(ต่อจากรีวิวตอนที่แล้ว) สำหรับรีวิวตอนนี้ ลุยเดี่ยวไปเป็นผู้สาวขาเลาะ ขับมอเตอร์ไซต์ไปเที่ยวที่หลังสวน นั่งกินทุเรียนหอมหวญรัญจวนใจกันจ้า |
หลังจากที่บทความบล็อกก่อนหน้านี้ดิฉันได้เช่ามอเตอร์ไซต์ไปผู้สาวขาเลาะ แวะไปเจาะชม ดอมดมกลิ่นไอทะเลสวยๆในอำเภอปะทิว และไปชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองชุมพรกันไปแล้วนะค่ะ
มาถึงตอนนี้ก็เป็นตอนจบแล้วล่ะค่ะ กับทริปลุยเดี่ยวเที่ยวชุมพร 4 วัน 3 คืน ถือเป็นทริปย้อนวันวาน หลังจากไม่ได้มาเที่ยวเมืองนี้นานมากๆ ได้มาเที่ยวชุมพรอีกครั้งก็ยังสวยงามเป๊ะปัง อลังการสะท้านโลกาอยู่เหมือนเดิม เพราะมีสถานทีท่องเที่ยวให้แวะชมมากมาย งามพร่างพรายดั่งสายน้ำทิพย์ มีทะเลสวยเก๋ อาหารสดๆ จะซดดื่มแบบเพียว ก็เปรี้ยวจี๊ดแซ่บซ่าระย้าจับใจยิ่งนัก
และการท่องเที่ยวชุมพรในวันสุดท้ายนี้ ก็ยังคงเช่ามอเตอร์ไซต์เป็นพาหนะคู่ใจอีกเหมือนเดิมค่ะ โดยแต่เดิมนั้นดิฉันวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวเกาะพิทักษ์ แต่เนื่องจากช่วงเช้าต้องสะส่าง จัดการงานให้เสร็จ ก็เลยไม่ได้ไปซ่ะแล้วสิ ก็เลยเปลี่ยนแผนไปชมโฮมสเตย์วิถีชาวเล ทีบ้านท้องตมใหญ่แทน และด้วยเหตุอันเนื่องจากที่เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์เลยเถิอ มาถึงบ้านท้องตมใหญ่อำเภอสวี เพราะใหนๆก็ขับรถมาถึงที่นี้แล้ว ดิฉันเลยแว๊นๆเป็นผู้สาวขาเลาะ ขับไปถึงอำเภอหลังสวนซ่ะเลย อยากจะมาดูสิว่าที่เมืองหลังสวนแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง
เปิดกรุตามรอย อนุสาร อสท.ปี 2507 แวะไประเหินระเห็ดเที่ยวหลังสวน ต่อจากรีวิวตอนที่แล้ว : http://bit.ly/2Oc4kNZ |
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ 13 ก.ย.2561
โดยวันสุดท้ายของทริปนี้ ดิฉันออกจากที่พักก็ค่อยข้างสายมากๆ เรียกว่าเกือบเที่ยงเลยล่ะกัน เพราะช่วงเช้าก็นั่งบ้าทำงานตั้งแต่เช้าตรู่เลย กว่าจะเสร็จก็โน้นเกือบจะ 11 โมงเช้าเลยล่ะค่ะ ข้าวปลาไม่ได้กินเลย
ใหนๆก็แวะมาชุมพรทั้งที พอดีดูในเว็ปแนะนำท่องเที่ยวหลายเว็ป บอกว่าหากมาชุมพร ต้องมาออนซอน ลิ้มลองติมซำสักครั้ง อารมณ์เหมือนไปเที่ยวเมืองตรังเลยนะค่ะ ต่อไปหาดไปเที่ยวภาคใต้ ดิฉันเห็นพ้องว่าต้องไปกินติมซำทุกจังหวัดแล้วกระมัง
หลังจากที่จัดการงานเสร็จเมื่อตอนเช้า ดิฉันก็ขับมอเตอร์ไซต์ หอบท้องว่างๆ ขอมาลิ้มลองทานร้านติ่มซำหอเจี๊ยะในเมืองชุมพรร้านนี้สักครั้งสิ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรมภราดรอินน์เลย
เข้ามาในร้านแม้จะเป็นช่วงสายๆ แต่ก็ไม่วายผู้คน จะคึกคักด้วยเหล่าสายนักกินมากมาย
ทางเจ้าของร้านก็เลยแนะนำอาหารมา 3-4 อย่างที่ลูกค้านิยมมาทานให้ดิฉันมาทานค่ะ
หากมาทานหลายคน ก็ทานกันมันเลยนะค่ะ เป็นอาหารคาวสไตล์จีนๆที่ทานได้เรื่อยๆเลยล่ะ
จัดไปอาหารเช้ามื้อนี้แบบเบาๆ อยากจะทานเยอะๆนะค่ะ เดี๊ยนก็กลัวโรคกรดไหลย้อนกำเริบเอา
แต่ที่แน่ๆทางเจ้าของร้านบอกว่า ให้ลองทานป๋าท๋องโก๋สอดใส้หมู
ดิฉันเองก็พึ่งเคยทาน ก็เลยขอสั่งมาทานดู รสชาติอร่อยใช่ได้ทีเดียว
