มาแล้วจ้า บล็อกรีวิวท่องเที่ยวเดือนมกราคม 2018 นี้ แบกเป้จรลีจากงาน ไปยลตระการถึงเกาะฮ่องกง ชมวิวพระอาทิตย์อัสดงงามเลิศ |
อ้าว!! ขอไม่พร่ำเพร้อแล้วกันค่ะ เดียวจะบ่นจนบล็อกพังไปเสียก่อน มาต่อเลยแล้วกันนะค่ะ สำหรับทริปรีวิวเที่ยวมาเก๊า กับเที่ยวฮ่องกงครั้งแรกในชีวิต ช่วงฤดูหนาวในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เรียกว่า งงๆกันจริง แต่ก็สนุกแบบฉบับคนโสด เพราะได้ประสบการณ์ทั้งแบบโหด และแบบฮา จนเป็นคนบ้ามาถึงวันนี้คะ
สำหรับฮ่องกงเป็นอีกเมืองท่องเที่ยวที่ดิฉันเองวางแผนอยากเที่ยวตั้งนานแล้ว จนผ่านมาหลายสิบปี แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสมาเยือนสักที เดือนนี้ก็เลยขอปลีกวิเวกลาพักร้อนจากงานประจำ มาเดินแบกเป้หาประสบการณ์ในต่างแดนรับเสียแต่ต้นปีเลยแล้วกัน โดยทริปเที่ยวแบกเป้รอบนี้ ก็ไปคนเดียวอีกเหมือนเดิมคะ หลังจากทริปเดือนที่แล้วมีเพื่อนเที่ยวด้วย แต่รอบนี้วันหยุดเราไม่ตรงกันค่ะ คุณนายเว่อร์เลยขอฉายเดียวดีกว่าค่ะ ถ้าหากไม่ได้ไปเที่ยว เดียวไม่มีเรื่องราวมาลงในเว็ปบล็อก เว็ปจะร้างไปเสียก่อนค่ะ
เพื่อไม่ให้งงไปกว่านี้ เพื่อนๆคุณผู้อ่านสามารถไปดูรีวิวก่อนหน้าที่ได้ที่เว็ปไซต์
ต่อจากตอนที่ 1 : https://goo.gl/3Gyojq
ต่อจากรีวิวตอนที่ 1 ทริกแบกเป้ลุยเที่ยวมาเก๊า |
ดิฉันก็แบกเป้เพราะของพะรุงพะรังออกจากบัลลังท่าเรือฮ่องกง
เพื่อเดินทางไปยังสถานีรถไฟ MTR
ตอนมาถึงฮ่องกง ก็ตั้งหลักอยู่สักพัก ไม่รู้จะเริ่มตรงใหนดีนะคะ
เพราะออกจากด่านมา ก็หาทางออกของท่าเรือไม่เจอค๊า
โอ้ย..เดี๊ยนละงงจริงๆค่ะ
พอออกจากท่าเรือมาก็เปิดGPS พอมือถือนำทาง
ดูในแผนที่แล้ว จากท่าเรือเดินไปที่สถานีรถไฟ MTR ไม่ไกลค่ะ
เดี๊ยนละชอบเรียกชื่อสับกันระหว่างรถไฟ MTR ในฮ่องกง กับรถไฟ MRT ในกรุงเทพบ้านเราค่ะ
เพราะชื่อมันคล้ายกันเหลือเกิน แต่ก็ช่างมันเถอะ
วิธีการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน MTR ในฮ่องนั้น
เนื่องจากในฮ่องกงนั้น มีเส้นทางรถไฟหลายสาย และแต่ละสาย
จะนำชื่อสถานีรถไฟปลายทาง มาทำเป็นชื่อเส้นทาง เดี๊ยนแนะนำให้ศึกษาดูแผนที่ก่อนนะคะ
เดินทางออกจากสถานี Central ไปยัง สถานี Tshim Sha Tsui ด้วยรถไฟสายสีส้ม |
ก็เลยไปสอบถามคำแนะนำจากเจ้าหน้าทีก็เลยพอเข้าใจขึ้นมาบ้างค่ะ
เช่นวันนี้จุดมุ่งหมายของดิฉันคือ เริ่มต้นเดินทางนั้นรถไฟฟ้า MTR จากสถานี Central เพื่อไปยังที่พักซึ่งอยู่แถวจิมซาจุย โดยเส้นทางรถไฟสายนี้คือ tsuen wan station เพื่อเดินทางไปลงยังสถานี Tsim sha tsui ค่ะ ซึ่งย่านนี้ขึ้นชื่อเรื่องช๊อปปิ้ง และมีโรงแรมที่พักเปิดให้บริการอยู่เยอะมาก เดี๊ยนเองก็เลือกพักที่ฮ่องกงนี้ 3 คืนเลยค่ะ
