรือน แต่ก็อย่าลืมพกสตังมาเยอะๆเลยนะ เพราะราคาแพงจริง อะไรจริง แต่ก็ทนทาน ใช้นานเลยแหละ
เดินไปอีกค่ะ  มาเที่ยวยุโรปต้องขยันเดินหน่อยนะค่ะ ถ้าไม่เดินก็จะไม่ได้ออกกำลังกาย
 และหลังจากที่ไดันั่งพักชมวิวทิวทัศน์ของน้ำพุเจทโดริมทะเลสาบเจนีวาไปแล้ว
ดิฉันก็เดินเปิดแผนที่ท่องเที่ยวเดินไปสถานที่ท่องเที่ยวถัดไปนั้นก็คือ มหาวิหาร St Pierre Cathedral
ฝนตกลงมาอีกล่ะ
 ระหว่างทางฝนก็ตกโปรยปรายลงมาอีกแล้วค่ะ
วันนี้รู้สึกว่าตกทั้งวันเลยนะค่ะ
 บรรยากาศถนนในเมืองเจนีวาก็สวยงาม สะอาดสะอ้าน เงียบสงบ ดูเหวงๆเหงาๆยังไงไม่รู้ แต่ก็ปลอดภัยดีนะค่ะ ไม่มีโจรขโมยแต่อย่างใด
 เดินมาก็พบบ่อน้ำพุให้ได้สัมผัสความชุ่มฉ่ำ
มหาวิหาร St Pierre Cathedral แห่งเมืองเจนีวา
 เดินมาไม่ไกลนักจากริมทะเลสาบเจนีวา ก็ถึงแล้วค่ะ โบสถ์เก่าแก่แห่งเมืองเจนีวา มีชื่อว่า St Pierre Cathedral ถือเป็นมหาวิหารที่สำคัญของเมืองเจนีวา มหาวิหารใหญ่โตสวยงามตามแบบคาทอลิค และโดยรอบก็แวดล้อมไปด้วยบ้านเรือนเก่าแก่ที่ยังอนุรักษ์ไว้อย่างดีอีกด้วย
หรือมาแวะชมลาน Place du Bourg de Fou
ถัดมาก็เป็น Place du Bourg de Four โดยเป็นลายกว้าง ซึ่งในสมัยอดีตที่แห่งนี้เคยถูกจัดให้เป็นอย่านการค้า
 เดินมาอีกนิด มุมนี้ก็เป็นพิพิธภัณฑ์นานาชาติอะไรสักอย่าง ดิฉันเองก็จำไม่ค่ะ
แต่เดินเข้าไปด้านในตกแต่งดูสวยงามคลาสสิคมากๆ ตอนแรกเดินเข้าไปก็คิดว่าเป็นวังเสียอีก
 รอบตึกของพิพิธภัณฑ์ก็มีที่ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจให้ด้วยนะ
 หากใครเหนื่อยเมื่อยก็นั่งพักสักแป๊บ แต่ถ้าฝนตกพรำๆแบบนี้ คงจะนั่งไม่ได้ล่ะ
คงได้แค่ชื่นชมอย่างเดียว
 เดินเลี้ยวมาอีกนิดจะเป็นเนินจุดชมวิวเมืองเจนีวาคะ
ชมวิวเมืองเจนีวา เห็นหลังคาและอาคารบ้านม่านชานเรือนมากมาย
 เป็นเนินชมวิวที่ไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็มองเห็นหลังคาเมืองเก่าในย่านนี้ได้อย่างสวยงามตามสไตล์สวิตเซอร์แลนด์
 และหลังจากที่ได้ชมอาสนวิหาร St Pierre Cathedral แห่งเมืองเจนีวาไปแล้ว ดิฉันก็เดินเท้าเดินลงมาที่ทะเลสาบเจนีวาต่อเพื่อเดินหน้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวถัดไป
เดินลงมาที่ทะเลสาบเจนีวา เพื่อชมฝูงหงส์ขาว พราวเสน่ห์
 ระหว่างเดินข้ามสะพานข้ามทะเลสาบ ก็พบฝูงหงส์สีขาวพราวเสน่ห์กำลังแหวกว่ายอยู่ริมน้ำ
 มีทั้งนก มีทั้งหงส์ และนกเป็ดน้ำกำลังแหวกว่ายหาอาหารกันอยู่
 หงส์ถือเป็นดาราประจำทะเลสาบเจนีวาแห่งนี้ด้วยนะค่ะ ซึ่งหากใครได้แวะเที่ยวชมน้ำพุเจทโด ก็ต้องแวะเดินเฮโลมาถ่ายรูปคู่กับหงส์ขาวเหล่านี้ ที่น่าจะดื้อและซุกซนไม่น้อยทีเดียว
มีรถไฟวิ่งชมเมืองเจนีวาให้บริการด้วยนะคะ
 นอกจากนี้ยังมีรถไฟวิ่งชมเมืองให้บริการด้วยนะคะ แต่วันนี้น้องรถไฟจอดแน่นิ่ง ไม่ได้ออกไปสวิงกิ้งที่ใหนเลย เพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวนัก แต่ถ้าวันหยุดเสาร์อาทิตย์ คงวิ่งเหนื่อยแน่ๆ
และอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์คงไม่พลาด สำหรับคนที่ชอบเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ ต้องนั่งเรือลอยละล่องท่องทะเลสาบเจนีวา จิบน้ำชาและไวน์ขาว คงจะพราวเสน่ห์ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
เดินเปิด GPS ต่อไปยังองค์การสหประชาชาติ ประมาณ 2.5 กิโลเมตรกว่าๆ ไม่ไกลค่ะ แต่ตอนนี้เริ่มเมื่อยขาล่ะ
จากนั้นดิฉันก็ตัดสินใจเดินมุ่งหน้าไปยังแหล่งท่องเที่ยวถัดไปนั้นก็คือ ประติมากรรมเก้าอี้ขาหัก ซึ่งตั้งอยู่ที่องค์การสหประชาชาติ โดยเลือกเดินเท้าไปประมาณ 2.5 กิโลเมตรกว่าๆได้ค่ะ ตอนแรกกะจะเลือกนั่งรถบัสโดยสารนะ แต่ก็เสียดายสตังค์ และอีกอย่างไม่มีบัตรโดยสารสาธารณะฟรีเหมือนเมืองโลซาน เพราะไม่ได้พักในเมืองเจนีวา ก็เลยเดินไปดีกว่าค่ะ จะได้ออกกำลังกายด้วย
เดินมาเพื่อสิ่งนี้ เพื่อมาถ่ายรูปชมอนุสาวรีย์เก้าอี้ขาหัก
 เดินมาไกลๆเหมือนกันนะค่ะ จากทะเลสาบเจนีวา ดิ่งตรงมาที่องค์การสหประชาชาติสำนักงานใหญ่ เพื่อมาถ่ายรูปชมอนุสาวรีย์เก้าอี้ขาหัก
อนุสาวรีย์"เก้าอี้หัก หรือ Broken Chair
เกี่ยวกับอนุสาวรีย์ เก้าอี้ขาหัก
โดยอนุสาวรีย์"เก้าอี้หัก หรือ Broken Chair นี้ สร้างขึ้นโดยศิลปินชาวสวิสเซอร์แลนด์ ชื่อ Daniel Berset และช่างไม้ ชื่อ Louis Geneve ซึ่งเก้าอี้ถูกสร้างขึ้นจากไม้ 5.5 ตัน ในความสูง 12 เมตร (39 ฟุต) เป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านการทำเหมืองแร่ที่ดินและระเบิดคลัสเตอร์ โดยแท้จริงมีหมายจัดตั้งแสดงเพื่อประท้วงไว้แค่ 3 เดือน แต่ด้วยการเจรจาการทำสนธิสัญญาล้มเหลวและลอยเคว้งมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เก้าอี้ตัวนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้าน และกลายเป็นจุดแวะเที่ยวชมและถ่ายภาพที่สำคัญของเมืองเจนีวาไปโดยปริยาย
 มีป้ายบอกประว้ติความเป็นมาให้อ่านด้วยนะค่ะ
อนุสาวรีย์"เก้าอี้หัก หรือ Broken Chair
หากเพื่อนๆคนใหนที่แวะมาเที่ยวเมืองเจนีวา และชอบถ่ายภาพก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวชมถ่ายรูปกันได้ค่ะ เดี๊ยนเองก็เที่ยวตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำมา นางบอกว่าเดินจากสถานีรถไฟมาได้ และก็เดินมาได้จริงๆนะ เดินมาเรื่อยๆเมื่อยก็หยุดพัก แต่ก็ขาลากเอาการค่ะ
 และอีกสิ่งหนึ่งที่มาถึงก็ไม่พลาด ก็ได้เห็นองค์กรสหประชาชาติสำนักงานใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองนี้ด้วย
เคยได้ยินแต่ชื่อนะค่ะ จำได้ว่าตอนสมัยเรียนมัธยมต้น วิชาโลกของเรา จะมีในข้อสอบถามว่า องค์กรสหประชาชาติสำนักงานใหญ่ตั้งที่ประเทศใด เดี๊ยนตอบได้ทันทีเลยว่า กรุงเจนีวา

ทำให้รู้จักเมืองเจนีวา ก็จากข้อสอบเนี่ยแหละค่ะ
องค์การสหประชาชาติสำนักงานใหญ่ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
องค์การสหประชาชาติก็กลายเป็นจุดท่องเที่ยวไปด้วยนะ คงมาถ่ายรูปกันตลอดเลย เดี๊ยนว่าต้องยกความดีความชอบให้คนนำเก้าอี้มาประท้วงติดไว้ที่หน้าลานองค์การประชาชาตินะค่ะ ลานแห่งนี้ก็เลยเป็นจุดท่องเที่ยวมาจนถึงปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาตลอด สร้างรายได้ให้กับเมืองนี้มหาศาลทีเดียว