แต่เสียดายค่อนข้างอมน้ำมันไปหน่อยนะ
แต่ที่ถูกใจคงจะเป็นซาลาเปากับขนมจีบปูก็อร่อยดีเหมือนกันนะ
ส่วนอาหารแบบอื่นที่วางไว้ให้เลือกมากมายหน้าร้าน ดิฉันก็ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร คงต้องให้เพื่อนๆผู้อ่านลองแวะมาลิ้มลองกันดูนะค่ะ ส่วนราคาก็ไม่ได้แพงเลยนะค่ะ ถูกกว่าทานในกรุงเทพเลยล่ะ
หลังจากทานติ่มซำจนอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาตะล่อนเที่ยวชุมพรแล้วค่ะ
เวลาเที่ยวด้วยตัวเองแบบนี้ ก็ต้องเปิด GPS มือถือช่วยนำทางตลอด แต่บางครั้งก็พาหลงไปทั่วทิศหลงหลงทาง เข้าป่าละเมาะมั่วไปหมด โดยเฉพาะเรื่องทางลัด ห้ามเชื่อ GPS เด็ดขาดนะค่ะ เดี๊ยนเจอมาแล้ว ขับไปตามGPS เกือบจะตกลงคลองน้ำเน่าซ่ะแล้ว
ส่วนบรรยากาศวันธรรมดาในตัวเมืองชุมพรทำไมถนนดูเงียบๆจัง
ที่แท้มีการปิดถนนเพราะมีขบวนพาเหรดนี้เอง
เป็นงานขบวนแห่ประเพณีแข่งเรือยาวของเทศบาลนาชะอังนี้เองค่ะ
จัดรถขบวนตกแต่งสวยงาม
หันมาดูที่สาวน้อยถือป้ายก็สวยเริ่ดสะแมนแตนยิ่งนัก เพราะใส่เสื้อผ้าที่สรรสร้างจากกระสอบปุ๋ย ดูโดดเด่นสะดุดตาไร้เทียมทานเกินจะผู้ใดจะทัดเทียมได้ ทั้งการโพสท่า เหมือนหลุดมาจากรันเวย์แฟชั่นในกรุงปารีสซ่อีกนะเนียะ
ขบวนพาเหรดส่งเสริมการท่องเที่ยวของเทศบาลเพื่อชักชวนให้ผู้คนแวะไปชมงานประเพณีแข่งเรือยาวประจำปีนี้ ถือเป็นการสืบสานและรณรงค์ประเพณีดีๆคู่เมืองนี้ให้คงอยู่สืบไป
ส่วนเพื่อนๆเหล่านักทัศนาจรคนใหนที่จะมาเที่ยวชุมพร แต่ไม่อยากเช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับ หรือขับรถไม่เป็น ก็สามารถนั่งรถสองแถวจากหน้าเทศบาลเมืองไปยังหาดทรายรีหรือไปที่ปากน้ำได้นะคะ
หลังจากที่ดิฉันได้แวะหยุดชมขบวนแห่ประเพณีแข่งเรือยาวไปแล้วสักพัก ก็ต้องขับรถมอเตอร์ไซต์ออกจากตัวเมืองชุมพร มาที่ถนนเพชรเกษมเพื่อขับรถลงไปยังอำเภอสวี ระยะทางไกลจากเมืองชุมพรประมาณ 35 กิโลเมตร
เดินทางขับรถมอเตอร์ไซต์มาเรื่อยๆ ก็มาถึงบ้านท้องตมใหญ่แล้วค่ะ
สำหรับบ้านท้องตมใหญ่ ตั้งอยู่ที่อำเภอสวี ถือเป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านชาวประมงริมทะเลที่มีชื่อเสียงอีกแห่งในชุมพร ด้วยมนต์เสน่ห์ของท้องทะเล ความเงียบสงบ และวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เรียบง่าย ทำให้ชุมชนแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาอย่างไม่ขาดสาย และมีโฮมสเตย์ของชาวบ้านเปิดให้นักท่องเที่ยวได้แวะพักผ่อน นอนรับลมชมทะเล และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ มีอาหารทะเลสดๆของชาวประมงได้ในระแวกให้ได้ทานอย่างจุใจอีกด้วย
บ้านท้องตมใหญ่ อำเภอสวี |
เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่มีประวัติยาวนานกว่า 400 ปี มีราษฎรอาศัยอยู่ประมาณ 170 หลังคาเรือน มีประชากรในหมู่บ้านประมาณ 652 คน เป็นหมู่บ้านชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกบ้านยื่นลงไปในทะเลตามเชิงเขา ส่วนใหญ่มีที่ดินและกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ลักษณะทะเลของหมู่บ้าน เป็นอ่าวโค้งรูปเกือกม้า กว้างประมาณ 2 กิโลเมตร ด้านในเป็นป่าชายเลนที่คงความอุดมสมบูรณ์ มีระบบนิเวศป่าชายเลนที่น่าศึกษา มีหาดทรายระยะ 2-3 กิโลเมตร ประมาณ 4-5 หาด ซึ่งล้วนแต่เป็นหาดที่สวยงามสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ชุมชนเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักอาศัยกับเจ้าบ้าน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 เริ่มต้นจากการเป็นสถานที่พักของญาติและเพื่อน ๆ ระยะต่อมาจึงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาขอพักอาศัยด้วย เนื่องจากประทับใจในความเงียบสงบ ความมีอัธยาศัยไมตรี ความเป็นมิตร และความร่มรื่นของหมู่บ้าน จนเป็นที่รู้จักและแนะนำต่อๆ กัน
(เครดิตข้อมูลดีๆจาก http://www.homestaythai.net/Homepages/ViewHomestay/125/โฮมสเตย์ท้องตมใหญ่)
เมื่อถึงหน้าหมู่บ้าน หากขับรถมาอีกจะเป็นจุดถ่ายรูปชมวิวริมทะเลบ้านท้องตมใหญ่ มีรูปปั้นม้าน้ำแม่และลูกอยู่คู่กัน ซึ่งหากใครที่แวะมาที่นี้ก็ไม่พลาดต้อง เพราะด้วยลักษณะทางกายภาพของหมู่บ้านแห่งนี้ที่เหมือนรูปม้าน้ำ ก็เลย
จุดชมวิวริมทะเลบ้านท้องตมใหญ่ |
มีสะพานปลายื่นไปริมทะเล
ใหนๆแวะมาทั้งทีก็เดินไปหน่อยสิว่า ชาวบ้านในระแวกนี้กำลังจะทำอะไรกัน
ชาวบ้านส่วนใหญ่ที่นี้ก็มีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายนะค่ะ ไปต้องไปซื้อปลากินให้เสียสตัง มานั่งตกปลา เดี่ยวๆก็ได้ปลามากินล่ะ ถ้าเหลือก็เอาไปขาย รายได้แม้จะไม่มาก แต่ก็อยู่แบบพอเพียง
ดูท่าว่าปลาที่นี้น่าจะชุกชุมพอสมควรเชียวล่ะ เพราะมีผู้บ่าวชาวบ้านในระแวก มานั่งตกปลากันหลายคนเชียว
โฮมสเตย์บ้านท้องตมใหญ่ |
มีบ้านเรือนของชาวบ้านสร้างยื่นออกมาจากริมทะเลถือเป็นเสน่ห์ที่ชวนให้นักท่องเที่ยวแวะมาเที่ยวชมกัน
ซึ่งปัจจุบันก็มีโฮมสเตย์ของชาวบ้านท้องตมใหญ่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักค้างแรมในราคาไม่แพงอีกด้วย
โดยในวันที่ดิฉันมาเที่ยวนี้ ค่อนข้างเงียบมากๆ เนื่องจากเป็นวันธรรมดาและอยู่ช่วงหน้าฝน นักท่องเที่ยวเลยไม่ค่อยมาเที่ยวกันนัก แต่ทางโฮมสเตย์หน้าเขา ริมเล ซึ่งเป็นโฮมสเตย์อีกแห่งในหมู่บ้านแห่งนี้ก็เปิดให้ดิฉันเข้าไปชมด้านใน
เดินจนสุดทางมาจนถึงระเบียงท้ายบ้านพักโฮมสเตย์ก็เป็นจุดนั่งพักชมวิวทะเลสวยๆ
มีเรือประมงของชาวบ้านจอดเทียบท่าอยู่
เรือบางลำที่ใหญ่กว่าก็จอดห่างออกไปอีก
ขนมจากรสอร่อย |
เป็นคุณป้ากับคุณลุงกำลังช่วยกันปิ้งขนมขาย กลิ่นหอมของมะพร้าวติดจมูกมากๆ จนดิฉันไม่ไหวต้องควักเงินมาอุดหนุน
เนื่องจากวัตถุดิบในท้องถิ่นและดิฉันเห็นคุณป้าตักเนื้อขนมใส่ใบจากซ่ะเต็ม น่าจะอร่อยใช่ได้ทีเดียว ขนมแบบบ้านๆ ต้องมาซื้อทานตามชาวบ้านเนี่ยแหละค่ะ
มื้อเที่ยงนี้สั่งกุ้งผัดกะปิแบบใต้มาทาน รสชาติจัดจ้านมากๆ เผ็ดสุดๆ แม่ครัวคงระรั่วพริกใต้ลงไปซ๋ะเยอะเชียว ตอนสั่งดิฉันก็ลือบอกคนรับอาหารไปว่าไม่เอาเผ็ดนะ แต่กุ้งสดเนื้อแน่นมาก
ยังดีนะที่มีขนมจากหวานๆกับขนมถ้วยที่เหลือจากเมื่อวานเอามาทานแก้เผ็ดได้บ้าง ส่วนขนมจากของคุณป้ากับคุณลูกที่ขายในบ้านท้องตมใหญ่ก็อร่อยจริงๆนะค่ะ เนื้อแป้งขนมก็ใส่ใบจากมาอย่างเยอะ ขาย 5 อัน 20 บาท ถูกมากๆ ถ้าซื้อที่อื่น 3 อันเอง