บัตร octopus กับวิธีการใช้งานในฮ่องกง ถือว่าเป็นบัตรที่ใช้จ่ายได้หลายอย่าง สะดวกสบายมากๆ |
ก็ให้ซื้อบัตร Octopus กับทางเจ้าหน้าที่ Customer service ในสถานีรถไฟเลยค่ะ ราคา 200 เหรียญ ค่ามัดจำบัตร 50 เหรียญ จะมีมีเงินอยู่ในบัตรให้ใช่ 150 เหรียญค่ะ และตอนคืนบัตร จะได้เงินกลับคืนแค่ประมาณ 41 เหรียญค่ะ สำหรับบัตรนี้ก็สะดวกมากนะคะ สามารถใช้กับรถโดยสารสาธารณะอื่นๆได้ด้วย รวมทั้งซื้อของกินในเซเว่นได้ด้วยค่ะ
หลังจากได้บัตร octopus แล้วนะค่ะ ดิฉันก็เดินทางจากสถานี Central มาลงที่สถานี Tsim sha Tsui (จิมซาจุย)ค่ะ
ช่วงที่เดินทางมานั้น ค่อนข้างดึกมากแล้วค่ะ น่าจะ 4 ทุ่มกว่าได้กระมังค่ะ เพราะติดอยู่ในด่าน ตม.ตั้งนาน กว่าจะโดนเรียกเข้าห้องเย็น ออกมาก็ดึกแล้วค่ะ
หลังจากเดินทางออกมาถึงสถานีรถไฟย่านจิมซาจุยแล้วนะค่ะ
ก็เปิด GPS เดินคลำหาที่พักต่อค่ะ เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอค่ะ อยู่เยื้องกับสถานีรถไฟนี้เองค่ะ
ที่พักคืนนี้มาพักที่ Majestic7guesthouse |
ทางเข้าที่พักไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ โอเคอยู่นะค่ะ
ก่อนจองที่พักแห่งนี้ อ่านดูรีวิวแล้ว คอมเม้นต์ส่วนใหญ่บอกว่าที่พักแห่งนี้โอเค
ดิฉันเลยเลือกจองที่นี้ค่ะ
ลิฟท์ที่พักมี 2 ฝั่ง กดรอแป๊บเดียวก็ลงมาแล้ว ไม่ต้องรอนานค่ะ
แต่ลิฟท์มีขนาดเล็กไปหน่อยค่ะ เข้าไปไม่กี่คนก็เต็มล่ะ
เปิดประตูลิฟท์ออกจากที่ชั้น 7
บริเวณรอบที่พักไม่มีอะไรนัก เป็นแบบหอพัก อพาร์ทเม้นท์
มีทางเดินเข้าไปยังที่พักค่ะ
ที่พักอยู่ชั้น 7 พอมาถึงก็เห็นป้ายชื่อที่พักติดไว้ที่หน้าประตูเลยค่ะว่า Majestic7 Guesthouse
ดีนะค่ะที่หาไม่ยาก ตอนแรกคิดไว้ว่าต้องเดินเป็นเขาวงกตเสียอีกค่ะ อ่านในรีวิวที่พักอื่นๆมา
บอกว่าที่พักย่านจิมซาจุยจะเป็นเขาวงกต ถ้าใครไม่รู้ทางออก จะเดินวนจนเวียนหัวเลย
แต่โชคดีที่พักแห่งนี้อยู่ใกล้ประตูลิฟท์ หาไม่ยาก
จากนั้นก็กดกริ่งเรียกเจ้าหน้าที่ของที่พักให้เปิดประตูให้หน่อยจ้า
พอกดกริ่งปั๊บ สัญญาณประตูก็ปลดล๊อคปุ๊บ
เปิดประตูเข้ามาด้านในก็เป็น ล๊อบบี้เล็กๆให้นั่งรอ Check in
มีเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับด้านใน
หน้าจะเป็นเจ้าของที่พักนี้ค่ะ เดาเอานะ เพราะดูเค้าค่อนข้างนิ่งๆ
แต่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เข้าใจง่ายค่ะ
ตอนช่วง Checkin ทางเจ้าของที่พักก็บอกว่า มีเจ้าหน้าที่จากด่าน ตม.