 และหลังจากที่ได้ชมอนุสาวรีย์เก้าอี้ขาหักที่องค์การสหประชาชาติแล้วนะค่ะ จากนั้นดิฉันก็นั่งรถไฟกลับไปยังเมืองโลซานค่ะ
 และหลังจากที่ได้ชมอนุสาวรีย์เก้าอี้ขาหักที่องค์การสหประชาชาติแล้วนะค่ะ
จากนั้นดิฉันก็นั่งรถไฟกลับไปยังเมืองโลซานค่ะ
ถึงสถานีรถไฟโลซานก็เดินมายังโรงแรม เพื่อมารับกระเป๋า
 พอถึงสถานีรถไฟโลซาน ก็เดินไปเอากระเป๋าเป้ที่ฝากไว้ที่โรงแรมต่อค่ะ
 จากนั้นก็เดินแบกเป้ใบใหญ่อันหนักหน่วง มาที่สถานีรถไฟอีกครั้ง
เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังกรุงเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวถัดไป
จากนั้นก็เดินแบกเป้จากที่พักมายังสถานีรถไฟโลซาน เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเบิร์น เมืองท่องเทียวถัดไปจ้า
สำหรับทริปเที่ยวเมืองโลซาน ยกตระกาลศาลาไทย แวะรำลึกเมืองวัยเยาว์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 กลางฝนโปรยปราย และไปเดินพร่างพรายที่เมืองเจนีวา ดิฉันก็ขอจบการบรรยายเล่าเรื่องรีวิวแต่เพียงเท่านี้นะค่ะ หากมีความผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยด้วยค่ะ

เดียวตอนต่อไปคือตอนที่ 11 คุณนายเว่อร จะพาเพื่อนๆเป็นคนบ้าไปลั๊ลลาเดินเที่ยวชมเมืองเบิร์นต่อไป ซึ่งเป็นเมืองสวยงามอีกแห่งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ใครๆก็บอกว่าต้องแวะมาชม ยังไงรอติดตามกันนะค่ะ สำหรับบล็อกรีวิวเที่ยวเที่ยวตอนที่ 10 เที่ยวเมืองเจนีวา-และเมืองโลซาน ก็ขอจบเพียงเท่านี้ค่ะ ขอบพระคุณเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาลั๊ลลาเปิดอ่านและสไลด์ดูภาพกัน....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
-----------------------------------------------------------------------
บทความรีวิวท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ผ่านมามีดังนี้จ้า
แนะนำโรงแรมในสวิส วิวสวยๆ สำหรับคู่รักและครอบครัว ราคาประหยัด นอนสบายๆ คลิ๊กดูที่พัก>>
รวมเด่น 17 โรงแรมในสวิสเซอร์แลนด์ วิวสวยๆ รุ่มระรวยด้วยทิวทัศน์งดงาม ใกล้สถานีรถไฟ มีที่ใหนบ้าง ไปดูข้อมูลที่พัก+เบอร์โทรติดต่อได้เลยค่ะ>>> 
รวมข้อมูลที่พักเมืองอินเทอร์ลาเคน ใกล้สถานีรถไฟ คลิ๊กดูข้อมูลที่พักค่ะ>>
แนะนำข้อมูลที่พักเมืองอินเทอร์ลาเคน ราคาประหยัด ใกล้สถานีรถไฟ เดินทางได้สะดวกสบาย คลิ๊กดูข้อมูลที่พัก+เบอร์โทรติดต่อค่ะ>>>
รีวิวเที่ยวเมืองพัทลุง ชมมนต์ลูกทุ่งแห่งคุ้งน้ำทะเลน้อย แวะไปสอยเที่ยวชมกันเลย>>
มาม๊ะ..มาเที่ยวเมืองพัทลุง ชมมนต์ลูกทุ่งแห่งคุ้งน้ำทะเลน้อย งามหยดย้อยธรรมชาติ ไม่พลาดมาทัศนาจรสักครั้ง ถ่ายรูปปังแน่นอน คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางค่ะ>>
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 12 ลุยเดี่ยวไปเมืองสปิซ-อินเทอร์ลาเก้น คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้เที่ยวยุโรป ตอนที่ 12 เดินทอดน่องย่องเมืองอินเทอร์ลาเก้น เดินเล่นชิลๆ ดูวิวเมืองสปิซติดทะเลสาบสวยเว่อร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2LkZvQM 
