Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

รีวิวแบกเป้คนเดียวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 1 แวะตราตรึงชมกรุงปารีส ท่ามกลางอากาศหนาวจี๊ดจับใจ หอไอเฟลสวยใส เดินไฉไลพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ดูรูปโมนาลิซ่า ช่ะช่ะช่าหัวใจ

บทความบล็อกรีวิวท่องเที่ยวประจำเดือน พ.ค.2018 นี้ ขอมารีวิวเที่ยวแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวฝรั่งเศสด้วยตัวเองครั้งแรกมาให้ทุกท่านดูกันค่ะ
ก็ขอกราบสวัสดี๊ดี สวีดั๊ดดัดเพื่อนๆพี่ๆน้องๆผองชาวไทยและชาวโลกออกไลน์ ที่น่ารักสดใส งามไฉไลสดสี รื่นฤดีความหวาน ร้าวรานจับใจ กันอยู่ ณ ขณะนี้นะค่ะ ดิฉันคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน บล็อกเกอร์มือสม้ครเล่นแนวๆ โกโรโกโส สับปะรังเค ก็ขอมาทักทายคุณผู้อ่านทุกคนเข้าสู่เว็ปบล็อกของคนบ้าเที่ยว บ้าเขียนบล็อกไปเรื่อยเปื่อย ให้ท่านได้อ่านกันจนเมื่อยสมอง และปวดเศียรเวียนเกล้าอีกเหมือนเคยนะคะ

สำหรับบทความในวันนี้ เดี๊ยนเองก็ขอมาร่ายรีวิวบทความท่องเที่ยวประจำเดือนพฤษภาคมนี้ ให้เพื่อนๆได้มาสไลด์ดูภาพและอ่านฆ่าเวลากันนะค่ะ ตอนแรกกะว่าจะเขียนรีวิวให้ทันเดือนพฤษาคม แต่ดูเวลาแล้ว ยังไงก็ไม่ทันคะ เดี๊ยนก็เลยขอมาไล่เขียนรีวิวในเดือน มิย.นี้ ทีเดียวเลยล่ะกัน เพราะรีวิวเที่ยวครั้งนี้ มันยาวมากค่ะ มีหลายตอนคะ แต่จะทยอยเขียนเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เว็ปบล็อกร้างไปค่ะ หวังว่าน่าจะกระตุ้นต่อมการเดินทางให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน ออกไปเปิดโลกกว้างกันนะค่ะ เพราะโลกนี้มันกว้างจริงๆ ลองออกไปสวิงกิ้งดูสิว่า บ้านม่านชานเรือนเค้าเป็นยังไงบ้างน้อ เคยดูแต่ในเน็ตในทีวี มาสัมผัสของจริง อยู่ในสถานที่จริงๆ น่าจะได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆไม่น้อยเลย  

พอดีในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เดี๊ยนได้มีโอกาสจัดทริปแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรปคนเดียวด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ก็เลยอยากจะมาเล่ามาแบ่งปันการเดินทางให้เพื่อนได้ดูกันในเว็ปบล็อกนี้ โดยการเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ วางแผนไปเที่ยว 4 ประเทศได้แก่
1.ฝรั่งเศส
2.สวิสเซอร์แลนด์
3.อิตาลี
4.กรีซ
รวมทั้งหมด 26 วันค่ะ เที่ยวจริงๆแค่ 24 วัน นอกนั้นถือว่าเดินทางค่ะ เพราะทริปนี้เดินทางไกลตั้งแต่เหนือจรดใต้ ไล่ไปตั้งแต่ฝรั่งเศส เข้าไปทำบุญเผวดจนถึงประเทศกรีซเลยค๊า

และอีกอย่างการเดินทางในครั้งนี้เป็นการเดินทางท่องเที่ยวยุโรปด้วยตัวเองครั้งแรก และแบกเป้ลุยเดี่ยวมาคนเดียวด้วย เรียกว่าการมาเที่ยวยุโรปในครั้งนี้ได้ประสบการณ์จากการเดินทางหลายอย่างเลยทีเดียวค่ะ ทั้งเรื่องของการเอาตัวรอด อาหารการกิน การสื่อสาร และการเดินทางที่ต้องวางแผนในเรื่องของเวลาสุดๆค่ะ และที่ต้องเจอเมื่อเดินทางในต่างบ้าน ต่างเมืองแบบนี้ คงหนีไม่พ้น การหลงทาง เดี๊ยนต้องขอบอกเลยว่า หลงแบบสุด และอีกอย่างป้ายบอร์ดบางเมืองก็ไม่มีภาษาอังกฤษ ทำให้ต้องคาดเดาหรือเปิด App แปลภาษาให้วุ่นเลยค่ะ ใหนจะแบกเป้ ใหนจะถ่ายรูป โอ้ย...มันส์ๆสุดไปเลยจ้า

เรื่องสำคัญอีกอย่างสำหรับคนที่จะแบกเป้มาเที่ยวยุโรปคนเดียวครั้งแรก!!! คือเรื่องการเตรียมเอกสารให้พร้อมกับการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ด่าน ตม.ฝรั่งเศส ตอนยืนเข้าแถวรอลงประทับตราลงในพาสปอร์ต

สำหรับเพื่อนๆที่จะแบกมาเที่ยวยุโรปคนเดียวแบบตัวดิฉันเนื่องจากวันที่ไปถึงสนามบิน
ทางเจ้าหน้าที่คนที่จะประทับตราให้เรา จะขอให้เราแจ้งเอกสารดังนี้ค่ะ (อันนี้แล้วแต่เคสคะ เจ้าหน้าที่บางคนก็ไม่ขอ แต่ด้วยหน้าตาของเดี๊ยนเหมือนโจร หรือเป็นนางงามพยายามสวยก็ไม่ทราบ ทางเจ้าหน้าที่เลยขอข้อมูลคะ เนื่องจากเป็นการเดินทางมาฝรั่งเศสครั้งแรกของเดี๊ยน)
- ใบจองที่พักทั้งหมดเลยนะคะ
- ตั๋วเครื่องบินขากลับ สามารถปริ้นเป็นเอกสารจากอีเมลล์มาก็ได้คะ
- ประกันภัยการเดินทาง เอาที่เป็นใบเสร็จก็ได้คะ
- บัตร Eurail Pass (ถ้ามีก็แสดงให้เค้าทรา แต่ถ้าไม่มีไม่เป็นไรคะ)
- ใบสรุปรายการเดินทาง หรือ Itinerary travel planning ก็คือใบแผนการเดินทางท่องเที่ยวว่าไปเมืองใหนบ้าง ใบเดียวกับใบที่ประกอบการยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวนั้นแหละคะ  
- เงินสดว่านำมาเท่าไหร่ ให้ขวักแสดงต่อเจ้าหน้าที่ให้หมดเลยนะค่ะ เพราะเจ้าหน้าที่อยากรู้ว่านำเงินมาเที่ยวเมืองเค้ากี่แสนล้านยูโร มีเงินเพียงพอกับค่าครองชีพหรือเปล่าอะไรประมาณนั้น
- บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็มก็แสดงให้หมดเช่นกัน ถ้ามี ถ้าไม่มีไม่เป็นไร 
- จนท.จะถามว่ามากี่วัน มากับใคร ไปสิ้นสุดที่ประเทศใหน เมืองอะไร แค่นี้ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที ไม่นานไม่ต้องเข้าห้องเย็นให้เสียเวลาด้วย....จากนั้นถ้าเจ้าหน้าที่พิจารณาสมควารแล้วว่ามีเงินและเอกสารเพียงพอ ก็จะประทับตราให้เราผ่านประตูไปอย่างฉลุย พร้อมให้เราไปเป็นโรบินฮู้ดแล้วจ้า

ตอนเดี๊ยนไป เห็นคนอินเดียที่มาเที่ยว นางไม่ได้เตรียมเอกสารมา ก็โดนเรียกสอบเข้าห้องเย็นเลยค่ะ
ยังไงหากเพื่อนคนใดที่จะแบกเป้เที่ยวฝรั่งเศสครั้งแรกแบบเดี๊ยน ก็เตรียมตัวให้พร้อมนะค่ะ จะได้ไม่ตื่นเต้นนะค่ะ แต่ถ้ามีคู่หูดูโอ้ไปด้วยก็จะมีคนช่วยให้กำลังใจมาก แต่ถ้ามาคนเดียวก็ต้องเข้มแข็งหน่อยนะ

ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เพื่อไม่ให้เสียเวล่ำเวลา เดี๊ยนขอมาพร่ำเพร้อ พรรณาตามประสาคนบ้าๆบอๆเที่ยวไปเรื่อยให้ท่านได้สไล์ดดูภาพกันดังนี้ค่ะ

เริ่มต้นรีวิวตอนเที่ยวที่ 1 กับทริปเที่ยวยุโรปคนเดียว แวะเที่ยวกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสก่อนเลยค่ะ

วันที่ 15 พ.ค.2561 
- เริ่มต้นการเดินทางของทริปนี้ ออกเดินทางจากกรุงเทพเวลา 9 โมงเช้า ด้วยสายการบินโอมานแอร์ มาเปลี่ยนเคร่ื่องที่กรุงมัสกัต ประเทศโอมาน จากนั้นก็นั่งเครื่องบินมาอีก 6 ชั่วโมง ถึงกรุงปารีสโดยปลอดภัยในเวลา 19.50 น. (หรือดูรีวิวการเดินทางโดยสารการบินโอมานแอร์จากกรุงเทพมาปารีสคลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>>)