และตรงข้ามอาหารครัวแม่สร้อย ก็มีทุเรียนจากสวนผล ขายอีกด้วยล่ะ
ซึ่งเป็นทุเรียนในสวนนำมาขายเอง ไม่ใช้รับมาขายต่อ มีวางขายไม่กี่ลูกเองคะ
ขายกิโลละ 100 บาทจ้า
ทุเรียนลูกใหญ่ๆน่าทานมากๆ แต่เสียดาย ยังไม่พร้อมทานนะค่ะ เพราะต้องรออีก 3-4 วันถึงจะทานได้
ดิฉันก็เลยเสียดาย อดไม่ได้ทานเลย ใจจริงอยากจะทานเอาตอนนี้ซะเลย
ขับมอเตอร์ไซต์จากชุมพร มาชมความอรชรของเมืองหลังสวน เมืองเก่าแก่ในอดีต |
ก็แว๊นๆขับมอเตอร์ไซต์ออกจากอำเภอสวีมุ่งหน้ามายังอำเภอหลังสวนต่อค่ะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าแก่อีกแห่งในจังหวัดชุมพร
เมืองที่ดิฉันเคยแวะผ่านลงไปทางภาคใต้หลายครา แต่ก็ไม่เคยแวะมาเยือนในตัวเมืองนี้สักที ในเมื่อมีโอกาสมาเยือนชุมพรทั้งที ก็เลยแวะมาให้เห็นสักครั้งคราสิ
ว่ากันว่าเมืองแห่งนี้เป็เมืองเก่าแก่ ที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนายเชียวล่ะ หากเอ่ยถึงหลังสวน ถ้าเป็นคนกรุงเทพก็คิดว่า หลังสวนลุมพินีหรือเปล่านะ แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ในภาคใต้โดยตรง แน่นอนว่าต้องรู้จักเมืองหลังสวนในฐานะเมืองแห่งผลไม้อย่างแน่นอน เพราะตลอดสองข้างทางจะเต็มไปด้วย ร้านรับซื้อและขายส่งผลไม้หลายเจ้าเลยทีเดียว
อำเภอหลังสวน |
หากใครที่แวะเข้ามาในอำเภอหลังสวน จะเห็นบ้านม่านชานเรือนไม้เก่าแก่ แลดูมีมนต์ขลังเหลือเกิน เพราะบ้านไม้เก่าๆเหล่านี้ บ่งบอกเรื่องราวถึงอดีตของเมืองนี้ไว้ได้ดีทีเยว
ประวัติเมืองหลังสวนอันยาวน่านาน มาอ่านกันเป็นความรู้จ้า
สมัยอดีตนั้น เมืองหลังสวนนเป็นหัวเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในแหลมมลายู เคยได้รับการยกฐานะเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นต่อกรุงเทพมหานครโดยตรงในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 ครั้นเมื่อจัดตั้งมณฑลชุมพรในปี พ.ศ. 2439 หลังสวนจึงเป็นจังหวัดหนึ่งของมณฑลชุมพร และภายหลังได้ยุบจังหวัดหลังสวนลงเป็นอำเภอหลังสวนขึ้นกับจังหวัดชุมพร ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475 ตราบเท่าทุกวันนี้
ลุ่มน้ำหลังสวน ที่หล่อเลี่้ยงชาวเมืองแห่งนี้มาช้านาน |
(เครดิตข้อมูลจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/อำเภอหลังสวน)
บริเวณในย่านใจกลางเมือง ยังคงมีการอนุรักษ์อาคารพาณิชย์เก่าแก่แต่ตั้งสมัยอดีตไว้มาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ที่แวะเวียนเข้ามาได้เห็นถึงความเจริญในอดีตของหัวเมืองแห่งนี้
และเนื่องจากหลังสวนเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชื่อที่เรียกจึงยากที่จะหาหลักฐานได้ว่ามีที่มาอย่างไร แต่เนื่องจากหลังสวนเป็นเมืองที่มีผลไม้มากจนกลายเป็นสินค้าสำคัญของเมืองนี้ ดังนั้น กระทรวงคมนาคมจึงได้สันนิษฐานในปี พ.ศ. 2459 ว่า คำว่า “หลังสวน“ น่าจะเพี้ยนมากจากคำว่า “รังสวน” หรือ “คลังสวน” ซึ่งหมายถึงแหล่งหรือที่รวมของผลไม้ทุกชนิดนั่นเอง