โทรติดต่อมาสอบถามทางที่นี้ด้วย ว่าดิฉันได้พักที่นี้จริงๆหรือไม่
โฮ้..แสดงว่าทาง ตม.ท่าเรือฮ่องกง เค้าเข้มงวดมากๆเลยนะค่ะ
ลักษณะที่พักเป็นแบบ Service apartment ให้เช่าพักรายวัน
เหมือนเค้าทำห้องซอยเพิ่มอีกที อย่างที่ทราบกันดีนะค่ะว่า ค่าครองชีพที่ฮ่องกงนี้สูงมาก
โดยเฉพาะเรื่องที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่คนจะอาศัยอยู่ในตึกกันเป็นส่วนใหญ่
ทำให้ห้องพักมีขนาดกะทัดรัดมาก ห้องพักส่วนใหญ่ในย่านนี้
จะถูกซอยแบ่งเป็นล๊อคอีกทีค่ะ
และหลังจากที่ได้ทำการ Check in เรียบร้อยแล้วนะค่ะ
ทางเจ้าของที่พักก็ให้กุญแจห้องพักดิฉันมาเปิดห้องพักค่ะ
อ่อ..ที่พักที่นี้หากใครหอบกระเป๋าใบใหญ่มา ไม่มีพนักงานยกกระเป๋านะค่ะ
ทุกอย่าง selfservice หมดค่ะ
มารีวิว Majestic7 Guesthouse ที่พักแถวจิมซาจุ่ย hong kong review |
เล็กกะทัดรัดจริงๆค่ะ ห้องพักคืนละ 1100 บาท สำหรับพักคนเดียว
มีเตียงนอน ผ้าห่มผืนบาง มีหน้าหน้าตรงเตียงหัวนอง และมีกาต้มน้ำร้อน
แต่ดูของจริงแล้ว ดีกว่าในเว็ปไซต์มากนะค่ะ ที่พักสะอาดสะอ้าน ดูแล้วไม่เก่าเลย
แถมยังมีที่ว่างให้ขยับตัวและเดินได้ด้วย ไม่อึดอัดเกินไป เหมาะกับการนอนคนเดียวจริงๆ
ถ้า 2 คนคงไม่ไหวค่ะ อึดอัดแน่ๆ
Majestic7 Guesthouse ห้องพักโอเค สะอาดสะอ้านใช้ได้เลยค่ะ ขนาดเล็กกะทัดรัดสุดๆ |
เน้นนอนพักค้างอย่างเดียวค่ะ
มีทีวี มีกาต้มน้ำร้อน มีไดร์เป่าผมให้ด้วย
มีทิชชู และที่สำคัญเลยที่เลือกที่พักแห่งนี้
เพราะมีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับวางของนั่งทำงาน หรือนั่งกินข้าวค่ะ
ซึ่งที่พักส่วนใหญ่ในฮ่องกง จะไม่มีค่ะ แต่ที่พักแห่งนี้มีโต๊ะและเก้าอี้ให้ด้วย
อุตสาห์หอบโน๊ดบู๊คกระเตงมาทำงานด้วยทั้งที ถ้าไม่มี
ชอบตรงที่มีโต๊ะและเก้าอี้ไว้นั่งทำงานได้ดี |
พิเศษเลยชอบตรงนี้แหละค่ะ มีโต๊ะ และเก้าอี้
ให้นั่งทานข้าวและนั่งทำงานด้วยค่ะ
ที่เลือกจองที่พักที่นี้ เพราะต้องการโต๊ะทำงานเนี่ยแหละค่ะ
