Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

รีวิวเที่ยวกรุงเทพ 1 วัน เสพสุขสันต์รับความเย็นซ่า ลอยละล่องไหว้พระตามแม่น้ำเจ้าพระยา สุขอุราชื่นบาน ซาบซ่านถึงทรวงใน

บทความรีวิวท่องเที่ยวประจำเดือนเมษายนนี้ ขอมาเที่ยวในกรุงเทพ เสพสุขสันต์ล่องเรือไหว้พระทำบุญสุนทาน แสนเบิกบานใจจ้า
ก็ขอสวัสดี๊ดี สวีดั๊ดดัดเพื่อนๆพี่ๆน้องผองชาวไทยและชาวโลกออนไลน์ที่น่ารักสดใส งามไฉไลผ่องศรี รื่นฤดีความหวาน ร้าวรานจับใจกันอยู่ ณ ขณะนี้นะค่ะ ดิฉันคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน ขอมาเว้าวอน ออนซอนต้อนรับท่านเข้าสู่เว็ปบล็อกแนะนำที่พัก รีวิวท่องเที่ยว เขียนจนโลกเบี้ยวไปเรื่อยเปื่อย แนวๆบ้าๆบอๆ โกโรโกโส สับปะรังเค ให้ท่านได้สรวญเสเฮฮา อ่านกันจนปวดเศียรเวียนเกล้า กินมะม่วงมะนาวโห่ก็ไม่หายบ้า ไปโรงพยาบาลศรีธัญญา หมอก็ไม่รับรักษาแล้วจ้า มาม๊ะ..มาเป็นคนบ้าเที่ยว บ้าเขียนบล็อกด้วยกันค่ะ

และเพื่อไม่ให้บทความในเว็ปบล็อกนี้ร้างไปนะค่ะ บทความในวันนี้ เดี๊ยนขอมาเขียนรีวิวท่องเที่ยวพร่ำเพร้อ บ้าๆบอๆ ให้เพื่อนๆทุกท่านได้สไลด์ดูภาพกันจนเอ๋อเหรอกันค่ะ ภาพไม่สวย หรือข้อความตกหล่นต้องขออภัยด้วยนะค่ะ เพราะถ่ายไปเรื่อยเปื่อยจริงๆค่ะ ไม่เน้นสวย แต่เน้นบรรยาย มากมายโอเว่อร์ ปรนเปรอความสุข สนุกครืนเครง บรรเลงจับใจ งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนจ้า
วันสงกรานต์ไทย วันหยุดยาวๆแบบนี้ หากไม่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด เชิญท่านมาสลัดความว้าวุ่นใจ ไหว้พระทำบุญกันนะค่ะ
เนื่องจากในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมานั้น หลายคนที่อยู่ต่างจังหวัด ก็คงจะได้เดินทางกลับบ้านไปรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และทำบุญไหว้ เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานชื่นบานใจแล้วนะค่ะ แต่ก็มีหลายๆคนที่ไม่ได้เดินทางกลับบ้าน รวมทั้งตัวของเดี๊ยนเองด้วย ปีนี้ไม่ได้จรลีกลับไปบ้านค่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่เดี๊ยนจะเดินทางกลับบ้านนอก(เซาะกราว)ในช่วงหลังสงกรานต์ เนื่องจากเดินทางได้สะดวกสบายกว่า

และในช่วงวันสงกรานต์ประจำปี 2561 นี้ เดี๊ยนเองก็ขออวยพรให้เพื่อนๆพี่ๆและน้องๆทุกท่าน จงแต่มีความสุขความเจริญ สุขภาพร่างกายแข็งแรง หน้าที่การงานรวมทั้งกิจการเจริญก้าวหน้า มีเงินมีทองใช้ท่วมฟ้าอย่าได้ขาด และเดินทางท่องเที่ยวไปที่ใหน ก็ขอให้ปลอดภัยโดยสวัสดิภาพ แคล้วคลาดจากภยันอันตราย มีชีวิตสุขสบายกันทุกๆคนเลยนะค่ะ 

โดยในวันหยุดยาวๆช่วงเทศกาลสงกรานต์แบบนี้ เดี๊ยนไม่รู้จะไปเที่ยวใหนดี ตอนแรกกะจะออกไปต่างจังหวัดนะค่ะ แต่ดูท่าคงไม่ไหวกระมังค่ะ เพราะดูข่าวสารบ้านเมืองแล้ว ทั้งรถราและสถานที่ท่องเที่ยวก็เนืองแน่นไปด้วยมวลมหาประชาชนที่ล้มหลาม ออกมาสาดน้ำกันอย่างเย็นฉ่ำ..คิดไปคิดมาก็เลยออกไปเที่ยวในกรุงเทพเนี่ยแหละค่ะ และอีกอย่างก็ไม่ค่อยจะเที่ยวกรุงเทพเท่าใดนักเลยนะค่ะ

จริงๆแล้วในกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์แห่งนี้ มีแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดตาและตราตรึงใจ ประทับซึ้งอยู่ในห้วงดั่งดวงหทัยมากมายเลย แต่เดี๊ยนเองก็ไม่ค่อยจะไปเที่ยวและมาเขียนลงในเว็ปบล็อกเท่ามากนัก....เหมือนตามสุภาษิตที่กล่าวไว้ว่า ใกล้เกลือกินด่าง หมายถึงว่า ในกรุงเทพนี้มีที่เที่ยวมากมาย แต่ก็ไม่ค่อยไปเที่ยว แต่จะไปเที่ยวตามต่างจังหวัดมากกว่าในกรุงเทพ เดี๊ยนว่าดูท่าจะจริงนะค่ะ แหม่..หน้าตีตัวเองมากๆค่ะ

ด้วยในช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ เดี๊ยนเลยจัดทริปเที่ยวกรุงเทพ ขอล่องเรือไหว้พระตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ดีกว่าค่ะ เที่ยวในเมืองเนี่ยแหละค่ะ เริ่ดๆเชิ่ด สนุกสนาน เย็นฉ่ำชื่นบานใจ แม้อากาศจะร้อนเร้าแค่ใหนก็ไม่หวั่นจ้า

และทริปนี้วางแผนนัดเพื่อนสาวไว้ นางไลน์บอกว่าจะไปเที่ยวด้วยนะค่ะ แต่ไปๆมาๆนางก็ขอยกเลิกนัดซะงั้น เพราะติดธุระขายของที่บ้าน เดี๊ยนก็เข้าใจ เพราะนางยุ่งมากๆ เดี๊ยนเลยขอไปฉายเดียวเที่ยวคนเดียวอีกเช่นเคยที่ผ่านค่ะ แต่นางโทรมานัดเลยนะค่ะว่าจะมาทานข้าวตอนเย็นกับเดี๊ยนให้ได้ และมีอีกเหตุผลที่นางไม่อยากมาคือ "นางกลัวเปียกค่ะ" ดูท่าจะจริงนะค่ะ แหม่...เทศกาลสงกรานต์ทั้งที ยังไงก็ต้องเปียกค่ะ ถ้าไม่อยากเปียก ใส่เสื้อกันฝนออกมาก็ได้ไม่เปียกแน่นอนจ้า

โอ้ยบ่นพร่ำเพร้อมาเยอะมากๆ ขอไม่เสียเวลา สาเวเลียไปมากกว่านี้ มาบรรยาย ร่ายตามภาพรีวิวท่องเที่ยวให้เพื่อนได้ดูกันดีกว่าค่ะ ว่าสงกรานต์ปีนี้ คุณนายเว่อร์ เธอเป็นบ้าไปแล้วนี้ แวะไปฉิมพลีที่วัดใหนบ้างค่ะ
เริ่มต้นเที่ยววันหยุดสงกรานต์นี้ ดิฉันขับมอเตอร์ไซต์ลุยเดียวจากห้องพักเดินทางไปยังอำเภอปากเกร็ดก่อนเลยค่ะ.....โดยวัตถุประสงค์เพื่อไปทำบุญ ทำทานบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือสถานสงเคราะห์ต่างๆที่ปากเกร็ดซึ่งมีหลายแห่ง แต่จริงๆแล้วอยากมาทานข้าวแช่ค่ะ ไม่ได้ทานนานแล้วนะค่ะ...และอีกอย่างเมื่อเช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลยค่ะ เลยหาเรื่องแวะมาปากเกร็ด นอกจากจะมาทานข้าวแช่ ก็เลยแวะมาทำบุญด้วย