อาคารพาณิชย์เรือนไม้เก่าแก่ที่ยังถูกอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังเห็น |
ดิฉันเองเดินลัดเลาะชมในเมืองเก่าแห่งนี้แล้ว ก็นึกถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง น่าจะเข้ามาดูแลกระตุ้นส่งเสริมให้มีตลาดถนนคนเดินย่านชุมชนเก่าในช่วงวันหยุดศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ น่าจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ใช่น้อย เพื่อกระตุ้นให้เมืองเก่าแห่งนี้ มีขีวิตชีวา มีคนมาเที่ยวกันให้มากๆ ชาวบ้านในระแวกใกล้เคียงก็จะมีรายได้กันมากขึ้น เป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นได้
และหลังจากที่ได้เดินลัดเลาะในเมืองเก่าหลังสวนไปแล้ว ดิฉันก็แว๊นๆขับมอเตอร์ไซต์จากตัวอำเภอหลังสวนมาประมาณ 10 กว่ากิโลเมตรนิดๆเพื่อมชมชายปากน้ำหลังสวน
ปากน้ำหลังสวน |
บริเวณริมปากแม่น้ำหลังสวน มีบ้านม่านชานเรือนชาวประมงตั้งอยู่เรียงรายตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำ บ่งบอกให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนในระแวกนี้ที่อยู่คู่กับทะเลแห่งนี้มายาวนาน
บริเวณปากน้ำเป็นทะเลอ่าวไทยอันกว้างใหญ่
วิถีชีวิตของชาวประมงคนหลังสวนผูกพันกับสายแม่น้ำแห่งนี้มายาวนาน
และหากใครที่มาถึงปากน้ำหลังสวน ต้องได้เห็นเรือหลวงจักรีนฤเบศจำลองขนาดใหญ่ โดดเด่นตระหง่ายอยู่ริมปากอ่าว
โดยด้านในเรือจัดแสดงเป็นสถานที่ประทับ เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์ให้นักท่องเที่ยวได้แวะเข้าไปชม
และด้านบนเรือก็มีรูปป้้นกรมหลวงชุมพรฯไว้ให้ผู้ที่มาเยือนได้เคารพสักการะกันอีกด้วย
ส่วนวิวด้านบน ก็จำลองมาให้เหมือนกับเรือหลวงจักรีนฤเบศของจริงที่อำเภอสัตหีบเลยล่ะค่ะ เป็นเรือจำลองเอาไว้ สำหรับชาวใต้ที่ไม่อยากเดินทางไปไกลถึงสัตหีบ ก็เที่ยวมาชมเรือแห่งนี้ได้เช่นเดียวกัน
ดิฉันขับมอเตอร์ไซต์มาจนสุดปลายทาง ก็ขอนั่งพักผ่อนเอาแรงบ้างล่ะกันค่ะ สงสารมอเตอร์ไซต์ ถ้านางมีชีวิตคงจะโอดครวญน่าดูเลยว่า ทำไมคุณนายเว่อร์ เธอถึงเป็นบ้า ขับมอเตอร์ไซต์มาไกลขนาดนี้
บรรยากาศยามเย็น แวะมาเดินเล่นชิลๆ ดูวิวชายหาดในอำเภอหลังสวน ซึ่งดูเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย เหมือนเมืองพักตากอากาศอื่นๆนัก เหมาะแก่การมานั่งนอนพัก รับลมชมวิว ถ้าหิวก็เดินไปซื้อปลาทะเลที่ตลาดปากน้ำ ได้ปลาสดๆ มาปิ้งย่างทาน รสชาติอาหารคงอลังการร้าวรานจับใจยิ่งนัก
ชุมชนเก่าย่านปากน้ำหลังสวน |
มีบ้านเรือนไม้เก่าๆแก่ๆ บรรยากาศค่อนจะเงียบเหงาหงอยเป็นพิเศษ เพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมามากนัก เนื่องจากเป็นวันธรรมดา
ร้านขายผลไม้ริมถนนเพชรเกษมที่หลังสวน |
ระหว่างก่อนจะกลับต้องไม่พลาดเลยล่ะ หากใครที่ผ่านมาที่หลังสวน จะต้องเห็นเพิงขายผลไม้มากมายริมทางให้เลือกซื้อ
