เนื่องจากมีเวลาเหลืออยู่อีกครึ่งวันบ่าย ตั้งใจไว้ว่าจะมาเที่ยวปราจีนบุรีอีกให้ได้สักครั้ง เพราะไม่ได้มาเยือนจังหวัดนี้นานมากๆแล้ว และอีกอย่าง จากตัวเมืองนครนายกมายังเมืองปราจีนบุรี ก็ไม่ได้มีระยะทางไกลกันมากนัก ทำให้สองจังหวัดนี้ เป็นเมืองท่องเที่ยวคู่แฝดกันมาอย่างยาวนาน โดยจากนครนายก มายังเมืองปราจีนบุรี มีระยะทางห่างกันประมาณ 29 กิโลเมตรเท่านั้น
โดยเมืองปราจีนบุรี ก็เป็นอีกหนึ่งท่องเที่ยวรองที่ห้ามพลาดพลัสทีเดียวนะคะ เพราะหากเอ่ยถึงเมืองสมุนไพร หรือตำรับยารักษาโรค ชื่อของเมืองปราจีนบุรี จะต้องติดอยู่หนึ่งในเมืองที่ทุกคนๆต้องนึกถึงอย่างแน่นอน และยังเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน เป็นถิ่นกำเนิดอาณาจักรทวารวดี และมีธรรมชาติที่สวยงาม โดยมีอุทยานแห่งชาติอยู่ในเขตมรดกโลกถึง 3 แห่ง ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดในภาคตะวันออกอีกด้วย
เที่ยวชะแว๊ป แวะมาช่ะช่ะช่า ลั๊ลลาที่เมืองปราจีนบุรีในช่วงหยุดสุดสัปดาห์ ช่ะช่ะช่าหัวใจ |
ว่าแล้วก็ไม่รีรอ คุณนายเว่อร์ ขอมาบอกเล่าเก้าสิบมาแบ่งปัน รีวิวแบกเป้ลุยเดี่ยวไปเที่ยวเมืองปราจีนบุรี ให้เพื่อนๆที่ยังไม่เคยไปเยือนเมืองนี้ ได้ลองจรลี ปลีกวิเวกหนีไปกันสักครั้ง ส่วนใครที่จะวางแผนมาเที่ยวนครนายก กับเที่ยวปราจีนบุรี ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ก็สามารถเช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับจากเมืองนครนายกมาได้ค่ะ ซึ่งดิฉันได้แจ้งรายละเอียดเบอร์โทรร้านเช่าไว้แล้ว ที่บทความรีวิวก่อนหน้านี้
ต่อจากรีวิวตอนที่แล้ว ช่วงบ่าย หลังจากทานข้าวอิ่มแล้ว ก็เดินทางไปยังเมืองปราจีนบุรี |
โดยช่วงบ่าย หลังจากทานข้าวอิ่มแล้ว ก็เดินทางไปยังเมืองปราจีนบุรี เช่ารถมอเตอร์ไซค์คันเดิมค่ะ ระยะทางจากนครนายกไปปราจีนบุรี ประมาณ 29 กิโลเมตร
ขับไปเรื่อยๆ เมื่อยก็หยุดพัก แดดจะร้อนไปหน่อย
แต่ก็ยังมีลมพัดลมเพ ช่วยคลายร้อนได้บ้าง
ถึงเมืองปราจีนบุีรย่านในตัวเมือง ยังมีกลิ่นอายควันหลงของอาคารพาณิชย์ไม้เก่าแก่ กับสังกะสีสีน้ำตาลที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานให้เห็นอยู่ จุดเด่นของเมืองปราจีนบุรีคือความเงียบ ไม่วุ่นวาย เหมือนเมืองท่องเที่ยวหลักอื่นๆ จึงเป็นอีกหนึ่งเมืองรองที่น่ามาเยือนมิใช่น้อย
โดยเป้าหมายไปพิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อีก 4 กิโลเมตรก็ถึงแล้ว
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร |
และแน่นอนเมื่อมาถึงก็ไม่พลาดต้องถ่ายรูปคู่ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ว่ากันว่าใครที่มาถึงเมืองปราจีนครั้งแรก หากไม่ได้มาเช็คอินถ่ายรูปคู่ตึกแห่งนี้ ถือว่ามาไม่ถึงเลยเชียวค่ะ
พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร |
อาคารตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2452 โดยท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) จุดเด่นของตึกแห่งนี้คือ ก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมยุคบาโรก (Baroque) ของยุโรป เพื่อใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จมณฑลปราจีนบุรี ตั้งแต่แต่รัชกาลที่ 5 ทรงสวรคตเสียก่อน หลังจากนั้นตึกหลังนี้ ก็ได้ใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์ ครั้นเมื่อเสด็จมณฑลปราจีนบุรี โดยที่ผู้เป็นเจ้าของหลังนี้ตึกไม่เคยใช้ตึกหลังนี้เป็นที่พำนักส่วนตัวเลยตราบจนสิ้นอายุขัย