โดยแวะมาบริจาคเงินที่สถานสงเคราห์บ้านราชาวดีหญิง และบ้านราชาวดีชาย
โดยในเทศกาลสงกรานต์เป็นวันมงคล ฤกษ์งามยามดีที่เดี๊ยนอยากแนะนำเพื่อนๆทำสิ่งดีๆกันค่ะ

หากใครที่กำลังวางแผนมาเที่ยวทำบุญที่ปากเกร็ด
ก็อย่าลืมระเหินระเห็ดมาเด็ดบุญกุศล เติมบุญทำทานตามสถานสงเคราะห์นะค่ะ
มาร่วมสะสมเสบียงบุญ เกื้อหนุนค้ำจุนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้เมืองไทยเรานี้น่าอยู่ค่ะ

การ์ดส่งความสุขจากฝีมือของเด็กจากสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพิการ
จากนั้นก็บริจาคเงินต่อที่สถานสงเคราะห์บ้านเฟื่องฟ้า
ที่มูลนิธิมีการ์ดส่งความสุขจากฝีมือของเด็กด้วย
 ราคาการ์ดจากฝีมือของเด็กที่สถานสงเคราะห์ไม่แพง ใบละ 10 บาท
เด็กๆวาดภาพได้สวยงาม สือได้ลึกซึ้งกินใจ แค่มองไปแค่เห็นรอยยิ้มข้างในแล้วค่ะ
บริจาคเงินที่สถานสงเคราะห์บ้านเฟื้องฟ้าเพื่ออุปการะเลี้ยงดูเด็กพิการ
 สำหรับเงินดังกล่าวที่เราได้ร่วมบริจาคไปนี้ จะเป็นเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษา และค่าอาหาร ค่าวัสดุอุปกรณ์ต่างๆในสถานสงเคราะห์ ซึ่งนับวันเด็กในสถานสงเคราะห์ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ
จักรยานสามล้อถีบยังมีให้เห็นเป็นสง่าอยู่ที่ท่าน้ำปากเกร็ด เด็ดสะระตี๋ ดูย้อนยุคดียิ่งนัก
หลังจากที่ได้ทำทานตามสถานสงเคราะห์แล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็แว๊นๆขับมอเตอร์ไซต์มาที่วัดสนามเหนือ เพื่อจะนั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะเกร็ด จุดประสงค์คือ ไปทานข้าวแช่อย่างเดียวค่ะ เน้นๆนะค่ะ อยากทานมากๆ ไม่ได้ทานนานแล้ว ตอนนี้หิวมากๆแล้วด้วย ฮ่าๆๆ
พอมาถึงวัดสนามเหนือก็แทบจะเป็นลมเลยค่ะ เพราะมีนักท่องเที่ยวเรียงคิวเข้าแถวกันยาวเหยียดมากๆเพื่อจะรอนั่งเรือข้ามฟากไปเกาะเกร็ด เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวคนก็มาเที่ยวเยอะ และอีกอย่างอากาศก็ร้อนมากๆด้วยสิ เนี่ยขนาดตอนประมาณ 9 โมงเช้านะคะ คนยังเยอะขนาดนี้เลย แต่ละคนที่มาก็ตั้งใจมาเที่ยว ช๊อปปิ้งและไหว้พระกันทั้งนั้นเลยค่ะ
 เนื่องจากเดี๊ยนไม่อยากเรียงแถวรอนาน ก็เลยขอมาใช้บริการเรือหางยาวแทนค่ะ เร็วกว่าค่ะและก็แพงกว่ามากด้วย ข้ามฟากไปเกาะเกร็ด 20 บาท แต่ถ้านั่งเรือข้ามฟากปกติ 2 บาทค่ะ
เกาะเกร็ด OTOP Village Champion in Koh Kred Nonthaburi Province
นั่งเรือหางยาวๆมาแป๊บเดียว เร็วมากๆค่ะ จากนั้นก็ขึ้นที่ท่าเรือใกล้เจดีย์เอียงเกาะเกร็ดเลย แล้วก็ไปไหว้พระทำบุญ ปิดทองให้หน้านวลผ่อง รับสิ่งดีๆในวันปีใหม่ไทย ที่อุโบสถวัดปรมัยยิกาวาส ตอนนี้กำลังปรับปรุงอยู่ค่ะ จากนั้นก็มาเดินเลาะหาของกิน ให้อร่อยฟินเริ่ดเว่อร์ไปเลยจ้า
 พอเสร็จแล้วเดี๊ยนก็ไปที่ร้านคุณแดงค่ะเป็นร้านข้าวแช่ชื่อดังติดริมแม่น้ำ 
 ภายในร้านก็มีโต๊ะให้เลือกนั่งทานทั้งอยู่ในร้านและริมระเบียง ตกแต่งสไตล์ไทยๆ มีเครื่องปั้นดินเผาของเกาะเกร็ดให้ชื่นชมเข้ากับบรรยากาศดีเหลือเกิน
ข้าวแช่หอมกรุ่นทานกับเครื่องเคียง อร่อยล้ำเย็นฉ่ำชื่นใจ
มาถึงก็ไม่รีรอรีบสั่งข้าวแช่มาทานเลยค่ะ ชุดละ 60 บาท มีพริกหยวกสอดใส้ ลูกกะปิทอด ไชโป๊และอืนๆอีก อะไรไม่รู้เดี๊ยนจำไม่ล่ะ อุตสาห์หอบท้องจากบ้านมาทานข้าวแช่ที่นี้เลย เมื่อเช้าจิบชาร้อนมาอย่างเดียว มาถึงก็ขอกระซวกกินเลยแล้วกันค่ะ ที่อร่อยคงเป็นตัวข้าวแช่กับน้ำที่ทานแล้วเย็นชื่นใจเหลือ

แอบเสียดาย พริกหยวกสอดใส้ ไข่ที่ห่อพริกหยวกรู้สึกจะมันเยิ้มไปหน่อยนะค่ะ ทานแล้วเลี่ยนมากๆเลย แต่ก็ยังดีที่มีน้ำข้าวแช่กินซดแก้เลี่ยนแก้ขัดได้อยู่
 ระหว่างนั่งทานข้าวแช่ไป ก็ดูวิวทิวทัศน์ไป ส่วนใหญ่จะเห็นแต่เรือวิ่งกันอย่างขวักไขว่สัญจรไปมาอย่างคึกคักเลยค่ะ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จรลี หนึมาเที่ยวที่เกาะแห่งนี้
มีทั้งเรือใหญ่เรือเล็ก เป็นเสน่ห์ชวนใหหลงไหล พร้อมกับลมพัดลมเพ เย็นสบายกิ๊บเก๋ดีเหลือเกินค่ะ
 หลังจากทานขัาวแช่อิ่มแล้ว เดี๊ยนก็มาเดินช๊อปปิ้งในย่านถนนคนเดินเกาะเกร็ด ซึ่งวันนี้มีร้านขายของคึกคักมากๆ ตลอดทางเดินก็มีร้านขายของฝาก ของที่ระลึก และไม่พ้นของกินแบบไทย ที่น่าลิ้มลองใจยิ่งนักจ้า
ขนมไทยในหม้อดิน ดูหน้าตาหน้ากินยิ่งนักเชียว
 ดูขนมใส่หม้อดินนี้สิ มีทั้งข้าวหลาม หม้อแกง รวมทั้งลาซานญ่าใส่หม้อดินก็ยังมีเลย กลิ่นหอมโชยเตะจมูก เห็นแล้วน่าจะอร่อยถูกใจนะค่ะ
ล่องเรือไหว้พระตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาในวันเทศกาลสงกรานต์ ชื่นบานใจ
และหลังจากที่ได้แวะทำบุญสุนทานในอำเภอปากเกร็ดแล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็ขับมอเตอร์ไซต์แวะจากปากเกร็ด มาเด็ดดอมดมความสุขสมอุราต่อในกรุงเทพย่านเมืองเก่า แถวพระนคร เพื่อมาล่องเรือไหว้พระทำบุญค่ะ
 ไหว้พระวัดแรกช่วงบ่ายในวันนี้ แวะไปไหว้พระที่วัดพระแก้วเลยค่ะ มีคนบอกว่าหากมาเที่ยวกรุงเทพแล้ว ไม่มาไหว้พระที่วัดพระแก้ว เหมือนมาไม่ถึงกรุงเทพนะค่ะ เพราะวัดพระแก้วถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของกรุงเทพมาหลายร้อยปี เป็นสิ่งศักดิ์ที่ชาวไทยสยามอย่างเรา ต้องแวะมากราบไหว้ให้ได้ เพื่อความเป็นสิริมงคล