- หลังจากเครื่องบินแลนด์ดิ่งจอดที่สนามบินชาร์เดอโกล (CDG Airport)แล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็เดินทางจากสนามบินCDG เข้ากรุงปารีสโดยการใช้บริการรถรุสซี่บัส (Roisy Bus) ค่าบริการ 12 ยูโร โดยรถบัสโดยสารจอดส่งสุดสายที่สถานี Opera  (หรือดูวิธีการเดินทางนั่งรถรุสซี่บัสจากสนามบิน CDG เข้ามาในกรุงปารีสด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>>

- เมื่อรถรุสซี่บัสจอดสุดสายที่ป้ายรถเมลล์ข้างๆโรงละคร Opera แล้วนะค่ะ จากนั้นเดี๊ยนก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า Metro ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Opera เพื่อเดินทางไปยังที่พักค่ะ (ดูรีวิวการเดินทางด้วยรถไฟ Metro ในกรุงปารีสด้วยตัวเองครั้งแรกแบบง่ายๆ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>>

มาต่อเลยนะค่ะ หลังจากที่บล็อกก่อนหน้านี้ดิฉันเองได้รีวิวบล็อกการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro แบบงงๆครั้งแรกด้วยตัวเองไปแล้วนะค่ะ เพื่อนๆเข้าไปดูรีวิวได้ที่เว็ปบล็อก :https://khunnaiver.blogspot.com/2018/05/how-to-take-metro-rer-railway-in-paris.html

ขอเริ่มต้นรีวิวเที่ยวกรุงปารีสในวันที่ 16 พ.ค.ให้เพื่อนได้ดูตามภาพกันดังนี้เลยนะค่ะ
(แจ้งก่อนนะค่ะ สำหรับภาพรีวิวทุกภาพอาจจะไม่สวยชะลูดบาดตา เพราะไม่ได้ตกแต่งใน Photoshop หรือ Light room เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาแต่งค่ะ เพราะยิ่งแต่งก็ยิ่งพังค่ะ เดี๊ยนเลยคิดว่าเอารูปถ่ายแบบสดๆแบบธรรมชาติเนี่ยแหละค่ะมาลงเลย หากไม่สวยยังไงขออภัยนะค่ะ) 
เช้านี้ที่กรุงปารีส ในวันที่ 16 พ.ค.2018 อากาศเย็นเหลือเกิน อยู่เมืองไทยร้อนสุด แต่มาสะดุดอากาศหนาวที่ฝรั่งเศส
ต่อจากรีวิวบล็อกก่อนหน้านี้ : รีวิวการเดินทางจากสนามบินฝรั่งเศสมาในกรุงปารีส....เช้าวันใหม่ในกรุงปารีส อากาศหนาวจี๊ดสุดๆไปเลยค่ะ หลังจากที่เมื่อวานเดินทางไกลกว่าจะเดินทางมาถึงโรงแรมก็ปาไปซะจนดึกดึน กว่าจะแต่งหน้านอนอีกก็เที่ยงคืนพอดีนะค่ะ

เช้านี้ตื่นมาหน้าเลยตึงๆเป็นพิเศษ พร้อมอากาศที่หนาวเหน็บสุดๆ เนื่องจากอยู่เมืองไทยบ้านเรา อากาศมันร้อน แต่พอมาออนซอนที่เมืองนี้ ทำไมมันหนาวอย่างนี้ล่ะ และอีกอย่างต้องหัดออกเสียง สระเออะ สระเออ สระอ่องๆบ่อยๆ นะค่ะ เพราะที่ฝรั่งเศสจะมีสำเนียงแบบ บองๆเลอๆ เชอๆ ชังๆ อะไรประมาณนี้นะค่ะ ถือว่ามาเรียนรู้ใหม่ ณ ต่างแดนด้วยกับสถานที่จริงด้วย
 แผนการเดินทางท่องเที่ยวในทริปนี้รวม 26 วัน เริ่มต้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สิ้นสุดที่เกาะซานโตรินี ประเทศกรีซ
 แผนการเดินทางท่องเที่ยวในทริปนี้รวม 26 วัน เริ่มต้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สิ้นสุดที่เกาะซานโตรินี ประเทศกรีซ ดูรีวิวการเดินทางที่กระทู้บล็อก : http://bit.ly/2xlaVuZ

ตอนมาวันแรกมองหาก้านกิ่ง ช่อฟ้า ใบระกา หางหงษ์คล้ายๆแบบบ้านเราก็ไม่ค่อยจะมี เพราะตึกรางบ้านช่องที่นี้ ก็ดูเป็นศิลปะแนวๆของเค้าหมดเลยด้วยนะ 

หลังจากที่ตื่นมาแล้ว เดี๊ยนก็รีบทำภารกิจให้เสร็จ รีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้ เพื่อเตรียมเช็คเอาท์ค่ะ
เมื่อเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้เสร็จแล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็เดินลงบันใดวนจากชั้น 4 ลงมาทานอาหารที่โรงแรมชั้นล่างค่ะ โรงแรมที่นี้ ห้องพักแนวโฮสเทลหลักร้อย มีอาหารเช้าให้ด้วยนะค่ะ ไม่รู้ว่าอาหารเค้าเป็นอย่างไร มาดูกันค่ะ
อาหารเช้านี้ที่โรงแรมโอแบร์แองแตร์ เป็นแบบง่ายๆนะค่ะ ใส่วางในถาด มีขนมปังให้ ทานคู่กับเนยและแยม และน้ำผลไม้ให้ ไม่มีชีสและไส้กรอกให้นะค่ะ เนื่องจากเป็นอาหารสไตล์ยุโรปไม่ใช้แบบอเมริกันกัน ส่วนเครื่องดื่มของเดี๊ยนเลือกดื่มโก้โก้ค่ะ โดยเครื่องดื่มสามารถเติมได้ตลอด แต่ถ้าอยากได้ขนมปังเพิ่มก็ต้องเสียตังเพิ่มด้วย แต่ไม่รู้เท่าไหร่นะค่ะ เพราะราคาห้องพัก 800 บาทมีอาหารเช้าให้ด้วยก็ถือว่าโอเคล่ะค่ะ 
ส่วนที่นั่งทานอาหารก็สะอาดสะอ้านดีนะค่ะ
แต่ตอนจะรับอาหารเช้าต้องเรียวคิวเข้าแถวรอนิดนึง
เดี๊ยนเองชอบตรงเครื่องกดเครื่องดื่มของโรงแรมเค้านะค่ะ มีให้เลือกหลายอย่างเลย ทั้งกาแฟ โก้โก้ คาปูชิโน่ หรือน้ำร้อน 
หลังจากทานอาหารอิ่มแล้ว ก็เช็คเอาท์ออกจากที่พัก เพื่อเดินทางต่อไปยังอีกโรงแรมค่ะ ซึ่งใช้บัตร Gift Card ในเว็ป Agoda จองไว้แล้ว
 แผนที่การเดินทางด้วยรถไฟ Metro และ RER ในกรุงปารีส ดิฉันก็พิมพ์มาไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ เผื่อจะได้ไม่หลงแต่ก็อิสสะงงๆอยู่ดี
ก่อนเดินทางก็ต้องเปิดแผนที่เส้นทางรถไฟฟ้า Metro ในกรุงปารีสทุกครั้งเลยค่ะ เพราะดูแผนที่ในเมืองนี้ ต้องขอบอกเลยว่า เดี๊ยนอิสสะงงๆมากๆ เมื่อคืนนี้กว่าจะเดินทางมาถึงโรงแรมก็ลุ้นแทบตาย กลัวจะมีโจรมาปล้น หรือปลุกปล้ำกลางทางหรือเปล่านะ แต่ก็รอดมาจนได้ค่ะ
โรงแรมที่พักเมื่อคืนนี้ แนวโฮสเทลหลักร้อย งบน้อยพักง่ายๆดี
อันนี้คือหน้าตาโรงแรมที่พักเมื่อคืนนี้ค่ะ โอแบร์ฌ แองแตร์นาชิโอนาล เด เฌิน (Auberge Internationale des Jeunes)ชื่อโรงแรมเรียกยากนิดนึงนะค่ะ ต้องสะกดอ่านทีละคำเลย โรงแรมอยู่แถวเขต 11 เลยค่ะ แต่ก็เดินทางมาได้ด้วยรถไฟฟ้า Metro
ได้เวลาตะลุยล่องท่องเมืองปารีสครั้้งแรกแล้ว มาดูสิว่าเมืองนี้มีอะไรให้เที่ยวบ้าง นอกจากหอไอเฟล
หลังจากที่ได้ทานอาหารเช้ามื้อแรกในกรุงปารีสแล้ว เดี๊ยนก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเพื่อแบกเป้สะพายใส่หลัง ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นเหลือเกิน โดยจุดมุ่งหมายเช้านี้เดินทางไปอีกโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้ๆหอไอเฟลค่ะ