และหลังจากที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศรอสัญกรรม ตึกหลังนี้ตกเป็นของตระกูลอภัยวงศ์ และได้ถวายกรรมสิทธิ์ในตึกตลอดจนที่ดินรอบบริเวณให้กับพระนางเจ้าสุวัทนาฯ ซึ่งเมื่อพระองค์จะโดยเสด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาพระราชธิดาไปประทับที่ประเทศอังกฤษ จึงประทานที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแก่มณฑลทหารบกที่ 2 จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อใช้เป็นสถานพยาบาลสำหรับทหารและประชาชนทั่วไป และต่อมาได้โอนมาเป็นของกรมสาธารณสุข จัดตั้งเป็นโรงพยาบาลปราจีนบุรี และได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรนั้น เดิมเป็นตึกอำนวยการ มีการดัดแปลงทำชั้นล่างเป็นห้องตรวจโรค ห้องจำหน่ายยา และห้องผ่าตัด ชั้นบนทำหน้าที่รับคนไข้หญิง ตึกได้ถูกใช้งานเป็นโรงพยาบาลมาเป็ฯเวลานาน จนเมื่อถึงปี พ.ศ.2512 หลังจากที่ตึกอำนวยการในปัจจุบันได้ก่อสร้างเสร็จ โรงพยาบาลจะใช้ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในการประชุมสัมมนาในบางกรณี
ปัจจุบันได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร ภายในอาคารมีการจัดแสดงนิทรรศการถาวร แบ่งเป็นห้องต่างๆ ให้ผู้ที่สนใจได้เข้าชม โดยมีห้องแสดงจำนวน 13 โซนด้วยกัน เปิดบริการทุกวันไม่เสียค่าเข้าชม ตั้งแต่ 8.30 น .- 16.00 น.
ด้านหลังอาคาร จัดตกแต่งเป็นสวนสไตล์ยุโรปมีน้ำพุประดับประดา และพันธ์ุไม้สีเขียวสดชื่น
โซนจัดแสดงนิทรรศการภายในอาคารพิพิธภัณฑ์แพทย์แผนไทย แสดงประวัติเจ้าพระยาอภัยภูเบศร |
เดินขึ้นมายังชั้นบนของอาคาร
ปราจีนบุรีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ |
ซึ่งวัตถุดังกล่าว มีกาน้ำโบราณ อายุราวๆประมาณ 2000-4000 ปีเลยทีดียว บอกความสำคัญของเมืองนี้มาอย่างอย่างนาน นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับอีกด้วย
ตำรายาไทยโบราณ ภายในห้องจัดแสดงนิทรรศการพิพิธภัณฑ์แพทย์แผนไทย |
โซนแสดงยาสมุนไพรพื้นบ้าน
หม้อกลั่นกฤษณา หรือหม้อกลั่นเอาน้ำหอมจากไม้กฤษณานั้นเอง
ผาหมาบ้า |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยาหมาบ้า เป็นตำรับยารักษาโรคพิษสุนัขบ้า |
โดยผู้คิดค้นยาชนิดนี้คือ หมอมา เปรมศรี หมอยานครนายก เจ้าของตำรับซึ่งเริ่มจากตนถูกสนัขบ้ากัดจึงไปรักษากับหมอที่กรุงเทพฯ หมอจึงได้สอนวิชาให้เพื่อรักษาตนเอง และผู้อื่นต่อไป หลังจากนั้นเมื่อมีคนถูกสุนัขกัด คนก็จะพากันมารักษากับหมอมาอยู่เป็นประจำ ทำให้หมอมาเชียวชาญโรคนี้มาก จึงให้หมอมา สนใจศึกษาเรียนวิชาแพทย์แผนไทยอย่างจริงจังเรื่องมา จนสอบได้ใบประกอบโรคศิลป์ในสาขาการบำบัดโรคทางยาแผนโบราณมาได้