และในวันสงกรานต์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ก็เปิดปราสาทพระเทพบิดรให้ประชาชนกราบถวายบังคมสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชวันปีใหม่ไทย ดิฉันเลยตัดสินใจมากราบถวายบังคบสักครั้งค่ะ
 ระหว่างทางเดินเข้าไปยังวัดพระแก้วนั้น ก็มีภาพวาดสามมิติติดผนังกำแพง ม.ศิลปากร ซึ่งเป็นผลงานของนักศึกษาให้นักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเดินมาเที่ยว ได้ถ่ายรูปกันด้วยค่ะ ภาพรับกับช่วงเทศกาลและกระแสละครดังอย่างบุพเพสันนิวาศก็มาแรงด้วย เลยนำตัวละครอย่างแม่ผิวและแม่แย้มมาแซมเข้าในช่วงนี้ ดูแล้วสดชื่นสนุกสนามเชียว
หรือจะมาถ่ายรูปกับแม่การะเกดล่ะ กำลังสาดน้ำอยู่พอดีเลย  แม่การะเกดเล่นน้ำสงกรานต์นอกกรอบนะจ๊ะ แม่นางเป็นคนไม่ค่อยอยู่ในกรอบจริง ดูสิสาดน้ำออกมานอกกรอบเชียว
 และถ้าจะให้เปียกโชกและเย็นฉ่ำจิต จนต้องร้องกรี๊ดดังๆ
 และถ้าจะให้เปียกโชกและเย็นฉ่ำจิต จนต้องร้องกรี๊ดดังๆ ก็คงต้องให้พี่หมื่นช่วยสาดน้ำให้ปังไปทั้งตัว ก็คงจะสลายความชั่วร้ายออกไปได้ไม่น้อยเลยค่ะ
 ในช่วงวันหยุดแบบนี้ นักท่องเที่ยวที่มาวัดพระแก้วก็เยอะมากๆเหมือนกันนะค่ะ
โชคดีนะค่ะ ที่ดิฉันเดินทางมาไหว้พระวัดพระแก้วในวันที่ 14 เมษายน ถ้ามาวันที่ 15 เมษาเข้าไปไหว้ไม่ได้แน่ๆค่ะ เพราะจะงดให้เข้าไปด้านในวัด เนื่องจากมีพระราชพิธีสงกรานต์ค่ะ
Wat Phra Kaew commonly known in English as the Temple of the Emerald Buddha
สาระน่ารู้เกี่ยวกับวัดพระแก้วมรกต อ่านกันดูเป็นความรู้ค่ะ

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าวัดพระแก้วเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในพ.ศ. 2325 เป็นวัดในพระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา และมีพระราชประสงค์ให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต พระคู่บ้านคู่เมืองของแผ่นดินสยามที่พบ ณ วัดป่าเยี้ยะ(ป่าไผ่) จังหวัดเชียงราย และเป็นสถานที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ เพราะมีแต่ส่วนพุทธาวาสไม่มีส่วนสังฆาวาส
เที่ยวกรุงเทพใน 1 วัน ไหว้พระทำบุญที่วัดพระแก้ว (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)
พระอุโบสถ ตั้งอยู่ส่วนกลางของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีซุ้มประดิษฐานเสมารวม 8 ซุ้ม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326 เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (แก้วมรกต) ที่พระองค์ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2322 (พบพระแก้วมรกต ครั้งแรกที่เจดีย์ ณ วัดพระแก้ว อ.เมือง จังหวัดเชียงราย)
พระศรีรัตนเจดีย์ กับพระมณฑป สร้างได้อย่างวิจิตรบรรจงงดงาม
ในการสร้างพระอุโบสถหลังนี้ใช้เวลา 3 ปี สำเร็จเรียบร้อยลงใน พ.ศ. 2328 ต่อมา เมื่อประมาณได้เกิดเพลิงไหม้บุษบกทรงพระแก้วมรกตซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมขึ้นใหม่ให้ทันฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามในปลายรัชกาล

หลักฐานการก่อสร้างและรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมของพระอุโบสถในรัชสมัยนี้ไม่ชัดเจนนัก นอกจากบ่งไว้ว่า ฝาผนังรอบนอกเป็นลายรดน้ำปิดทองรูปกระหนกเครือแย่งทรงข้าวบิณฑ์ดอกในบนพื้นสีชาด ฝาผนังด้านในเหนือประตูด้านสกัดเป็นภาพเรื่องมารวิชัยและเรื่องไตรภูมิ
ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรงดงาม ร้าวรานจับใจที่วัดพระแก้ว
ส่วนฝาผนังด้านยาวเขียนภาพเทพชุมนุมตามแบบที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยา ฝาผนังระหว่างหน้าต่างเขียนภาพเรื่องปฐมสมโพธิ หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบซึ่งปรากฏว่ามีการแก้ไขในรัชกาลที่ 3 และ 4 ในภายหลังดังที่เห็นได้ในปัจจุบัน
เครดิตข้อมูลดีๆจาก https://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ปราสาทเทพบิดา
สาระน่ารู้เกี่ยวกับปราสาทเทพบิดา

ปราสาทพระเทพบิดร เป็นปราสาทเพียงองค์เดียวในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นปราสาทจตุรมุข ยอดปรางค์มีนภศูล และมงกุฎอยู่บนยอด ประดับกระเบื้องเคลือบ องค์เดียวในประเทศไทย
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ ปราสาทเทพบิดา
ปราสาทพระเทพบิดร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2398 เดิมชื่อว่า พุทธปรางค์ปราสาท เมื่อแรกนั้นมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ แต่เมื่อสร้างเสร็จเห็นว่าคับแคบไม่เหมาะแก่การพระราชพิธี จึงมิได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานดังพระราชดำริ
ปราสาทเทพบิดา
ในปี พ.ศ. 2446ได้มีการซ่อมแซมแล้วให้เปลี่ยนนามเป็น ปราสาทพระเทพบิดร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมรูปพระบูรพกษัตริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 5 องค์มาไว้ ทั้งมีพระบรมราชโองการให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งทรงกำหนดให้เป็นวันจักรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2461 เป็นต้นมา
ภาพนี้เรียกว่า บุษบกพระราชลัญจกร
จากนั้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันฉัตรมงคล วันที่ 13-15 เมษายน เนื่องในวันสงกรานต์ หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการถวายบังคมในโอกาสวันสำคัญต่างๆ ในบางปี หรือทุกปี เช่น วันปิยมหาราช วันที่ 23 ตุลาคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2554 ปัจจุบันได้มีการประดิษฐานพระบรมรูปเพิ่มตามการเปลี่ยนรัชสมัย จนถึงรัชกาลที่ 8 แล้ว
รูปหล่อโลหะเป็นรูปสัตว์หิมพานต์ กินนร
กินนร และ กินรี ท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก มือหนึ่งแตะบั้นเอว มือหนึ่งยกระดับอก ตั้งอยู่บนลานทักษิณชั้นบน
เข้าไปถวายบังคมพะบรมรูปฯในปราสาทเทพบิดร ซึ่งเปิดให้ประชาชนไปกราบได้ในวันสงกรานต์
ใหนๆมาทั้งทีไม่เสียเที่ยวค่ะ ต้องเข้าไปถวายบังคมพระบรมรูปในปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมเฉพาะในวันสำคัญเท่านั้น
เข้าไปด้านในห้ามถ่ายรูปนะค่ะ
ถอดรองเท้าไว้ด้านล่าง เข้าไปกราบถวายบังคมด้านใน รู้สึกเย็นสบาย สวยงามอลังการตระการตายิ่งนัก
ส่วนภาพนี้เป็นพระมณฑปค่ะ
ส่วนภาพนี้เป็นพระมณฑปค่ะ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับพระมณฑป อ่านดูเป็นความรู้ค่ะ
พระมณฑป ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บนฐานไพทีตรงกลางระหว่างปราสาทพระเทพบิดรและพระศรีรัตนเจดีย์ เป็นมณฑปยอดปราสาทเจ็ดชั้น ฝาผนังภายนอกประดับลวดลายนูนต่ำปิดทองประดับกระจกเป็นรูปเทพพนมภายในกรอบสี่เหลี่ยม บานประตูทั้งสี่ทิศเป็นประตูลายมุก