แน่นอนฤดูกาลผลไม้แบบนี้ ดิฉันขอมาลิ้มลองทานทุเรียนหลังสวนสักหน่อย ไม่รู้ว่าทุเรียนที่หลังสวนหรือเปล่านะค่ะ พอดีถามคนขายแล้ว คนขายบอกว่า เป็นทุเรียนหลังสวนทุกลูกลยจ้า เมื่อคนขายพูดเช่นนั้น ก็คงต้องเชื่อคนขายแล้วล่ะ ซึ่งราคาทุเรียนที่นี้ก็ไม่ได้มีราคาแพงเลย ลูกที่แตกๆ ขายอยูีที่กิโลละ 50 บาทเท่านั้น ส่วนลูกที่สวยๆหน่อยก็อยู่ที่กิโลละ 80 บาทเอง
จัดไปค่ะ ทุเรียนลูกเล็กๆ 1 กิโลราคา 80 บาท กลิ่นหอมหวนรัญจวนใจ สุกพร้อมทาน แต่ถ้าใครที่ชอบแบบแตกๆก็ซื้อกิโลละ 50 บาทก็ได้นะคะ
มีทุเรียนวางขายหลากหลายพันธ์ให้เลือก ทั้งชะนีและหมอนทอง เห็นจะเยอะที่สุดก็เป็นหมอนทองค่ะ แม้ช่วงที่มาเที่ยวนี้ จะหมดฤดูกาลของทุเรียนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีทุเรียนจากสวนผลไม้หลายแห่ง นำมาวางขายริมทางให้ผู้ที่สัญจรไปมานั้น ได้แวะผ่านเลือกซื้อทานกัน
เพิงหมาแหงน กับแผงขายไม้ในอำเภอหลังสวน อยู่คู่เมืองนี้มาช้านาน |
เพิงหมาแหงน กับแผงขายไม้ในอำเภอหลังสวน อยู่คู่เมืองนี้มาช้านาน
นอกจากทุเรียนก็ยังมีผลไม้อื่นอีกด้วยนะค่ะไม่ว่าจะเป็น สละ สะตอ และอื่นๆ หลายอย่างทีเดียวหลังจากที่แวะซื้อทุเรียนในอำเภอหลังสวนแล้ว ดิฉันก็แวะมอเตอร์ไซต์มาเรื่อยๆ ก็มาพักให้หายเมื่อยที่สวนนายดำ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้แวะมาที่สวนแห่งนี้ เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม และแวะผ่านมาทางใต้ก็ไม่ได้แวะสักที ใหนๆมาถึงชุมพรทั้งที ก็แวะไปดูสักหน่อยสิ
ว่ากันว่าที่สวนนายดำแห่งนี้ เป็นสุดยอดของส้วมสะอาดในเมืองไทย เพราะจัดตกแต่งห้องส้วมไปไว้บนชั้นลอยฟ้า ที่ใครแวะมาเที่ยวทางใต้ก็เข้ามาปลดทุกข์กันทีนี้ แม้จะไม่ได้อยู่ติดถนนเพชรเกษม แต่ก็มีคนแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย เนื่องจากเข้าถนนในซอยมาไม่ไกลมากนัก
ภายในก็จัดตกแต่งโถส้วมอยู่ในสวนอันร่มรื่น บรรยากาศดี เหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนัก และยังมีร้านขายของฝากให้ผู้ที่แวะเวียนมาได้เลือกซื้ออีกด้วย
วัดพระบรมธาตุสวี |
หลังจากแวะพักปลดทุกข์ที่สวนนายดำเรียบร้อยแล้ว
ดิฉันก็แว๊นขับมอเตอร์ไซต์มาเรื่อยๆจนถึงอำเภอสวี
ก็แวะเข้าไปสักการะพระบรมธาตุสวีสักหน่อยค่ะ เพื่อความเป็นสิริมงคล
พระบรมธาตุสวี ยามเย็นในฤดูฝนเดือนกันยายน |
ประวัติพระบรมธาตุสวี
ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ในบริเวณพระบรมธาตุ มีตำนานเล่าถึงประวัติการสร้างพระบรมธาตุสวีว่า เมื่อปี พ.ศ.1803 เมื่อครั้งที่ พระเจ้าศรีธรรมาโสกราชเสด็จยกทัพมาพักที่ วัดร้างแห่งหนึ่งในเขตอำเภอสวีได้พบกาเผือกและกาฝูงหนึ่งเกาะอยู่บนกองอิฐกระพือปีกและส่งเสียงร้อง พระองค์จึงให้รือเศากองอิฐที่กองทัพถมกันออกพบฐานเจดีย์ใหญ่ เมื่อขุดลึกลงไปได้พบกับผอบบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุจึงให้แม่ทัพนายกองไพร่พลช่วยกันสร้างเจดีย์ขึ้นมาใหม่ พระราชทานนามเจดีย์นั้นว่า "พระบรมธาตุกาวีปีก" ต่อมาคำว่า "ปีก" ถูกตัดหากไปเรียกกว่า "พระบรมธาตุกาวี" ครั้นนานเข้าคำจึงกร่อนลงไปกลายเป็น "พระธาตุสวี"
เนื่องจากใหนๆก็เดินทางแวะมาทั้งที ไม่ได้รีบร้อนไปใหน และอีกอย่างฝนก็ไม่ได้ตก มาเที่ยวชุมพรครั้งนี้ เหมือนได้มาเที่ยวฤดูร้อนเลยทีเดียว เพราะแดดร้อนจ้าทั้งวันเลย