โดยตำรับยาหมาบ้านี้ การปรุงยาต้องระวังในการชั่งยาเป็นอย่างมาก เพราะตัวยาบางอย่าง หากชั่งผิดอาจเป็นอันตรายต่อคนไข้ได้ อีกทั้งตัวหมอจะต้องมีการจัดเครื่องไหว้ครูด้วยเครื่องยกครู 8 อย่าง พร้อมทั้งท่องคาถาไปด้วยขณะที่ปรุงยา เพื่อเป็นการบูชาครูยาหมาย้า
เครื่องยาหมาบ้า ประกอบด้วย หัวข่า หัวขิง หัวอัญชันขาว กระโทงหมาบ้า เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมี และเมล็ดสำโพงกาสลัด
ห้องจัดแสดงสมุนไพรของบริษัทบุญยะรัตเวช
รางบดยาสมัยโบราณ ใช้บดสมุนไพรอย่างหยาบๆ หลังจากสับเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปตำในครกหินเป็นขั้นตอนต่อไป
ยานอน อีกหนึ่งยาแผนโบราณที่ถอนพิษได้ทั้งตัว |
ปรับธาตุสี่ ให้สมดุล กระจายเลือด กระจายลม
โดยขั้นตอนเริ่มจาก
การนำใบพืชสมุนไพร 5 ชนิดมาปูรองให้คนนอน คือใบกล้วยน้ำวหว้า ใบว่านสาวหลง หรือใบข่า ใบแหยง ใบพลับพลึง และใบอบชย
จากนั้นตำสมุนไพรราว 37 ชนิด เอามานึ่งนาน 30 นาที โดยจะเป็นกลุ่มสมุนไพรยาเย็น หรือยาร้อนตามอาการของคนไข้ นำมาปูทั่วท้องเรือและโรยให้ทั่วตัว แล้วนำน้ำนึ่งยามาราดบนตัวคนไข้ และตลบใบตองห่อปิดตัว
ในแต่ละครั้งจะใช้เวลา ครึ่งชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมง
ยาหอม |
รางบดยา |
ห้องจำหน่ายยาสมุนไพรที่อยู่ด้านล่าง
ยาดองแบบต่างๆ จัดแสดงให้ชมอย่างน่าสนใจ
มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาเดินชมยาสมุนไพรอย่างแต่ละโซนพิพิธภัณฑ์อย่างไม่ขาดสาย
ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุมาเที่ยวกันเยอะกว่าหนุ่มๆสาวๆซ่ะอีก
หลังจากที่ได้เดินเที่ยวชมได้ความรู้จากพิพิธภัณฑ์แพทย์แผนไทยเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแล้ว ไม่ไกลกันนักก็แวะไปไหว้พระที่วัดแก้วพิจิตร
วัดแก้วพิจิตร |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัดแก้วพิจิตร |
วัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2422 โดยนางประมูล โภคา (แก้ว ประสังสิต) เศรษฐีนีผู้ใจบุญชาวปราจีนบุรี |
ผนังด้านนอกมีภาพปูนปั้นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ ภายในวัดวาดบนแผ่นผ้าเป็นเรื่องราวในพระพุทธศาสนา |
ภายในพระอุโบสถ เสาโบสถ์ศิลปะยุโรป
พระพุทธรูปยืนประดิษฐานอย่างสง่างามในอุโบสถ
พระพุทธไสยาสน์ (พิมพิลา) พระพุทธรูปแกะสลัดจากต้นตะเคียนทอง |
เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ขนาดกว้าง 5.99 เมตร ความกว้าง 1.35 เมตร ลักษณะองค์แกะสลักจากลำต้นเนื้อไม้ตะเคียนทอง ซึ่งมีประวัติคู่กับวัดแก้วพิจิตรมาอย่างอย่างนาน
ตามตำนานเล่าต่อๆกันมาจากบรรพบุรุษว่า พื้นที่ที่สร้างวัดแก้วพิจิตร แต่เดิมเป็นป่าไม้เบญพรรณติดกับพื้นที่ท้องนา คุณย่าประมูล โภคา เป็นเศรษฐีนีผู้ใจบุญเป็นผู้นำในการสร้างวัด ณ บริเวณพื้นที่ที่สร้างโบสถ์ด้านทิศใต้ มีต้นไม้ใหญ่สองต้น ต้นหนึ่งคือต้นเกตุและอีกต้นคือ ต้นตะเคียนทอง ทั้งสองต้นนี้เจริญเติบโตมาก่อนที่จะมีการสร้างวัดแก้วพิจิตรประมาณ 20 ปี โดยต้นเกตุทิ้งต้นตาย ในปีพ.