สำหรับเพื่อนๆท่านใดที่อยากได้แผนที่แหล่งท่องเที่ยวในกรุงปารีส เดี๊ยนก็ขอจัดมาไว้ในเว็ปบล็อกนี้ ว่าเมืองปารีส มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่ใหนบ้าง จัดมาให้ดังนี้จ้า
แผนที่สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในกรุงปารีส (Tourist map Attraction place) ภาพจากสารานุกรมเสรีวิิกิพีเดีย
โดยในแผนที่อธิบายรายละเอียดและบ่งบอกสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งเป็นตัวอักษร A-Z ว่าชื่อสถานที่อะไรบ้าง ซึ่งในภาพแผนที่ตัวเล็กกะจิ๊ดลิ๊ดมากๆ เดี๊ยนเลยขออธิายเพิ่มดังนี้ค่ะ
Must see thing in Paris A-Z
A= Arc De Triomphe ประตูชัย
B= Tour Eiffel หอไอเฟล
C= Champe De Mars สวนช็องเดอมาร์
D= Avenue des Champs-Élysées ถนนช็องเอลิเซ่
E= Grand Palais Paris
F= Pont Alexandre III Bridge สะพาน ได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่สวยที่สุด
G= The National Resident of Invalids
H= Concorde Square
I= Tuileries Garden
J= The Orsay Museum
K= Basilique du Sacré-Cœur (มหาวิหารซาร์เครเกอร์)
L= Moulin Rouge Cabaret
M= Galleries Lafayette Department Store
N= Opera Garnier Palace paris
O= Louvre Museum พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
P= Seine River แม่น้ำแซนด์
Q= Pont Neuf
R= The Holy chapel
S= Notre Dame de Paris มหาวิหารนอร์เทอแดม
T= Sorbonne University
U= Pantheon
V= Pompidou Centre
W= Le Marais district
X= City Hall Paris
Y= Place de la Bastille square
Z= Forum des halles

หากไปเที่ยวปารีสจริงแบบไป 1-3 วันคงเก็บไม่หมดแน่ๆนะค่ะ ดังนั้นวางแผนไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ยังไม่เคยไปอาทิเช่น หอไอเฟล มหาวิหารเครเกอร์ มหาวิหารนอร์เทอแดม พระราชวังแวร์ซาย ประตูชัย พิพิธภัณฑ์ลูฟ ล่องเรือชมแม่น้ำแซน อะไรประมาณนี้
แผนที่สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงปารีส ถ้าจะขยายใหญ่ขึ้น ก็ประมาณนี้ค่ะ (Paris Tourist Map Attraction place)
สำหรับข้อมูลในภาพนี้ หากเพื่อนต้องการขยายใหญ่ๆดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/a/a8/Paris_printable_tourist_attractions_map.jpg

หรือเข้าดูแผนที่แยกเป็นหมวดหมู่ได้ที่ https://www.parispass.com/paris-tourist-map/

สภาพบ้านเมืองในกรุงปารีสก็เต็มไปด้วยตึกรางบ้านช่อง ดูเป็นล็อคเป็นล็อคสวยงามดีค่ะ แต่พื้นถนนหนทางก็สกปรกเต็มไปด้วยก้นบุหรี่เยอะไปหน่อย
เดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro ซึ่งสะดวกและเป็นที่นิยมสุดแล้ว แต่ใต้ดินดูน่ากลัวหน่อยนะ อยากให้ปรับความสว่างให้ขาวใสฟรุ้งฟริ้งน่าจะดีกว่านี้
 สำหรับการเดินทางไปยังโรงแรมที่พักคืนต่อมา ดิฉันเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้า Metro เหมือนเดิมค่ะ ยังไงขอไม่อธิบายการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าอีกนะค่ะ เพราะได้รีวิวไปแล้วก่อนหน้านี้ค่ะ

ซึ่งการเดินทางในเช้านี้ เดี๊ยนเลือกเดินด้วยรถไฟฟ้า Metro สถานีเดิมที่เดินทางมาเมื่อคืนนี้แหล่ะ ยังเป็นสายรถไฟ Metro สาย 8 สีม่วงเหมือนเดิม Ledru-rollin เพื่อไปยังสถานี
นั่งรถไฟ Metro มาไม่มานนัก น่าจะซัก 30 นาทีได้กระมังค่ะ ก็ถึงสถานีรถไฟ La Motte Picquet ค่ะ เพื่อแบกเป้ไปเช็คอินน์ยังที่พักคืนนี้ โดยที่พักคืนนี้อยู่ในเขต 15 ใกล้ๆกับหอไอเฟลเลยค่ะ
อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เลยในการเดินทาง ถ้าหายไปคงหลงทางแน่นอน ขนาดเปิดใช้ ยังหลงเลยค่ะ
ไม่รู้ว่าที่พักอยู่ตรงใหนนะค่ะ สำคัญที่สุดต้องเปิด GPS ให้ช่วยน้ำทางคือพอช่วยได้ค่ะ เพราะเดินออกจากรถไฟใต้ดินมา เดี๊ยนก็อิสสะงงๆพอสมควร

 เดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินมาก็เจอผู้คนเดินพลุกพล่านเชียว อากาศตอนเช้าก็ยังเย็นๆอยู่นะค่ะ
ระหว่างจะเดินทางไปโรงแรม ตรงใต้สะพานรถไฟก็มีตลาดเช้าให้เดินแวะช๊อปปิ้งสุดสวิงริงโก้กันด้วยนะค่ะ
ดอกม้งดอกไม้ที่ตลาดในปารีสสวยงามเหลือเกิน ดูแล้วเพลินตามีชีวิตชีวา ช่ะช่ะช่าหัวใจมากนะค่ะ
ดอกไม้สีสันสวยงาม น่าซื้อมากๆค่ะ
แวะมาร้านนี้คิดว่าเป็นร้านขายขนมเค้ก จริงๆแล้วเป็นร้านขายชีสค่ะ คนที่ฝรั่งเศสคงทานชีสเป็นอาหารหลักเลยกระมังค่ะเนี่ย
ผลหมากรากไม้บ้านเค้าก็ดูน่าทานจัง
ผลหมากรากไม้ก็มีขายให้ซื้อลิ้มลองทานกัน ดูน่าจะเป็นผลไม้ที่หาซื้อได้ทั่วไปเลยนะค่ะ เพราะมองแล้ว ไม่ค่อยมีผลไม้จากเอเชียเลย
เข้ามา check in โรงแรมใหม่ในคืนนี้ พักดีกว่าเดิม ห้องส่วนตัว พักค้างที่โรงแรม beaugrenelle tour eiffel
 หลังจากเดินแวะชมตลาดแล้ว ก็เดินเปิด GPS มาจนถึงโรงแรมที่พักคืนนี้แล้วค่ะ
เข้ามา check in โรงแรมใหม่ในคืนนี้ พักดีกว่าเดิม ห้องส่วนตัว พักค้างที่โรงแรม beaugrenelle tour eiffel
นอนพักค้างแรมที่โรงแรม hotel beaugrenelle tour eiffel อยู่ใกล้หอไอเฟล กับสถานีรถไฟ Metro และรถไฟ RER เดินทางสะดวกดี แม้จะไม่อยู่ใจกลางเมืองก็ตาม เน้นความสะดวกสบายจ้า
คืนนี้พักค้างที่โรงแรม beaugrenelle tour eiffel
 เข้าถึงที่พักก็นั่งพักที่ล็อบบี้สักแป๊บค่ะ เพราะเมื่อยหลังมากๆ
เนื่องจากห้องยังไม่ว่างและเข้ามาตอนเช้า เลยฝากกระเป๋าไว้ก่อนนะ
เนื่องจากดิฉันมาเช็คอินน์ตอนเช้า ห้องพักยังไม่ว่างก็เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ก่อนค่ะ ทางเจ้าหน้าที่ให้ฝากกระเป๋าไว้ข้างๆเคาว์เตอร์เลย ก็เลยวางกระเป๋าไว้ตามภาพที่เห็นเนี่ยแหละค่ะ
หลังจากที่ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็เดินออกจากโรงแรมมายังสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในกรุงปารีสจุดแรกเลยค่ะ นั้นก็คือ หอไอเฟล ถือเป็นแลนด์มาร์คของที่นี้เลยนะค่ะ คือแบบว่าถ้ามาถึงปารีสแล้ว ไม่มาชมหรือถ่ายรูปหอไอเฟล ยังไงก็มาไม่ถึงปารีสแน่ๆค่ะ
มาเดินย่องทอดน่องชมหอไอเฟล ที่สวนช็องเดอมาร์ส
ได้เห็นของจริงๆสักทีนะค่ะ เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงเรียงนามและในภาพทางเน็ตมาเนิิ่นนาน ดูสวยงาม เด่นตระหง่านอยู่กลางเมือง ที่ใครแวะมาก็ต้องมาชมกัน ซึ่งในจุดถ่ายรูปตรงหอไอเฟลก็มีหลายจุดเลยนะค่ะ

ตรงจุดที่ดิฉันเดินจากที่พักมานี้อยู่ใกล้ๆกับสวนช็องเดอมาร์ส และ wall of place ซึ่งเป็นอีกจุดถ่ายรูปที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายรูปกันค่ะ จะเป็นลานหญ้ายาวและสวนต้นไม้เรียงรายให้ชื่นชมกันตลอดค่ะ และเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จีนและอินเดียเยอะมากๆนะค่ะ ยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจากที่อื่นอีก  เรียกว่าคึกมากๆเลยจ้า