ส่วนของฐานนั้นทำเป็นชั้น โดยชั้นบนเป็นรูปเทพบุตรนั่งประนมกรเรียงระหว่างซุ้มประตู ส่วนด้านล่างเป็นรูปครุฑและคนธรรพ์นั่งสลับกัน ส่วนภายในเป็นที่ประดิษฐานตู้พระไตรปิฎกประดับมุก และปูพื้นด้วยเสื่อสานด้วยเส้นลวดที่ทำจากเงิน
เครดิตข้อมูลดีๆจากเว็ปไซต์ https://th.wikipedia.org/wiki/พระมณฑป_(วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)
ส่วนเจดีย์องค์นี้ เรียกว่าพระศรีรัตนเจดีย์
ส่วนเจดีย์องค์นี้ เรียกว่าพระศรีรัตนเจดีย์
พระศรีรัตนเจดีย์ ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บนฐานไพทีทางทิศตะวันตก สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เมื่อปี พ.ศ. 2398 โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่พระราชวังกรุงศรีอยุธยา องค์เจดีย์มีความสูงประมาณ 40 เมตร ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อสมัยแรกสร้างนั้นยังมิได้มิได้มีการประดับกระเบื้อง ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) จึงได้มีการประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เจดีย์
เครดิตข้อมูลดีๆจาก https://th.wikipedia.org/wiki/พระศรีรัตนเจดีย์

ยักษ์วัดพระแก้ว หรือชาวต่างชาติชอบเรียก Big giant
สำหรับยักษ์วัดพระแก้วเป็นยักษ์ทำด้วยปูนปั้นสูงประมาณ 6 เมตร ประดับกระเบื้องสีต่างๆ ยืนกุมกระบองอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมทุกช่องประตูพระระเบียง มีทั้งหมด 12 ตน ยักษ์เหล่านี้สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3  โดยสร้างขึ้นพร้อมกับยักษ์วัดแจ้ง หรือวัดอรุณราชวราราม นั้นเอง
หลังจากที่ได้กราบถวายบังคบพระบรมรูปที่ปราสาทเทพบิดรแล้วนะค่ะ
เดี๊ยนก็เดินมาไหว้พระที่วัดพระแก้วมรกตต่อค่ะ

เนื่องด้วยเป็นวันหยุดยาว ทำให้ภายในพระอุโบสถเนื่องแน่นไปด้วยนักเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างคับคั่ง เดินเข้ามาไม่ค่อยมีคนไทยนะค่ะ ส่วนใหญ่มีแต่กรุ๊ปนักท่องเที่ยวชาวจีน แทบจะครอบครองวัดพระแก้วไปเลยล่ะค๊า
เข้าไปไหว้พระด้านในอุโบสถแล้ว ก็ออกมาเข้าแถว สรงน้ำพระพุทธรูปต่อค่ะ
ร่วมสรงน้ำพระพุทธรูปเนื่องในเทศกาลสงกรานต์
น้ำอบน้ำปรุงหอมกรุ่นเตะจมูก น่าชิม น่าลิ้มลองรสชาติยิ่งนัก แต่เดี๊ยนก็มิกล้า เดียวกากจะกินกบาลเอาค่ะ
มาสรงน้ำพระพุทธรูป เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข
 ร่วมสรงน้ำพระพุทธรูปเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข และเพื่อเป็นสิริมงคลต่อตนเองในการเริ่มต้นปีใหม่ไทย ขอให้มีแต่สิ่งที่ดีเข้ามา
พระบรมหาราชวัง (Grand Palace) พระบรมมหาราชวังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับที่ 16 ของโลกเลยทีเดียวค่ะ
และหลังจากที่ได้ไหว้พระที่วัดพระแก้วเสร็จแล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็เดินมาเดินชมความงามของพระบรมหาราชวังต่อคะ ซึ่งพระบรมมหาราชวังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับที่ 16 ของโลกเลยทีเดียวค่ะ โดยมีผู้เข้าเยี่ยมชมในปี พ.ศ. 2549 เป็นจำนวนถึง 8,995,000 คน
มารู้จักประวัติความเป็นมาของ พระบรมหาราชวัง (Grand Palace) กันค่ะ พระบรมมหาราชวังเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับที่ 16 ของโลกเลยทีเดียวค่ะ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับพระบรมหาราชวัง มาอ่านกันดูเป็นความรู้ค่ะ

พระบรมมหาราชวัง หรือพระราชวังพระนคร เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังหลวงขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศและเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์
การก่อสร้างพระราชวังหลวงเริ่มขึ้นพร้อมกับการสร้างพระนครเมื่อ พ.ศ. 2325 
พระบรมหาราชวัง (Grand Palace)
โดยสร้างขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นที่อยู่ของพระยาราชาเศรษฐีและชาวจีนทั้งหลาย ดังนั้น พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปอยู่สถานที่แห่งใหม่ตั้งแต่คลองใต้วัดสามปลื้มจนถึงคลองเหนือวัดสามเพ็ง เริ่มดำเนินการในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 หลังพระราชพิธียกเสาหลักเมือง 1 วัน และมีการเฉลิมพระราชมนเฑียรในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325 แต่ขณะนั้นพระราชมนเฑียรสร้างด้วยเครื่องไม้และสร้างเสาระเนียดรายรอบพระราชวัง เพื่อประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษก
ต่อมาใน พ.ศ. 2326 พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชมนเทียร พระมหาปราสาท เปลี่ยนเสาระเนียดจากเครื่องไม้เป็นก่อกำแพงอิฐ สร้างประตูรายรอบพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนสร้างพระอารามในพระราชวังหลวง คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) เมื่อสร้างพระราชนิเวศน์มนเฑียรเป็นการถาวรแล้วโปรดเกล้าฯ ให้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเต็มตามแบบแผนราชประเพณีอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. 2328
พระบรมมหาราชวังได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมขยายอาณาเขตและบูรณปฏิสังขรณ์มาในทุกรัชกาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชอนุชา ขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงบัญญัติให้เรียกพระราชวังหลวงว่า พระบรมมหาราชวัง นั่นคือ ทรงบัญญัติให้ใช้คำว่า “บรม” สำหรับฝ่ายวังหลวง และ “บวร” สำหรับฝ่ายวังหน้า พระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าจึงเรียกว่า “พระบวรราชวัง” เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระราชวังหลวงก็ยังคงใช้ว่า พระบรมมหาราชวัง มาจนกระทั่งปัจจุบัน
 ขอบพระคุณเครดิดข้อมูลดีๆจากเว็ปไซต์ : https://th.wikipedia.org/wiki/พระบรมมหาราชวัง 
ส่วนภาพนี้คือ พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท ด้วยความสวยงามสถาปัตยกรรมไทยแท้นี้เอง จึงได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปกรรมประจำชาติแขนงหนึ่งในหลายๆแขนง ที่เรียกกันว่า ศาลาไทย
 