ศ.2550 เจ้าอาวาสวัดแก้วพิจิตรได้นำต้นไปแกะสลัดเป็นองค์พระพิฒเนศ และนำไปประดิษฐานภายใน พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ส่วนต้นตะเคียนทอง ทิ้งต้นตาย ในปี พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นที่วัดแก้วพิจิตรได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ยกวัดแก้วพิจิตรเป็นวัดราษฎร์ ขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระคุณยุตติคุณากร เจ้าอาวาสฯ และคณะผู้บริหารวัด เกรงประชาชนจะได้รับจากกิ่งก้านสาขาที่แห้ง จึงขออนุญาติตัดต้นตะเคียนทอง จากกรมศิลปากร เนื่องจากอยู่ในเขตพื้นที่ของโบราณสถาน ประชาชนทั่วไปก็มีความเลื่อมใส ศรัทธาในเทวดาที่รักษาต้นตะเคียนทองต้นนี้ จึงมีดำริให้นำลำต้นไปแกะสลัดเป็นพระพุทธไสยาสน์ เพื่อเป็นอนุสรณ์และเป็นสิ่งศักการะแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ศาลาตรีมุขริมท่าหน้า วัดแก้วพิจิตร |
โดยมีโป๊ะเรือเพื่อไปนั่งพักผ่อนและให้อาหารปลาได้ด้วย
มีคนแวะมาให้อาหารปลาอย่างไม่ขาดสาย แม้จะเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ถ้าเป็นวัดธรรมดา คนคงจะน้อยกว่านี้มากๆ
มีหมู่มัจฉาปลาตัวใหญ่น้อย ออกมาแหวกว่ายทานอาหารและขนมปังที่คนโยนลงไป
แม่น้ำปราจีนบุรีในช่วงหน้าฝน น้ำล้นหลากไหลมาจากเทือกเขาใหญ่ |
ออกจากวัดแก้วพิจิตร ขับรถตะลอนเลาะมาอีกไม่ไกลริมถนนเลียบแม่น้ำปราจีนบุรี
จากนั้นก็แวะมาสักการะศาลหลักเมืองปราจีนบุรี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งศาลหลักเมืองเก่าแก่สร้างมาอย่างยาวนาน
ประวัติสำคัญของศาลหลักเมืองปราจีนบุรี |
เคยมีการสร้างมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2410 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นบวรวิเศษไชยชาญ เสด็จมาก่อสร้างป้อมและกำแพงเมืองปราจีนบุรี การก่อสร้างได้แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2415 ในปีเดียวกันนีเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาภูธธาภัย สมุหนายกว่าการมหาดไทย ออกมาทำการก่อสร้างศาลและฝังเสาหลักเมืองขึ้น ณ บริเวณฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำปราจีนบุรี ใกล้ๆกับอาคารก่องกำกับกับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี (หลังเก่า) ทำให้ศาลพระหลักเมืองเป็นปูชนียสถานสำคัญอีกแห่ง เป็นที่เคารพศักการะของประชาชนจังหัดปราจีนบุรี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เดียวถ้ามีโอ้เอ้ จะไม่ทันเวลาส่งรถคืนให้กับร้านเช่า
ระหว่างขับรถมอเตอร์ไซต์แว๊นๆจะกลับนครนายก ก็ไม่พลาดจะต้องแวะไปเช็คอิน ซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปด้วยสักเล็กน้อย เลยแวะที่ตลาดผลไม้หนองชะอม อีกหนึ่งตลาดที่ใครผ่านถนนสายหลัก จะต้องแวะมาพักยืดเส้น ยืดสาย เดินซื้อผลไม้ที่ตลาดแห่งนี้กันแทบทุกครั้ง
เรื่องน่ารู้ของตลาดริมทาง ตลาดไม้หนองชะอม |
มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเมื่อปี พ.ศ.2508 นายปราโมทย์ จิระสิงห์ หรือชาวบ้านในละแวกนั้น เรียกว่า ลุงอ้วน กับ ป้าตุ้ย สองสามีภรรยาเจ้าของสวนผลไม้ "สวนไม้ลาย" ได้ปลูกเพิงไม้ไผ่หลังคามุงจากบริเวณหน้าสวนในช่วงหน้าผลไม้เพียงเพิงเดียวเพื่อขายผลิตผลจากสวน เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด เป็นต้น ปรากฎว่าผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาได้แวะซื้อผลไม้จากสวนกันมากพอสมคร ทำให้เจ้าของสวนผลไม้และชาวบ้านซึ่งมีภูมิลำเนาบริเวณใกล้เคียงสนใจที่จะนำผลไม้มาขายบ้าง จึงได้ขออนุญาติจากคุณลุงอ้วนและป้าตุ้ยปลูกเพิงใกล้ๆกันเพื่อค้าขายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ต้นปี พ.ศ.2530 คุณลุงอ้วนและป้าตุ้ย จึงได้ก่อสร้างแผงผลไม้ถาวรขึ้นเป็นโครงสร้างยาวสุดเขตสวนผลไม้ กลายเป็นตลาดผลไม้หนองชะอม มาจนถึงเช่นทุกวันนี้ และในเดือนตุลาคม ปี 2561 ได้ยกระดับให้เป็นตลาดริมทางในความส่งเสริมของกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์
หน่อไม้สดไผ่ตงหวาน มีมากในหน้าฝนนี้ ราคาถูกๆ ใครชอบกินหน่อไม้ คงไม่พลาดซื้อติดไม้ติดมือไปด้วยทุกครั้ง |
ดิฉันขับมอเตอร์ไซต์เที่ยวตั้งแต่นครนายกมาถึงปราจีน หน่อไม้เยอะพอๆกับส้มโอเลยค่ะ และราคาก็ไม่แพงอีกด้วย เพราะขายกัน 5 กิโลกรัม 100 บาท หรือถ้าใครซื้อเยอะ ก็ต่อรองราคากับคนขายได้
สละสุมาลีจากสวน อร่อย หวาน คนขายบอกว่ามาจากสวนในปราจีนโดยตรงเลยจ้า
น้อยหนาเนื้อเยอะ เม็ดน้อยก็มีให้เลือกลิ้มลอง
เห็นแล้วก็ต้องซื้อไปฝากคนที่บ้านและที่ทำงานด้วย
หลังได้เดินช๊อปปิ้งซื้อของฝากติดไม้ติดมือใส่รถมอเตอร์ไซต์ไปแล้วก็เดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองนครนายก
อีก 14 กิโลเมตรก็ถึงนครนายกแล้ว ต้องรถไปคืนที่ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซต์ในเมืองนครนายกให้ทัน
ช่วงเย็นๆในวันหยุดสุดสัปดาห์รถที่วิ่งไปกรุงเทพ ค่อนข้างเยอะไม่น้อย ต้องระมัดระวังให้ดีเลยเชียว
คืนรถมอเตอร์ไซต์ให้กับร้านเช่าของคุณลุงที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิตแล้ว ก็มายืนรอขึ้นรถกลับกรุงเทพ มีรถ ปอ.2 ผ่านพอดี เสียค่าตั๋ว 68 บาท |
จากก็มายืนรถขึ้นรถที่ ป้ายรถ หน้ามหาลัย รถบัส ปอ.2 หยุดจอดพอดี ก็ซื้อตั๋วรถราคา 68 บาท
เดินทางกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ จบทริปเที่ยวนครนายก-แอบมาซบอกเมืองปราจีนบุรีเล็กน้อย |
สำหรับเพื่อนๆคนใหนที่วางแผนจะมาเที่ยวใกล้กรุงเทพ และวางแผนจะมาเที่ยวนครนายก และเมืองปราจีนบุรีในวันหยุดนี้ เบื่อๆการทำงานในเมืองกรุง ก็ลองมาเที่ยวชมทุ่งนา สัมผัสบรรยากาศป่าเขาที่เมืองนี้ได้นะคะ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ ให้ไปถ่ายรูปเช็คอิน อีกหลายแห่งเลยค่ะ เรียกว่าไปเที่ยวแค่วันเดียวก็ไม่หมด หากจะเที่ยวให้หมดคงต้องมานอนค้างแรมหลายๆวัน รับรองว่าได้เสพสุขสันต์เริงร่า ช่ะช่ะช่าหัวใจอย่างแน่นอนจ้า
สรุปค่าใช่จ่ายทริปลุยเดี่ยวเที่ยวนครนายก-ปราจีนบุรี
ค่าเดินทางรถตู้ขามาจากรังสิต - นครนายก 100 บาท
ขากลับนั่งรถบัส ปอ.2 กลับ 68 บาท
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์ของร้านคุณลุงในนครนายก วันละ 300 บาท เช่า 2 วัน 600 บาท
ค่าที่พักนครนายก คืนละ 602 บาท ได้ส่วนลด 400 บาทใช้แต้มลดเอา โดยเข้าไปดูที่เว็ป :http://bit.ly/2zhriK9
ค่าน้ำมันรถ 150 บาท รวม 2 วัน
ค่ากินจุ๊กจิ๊กสองวัน รวม 582 บาท
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวม = 2,102 บาท
ขอบพระคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่เสียสละเวลา คลิ๊กเข้ามาสไลด์เลื่อนดูกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกในเว็ปบล็อกถัดไปนะคะ....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
---------------------------------------------------------------------------
บทความบล็อกท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย ตามเมืองอื่นๆ มีดังนี้
7 วัดสวยงามในกรุงเทพ ที่ใครๆก็ต้องมาเสพสุขไหว้กันสักครั้ง มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลยค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวมิวเซียมสยาม แหล่งเรียนรู้สุดเก๋ไก๋ มีอะไรอัพเดทใหม่บ้าง ตามไปเที่ยวกันเลย>> |
แบ่งปันรีวิวเที่ยวขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ไปถ่ายรูปวิวสวยงาม คลิ๊กดูที่เที่ยว>> |
รีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถขับตะลอนไปชมสถานที่ต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ>> |
รีวิวพาชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกรุงเทพ เสพความรู้แบบไทยๆ ไปชมกันเลย>> |
หรือดูรายละเอียดที่ : http://bit.ly/2l05FdT
รวมเด็ดสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตยอดนิยม ที่ต้องไปเช็คอินกัน คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
เที่ยวนครนายกไม่มีรถส่วนตัว ก็เช่ารถมอเตอร์ไซต์เที่ยวไปทั่วได้ด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิว>> |
แบ่งปันรีวิวเที่ยวฮัลล์สตัทด้วยตัวเอง มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง ตามไปดูกัน>> |
แบ่งปันทริปรีวิวเที่ยวเมืองเก่าซาลซ์บูร์ก 1 วัน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เปิดโลกกว้างเที่ยวเมืองเซลอัมซี (Zell am See) เมืองนี้ มีที่เที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
แบ่งปันรีวิวเดินทางไปชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวพาไปเที่ยวเมืองอูล์ม เมืองน่ารักที่ไม่เป็นแค่ทางผ่าน คลิ๊กดูสถานที่ท่องเที่ยวจ้า>> |
แบ่งปันรีวิวพาไปชมเมืองสตุทการ์ท มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง ตามไปกันเลย>> |
แบกเป้ท่องโลกกว้าง เดินทางไปเที่ยวกรุงเฮก มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง ตามไปดูกันจ้า>> |
แบกเป้รีวิวพาเที่ยวในกรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองนี้มีอะไรให้ดื่มด่ำฤทัยบ้าง ตามไปดูกันสิ>> |
รีวิวพาชมเทศกาลดอกทิวลิปที่สวนเคอเคนฮอฟ มีอะไรให้ชมบ้าง คลิ๊กดูที่เที่ยว>> |
แบ่งปันรีวิวการเดินทางไปเที่ยวเมืองเก่าไฮเดลเบิร์กด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวจ้า>>> |
แบกเป้เที่ยวเยอรมนี แวะเที่ยวที่เมืองแฟรงก์เฟิรต์ ไปดูสิมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง>> |
มาม๊ะ..เที่ยวเกาะสมุยชิลๆ ชมวิวทะเลสวยๆ รุ่มระรวยด้วยของกินเลิศๆ คลิ๊กดูรีวิวจ้า>> |
แบ่งปันวิธีการเดินทางไปเที่ยวชมสวนดอกไม้ Hamamatsu ไม่ยากเลยจ้า คลิ๊กดูการเดินทาง>> |
0 ความคิดเห็น