วิธีการเดินทางมายังหอไอเฟลด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro 
- หากเดินทางมาจากสถานี Opera สามารถนั่งรถไฟฟ้าสาย 8 สีม่วง สังเกตุได้ที่แผนที่จะวงกลมเลข 8 ให้ค่ะ แนะนำมาลงที่สถานี Ecole Militaire ได้ค่ะ โดยให้ไปขึ้นรถไฟฟ้าฝั่งชานชลาที่จะไป Balard นะค่ะ
- หรือนั่งรถไฟฟ้า Metro สายสีเขียวหมายเลข 6 มาลงที่สถานี Bir-Harkiem
- หรือหากพักอยู่นอกเมืองปารีสก็ นั่งรถไฟ RER สายสีส้ม ตัวอักษร C มาลงที่สถานี Champe De mars Tour Eiffel
จุดแวะถ่ายภาพสวยๆและนั่งพักผ่อนที่สวนช็องเดอมาร์ส (Champe de mar)
สำหรับจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่ดิฉันเดินมาเป็นลานหญ้าแบบนี้อยู่แถวสวนช็องเดอมาร์ส (champe de mars garden) เนื่องจากอยู่ใกล้ที่พักและรถไฟฟ้า Metro ค่ะ เพื่อนๆสามารถดูใน google map ได้นะค่ะ
หอไอเฟลในเดือนพฤษภา ดอกไม้เริงร่าช่ะช่ะช่าหัวใจ
บรรยากาศที่เดินทางมาเที่ยววันนี้ ท้องฟ้าแจ่มใส แดดจ้า แต่อากาศเย็นพอสมควรค่ะ รู้สึกริมฝีปากจะตึงๆเหมือนจะปริฉีกแตกแยกออกมาหน่อยๆ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ หอไอเฟล (Tour Eiffel)
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ หอไอเฟล มากันดูเป็นความรู้ๆเล็กๆน้อยค่ะ

หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งชื่อตามกุสตาฟ ไอเฟล สถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอคอยนี้ หอไอเฟลสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลก ในปี ค.ศ. 1889 (Exposition universelle de Paris de 1889) เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศฝรั่งเศส ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และความสวยทางศิลปะสถาปัตยกรรม หอคอยสูงงดงามแห่งนี้เป็นดาวเด่นที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงาน

ซึ่งต่อมาได้รู้จักในนามหอไอเฟลและกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส และใน ค.ศ. 2006 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ หอไอเฟล (Tour Eiffel)
หอไอเฟลเริ่มสร้างในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1887 โดยเริ่มจากการทำฐานของหอลึกลงไปถึงชั้นดินแข็ง เนื่องจากดินริมฝั่งแม่น้ำแซนมีความอ่อนมากแล้วจึงเริ่มทำตัวหอต่อจากนั้น การก่อสร้างใช้คนงาน 300 คน มีคนงานเสียชีวิต 1 คน โดยใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 2ปี 2เดือน 5วัน และมีพิธีเปิดหอไอเฟลอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1889 โดยในวันนั้น นายกุสตาฟ ไอเฟลได้นำธงฝรั่งเศสไปติดไว้บนยอดหอไอเฟล
จุดถ่ายภาพยอดนิยมที่สวนช็องเดอมาร์ส (Champe de mar)
หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel หรือตูร์แอแฟล) ถือว่าเป็นหอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนช็องเดอมาร์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส เป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย
แวะนั่งพักผ่อนถ่ายภาพที่สวนช็องเดอร์มาส์
ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กรุงปารีสได้เป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี ค.ศ. 1889 เพื่อฉลองการครบรอบ 100 ปีการปฏิวัติฝรั่งเศส ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้จัดการประกวดออกแบบสิ่งก่อสร้างเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงาน มีการส่งแบบเข้าประกวดถึง 100 บริษัท โดยบริษัทที่ได้รับเลือกจากทางกรรมการของปารีสคือแบบของบริษัทของนายกุสตาฟ ไอเฟล และได้ทำสัญญากับรัฐบาลในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1887 โดยทางรัฐบาลฝรั่งเศสกำหนดที่ก่อสร้างไว้ริมแม่น้ำแซน ปลายสวนสาธารณะช็องเดอมาร์ โดยนายกุสตาฟ ไอเฟลได้สัมปทานหอ 20 ปี โดยนับจากวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1890 จนถึงปี ค.ศ. 1910 ต่อจากนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของกรุงปารีส

เครดิตข้อมูลดีๆจากสารานุกรมเสรีวิกิพีเดีย :https://en.wikipedia.org/wiki/Eiffel_Tower
เดินย่องถ่ายภาพหอไอเฟลที่สวนช็องเดอมาร์ส (Champe de mar)
ภายในสวนช็องเดอมาร์ก็ บรรยากาศยามเช้าสวยงามดีค่ะ แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะขึ้นเรื่อยๆค่ะ

จริงๆจุดแวะถ่ายรูปสวยๆที่หอไอเฟลมีหลายจุดเลยค่ะ นอกจากที่สวนช็องเดอมาร์สแล้ว ก็ยังมีที่สวนทร็อคคาเดโร่ (Trocadero) ซึ่งเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมของเหล่าคู่รัก ที่ชอบไปถ่ายภาพกันค่ะ
ระหว่างเดินจะข้ามแม่น้ำแซนไปถ่ายภาพที่สวนทร็อคคาเดโร่ ก็มีดอกกุหลง ดอกกุหลาบให้ชื่นชมตลอดริมทาง
หอไอเฟล
เดินข้ามสะพาน ข้ามแม่น้ำแซน
บรรยากาศริมแม่น้ำแซน ก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก
มีม้าโยกด้วยนะ แต่ยังไม่เปิดให้บริการเลย
เมื่อเดินข้ามสะพานแม่น้ำแซนมาฝั่งสวนทร็อคคาเดโร่แล้ว ก็จะเห็นหอไอเฟลอีกมุมนึง แต่เสียดายวันที่ไป เค้ามีการก่อสร้างปรับปรุงสถานที่อยู่ ทำให้ต้องเสียเวลาเดินอ้อมสวนมากๆ
จุดถ่ายภาพยอดนิยม ณ ปาแลเดอชัยโย Palais de Chaillot)
เมื่อกี้อยู่ฝั่งสวนช็องเดอมาร์ส เมื่อเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำมาก็จะเป็นสวนทร็อคคาเดโร่ ซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปที่เหล่าคู่รง คู่รัก นิยมมาถ่ายภาพ Prewedding กันที่จุดนี้มากที่สุด เดี๊ยนเดินมายังเห็นเหล่าคู่บ่าวสาวจูงมือกันมาถ่ายภาพตลอดเลยค่ะ
ปาแลเดอชัยโย (Palais de Chaillot)
ลานน้ำพุที่สวนทร็อคคาเดโร และที่เห็นเป็นตึกๆใหญ่เว่อร์วังนั้นก็คือ อาคารปาลาเดอชัยโย ซึ่งเป็นจุดถ่ายภาพที่เหล่าคู่บ่าวสาวนิยมกันมาถ่ายรูป ก็อยู่ตรงนี้นี่เองนะค่ะ
 มุมถ่ายภาพยอดฮิตที่สวนทร็อคคาโรมีน้ำพุ ขมวยพ่วยพุ่งอย่างแรง
เหมือนมีคนนั่งอยู่ตลอดเวลา
หรือหากเดินไปที่จุดถ่ายภาพตรงตึกปาแลเดอชัยโย (Palais de Chaillot) ก็สวยงามเช่นกันค่ะ
มาอ่านเป็ความรู้ต่อค่ะ เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ
หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบน ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงสุดในกรุงปารีส และหากไม่นับรวมเสากระจายคลื่น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดอันดับสองในฝรั่งเศส รองจากสะพานมีโย
จุดถ่ายภาพยอดนิยมที่ลานปาแลเดอชัยโย (Palais de Chaillot)
ปัจจุบันหอไอเฟลก็มีอายุร้อยกว่าปีแล้วค่ะ และยังคงเป็นหนึ่งแลนมาร์คที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสายเลยทีเดียว เรียกว่าหอไอเฟลอันเดียว ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วทุกมุมโลกจริงๆ เพราะช่วงที่เดี๊ยนแวะเดินมา นักท่องเที่ยวสาระพัด สาระเพ ทั้งผมดำ ผมแดง โอ้ยเยอะมากๆ

แต่ตอนจะเที่ยวก็ต้องระวังมิจฉาชีพด้วยค่ะ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คนที่น่ากลัวเดี๊ยนว่าไม่ใช้คนผิวดำแล้วกระมัง น่าจะเป็นคนผิวขาวๆเนี่ยแหละค่ะ เพราะคนผิวดำที่อยู่แถวๆหอไอเฟล เดี๊ยนให้เห็นแต่ละคน หอบกระเตงขายพวงกุญแจราคา 5 เซ็นเองค่ะ เดี๊ยนว่าน่าเห็นใจเค้านะ ก็เลยอุดหนุนช่วยซื้อไปหลายพวงเลย

สรุปสำหรับเพื่อนๆที่จะมาเที่ยวปารีสและถ่ายภาพที่หอไอเฟลครั้งแรกด้วยตัวเอง
แนะนำไปสวนช็องเดอมาร์ส และสวนทร็อคคาเดโร่ หรือที่ลานตรงตึกปาแลเดอชัยโยนะค่ะ
เที่ยงกว่าๆแล้ว ได้เวลาหาอะไรทานแล้วค่ะ คงหนีไม่พ้นอาหารแบบฝรั่งเศสนะ
 และหลังจากที่แวะเดินเที่ยวชมหอไอเฟล สัญลักษณ์ของกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศสไปแล้วนะค่ะ ก็ได้เวลาลั๊ลลาหาอะไรทานแล้วค่ะ