มารู้จักพระที่นั่งพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท
มารู้จักพระที่นั่งพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท เป็นพระที่นั่งโถงทรงปราสาทจตุรมุขประกอบเครื่องยอดบุษบก โดยมุขรี(ด้านยาว)สั้นกว่ามุขด้านสกัด(ด้านกว้าง)มีเชิงเทินเกยเทียบพระยานคานหาม ตั้งอยู่ระหว่าง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ด้านหน้าพระที่นั่งราชกรันยสภา สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในพระบรมมหาราชวังชั้นกลาง เดิมทีใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีโสกันต์(โกนจุก) และยังเคยใช้เป็นที่ประทับเกยเสด็จบนพระราชยานคานหามด้วย นอกจากนี้ ความสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมไทยแท้นี้ ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปกรรมประจำชาติแขนงหนึ่งในหลายๆแขนง ที่เรียกกันว่า ศาลาไทย
เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท
ใกล้ๆกับพระบรมหาราชวังก็เป็นพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
 และใกล้ๆกับพระบรมหาราชวังก็เป็นพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
 สาระน่ารู้เกี่ยวกับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มาอ่านกันดูเป็นความรู้ค่ะ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มาอ่านกันดูเป็นความรู้ค่ะ

พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระมหาปราสาท ใน พระบรมมหาราชวัง ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นกลาง ทางทิศตะวันตกของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท มีพระที่นั่งพิมานรัตยา พระปรัศว์ซ้าย พระปรัศว์ขวา และ เรือนบริวาร หรือ เรือนจันทร์ ต่อเนื่องทางด้านหลังในเขตพระราชฐานชั้นใน พระที่นั่งองค์นี้ได้รับยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมชั้นเอกของกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นพระที่นั่งทรงไทยแท้องค์เดียว ในพระบรมมหาราชวัง โดยเฉพาะเรือนยอดพระมหาปราสาท (กุฎาคาร) มีรูปทรงต้องด้วยศิลปะลักษณะอันวิจิตรงดงาม
เมื่อปี พ.ศ. 2332 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้น บนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของ พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ซึ่งถูกฟ้าผ่าไหม้จนหมด จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สร้างมหาปราสาทขึ้นใหม่บนพื้นที่เดิม นามว่า พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
สถาปัตยกรรม : พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
สถาปัตยกรรม : พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นพระที่นั่ง1ชั้นสถาปัตยกรรมทรงปราสาทแบบจตุรมุขด้านเหนือมีมุขเด็ดยื่นออกมาเป็นพระที่นั่งก่ออิฐถือปูนฐานสูง2.85เมตรชั้นล่างเป็นเชิงฐานถัดไปเป็นฐานสิงห์และฐานเชิงบาตรสองชั้นหลังคาเป็นยอดทรงปราสาทประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้งคันทวยมีลักษณะเป็นพญานาค3หัวหน้าบันจำหลักรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณล้อมรอบด้วยลายกนกเทพพนมมุมยอดปราสาททั้ง4มุมเป็นรูปลายพญาครุฑหน้าบันจำหลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑไขรารอบปราสาทเป็นรูปครุฑหยุดนาครองรับ
พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
 และสถานที่ถัดมาหากเดินออกมาจากประตูพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแล้วนั้นก็คือ
พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสาดารามค่ะ เดี๊ยนแหงนดูนาฬิกาในข้อมือยังพอมีเวลาอีก 15 นาทีก่อนที่พิพิธภัณฑ์จะปิด เลยแวะเข้าไปเดินชมด้านในค่ะ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะค่ะ เดินชมได้อย่างเดียวค่ะ
พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม อ่านดูเป็นความรู้ค่ะ

พิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม นี้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นอาคารที่มีรูปแบบตะวันตก สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นโรงกษาปณ์ ผลิตเงินตราใช้ในประเทศต่อมาเมื่อมีงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบรอบ 200 ปี เมื่อ พ.ศ.2525 ได้มีการบูรณะปฎิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดารามทั้งพระอาราม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทรงเป็นแม่กองอำนวยการบูรณะ จึงได้ขอพระราชทานอาคารโรงกษาปณ์แห่งนี้ มาจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงศิลปวัตถุต่างๆ ที่พระมหากษัตริย์และประชาชนได้ถวาย ให้แก่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่ออนุชนรุ่นหลังได้ชื่นชมต่อไป
เครดิตข้อมูลดีๆจากเว็ปไซต์ : http://www.museumthailand.com/Wat_Phrasrirattana_Sasadaram_Museum
และหลังจากที่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนกระทั้งถึงเวลาปิดทำการแล้ว
ดิฉันก็เดินเท้าต่อมายังวัดโพธิ์ค่ะ หรือวัดพระเชนตุพนวิมลมังคลาราม เพื่อมาไหว้พระนอนที่โด่งดังที่สุดอีกแห่งในเมืองไทยและในโลกจ้า
 สำหรับวัดโพธิ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมและไปไหว้พระได้ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น.ของทุกวันค่ะ
โปรแกรมล่องเรือฟรี เพื่อไหว้พระ 4 วัดได้แก่ วัดโพธิ์ วัดกัลยาณมิตร วัดอรุณ และวัดปยุรวงศาวาส
 เข้ามาในงานก็มีเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมการท่องเที่ยวล่องเรือไหว้พระฟรีในวันสงกรานต์ โดยสามารถนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาฟรีไม่ต้องเสียตัง เนื่องในวันหยุด เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวค่ะ
 เข้าในวัดโพธิ์ก็มีการจัดงานสรงน้ำพระสงฆ์ ซึ่งมีประชาชนมาในวัดอย่างคับคั่งเลยค่ะ
นอกจากได้ทำบุญแล้ว อย่างเย็นฉ่ำใจอีกด้วยนะค่ะ
วิหารพระพุทธไสยาส
 มาวัดนี้ไม่พลาดแวะมากราบไหว้พระนอน ที่วิหารพระพุทธไสยาส