ภายในวัดพระบรมธาตุสวี |
โดยวัดพระบรมธาตุสวีได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 118 ตอนพิเศษ 127ง วันที่ 21 ธันวาคม 2544 |
บริเวณรอบองค์พระธาตุประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยตลอดรอบแนว เมื่อเดินเข้ามาด้านใน รู้สึกได้ถึงความสงบมากๆ
หลังจากที่สักการะพระบรมธาตุสวีแล้ว ดิฉันก็ขับมอเตอร์ไซต์มุ่งหน้ามาที่โครงการหนองใหญ่ แก้มลิง เพื่อมาชมสะพานไม้เคี่ยม แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งที่ชาวชุมพรแนะนำดิฉันให้มาเที่ยวชมสักครั้ง
สถานที่แห่งนี้ถือเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ของชาวชุมพรเลยก็ว่าได้ เพราะแวดล้อมไปด้วยสายน้ำและต้นไม้เขียวขจี กลายเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นต้นแบบแก้มลิง ที่แก้ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมในจังหวัดชุมพรอีกด้วย
สะพานไม้เคี่ยมสร้างจากจินตนาการว่าเมื่อมองเห็นแล้วต้องการไปถึง เห็นแล้วตองสัมผัสได้ เสมือนกับสะพานไปสู่ดวงดาว โดยสะพานไม้เคี่ยมแห่งนี้มีระยะทาง 280 เมตร มีลักษณะคดโค้งเป็นรูปตัว S เพื่อเป็นเส้นนำสายตา ส่วนที่โค้งขึ้นนั้นทำให้เรือลอดได้ ลักษณะการก่อสร้าง ใช้ไม้เคี่ยมเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-6 นิ้ว เสาปักลงในน้ำโดยการใช้ภูมปัญญาของคนดั้งเดิม และการก่อสร้างสะพานไม้แห่งนี้ ก็ไม่ได้ใช้เครื่องจักรเลย ใช้ทีมงานก่อสร้าง 7 คน ประมาณ 45 วัน
สะพานไม้เคี่ยม หนองใหญ่ แก้มลิงแห่งเมืองชุมพร |
สะพานไม้เคี่ยมเปรียบเสมือนการเดินของชีวิตที่มีระยะยาวไกล บางครั้งทางคดเคี้ยว บางครั้งทางตรงบ้าง จนกว่าจะถึงจุดหมาย หลายครั้งจำต้องยืนหยัดสู้แรงพายุฝน เหมือนกับคนที่ต้องยืนหยัดต่อสู้ชีวิต จากการใช้งานมานาน จึงทำให้โครงสร้างของสะพานเดิมชำรุดทรุดโทรมและไม่ปลอดภัย
เมื่อปี 2560 จังหวัดชุมพรจึงได้รื้อและก่อสร้างสะพานไม้เคี่ยมขึ้นมาใหม่
โดยได้รับเงินบริจาคทุกภาคส่วนและได้รับความร่วมมือจากประชาชน
มาร่วมกันสร้างภายในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ปี 2561
และสะพานแห่งใหม่สร้างขึ้นจากโครงสร้างที่มีความแข็งแรง
ประกอบด้วยไม้เคี่ยมคงเดิม เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก
เพื่อบูรณะสะพานแห่งนี้ให้เป็นสะพานแห่งความทรงจำและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชุมพรสะพานไม้เคี่ยม โครงการหนองใหญ่ |
พลบค่ำแวะตลาดโต้รุ้งหน้าห้างโอเดี่ยน |
มีผัดไทยหลายร้านให้เลือกทานเลยล่ะ
เห็นแม่ค้ากำลังผัดไทยกับกระทะโช้งเช้ง กลิ่นหอมโชยเตะจมูก น้ำมูกจะไหล เห็นแล้วก็น่าทานมากๆ
ขนมเบื้องชิ้นละ 1 บาทก็มีขายด้วยล่ะ
ส่วนมองไปฝั่งตรงข้ามก็เป็นร้านขายบัวลอยไข่หวานกะทิสด น่าจะอร่อยเช่นกัน เพราะคนต่อคิวรอซื้อเพียบเลย
จบอาหารมื้อเย็นสุดท้ายนี้ที่เมืองชุมพร ทานผัดไทย ขนมเบื้อง ขนมขี้ชะมด ขนมจากบ้านท้องตมใหญ่ และทุเรียนหลังสวน ใส่ตู้เย็นไว้ ให้กรอบเอาไว้ทานหลังอาหาร กินจนพุงบานไปเลย