เดี๊ยนเลยเดินชะแว๊ปแวะมาย่านใกล้ๆโรงแรมที่พักซึ่งมีร้านขายขนมปังอยู่ เห็นแล้วน่าจะอร่อยเลยเข้าไปลิ้มลองซักหน่อยค่ะ
เมนูขนมในร้านมีหลายอย่างเลย แต่ละอย่างก็น่าทานทั้งนั้นนะค่ะ อยากจะบอกว่าร้านขนมปังในปารีส มีเยอะมากๆ และคนฝรั่งเศสก็กินขนมปังเป็นอาหารหลักด้วย
 มื้อเที่ยงนี้เลยจัดไปแบบเบาๆนะค่ะ แซนวิชไก่สไตล์ฝรั่งเศส ทานคู่กับชาส่วนขนมที่เห็นเป็นชั้นๆนั้นก็คือ ทิรามิสุค่ะ
ลิ้มลองทาน ทิรามิสุ ขนมอร่อยอีกอย่างที่ต้องทานให้ได้ อร่อยมากๆ
 แต่ทิรามิสุ ขนมของเค้าอร่อยดีนะค่ะ ชอบมากๆ อยากทานอีก แต่เกรงพุงจะปลิ้นเอาค่ะ
เลยจัดไปมื้อนี้ก่อน เดี่ยวมื้ออื่นค่อยว่ากัน
 เนื่องจากติดใจขนมร้านเค้าหลายอย่าง เลยซื้อไปทานที่ห้องพักต่อค่ะ ชื่อร้านตามภาพนะค่ะ ถ้าให้เรียกเป็นภาษาฝรั่งเศส เดี๊ยนเกรงจะเรียกไม่ถูก ร้านอยู่เขต 15 ใกล้หอไอเฟลค่ะ  อยู่ในตรอก ซอกซอยหน่อยค่ะ หากมาพักย่านนี้ก็แวะมาลิ้มลองได้ค่ะ อันนี้ไม่ได้เครดิตจากร้านนะค่ะ แต่แนะนำเพื่อนที่จะมาพักแถวนี้ ก็แวะมาได้

ค่าเสียหายมื้อเที่ยงนี้ แซนวิช 4 ยูโร ชาร้อน 2 ยูโร ขนมทิรามิสุอีก 3 ยูโร รวมแล้ว 9 ยูโรจ้า
ในที่สุดก็ได้แบกเป้มาเข้าห้องพักแล้วค่ะ สภาพห้องคืนนี้ดูเก่าหน่อย เพราะโรงแรมเก่าแล้ว แต่ห้องน้ำใหม่มากๆนะ
เมื่อดิฉันได้ทานอาหารเที่ยงแนวฝรั่งเศสพอประทังท้องไปแล้ว ก็ได้เวลาเช็คอินน์เข้าห้องพักแล้วค่ะ หลังจากเมื่อเช้าฝากกระเป๋าไว้ที่ห้องพัก มาตอนบ่ายก็เอากระเป๋าขึ้นไปไว้ที่ห้องพัก มาดูสิว่าห้องพักเค้าโอเคใหม๊ ราคาห้องถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็ไม่ถูกเลยนะค่ะ

ค่าห้องพัก 3000 บาทต่อคืนรวมอาหารบุฟเฟ่ต์ พอดีเอาบัตร Gift gard ของ Agoda แลกเอา ก็เลยไม่เสียเงินสดค่ะ ประหยัดไปอีกนะ

สภาพห้องพักเก่าไปหน่อย แต่ก็กว้างขวาง สะอาด สะอ้านดูดีนะค่ะ มีห้องน้ำในตัวให้ด้วย แต่ดูทรงๆแล้ว ห้องน้ำดูใหม่ น่านอนกว่าห้องนอนมากๆ
แม่จะเก่า แต่ห้องสภาพยังดีมาก ดูกว้างขวาง มีโต๊ะให้นั่งทำงานด้วย ชอบตรงนี้แหละ อุตสาห์แบกคอมมาด้วย ถ้าไม่มีโกรธนะ
 มีโต๊ะนั่งทำงานให้ ถือว่าโอเคอยู่นะ
มีระเบียงห้องพักได้ด้วย เผื่อว่าใครที่ชอบสูบบุหรี่ เพราะในห้องพักเป็น Non smoking room
ห้องน้ำดูใหม่เอี่ยมอ่อง กว่าห้องนอนมากๆเลยนะค่ะ เหมือนจะปรับปรุงห้องน้ำใหม่ แต่ห้องนอนยังเก่าอยู่ แต่สภาพโดยรวมทั้งหมดของห้องพักให้ผ่านค่ะ แต่ยังไม่รู้ว่าอาหารเป็นยังไง เดี่ียวค่อยมารีวิวทีหลัง
และหลังจากที่ได้เช็คอินน์ เอากระเป๋าไปไว้ที่ห้องพักแล้วนะค่ะ หลังจากนั้นช่วงบ่าย ก็ได้เวลาที่ต้องไปเที่ยวต่อแล้วค่ะ โดยช่วงบ่ายนี้ ดิฉันวางแผนไปตะแล็ดแต๋ดแต่เที่ยวที่พิพิธภัณฑ์ลูบต่อค่ะ  อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่ใครแวะมาปารีสก็ต้องไปเยือนกัน

เนื่องจากเดี๊ยนเองก็เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงเรียงนาม ไม่รู้ว่าสถานที่จริงเป็นยังไง ขอเข้าไปชมดูหน่อยสิ จะได้มารีวิวได้ถูกค่ะ

เริ่มต้นการเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ลูบ ใช้บริการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro เหมือนเดิมค่ะ ต้องฝึกหัดนั่งมากๆเลยนะค่ะ ว่าไปยังไง เดินทางยังไง

อ่านในกระทู้ pantip บอกว่า จริงๆแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งเดินไปมาหาสู่กันได้นะค่ะ ก็จะได้ชมเมืองด้วย แต่ถ้าใครที่เมื่อยขา ไม่อยากเดินมาก ก็ใช้บริการรถไฟฟ้าเลยค่ะ มีทั้งรถไฟ Metro และ RER หรือนั่งรถบัสก็ได้ แต่เดี๊ยนก็ยังไม่เคยใช้บริการรถเมลล์โดยสารเค้านะค่ะ

เอาแค่นั่งรถไฟฟ้า Metro เดี๊ยนก็จะไม่รอดแล้วค่ะ เพราะบางครั้งหลงทาง หาป้ายไม่เจอ ไปผุดอีกสถานีก็มี ฮ่าๆๆ
 เดินทางด้วยรถไฟฟ้า Metro มาที่สถานี Concord เดินมาโผล่ที่ปลัสเดอลากองกอ มีชิงช้าสวรรค์ และอนุสาวรีย์เสาต้นเดียว ตระหง่านอยู่กลางเมือง ดูเป็นลานกว้างๆ ใหญ่โตโอฬารมากๆนะค่ะ อารมณ์เหมือนมาถ่ายรูปพระที่นั่งอนันตสมาคม แต่ที่นี้ดูอลังกว่ามากๆ
น้ำพุที่ลานปลัสเดอกองกอร์
มองไปอีกด้านก็เป็นประตูชัย อาร์กเดอทรียงฟ์เดอเลตวล (Arc de Triomphe)
เดียวเคยมาเที่ยวอีกที มองไปเหมือนจะใกล้ๆนะ แต่ดูแล้วน่าจะไกลเลยแหล่ะ
ทางเดินในสวนตุยเลอรี
ใกล้ๆกับปลัดเดอร์กองกอร์ ก็เป็นสวนตุยเลอรีซึ่งเป็นสวนที่อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์ลูป ซึ่งสามารถเดินไปได้ไม่ไกลคะ
 ระหว่างทางที่เดินไป หากเมื่อยขา ก็มีเก้าอี้ให้นั่งพักด้วยนะ
มีน้ำพุให้ชมอีกล่ะค่ะ แต่น้ำพุนี้ไหลไม่แรงเท่านั้นพุที่ลานปลัสเดอกองกอร์
เก้าอี้ว่างเยอะมากๆ รอคนมานั่งแต่ไม่มีใครมานั่งเลย หากใครที่แวะผ่านเดินมาทางสวนตุยเลอรี ก็มานั่งพักกันหน่อยนะคะ
 ระหว่างจะเดินไปพิพิณภัณฑ์ลูป ก็แวะชมดอกไม้ที่สวนลุยตองรี
 ที่สวนก็ยังมีดอกไม้สวยให้ชมด้วยนะคะ แต่ไม่รู้ว่าดอกไม้อะไร ลักษณะดอกเป็นสีม่วงทรงกลม ดูสวยสมเข้ากับบรรยากาศมาก กระชากใจเว่อร์ จนเป็นโรคเอ๋อไปเลยล่ะ
 ระหว่างจะเดินไปพิพิณภัณฑ์ลูป ก็แวะชมดอกไม้ที่สวนตุยเลอรี
ดอกไม้ดูน่ารักดีนะค่ะ แต่เสียดายไม่มีกลิ่นให้ดม ได้แค่ชื่นชมเท่านั้น
 บริเวณโดยรอบก็ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปนั่งเล่นหรือนอนบนลานหญ้าได้ด้วย
 ดอกม้ง ดอกไม้บางดอกก็สีสวยงาม ไม่ค่อยพบตามเมืองไทยเรานัก ยกเว้นต้องขึ้นไปบนดอยสูง
 ระหว่างจะเดินไปพิพิณภัณฑ์ลูป ก็แวะชมดอกไม้ที่สวนตุยเลอรี
 หากใครที่เดินมาเหนื่อย เมื่อยก็นั่งที่เก้าริมรอบน้ำพุได้นะค่ะ
เพราะมีเก้าอี้เรียงราย สะหยายอยู่โดยรอบให้นั่งมากมาย
 เก้าอี้วางไว้อย่างระเกะระกะ ค่อยนักท่องเที่ยวมาผงะนั่งพักชมสวนกัน
 หรือใครที่ไม่อยากนั่งรอบน้ำพุ
ก็ไปนั่งบนชิงช้าสวรรค์อันสูงชัน เพื่อชมเมืองนี้ก็สวยงามไม่แพ้กัน
 ระหว่างจะเดินไปพิพิณภัณฑ์ลูป ก็แวะชมดอกไม้ที่สวนตุยเลอรี
 บริเวณโดยรอบนี้เป็นสวนดอกกุหลาบช่อใหญ่งามวิไลยิ่งนัก ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลเย้ายวลใจจริงค่ะ
 มีนกเป็ดน้ำตัวเล็ก ตัวน้อง กำลังอ้อยสร้อย ว่ายน้ำต้อยต้อยอยู่ในบ่อน้ำพุคะ
เห็นแต่ละตัวแล้วสงสาร เพราะน่าจะหนาวเย็นมากๆนะ
เห็นดอกม้ง ดอกไม้แล้วก็สดชื่น เพราะกลิ่นหอมหวนรัญจวนจิตเหลือเกิน
 นอกจากนี้ยังมีการจัดตกแต่งสวนสไตล์ฝรั่งเศสแนวๆเก๋ให้แวะถ่ายภาพกันด้วยนะค่ะ
ดูสวยงามแปลกตาดี
Carrousel Arc de Triomphe ประตูชัยขนาดย่อม อันนี้แค่ย่อมๆนะค่ะ ถ้าไม่ขนาดย่อม คงใหญ่กว่านี้มากๆ
เดินทะลุสวนตุยเลอรีมาเรื่อยก่อนถึงพิพิธภัณฑ์ลูปก็เจอประตูชัยขนาดย่อมคะ ชื่อ Carrousel Arc de Triomphe ไม่รู้ว่าภาษาฝรั่งเศสอ่านว่ากระไร เกรงจะอ่านผิดเอาคะ
 ดูสวยงามอลังการล้านแปดมากๆนะค่ะ