สาระน่ารู้เกี่ยวกับ วิหารพระพุทธไสยาส
โดยวิหารพระพุทธไสยาสนี้ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวที่โปรดฯ ให้ขยายพระอารามออกมาทางทิศเหนือ (เข้ามาซ้อนทับเขตวัดโพธารามเดิม ที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้) โดยพระองค์โปรดให้พระองค์เจ้าลดาวัลย์เป็นแม่กองในการก่อสร้าง โดยได้สร้างพระพุทธไสยาสขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระวิหารภายหลัง โดยมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ บริเวณผนังของวิหารนั้น ด้านบนมีภาพเขียนสีเรื่อง มหาวงศ์ และผนังระหว่างช่องหน้าต่าง เขียนภาพสีเกี่ยวกับพระสาวิกาเอตทัคคะ 13 องค์ อุบาสกเอตทัคคะ 10 ท่านและอุบาสิกาเอตทัคคะ 10 ท่าน อยู่ด้วย
วิหารพระพุทธไสยาส
ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ก่ออิฐ ถือปูน ปิดทองทั่วทั้งองค์ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยมีลักษณะพิเศษ ได้แก่ พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกัน โดยที่พระบาทประดับมุกภาพมงคล 108 ประการ ตรงกลางเป็นรูปจักรตามตำรามหาปุริสลักขณะ โดยลวดลายของมงคล 108 ประการนั้น เป็นการผสมผสานกันระหว่างคติความเชื่อที่รับมาจากชมพูทวีปและจีน
วิหารพระพุทธไสยาส
ในแง่ของการท่องเที่ยวแล้ว วัดโพธิ์ได้รับความนิยมเที่ยวเป็นลำดับที่ 24 ของโลก ในปี พ.ศ. 2549 โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปีนั้นถึง 8,155,000 คนทีเดียวค่ะ แต่ในช่วงหลังมาไม่รู้ว่ามีคนมาจำนวนเท่าไหร่นะค่ะ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันอย่างอย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารถือได้ว่าเป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประมาณ 99 องค์ พระเจดีย์ที่สำคัญ คือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
 เครดิตข้อมูลดีจากเว็ปไซต์ : https://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร 
 ในวัดโพธิ์ก็มีกิจกรรมให้สรงน้ำพระกันอย่างเย็นฉ่ำ พร้อมสุขใจค่ะ
ขนมเซาปิ่ง เคยกินกันใหม๊ค่ะ
นอกจากนี้ยังมีร้านขายขนมของกิน และของฝากหลายอย่างภายในวัดให้เลือกซื้อ เลือกหากันอีกด้วยล่ะค่ะ เดินมาพบขนมเซาปิ่ง เคยกินกันใหม๊ค่ะ เดี๊ยนเคยกินแต่เป็นแบบลูกเต๋าสีเหลี่ยม แต่ร้านนี้ทำเป็นวงกลม มีหลายใส้ให้เลือกค่ะ
ซื้อขนมเซาปิ่งมาทานดูสิ ว่าจะอร่อยเท่าขนาดที่ทำแบบลูกเต๋าใหม๊
 ดูเค้าทำแล้ว รสชาติน่าจะอร่อยดีนะค่ะ เลยอุดหนุนแม่ค้า ลองซื้อมาทานดูสิว่าจะอร่อยเลิศล้ำ นำสมัยแค่ใหนเอย
 เดินมาอีก ข้าวแช่ก็มีขายนะค่ะ ขายชุดละ 50 บาท แต่ไม่มีพริกหยวกสอดใส้ห่อไข่ค่ะ
ซื้อเป็นชุดๆนำไปทานที่บ้านได้
นั่งเรือข้ามฟากไปวัดอรุณ
 หลังจากที่ได้ไหว้พระที่วัดโพธิ์แล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็เดินมาขึ้นเรือที่ท่าเตียน เพื่อนั่งเรือข้ามฟากไปวัดอรุณค่ะ ตอนแรกจะรอเรือฟรี แต่กว่าเรือจะมาอีกนานเลยนะค่ะ เพราะคนใช้บริการเยอะ เนื่องจากเปิดให้นั่งฟรี คนก็นั่งใช้บริการกันเยอะเลย เดี๊ยนเลยตัดสินใจนั่งเรือข้ามฟากแบบธรรมดาไปดีกว่า 4 บาทเองค่ะ
ปกติเคยนั่ง 3 บาทนะค่ะ ตอนนี้ขึ้นมาอีก 1 บาท ตามภาวะเศรษฐกิจกระมัง
 ถึงวัดอรุณแล้วค่ะ หากมาวัดนี้ต้องไม่พลาดมาถ่ายรูปคู่กับยักษ์วัดแจ้ง ยักษ์ที่โด่งดังไกลไปทั่วโลกเลยล่ะค่ะ
 มาถึงวัดอันดับแรกก็คือไปไหว้พระก่อนเลยค่ะ นำดอกไม้ธูปเทียนร่วมถวายเป็นพุทธบูชา
จากนั้นก็เดินมาสรงน้ำพระต่อค่ะ เป็นกิจกรรมดีๆที่ช่วยผ่อนคลายความร้อนได้ดีทีเดียวค่ะ
 โดยภายในวัดมีกิจกรรมให้สรงน้ำพระหลายองค์ทีเดียว
 มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจ เข้าร่วมกิจกรรมกันตลอดค่ะ
โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่แวะมาเที่ยววัดนี้กันอย่างเยอะเลย
ดูท่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้น่าจะชอบกิจกรรมนี้มิใช่น้อยเลย
เพราะที่ประเทศจีนคงไม่ค่อยมีกิจกรรมแบบนี้กระมัง
วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง
 จากนั้นก็เข้ามาเดินชมองค์พระปรางค์ที่ได้รับการบูรณะปฎิสังขรเสร็จดูใหม่เชียวค่ะ
แต่ในความคิดเห็นของดิฉัน ชอบแบบเดิมมากกว่าค่ะ ดูสีดำทึบน่าจะคลั่งดี แต่พอท่าสีใหม่รูสึกแปลกตายังไงมิรู้ แต่ก็สวยสะอาดสะอ้านดี เหมือนพระปรางค์ใหม่เลยนะค่ะ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ วัดอรุณราชวรารามมาอ่านกันเป็นความรู้ค่ะ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับวัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง อ่านกันดูเป็นความรู้ค่ะ

วัดอรุณราชวราราม หรือที่นิยมเรียกกันในภาษาพูดว่า วัดแจ้ง หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า วัดอรุณ เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยกรุงธนบุรี ที่ชื่อวัดแจ้ง เพราะ พระเจ้าตากฯ ทำศึกเสร็จ แล้วยกทัพกลับมาเป็นเวลาเช้าพอดี ว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอกในเวลาต่อมา เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่า วัดมะกอกใน (วัดนวลนรดิศ) แล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ว่า วัดมะกอกนอก ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้น เชื่อกันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเพลงยาวหม่อมภิมเสน วรรณกรรมสมัยอยุธยาที่บรรยายการเดินทางจากอยุธยาไปยังเพชรบุรี ได้ระบุชื่อวัดนี้ไว้ว่าชื่อวัดแจ้งตั้งแต่เวลานั้นแล้ว
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับนั้น ทรงเอาป้อมวิชัยประสิทธิ์ข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งตัวพระราชวัง แล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์สมัยอยุธยา และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2322 ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามในปี พ.ศ. 2327
ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม และได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมา และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม”
เครดิตข้อมูลดีจากเว็ปไซต์ : https://th.wikipedia.org/wiki/วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้างพระปรางค์หน้าวัดให้สูงขึ้น แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสริมพระปรางค์ขึ้นและให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรงเครื่องที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธารามหลายรายการ และให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม”
 ประติมากรรมในวัดแจ้ง
ประติมากรรมในวัดแจ้งส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสวยงาม
 ภายในมีการจัดกิจกรรม Water festival 2018 ให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมด้วยค่ะ
มาต่อแถวรอขึ้นเรือฟรีไปยังสถานทีท่องเที่ยวถัดไปค่ะ
 หลังจากที่ได้ไหว้พระและสรงน้ำพระพุทธรูปและร่วมทำบุญที่วัดอรุณแล้วนะค่ะ
ก็มาเข้าแถวเพื่อที่จะนั่งเรือไปยังสถานที่ท่องเที่ยวถัดไปนั้นก็คือ ล้ง 1919 เป็นโครงการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาตร์แห่งใหม่ย่านฝั่งธนบรีค่ะ
 รอเรือประมาณ 15นาที เรือด่วนเจ้าพระยาก็มารับถึงท่าเรือวัดอรุณค่ะ จากนั้นก็ลอยละล่อง ลัดเลาะไปตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กับบรรยากาศลมพัดเย็นสบาย
 สองข้างฝั่งมียังคงกลิ่นอายของวิถีชีวิตของชาวบ้านริมน้ำ และบางสิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มีการก่อสร้างตึกสูงระฟ้าเกิดขึ้นใหม่หลายแห่งเลย
 นั่งเรือมาไม่นานน่าจะประมาณ 20 นาทีได้กระมังค่ะ ก็ถึงแล้วค่ะ โครงการล้ง 1919 โครงการแหล่งท่องเที่ยวเชิง Heritage โดดเด่นด้วยศิลปะเชิงอนุรักษ์ ที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ไทยจีน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  และนอกจากนี้ยังมีร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ อาทิ ร้านนายห้าง,โรงสี, ร้านกาฟงกาแฟ และอื่นๆอีกหลายร้ายเลยค่ะ
ถึงแล้วค่ะล้ง..แลนด์มาร์คแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  คล้ายๆกับเอเชียทิคเลยนะค่ะ
มีการตกแต่งบรรยากาศให้เข้ากับเทศกาลสงกรานต์อย่างเช่นมุมนี้ คงเป็นบริเวณที่นั่งพักผ่อนระเบียงริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ล้ง 1919
เดี๊ยนเองก็พึ่งมาที่นี้ครั้งแรกๆเลยค่ะ บรรยากาศสถานที่แห่งนี้ก็ดูสวยงามไม่น้อยเลยค่ะ
อ่านรายละเอียดดูในแผนท่องเที่ยวบอกว่า หากมาที่นี้ต้องไม่พลาด แวะไปไหว้ศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว (MAZU) คลองสาน อายุมากกว่า 167 ปี สิ่งศักดิ์สิทธิ์และศูนย์รวมใจ ของชาวจีนในแผ่นดินไทยมาช้านานมาก
เดินเข้ามาด้านในก็มีการจัดงานแสดงแสงสีเสียงให้ชมกันอย่างสนุกสนาน เพื่อเอาใจนักท่องเที่ยว
โดยนักท่องเที่ยวที่มาในโครงการแห่งนี้ ก็เห็นจะมีแต่คนไทยนะค่ะ หาได้มีคนต่างชาติไม่ค่ะ
ส่วนใหญ่ที่เข้ามาก็มีแต่ถ่ายรูป อย่างเช่นมุมนี้น่าจะเป็นมุม อาคารไม้สถาปัตยกรรมจีนโบราณ
 มีลานกิจกรรมกลางแจ้งอาคารจัดงานอีเว้นท์ หรืองานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ  และมีร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ อาทิ ร้านนายห้าง, ร้านอาหาร โรงสี, ร้านกาฟงกาแฟ และอื่นๆอีกหลายร้ายเลยค่ะ 
มีมุมถ่ายรูปต่างๆ สวยงามดีค่ะ ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้ที่พึ่งเดินทางมาครั้งแรกให้ต้อง ควักโทรศัพท์มือถือมาถ่ายกันแทบทุกคนเลย
 ภายในโครงการก็มีการจัดแสดงโซนต่างๆ ให้ชมและได้ศึกษาเรียนรู้กันหลายโซนเลยนะค่ะ
 แต่ละมุมก็จะออกแนวสถาปัตยกรรมจีน หากมาเที่ยวที่นี้ อารมณ์เหมือนได้ไปเที่ยวหมู่บ้านจีนเลย อะไรประมาณนั้นค่ะ