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 11 แบกเป้เที่ยวกรุงเบิร์น ดูเพลินๆสวยดีนะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรป ตอนที่ 11 ระเหินระเห็ดมาเด็ดดมชมกรุงเบิร์น เดินเพลินๆดูเมืองมรดกโลก คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2uoxRbX
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 9 เดินชมเมืองลียง ชมอัสดงที่เขาฟูรวิแยร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้เที่ยวยุโรปตอนที่ 9 แวะชมเมืองลียง เดินชมดงย่านชุมชนเก่า คลอเคล้าตามสายแม่น้ำ คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2NyWRFA
เที่ยวยุโรปตอนที่ 8 แวะนั่งพักตากอากาศริมหาดที่เมืองนีซ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรปตอนที่ 8 แวะเดินชิลๆที่เมืองนีซชมเมืองพักตากอากาศริมหาดที่มีชื่อเสียงดูสักครั้งสิ คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/dLDKAX
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 4 เดินเร้าฤดีฉิมพลีเสน่ห์เมืองมาร์เซย์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 4 เดินฉิมพลีแวะเมืองมาร์กเซย์ นั่งรถไฟฮาเฮไปชมยอดมหาวิหาร งดงามอลังการแปลกตาดีจัง คลิ๊กดูภาพและบทความรีวิวคะ>>>
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/Bxaq9X
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 3 เดินชิลๆดูวิวเมืองปารีส&ช๊อปปิ้ง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
 รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 3 แวะดูตามแผนที่ เดินฉิมพลีช๊อปปิ้งเมืองปารีสวันสุดท้าย ก่อนนั่งรถไฟไปเมืองมาเซย์ คลิ๊กดูภาพและบทความรีวิวค่ะ>>>
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/XCFzYC
รีิวิวเที่ยวเมืองลพบุรี เดินยวลยีชมวังเก่า เคล้าความหลัง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>
รีวิวเที่ยวเมืองลพบุรี เดินยวลยีชมวังเก่า เคล้าความหลังครั้งวันวาน งามอลังการยิ่งนักเอย คลิ๊กดูภาพและรีวิวบทความค่ะ>>
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/7ZB3pt
รีิวิวเที่ยวประจำเดือน เม.ย.นี้ แวะไปเที่ยวสิงห์บุรีมาค่ะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>
รีวิวเที่ยวสิงห์บุรี 1 วัน เช่ามอเตอร์ไซตขับไปไหว้พระนอนจักรสีห์ เดินสุขขีที่ตลาดบ้านระจัน อาหารอร่อยๆทั้งนั้นเลย คลิ๊กดูภาพและรีวิวบทความค่ะ>>
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/eL6fHw
รีวิวท่องเที่ยวประจำเดือน เม.ย.ล่องเรือไหว้แม่น้ำเจ้าพระยา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>
รีวิวเที่ยวกรุงเทพ 1 วัน เสพสุขสันต์เย็นซ่า ล่องเรือไหว้พระตามลำน้ำเจ้าพระยา สุขอุราชื่นบานยิ่งนักเอย คลิ๊กดูภาพและบทความรีวิวค่ะ>>>
หรือดูบทความรีวิวที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/HrLddq

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น