เดินข้ามทางม้าลายไปอีกหน่อยก็ถึงพิพิธภัณฑ์ลูฟร์แล้วค่ะ ใหญ่โตโอฬารมากๆ
 มีรถสามล้อให้บริการด้วยนะ ไม่รู้เป็นรถคันเดียวที่มาจากเมืองไทยหรือเปล่า เพราะนำมาทาสีใหม่เอี่ยมอ่องเชียว
 ปีระมิดสามเหลี่ยมกระจกใสที่เคยเห็นแต่ในเน็ต เรียกว่า พีระมิดลูฟว์ มาเห็นของจริงก็สวยงาม รอบด้านก็อลังการไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมสวยงาม
Pyramide du Louvre พีระมิดลูฟวร์
ใหนๆแวะมาทั้งที ต้องไม่พลาดแวะไปชมพิพิธภัณฑ์ด้านในกันค่ะ โดยต้องเข้าทางกระตูปีระมิดสามเหลี่ยมนี้แหละค่ะ วันที่ไปเที่ยว ก็มีนักเดินทางแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสายเลยนะค่ะ เรียกว่าเยอะมากๆ

ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ อ่านดูเป็นความรู้กันสักนิดค่ะ 

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (ฝรั่งเศส: Musée du Louvre) หรือในชื่อทางการว่า the Grand Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์กาเปเซียง โดยตัวอาคารเดิมเคยเป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมากกว่า 35,000 ชิ้น จากตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงศตวรรษที่ 19 อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่งแอนทีออก ในปี พ.ศ. 2549

โดยพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกและยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส
เครดิตข้อมูลดีจากสารานุกรมเสรีวิกิพีเดีย : https://en.wikipedia.org/wiki/Louvre

 พีระมิดและโถงทางเข้าที่อยู่ข้างใต้ สร้างขึ้นเนื่องจากทางเข้าเดิมของลูฟวร์ไม่สามารถรองรับจำนวนผู้มาเยือนที่มีมากในแต่ละวันได้อีกแล้ว ผู้มาเยือนที่เข้าจากพีระมิดจะลงไปโถงทางเข้ากว้างขวาง แล้วกลับขึ้นไปยังอาคารหลักของลูฟวร์ พิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่งได้นำแนวคิดนี้ไปใช้ เช่น Museum of Science and Industry ในชิคาโก การก่อสร้างพีระมิดและโถงทางเข้าใต้ดินดำเนินการโดย Dumez
กระจก 666 แผ่น : ตำนานเมืองที่เล่าขานกันมา
 พีระมิดลูฟวร์ อีกหนึ่งจุดแวะเที่ยวที่น่าสนใจในกรุงปารีส ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย

สาระน่ารู้ เกี่ยวกับ กระจก 666 แผ่น : ตำนานเมือง 

พีระมิดลูฟวร์ (อังกฤษ: Louvre Pyramid) เป็นพีระมิดที่สร้างขึ้นจากกระจกและโลหะ มีพีระมิดขนาดเล็กกว่า 3 หลังตั้งอยู่โดยรอบ ตั้งอยู่ที่ลานหน้าพิพิธภัณฑสถานลูฟวร์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทำหน้าที่เป็นทางเข้าหลักของพิพิธภัณฑ์ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2532 และกลายเป็นหนึ่งในจุดสังเกตของกรุงปารีส

การก่อสร้างพีระมิดนี้มอบหมายโดยฟร็องซัว มีแตร็อง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2527 ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป่ย สถาปนิกที่เคยรับผิดชอบการออกแบบ Miho Museum ที่ญี่ปุ่น โครงสร้างพีระมิดนี้สร้างขึ้นจากแผ่นกระจกทั้งหลัง มีความสูง 20.6 เมตร ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีความยาวด้านละ 35 เมตร ประกอบขึ้นจากแผ่นกระจกรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน 603 แผ่น และแผ่นกระจกรูปสามเหลี่ยม 70 แผ่น

บางคนกล่าวอ้างว่าแผ่นกระจกบนพิระมิดลูฟวร์มีทั้งหมด 666 แผ่น ซึ่งเป็น "number of the beast" ที่มักจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับซาตาน ผู้สนใจด้านประวัติศาสตร์จำนวนมาก ตัวอย่างเช่น หนังสือของ Dominique Stezepfandt ที่มีชื่อว่า François Mitterrand, Grand Architecte de l'Univers ได้กล่าวไว้ว่า "พีระมิดถูกอุทิศให้แก่พลังที่เล่ากันว่าเป็น Beast ใน พระคัมภีร์วิวรณ์ (...) โครงสร้างทั้งหลังมีรากฐานอยู่บนเลข 6"

เรื่องราวของกระจก 666 แผ่นเริ่มต้นขึ้นเมื่อราวทศวรรษที่ 1980 (พ.ศ. 2523-2532) โดยแผ่นพับโฆษณาอย่างเป็นทางการที่ตีพิมพ์ระหว่างการก่อสร้างได้กล่าวอ้างถึงตัวเลขนี้ถึงสองครั้ง แต่หน้าก่อน ๆ ในแผ่นพับกล่าวไว้ว่ากระจกมี 673 แผ่น ตัวเลข 666 ยังถูกกล่าวถึงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ อย่างไรก็ตาม พิพิธภัณฑสถานลูฟวร์ได้แถลงว่า พีระมิดประกอบขึ้นจากแผ่นกระจก 673 แผ่น (รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน 603 แผ่น และรูปสามเหลี่ยม 70 แผ่น) [4] มีผู้พยายามนับจำนวนแผ่นกระจกบนพีระมิดอยู่หลายครั้ง โดยแต่ละครั้งจะนับได้จำนวนที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่จะมากกว่า 666 แผ่นทุกครั้ง
 เครดิตข้อมูลดีๆจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Louvre_Pyramid 

พอเดินเข้ามาในกระจกพีระมิดก็ลงบันใดเลื่อนสู่ชั้นล่าง เป็นห้องโถ่งชั้นใต้ดินดูกว้างขวางใหญ่โต 
 จากนั้นก็เดินมาซื้อตั๋วบัตรเข้าชมค่ะ
วันที่ไปโชคดีเพราะคนไม่เยอะแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าคนมาช่วงเช้าและบางคนก็ซื้อตั๋วมาแต่เนิ่นๆ เพราะบางทีคนแน่นมากๆ 
ค่าธรรมเนียมบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ (Louvre Museum) อยู่ที่ 15 ยูโรค่ะ ซื้อที่พิพิธภัณฑ์เลยนะค่ะ แต่ถ้าซื้อทางออนไลน์ 17 ยูโรค่ะ แพงกว่าซื้อหน้าเคาว์เตอร์ 2 ยูโรค่ะ

ส่วนเวลาเปิดทำการของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เปิดตั้งแต่วันพุธ - วันจันทร์
Monday: 9 a.m.–6 p.m.
Tuesday: Closed.
Wednesday: 9 a.m.–9:45 p.m.
Thursday: 9 a.m.–6 p.m.
Friday: 9 a.m.–9:45 p.m.
Saturday: 9 a.m.–6 p.m.
Sunday: 9 a.m.–6 p.m.
หยุดทุกวันอังคาร
หากเพื่อนที่วางแผนไปเที่ยว วางแผนไว้ให้ดีๆนะค่ะ
หรือเข้าไปดูข้อมูลพิพิธภัณฑ์เพิ่มเติมที่เว็ปไซต์ : https://www.louvre.fr/en/hours-admission-directions

แผนที่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

 เนื่องจากเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่โตเว่อร์วังอลังการสะท้านโลกามากๆนะค่ะ
โดยตอนซื้อบัตรเข้าชมก็จะได้แผนที่มาให้ด้วย เป็นแผ่นพับเปิดดูได้ตลอดว่าตอนนี้อยู่ใหนแล้ว


 ตอนแรกดิฉันวางแผนไว้ว่าจะเดินไปชมภาพโมนาลิซ่าก่อน แต่ดูท่าแล้วคนจะเยอะมากๆ ก็เลยมาในส่วนของห้องแสดงภาพหุ่นและประติมากรรมก่อนค่ะ
 เข้ามาในห้องนี้ ก็จะเต็มไปด้วยประติกรรมหุ่นต่างในพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงไว้อย่างสวยงาม
ดูภาพหุ่นผู้ชายคนนี้สิ สวยงาม หยดย้อย ผมยาวเฟื้อยเหมือนแม่หญิงเลยนะค่ะ
 หุ่นบางตัวก็มีท่าทางที่เหมือนคนและมีชีวิตชีวามากๆ  ดูภาพหุ่นผู้ชายคนนี้สิ สวยงาม หยดย้อย ผมยาวเฟื้อยเหมือนแม่หญิงเลยนะค่ะ
ดูประติมากรรมหุ่นหินนี้ เป็นรูปผู้หญิงดูเหมือนจริงมากๆนะค่ะ

มีการจัดแสดงภาพวาดฝาผนังสวยงาม 
มีการจัดแสดงของล่ำค่าให้ได้ชมกันด้วย บางอย่างดูสวยงามมากๆ ดูแล้วน่าจะประเมินค่าไม่ได้เลยทีเดียว
 เดินไปเรื่อย เมื่อยขาเหมือนกันนะค่ะบางครั้งก็หยุดสต๊อปนั่งพักขาอยู่นานพอสมควร
บางห้องก็จัดตกแต่งวาดรูปผนังสไตล์บาร็อค งดงามดูงดงามหรูหรา อลังการล้านแปดมากๆ
หลังจากที่เดินวนเวียน ชมที่ห้องจัดแสดงอื่นๆอยู่นาน ก็ถึงห้องจัดแสดงภาพโมนาลิซ่าแล้วค่ะ ซึ่งเป็นภาพดังที่เหล่านักท่องเที่ยวต่างแวะมาชมภาพจริงสักครั้ง เพราะเคยเห็นแต่ในอินเตอร์เน็ต และในหนังสือ อยากมาเห็นภาพจริงๆดูบ้างสิ ว่าสวยงามแค่ใหน
 ระหว่างทางเดินเข้าไป ก็จะเห็นนักเรียนกำลังนั่งฟังวิทยากรในพิพิธภัณฑ์อธิบายรูปภาพแต่ละรูปให้ฟังด้วยค่ะ เสียดายวิทยากรไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ เพราะพูดแต่ภาษาฝรั่งเศส เดี๊ยนเลยฟังไม่รู้เรื่องเลย ถ้าพูดภาษาอังกฤษน่าจะพอฟังได้บ้างสักกะติ๊ดนึงนะ
ถึงแล้วค่ะ จุดชมภาพโมนาลิซ่าอันมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งโลกา ที่เหล่านักเดินทางทั่วโลก ต่างต้องมาชะโงกชมกันสักครั้ง และเดี๊ยนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น มาเป็นคนบ้ากับเขาด้วย อุตสาห์เดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาไกล แถมยังต้องมาหลงทางในพิพิธภัณฑ์อีกนะค่ะ เพราะพิพิธภัณฑ์ใหญ่โตมากๆ
ภาพโมนาลิซ่าในพิพิภัณฑ์ลูฟวร์ (Mona Lisa at Louvre Museum in Paris )
ภาพโมนาลิซ่าในวันที่ถ่ายมาได้ เอียงหน่อย เพราะเดี๊ยนเองไม่สามารถมุดตัวไปอยู่ตรงกลางได้ เนื่องจากมวลมหาประชานักท่องเที่ยว ต่างก็เบียดเสียดเข้าไปถ่ายรูปด้านใน ที่จุดชมภาพ ก็มีการจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไว้อย่างหนาแน่นเลยนะค่ะ

สาระน่ารู้เกี่ยวกับภาพโมนาลิซ่า ทำไมถึงได้โด่งดังจัง ??

โมนาลิซา (อังกฤษ: Mona Lisa) หรือ ลาโจกอนดา (อิตาลี: La Gioconda) หรือ ลาโชกงด์ (ฝรั่งเศส: La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507) เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลกภาพหนึ่ง เป็นที่รู้จักในฐานะภาพของสุภาพสตรีที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ภาพโมนาลิซานี้ถูกวาดโดย ดา วินชี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2046 ถึง พ.ศ. 2050 ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการวาดในปี ค.ศ. 1516 (พ.ศ. 2059) ดา วินชีได้นำภาพจากอิตาลีไปที่ฝรั่งเศส ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟร็องซัวที่ 1 ที่ทรงปรารถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Lucé ใกล้กับปราสาทในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซา ในราคา 4,000 เอกือ

และในปี ค.ศ. 1519 (พ.ศ. 2062) ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 67 ปีรูปใบหน้าของมาดามลิซา
 และตอนที่ ดา วินชี เสียชีวิตแล้วได้ยกสมบัติและภาพวาดทั้งหมดให้เป็นมรดกของผู้ติดตามของเขา ฟรานเซสโก เมลซิ (Francesco melci) และเมื่อฟรานเซสโก เมลซิ เสียชีวิตลงก็ไม่ได้ยกมรดกให้ใคร มรดกก็เริ่มกระจัดกระจายและต่อมาภาพโมนาลิซาถูกนำไปเก็บไว้ที่ พระราชวังฟงเตนโบล ต่อมาก็ในพระราชวังแวร์ซาย หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ถูกไปนำเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในห้องสรงของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ในพระราชวังตุยเลอรี แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม
รูปอื่นๆที่จัดแสดงในห้องเดียวกันก็สวยนะค่ะ แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจรุมถ่ายกันเลย ส่วนใหญ่ก็มุ่งไปชมที่ภาพโมนาลิซ่าอย่างเดียวเลย
 หลังจากที่ได้เดินชมในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อยู่นานหลายชั่วโมงเลยค่ะ ดิฉันเข้าไปชมในพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่บ่ายสองโมง จนถึงเวลา 5 โมงเย็นกว่าๆ เรียกว่าเดินในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จนขาลากเลย ก็ได้เวลาบ๊ายๆ ขอตัวเดินทางกลับที่พักค่ะ
บรรยากาศยามเย็นที่ฝรั่งเศส แดดยังเปรี้ยงอยู่เลยนะค่ะ ไม่เหมือนบ้านเรา 5 โมงเย็น ก็จะมืดแล้ว ที่นี้ยังสว่างอยู่เลยค่ะ
 บริเวณโดยรอบก็มีที่นั่งพัก หรือใครที่รักการถ่ายภาพ ก็ไปกระชากกดชัตเตอร์ถ่ายรูปให้เครื่องเอ๋อเหรอพังไปเลยก็ดีนะค่ะ เพราะประติมากรรมปูนปั้นที่นี้ก็สวยงามคลาสสิคแปลกตาดีทีเดียวค่ะ
เดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ก็มานั่งพักขาต่อค่ะ เมื่อยขามากๆ บรรยากาศยามเย็นดูคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว แวะมาถ่ายภาพอย่างต่อเนื่องๆ โดยเฉพาะลานพีระมิดลูฟวร์แห่งนี้  ในช่วงค่ำน่าจะสวยงามมากๆ แต่ยังไงก็แล้วแต่ ดิฉันเองขอบ๊ายๆนะค่ะ เพราะหิวมากๆเลย
พิพิธภัณฑ์ลูปในช่วงยามเย็น
หลังจากที่ได้เดินทางและแวะเที่ยวมาทั้งวัน อาหารเย็นมื้อนี้ ขอทานอาหารจีนแล้วกันค่ะ เนื่องจากยังไม่คุ้นกับอาหารฝรั่งเศสมากนัก พอดีใกล้ๆกับที่พัก มีร้านขายอาหารจีนอยู่ 2-3 ร้านได้ให้เลือกทาน เดี๊ยนเลยแวะไปอุดหนุนลิ้มลอง น่าจะทำให้ทานเท่าอาหารไทยได้ แต่อาหารจีนที่นี้ตักขายเป็นกร้ัมนะค่ะ ไม่ได้ราดข้าวขายเป็นจานเหมือนบ้านเรา ดังนั้นต้องปรับตัวเรื่องการใช้จ่ายหน่อยค่ะ