แล้วคำว่า ล้ง 1919 คืออะไร มีป้ายติดบอกไว้ อ่านไปเป็นความรู้ค่ะ

ล้ง 1919 เดิมเรียกชื่อว่า ฮวยจุ่งล้ง แปลตรงตัวว่า ท่าเรือกลไฟ สร้างขึ้นโดยพระยาพิศาลศุภผล ต้นตระกูลพิศาลบุตร ในปี ค.ศ.1850 ซึ่งเป็นยุคทองของการค้าขายระหว่างเมืองสยามและนานาประเทศ

อาคารสถาปัตยกรรมจีนนี้ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับรองรับการเป็นท่าเรือเท่านั้น แต่เป็นเรือนแถวสองชั้นเพื่อประกอบการค้า เป็นสำนักงานและโกดังเก็บสินค้าในการนำเข้าและส่งออกไปต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่หม่าโจ้วเพื่อเป็นที่สักการะของผู้มาเยือน

ช่วงปี ค.ศ.1900 อาคารนี้ได้ถูกปรับเปลียนเป็นที่พักอาศัยของคนจีนที่อพยพมา อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมของสมาคมพ่อค้าจนที่มีชื่อเรียกกันว่า กงเก็ก หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1919 ฮวยจุ่งล้ง ได้ถูกขายให้กับตระกูลหวั่งหลี
 ภาษาอังกฤษก็มีติดไว้ให้อ่านกันนะค่ะ
นอกจากนี้ยังมีมุมต่างให้ได้ชมและถ่ายรูปกันหลายมุมทีเดียวค่ะ
 ชั้นสองก็มีการปรับปรุงให้เดินขึ้นไปชมได้ด้วย
 มองเห็นลานกิจกรรมกลางแจ้ง
 ด้านบนมีศาลเจ้าให้ได้กราบไหว้กันด้วยนะค่ะ
 มองไปด้านบนไปด้านล่างก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเดินภายในโครงการแห่งนี้กันอย่างคึกคักทีเดียว
 และอีกโซนฮิตยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวนิยมาถ่ายรูปกัน คงเป็นอาคารด้านหลัง ซึ่งยังคงความเก่าไว้อย่างดีเยี่ยม มีการปรับปรุงเล็กน้อย แต่ยังคงรูปแบบและสีสันของตัวอาคารไว้อย่างดีเยี่ยม มีต้นไม้งอกออกมาจากตัวตึก บ่งบอกถึงความเก่าแก่ที่แลดูมีมนต์ขลัง
เด็กน้อยๆ 2 คนนี้กำลังแอบมองอะไรกันไม่รู้ค่ะ แต่หน้าต่างไม่ยอมเปิดค่ะ
 ถนนวั
 มุมนี้ก็มีคนมาถ่ายรูปกันเยอะเหมือนกันนะค่ะ หากใครที่ชอบถ่ายรูป ต้องไม่พลาดแวะมาเดินชมและช๊อปปิ้งชิลๆกันสักครั้ง รับรองว่าสวยปังอย่างแน่นอนค่ะ
Lhong 191
และหลังจากที่ได้เพลิดเพลินใจเดินชมและเรียนรู้ที่โครงการ ล้ง 1919 ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ย่านฝั่งธนบุรีไปแล้ว เดี๊ยนก็นั่งเรือจากท่าเรือที่โครงการล้ง มายังท่าเรือราชินี จริงจะเดินทางมายังท่าเรือวังหลัง แต่เรือที่ให้บริการฟรีหมดเวลาให้บริการแล้วค่ะ

เสียตังอีก 15 บาท นั่งเรือด่วนจากท่าเรือราชินี มาลงที่ท่าเรือวังหลัง
อาหารมื้อเย็นนี้ นัดเพื่อนสาวมาทานค่ะ
 พลบค่ำยามเย็นก็มานั่งทานข้าวกับเพื่อนสาวค่ะ นางมารอเดี๊ยนตั้งนานแล้วค่ะ
อาหารค่ำมื้อนี้ ทานแบบง่ายๆ ส้มตำ ลาบและน้ำตก แต่น้ำตกยังไม่มา เลยทานกระซวกไปก่อนเลย
อยากบอกว่าเดี๊ยนหิวมาก จะลงแดงให้ได้นะค่ะ รู้สึกใช้พลังงานเดินและก็เดินไปเยอะพอมากๆ และอากาศวันนี้ก็ร้อนเสียเหลือเกินค่ะ ถ้าถอดเสื้อเปลือยกายได้ จะโดดลงไปว่ายในแม่น้ำเจ้าพระยาเลยนะค่ะ เกรงว่าจะไม่งามเอาค่ะ

วัดอรุณราชวรารามยามเย็นในช่วงฤดูร้อนเดือนเมษายน
หลังทานข้าวอิ่มแล้วนะค่ะ ดิฉันกับเพื่อนก็นั่งมานั่งดื่มชิวๆริมแม่น้ำต่อค่ะ
มานั่งชมวิว รับลมเย็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ดูแสงสีของพระปรางค์วัดอรุณ แสนจะชุ่มฉ่ำบานใจ
โดยแวะมานั่งดื่มโซดาเย็นๆ ค๊อกเทลซ่าๆไร้แอลกฮอล์กันที่ eagle nest bar อรุณเรสซิเดนซ์
 ย่างย้ำเข้าสู่ช่วงหัวค่ำที่ท่าน้ำริมโรงเรียนราชินี  แสงของดวงอัคคีก็เปล่งรัศมีร้อนแรงดีเหลือเกิน
 ย่างย้ำเข้าสู่ช่วงหัวค่ำที่ท่าน้ำริมโรงเรียนราชินี  แสงของดวงอัคคีก็เปล่งรัศมีร้อนแรงดีเหลือเกิน
วัดอรุณราชวรารามยามค่ำคืน ช่างกลมกลืน สวยงามรื่นรมย์สุขสมอุรา ช่ะช่ะช่าหัวใจยิ่งนัก
 วิวทิวทัศนียภาพยามค่ำคืนสวยงาม กลมกลืนเข้ากับช่วงเทศกาลยิ่งนัก 
มารับลมเย็นๆที่บาร์ริมน้ำอรุณเรสซิเดนซ์ คลิ๊กดูที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/ieMavK
หากใครที่เมื่อยล้า จากการทำงาน ก็ออกมาเดินร้าวราน ไหว้พระให้จิตใจชื่นบานกันนะค่ะ จากนั้นพอตกพลบค่ำ ก็มานั่งดื่มค๊อกเทลไร้แอลกฮอล์ หรือจิบชาเย็น มองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยาและพระปรางค์วัดอรุณที่ eagle nest bar อรุณเรสซิเดนซ์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็ปไซต์ :  https://goo.gl/ieMavK
นั่งดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ กับบรรยากาศสวยๆ ช่วยคลายร้อนได้ดีทีเดียวค่ะ
นั่งดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ กับบรรยากาศสวยๆ ช่วยคลายร้อนได้ดีทีเดียวค่ะ
นั่งดูเรือสำราญที่ลอยละล่องตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา สวยระย้าจับจับใจ
นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ มองเห็นวิวสวยๆของพระวัดอรุณราชวรารามยามค่ำคืน