เช้าตรู่วันใหม่ที่ 14 ก.ย.2561
นั่งรถตู้จากเมืองชุมพรมาที่สนามบินอำเภอปะทิว เดินทางกลับถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
จบทริปเที่ยวชุมพรย้อนวันวานจ้า
สรุปค่าใช้จ่ายทริปลุยเดี่ยวเที่ยวชุมพร 4 วัน 3 คืน มีดังนี้
ค่าตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชียไป-กลับรวม 835 บาท
ค่ารถตู้โดยสารจากสนามบินปะทิวมาที่เมืองชุมพร 150 บาท
ค่ารถตู้จากเมืองชุมพรไปสนามบินปะทิว 150 บาท
ค่าที่พัก 2 คืนพักที่โรงแรมนานาบีช หาดทุ่งวัวแล่น คืนละ 1100 บาท = 2200 บาท
ค่าที่พัก 1 คืน พักคืนสุดท้ายที่โรงแรมชุมพร การ์เด้นส์ คืนละ 540 บาท = 540 บาท
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์เช่าวันละ 300 บาท รวม 900 บาท
ค่าอาหารการกิน จุกจิ๊ก จิปาถะ +ค่าน้ำมันรถ = 985 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้ทั้งหมด 5,760 บาท
สำหรับรีวิวทริปเที่ยวประจำเดือนกันยายนนี้ ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ดิฉันต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกในเว็ปบล็อกถัดไปนะคะ....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
-----------------------------------------------------------------------------------------
บทความอื่นๆ และรีวิวท่องเที่ยวที่ผ่านมา มีดังนี้จ้า
ต้องแวะมา 6 ชายหาดยอดนิยมในชุมพร ที่ต้องแวะไปอรชรกันสักครั้ง>> |
รีวิวเที่ยวชุมพร งามอรชรตลอดกาล เดือน ก.ย.2018 คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูรีวิวการเดินทางที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2Oc4kNZ
ตอนจบกับทริปแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรป 26 วัน คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูรีวิวการเดินทางที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2xlaVuZ
แบ่งปันการเดินทางในเกาะซานโตรินีด้วยตัวเองง่ายๆ คลิ๊กดูรายละเอียดจ้า>> |
หรือดูรีวิวการเดินทางที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2p5eQZf
รีิวิวเที่ยวเมืองลพบุรี เดินยวลยีชมวังเก่า เคล้าความหลัง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/7ZB3pt
รีิวิวเที่ยวประจำเดือน เม.ย.นี้ แวะไปเที่ยวสิงห์บุรีมาค่ะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/eL6fHw
รีวิวท่องเที่ยวประจำเดือน เม.ย.2018 ล่องเรือไหว้แม่น้ำเจ้าพระยา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
หรือดูบทความรีวิวที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/HrLddq
จัดมารีวิวเที่ยวสัตหีบ 2 วัน 1 คืน เดือน มี.ค.61 ไปที่ใหนบ้าง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
หรือดูบทความรีวิวที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/YV4FbW
รวมเด็ด 7 โบราณสถานเด็ดเมืองอยุธยา มีที่ใหนบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
0 ความคิดเห็น