จบทริปไป 1 วันค่ะ มาดูสิว่ารีวิวการเดินทางเที่ยวปารีสในวันแรกนี้ หมดค่าใช้จ่าย และค่าเสียหายไปกี่ยูโร
ค่าอาหารเที่ยงมื้อกลางวัน+ขนมนมเนย อบเชยรสเด็ดใส่ถุงมาด้วย 12.6 ยูโร
ค่าอาหารเย็น 9 ยูโร
ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ 15 ยูโร
ค่าบัตรโดยสาร Metro แบบซื้อยกชุด 10 ใบ (ตั้งแต่รีวิวก่อนหน้านี้) 14.9 ยูโร
ค่าห้องพัก 2 คืนไม่เสียค่าใช้จ่ายเนื่องจากใช้ Gift Card ใน Agoda มาแลกประหยัดไปอีก
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 51.5 ยูโร

สำหรับบทความรีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 1 ก็ขอจบเพียงเท่านี้นะค่ะ ยังไงเดียวต่อต่อไปจะพาเพื่อนทุกท่านไปเที่ยวที่ใหน เดีียวมาเขียนต่อค่ะ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกคนที่สละเวลาอันมีค่า เข้ามาลั๊ลลาอ่านบทความบล็อกของคนบ้าเที่ยวไปเร่ื่อยเปื่อย รูปภาพก็ไม่สวย ธรรมด๊า ธรรมดา แต่ก็เข้ามาดูกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกในเว็ปบล็อกถัดไปนะค่ะ จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
---------------------------------------------------------------------------
แนะนำบทความอื่นๆ และรีวิวท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อยตามเมืองต่างๆ มีดังนี้ (จะทยอยเขียนเพิ่มเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เว็ปบล็อกร้างไปค่ะ)
วมเด่น 8 เมืองท่องเที่ยวในฝรั่งเศส มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลย>>
แนะนำ 8 เมืองน่าเที่ยวในฝรั่งเศส ที่คนนิยมไปเสพสุขถ่ายภาพสวยๆโรแมนติกกัน มีที่ใหนบ้าง คลิ๊กดูข้อมูลที่เที่ยวจ้า>>>
รวม12 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในกรุงปารีส ที่คู่รักสายจี๊ด แวะไปกัน คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
รวมเด็ด 12 ที่เที่ยวในกรุงปารีส ที่เหล่าคู่รักสายจี๊ด ต้องไปถ่ายรูปให้แซ่บซี๊ดกันสักครั้ง มีที่ใหนบ้างนั้น คลิ๊กตามไปเที่ยวดูกันเลย>>
เอาใจคู่รัก แนะนำโรงแรมปารีส ราคาประหยัด ใกล้สถานีรถไฟ คลิ๊กดูที่พัก>>
เอาใจคู่รัก แนะนำโรงแรมน่าพักในปารีส ราคาถูก ใกล้สถานีรถไฟ ใกล้หอไอเฟล สะดวกสบาย คลิ๊กดูข้อมูลที่พัก+เบอร์โทรติดต่อ>>>
แนะนำ 8 เขตโซนที่พักกรุงปารีส พร้อมแผนที่มาให้พิจารณากันจ้า>>
จะไปเที่ยวกรุงปารีส พักโซนใหนดี ขอแนะนำ 8 เขตโซนที่พักพร้อมแผนที่มาให้เพื่อนๆได้เลือกกันจ้า คลิ๊กดูเขตโซนที่พัก>> 
หรือดูข้อมูลโซนในปารีสที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2z6cOxa
เปิดโลกกว้างเที่ยวเมืองเซลอัมซี (Zell am See) เมืองนี้ มีที่เที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>>
แบ่งปันทริปท่องโลกกว้าง เที่ยวเมืองเซลอัมซี เมืองน่ารัก มีจุดนั่งพักถ่ายรูปสวยๆ ไปดูสิว่ามีที่เที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
รีวิวเที่ยวมิวเซียมสยาม แหล่งเรียนรู้สุดเก๋ไก๋ มีอะไรอัพเดทใหม่บ้าง ตามไปเที่ยวกันเลย>>
รีวิวพาเที่ยวชมมิวเซียมสยาม แหล่งเรียนรู้ไทยๆสุดเก๋ไก๋ มีอะไรอัพเดทใหม่ๆให้ชมบ้าง ตามไปดูกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวและที่เที่ยวค่ะ>>>

แบ่งปันรีวิวเที่ยวขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ไปถ่ายรูปวิวสวยงาม คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
มาเด้อมาเที่ยวเมืองขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ขับรถไปถ่ายรูปชมวิวต่างๆ มีที่ใหนเช็คอินบ้าง ตามไปเที่ยวกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
รีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถขับตะลอนไปชมสถานที่ต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ>>
มาม๊ะ..มารีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถออนซอน ตะลอนไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวเวียงจันทร์ 1 วัน ไป-กลับ ขยับเดินชมตามที่เที่ยวต่างๆ มีอะไรบ้าง>>>
เก็บตก รีวิวเที่ยวเวียงจันทร์ 1 วัน ไปเช้า-เย็นกลับ มีที่เที่ยวอะไรให้ชื่นชมกันอีกบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวแบกเป้เที่ยวหนองคาย เมืองนี้มีอะไรมากมายให้ชมจริงๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวจ้า>>
มาเด้อมารีวิวเที่ยวหนองคาย 3 วัน 2 คืน ไปชื่นชม ภิรมย์ใจตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>

รีวิวแบกเป้เที่ยวเมืองอินสบรูค 2 วัน 1 คืน มีที่เที่ยวอะไรให้ชมบ้าง ตามไปดูกันค่ะ>>
แบ่งปันรีวิวแบกเป้เที่ยวอินส์บรูค 2 วัน 1 คืน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ชื่นชมกันบ้าง ตามไปดูกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
แบ่งปันรีวิวเดินทางไปชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิววิธีการเดินทางไปเที่ยวชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝากใน 1 วัน มีที่เที่ยวอะไรให้ชมอีกบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวพาชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกรุงเทพ เสพความรู้แบบไทยๆ ไปชมกันเลย>>
พารีวิวเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกรุงเทพ เสพความรู้แบบไทยๆ เดินชมในนิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้ คลิ๊กดูรายละเอียดภาพรีวิวค่ะ>>>
หรือดูรายละเอียดที่ : http://bit.ly/2l05FdT
รีวิวเที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
เที่ยวนครนายกไม่มีรถส่วนตัว ก็เช่ารถมอเตอร์ไซต์เที่ยวไปทั่วได้ด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิว>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวนครนายก ไม่มีรถส่วนตัว ก็เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับเที่ยวไปทั่วได้ใน 1 วันแบบชิลๆ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวจ้า>>>
รีวิวพาไปเที่ยวเมืองอูล์ม เมืองน่ารักที่ไม่เป็นแค่ทางผ่าน คลิ๊กดูสถานที่ท่องเที่ยวจ้า>>
แบ่งปันรีวิวแบกเป้ลุยเดี่ยวพาไปเที่ยวเมืองอูล์ม(Ulm) เมืองน่ารัก ที่ไม่ได้เป็นแค่ทางผ่าน แต่ก็มีสถานที่ให้ยลตระการอยู่ไม่น้อย คลิ๊กดูรายละเอียดที่เที่ยวจ้า>>
แบ่งปันรีวิวพาไปชมเมืองสตุทการ์ท มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง ตามไปกันเลย>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวพาไปเที่ยวเมืองสตุทการ์ท มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ มีที่เที่ยวอะไรให้ชมอีกบ้าง ตามไปเที่ยวกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวจ้า>>>

แบ่งปันการเดินทางในเกาะซานโตรินีด้วยตัวเองง่ายๆ คลิ๊กดูรายละเอียดจ้า>>
รีวิวแบกเป้ตอนที่ 25 แบ่งปันวิธีการเดินทางเที่ยวเกาะซานโตรินีด้วยตัวเองมาฝาก ไม่ยากเลยจ้า ลองแวะไปเที่ยวกันดูนะคะ คลิ๊กดูภาพรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
หรือดูรีวิวการเดินทางที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2p5eQZf
รีวิวตอนที่ 20 เที่ยวกรุงโรม ไปจู่โจมอาณาจักรโรมันสักครั้งสิ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวตอนที่ 20 แบกเป้เที่ยวกรุงโรม แวะไปจู่โจมอาณาจักรโรมัน มีที่เที่ยวอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยจ้า คลิ๊กดูภาพรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2BI8ckL
รีวิวตอนที่ 17 แบกเป้ไปเที่ยวเมืองมิลาน มีอะไรให้ชมบ้างนะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ขยันลุยเดี่ยว ตอนที่ 17 นั่งรถไฟข้ามพรมแดนมาเริ่ดสะแมนแตนที่เมืองมิลาน มาดูมีที่เที่ยวใหนให้ยลตระการบ้าง คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2AWC1xk
รีวิวลุยเดี่ยวตอนที่ 14 แบกเป้ไปชมความน่ารักที่เมืองกอลมาร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้เที่ยวยุโรป ตอนที่ 14 แบกเป้จรลีไปที่เมืองกอลมาร์ เดินลั๊ลลาชมเมืองเก่าสุดน่ารักโรแมนติค คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2uQBBTE

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น