หากท่านใดที่อยากนั่งชิว ดูวิวสวยๆ แวะมาได้ที่ eagle nest bar อรุณเรสซิเดนซ์ ดูรีวิวและรายเอียดที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/ieMavK
มองจากมุมกด้านหลัง eagle nest bar อรุณเรสซิเดนซ์ เป็นวัดโพธิ์ WAT PHO คลิ๊กดูรีวิวและภาพ:https://goo.gl/ieMavK
จบทริปรีวิวเที่ยวกรุงเทพใน 1 วันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เย็นฉ่ำบานชื่นใจ งามวิไลสุดเก๋ เทห์ระเบิดเทิดเทิง เปิดเปิงหัวใจจริงๆค๊า...ไม่นึกเลยว่ากรุงเทพเมืองฟ้าอรมของเราแห่งนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมายให้ได้แวะไปชม เรียกว่าเที่ยวกัน 1 วันก็ไม่หมดจริงๆค่ะ ขนาดเดี๊ยนเองไปไหว้พระย่านเขตพระนครก็ไปได้แค่ 3 วัดเองนะค่ะ ถ้าให้ไหว้พระ 9 วัด เดี๊ยนว่า สงสัยต้องเริ่มไหว้ตั้งแต่เช้าตรู่ จนครบ 9 วัดก็คงมืดค่ำพอดีกระมังค่ะ

แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ทริปนี้อิ่มบุญ สุขใจ แถมได้รีวิวกลับมาเขียนลงในเว็ปบล็อกไว้เป็นไดอารี่ท่องเที่ยวให้เพื่อนทุกๆท่านได้สไลด์ดูภาพกันค่ะ

สำหรับรีวิวการเดินทางในครั้งนี้ น่าจะกระตุ้นให้ท่านออกไปเดินทางท่องเที่ยวกันไม่มากก็น้อยนะค่ะ หากมีข้อผิดพลาด ประการใด เดี๊ยนเองต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ ขอบพระคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาคลิ๊กเข้ามาอ่านกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกในเว็ปบล็อกถัดไปนะค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
------------------------------------------------------------------
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีดังนี้ค่ะ (จะทยอยเขียนเพิ่มเรื่อย เว็ปบล็อกจะได้ไม่ร้างไปค่ะ)
แบ่งปันรีวิวเที่ยวขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ไปถ่ายรูปวิวสวยงาม คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
มาเด้อมาเที่ยวเมืองขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ขับรถไปถ่ายรูปชมวิวต่างๆ มีที่ใหนเช็คอินบ้าง ตามไปเที่ยวกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
รีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถขับตะลอนไปชมสถานที่ต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ>>
มาม๊ะ..มารีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถออนซอน ตะลอนไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวเวียงจันทร์ 1 วัน ไป-กลับ ขยับเดินชมตามที่เที่ยวต่างๆ มีอะไรบ้าง>>>
เก็บตก รีวิวเที่ยวเวียงจันทร์ 1 วัน ไปเช้า-เย็นกลับ มีที่เที่ยวอะไรให้ชื่นชมกันอีกบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวแบกเป้เที่ยวหนองคาย เมืองนี้มีอะไรมากมายให้ชมจริงๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวจ้า>>
มาเด้อมารีวิวเที่ยวหนองคาย 3 วัน 2 คืน ไปชื่นชม ภิรมย์ใจตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>

รีวิวแบกเป้เที่ยวเมืองอินสบรูค 2 วัน 1 คืน มีที่เที่ยวอะไรให้ชมบ้าง ตามไปดูกันค่ะ>>
แบ่งปันรีวิวแบกเป้เที่ยวอินส์บรูค 2 วัน 1 คืน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ชื่นชมกันบ้าง ตามไปดูกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
แบ่งปันรีวิวเดินทางไปชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิววิธีการเดินทางไปเที่ยวชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝากใน 1 วัน มีที่เที่ยวอะไรให้ชมอีกบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวพาชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกรุงเทพ เสพความรู้แบบไทยๆ ไปชมกันเลย>>
พารีวิวเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกรุงเทพ เสพความรู้แบบไทยๆ เดินชมในนิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้ คลิ๊กดูรายละเอียดภาพรีวิวค่ะ>>>
หรือดูรายละเอียดที่ : http://bit.ly/2l05FdT
รีวิวเที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวเช่ารถมอเตอร์ไซต์ไปเที่ยวเมืองปราจีนบุรี ต้องไปฉิมพลีกันสักครั้งครา คลิ๊กดูรีวิว>>
เก็บตก แวะเที่ยวเมืองปราจีนบุรี เมืองที่ไม่ได้เป็นแค่ทางผ่าน แต่ก็มีอะไรให้ยลตระการ ชื่นบานอุราอยู่ไม่น้อย คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวจ้า>>>
เที่ยวนครนายกไม่มีรถส่วนตัว ก็เช่ารถมอเตอร์ไซต์เที่ยวไปทั่วได้ด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิว>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวนครนายก ไม่มีรถส่วนตัว ก็เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับเที่ยวไปทั่วได้ใน 1 วันแบบชิลๆ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวจ้า>>>
รีวิวแบกเป้ลุเดี่ยว มาเน้อมาเที่ยวเมืองแพร่ แลยลชมธรรมชาติ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยว มาเน้อเจ้า...มาเที่ยวเมืองแพร่ เดินแลงานยี่เป็ง แวะไปชมพระธาตุดอยเล็ง วิวสวยเจ๋งงามเริ่ดสะแมนแตน คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางจ้า>>

แบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวเมืองโคราช กินหมี่รสชาติแซ่บๆกันจ้า คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวท่องอีสานใต้ตอนที่ 1 มาเด้อ..มาเที่ยวเมืองโคราช กินหมี่รสแซ่บอีหลี แสนสุขขีแวะทำบุญสุนทาน ร้าวรานจับใจ มาเที่ยวกันได้เลย คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวจ้า>>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 15 ไปเดินลั๊ลลาไปชมน้ำตกไรน์-ซูริค คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยว ตอนที่ 16 มาเดินชิคๆชมวิวเมืองซูริค นั่งรถไฟกุ๊กกิ๊กไปดูน้ำตกไรน์ น้ำใสสวยสด งดงามอร่ามตา คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2MiG5cz
รีิวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 2 เดินย่องท่องวังแวร์ซาย คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 2 แวะย่องตามรอยขุนวิสารวาจา เดินลั๊ลลาชมวังแวร์ซาย งามพร่างพรายอลังการเว่อร์ คลิ๊กดูภาพและรีวิวบทความค่ะ>>>
หรือดูบทความรีวิวที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/N6BGg2
รีิวิวเที่ยวประจำเดือน พ.ค.2018 แบกเป้เที่ยวฝรั่งเศส คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 1 แวะตราตรึงชมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ดูรูปโมนาลิซ่า สวยระย้าจับใจ จนเมื่อยขาลากไปไกลเลย คลิ๊กดูภาพและบทความรีวิวค่ะ>>> 
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/eoJBtM

รีิวิวเที่ยวเมืองลพบุรี เดินยวลยีชมวังเก่า เคล้าความหลัง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>
รีวิวเที่ยวเมืองลพบุรี เดินยวลยีชมวังเก่า เคล้าความหลังครั้งวันวาน งามอลังการยิ่งนักเอย คลิ๊กดูภาพและรีวิวบทความค่ะ>>
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/7ZB3pt

อยากรู้จังว่า งานคร่ำคืออะไร คลิ๊กอ่านเป็นความรู้ค่ะ>>
สาระน่ารู้ เกี่ยวกับงานคร่ำ คร่ำคืออะไร มาอ่านไปเป็นความรู้กันค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>   
หรือดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/rc2LbD
 รีวิวเที่ยวประจำเดือนธันวาคม เที่ยวเกาะกูด สวยชะลูดบาดใจ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวเกาะกูด 4 วัน นอนสุขสันต์ริมชายหาด สวยสะอาดน้ำทะเลใส งามวิไลเลิศสะแมนแตน คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวค่ะ>>> 

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น