แม้ห้องจะเล็กไปหน่อยไม่เป็นไร แต่ขอให้มีที่นั่งทำงานในมุมส่วนตัวก็พอ
ห้องน้ำส่วนตัว สะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นเหม็นของท่อให้กวนใจ |
อ่างล้างหน้าอยู่ในห้องน้ำ
มีโถส้วมแบบชักโครก
โอเคให้ผ่าน สะอาดสะอ้านดีค่ะ
พอดีช่วงที่ไปพัก เป็นช่วงวันธรรมดา แขกที่มาเลยไม่ค่อยเยอะ
แต่ว่าก็ได้ยินเสียงคนคุยจากข้างนอก ดังมาถึงข้างในเหมือนกันนะค่ะ
แต่ก็ไม่ได้ดังอะไรมากนัก
ขอตินิดนึง ผ้าขนหนูในห้องไม่มีให้นะค่ะ ต้องมาถามกับพนังงาน และมาหยิบที่ตู้เองจ้า |
บอกว่า ต้องมาหยิบเองที่ตู้แห่งนี้ค่ะ โอ้..มายกอด นี้ถ้าไม่ถาม ดิฉันคิดว่าเค้าคงไม่มีให้แน่ๆนะค่ะ
เพราะตอนในรายละเอียดที่พักแจ้งไว้ว่ามีผ้าขนหนูให้ แต่ไม่เอาไว้ในห้องพักให้ลูกค้า
ถ้าไม่ทวงถาม คงไม่ได้ผ้าขนหนูแน่ๆค่ะ ส่วนแก้วน้ำก็มีให้นะค่ะ แต่วางอยู่บนตู้ผ้าขนหนูนั้นแหละค่ะ
กล่องสีเขียวๆ ทุกอย่าง Selfservice จริง
หลังจากที่ได้เข้าพัก และได้รีวิวที่พัก Majestic7 Guesthouse ไปแล้วนะค่ะ
ก็ได้เวลาทานข้าวแล้วล่ะค่ะ เพราะหิวมากๆ
ดิฉันก็เลยไปเดินหาอะไรทานในย่านนี้
นึกไม่ออกไม่รู้จะทานอะไรดี
ไม่พ้น 7-11 ค่ะ อยากทานข้าวมากๆ
เห็นในเซเว่นมีข้าวแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่นอยู่เลยซื้อมาลองทานดู
พอจ่ายเงินปุ๊บ ดิฉันก็บอกให้เจ้าหน้าที่ช่วยเอาเข้าไมโครเวฟให้หน่อย
แต่ทางพนักงานบอกว่าให้ดิฉันเอาไปเวฟด้วยตัวเองนะค่ะ
ไม่เหมือนเซเว่นในเมืองไทยเรานะค่ะ บริการให้ทุกอย่างเลย
แต่ที่ฮ่องกงไม่ค่ะ ลูกค้าซื้อของกินอยากเวฟ แต่เอาของไมโครไฟเวฟค่ะ
เมื่อได้เวฟข้าวแกงกะหรี่แล้ว
ก็ซื้อหอบมาทานที่ห้องต่อค่ะ
กินจนอิ่มค่ะเลยค่ะ ไม่ค่อยอร่อยเลยแต่ก็ทานไปงั้นๆนะค่ะ
อยากบอกว่าของกินในเซเว่นและอาหารทุกอย่างในฮ่องกง
ราคาค่อนข้างแพงกว่าบ้านเรามากนะค่ะ น้ำดื่มถูกสุดก็ปาไปตั้ง 8 เหรียญเลยค่ะ
หรือประมาณ 32 บาทบ้านเราเลยนะค่ะ
ส่วนข้าวราดกะหรี่ที่เดี๊ยนพึงทานไปก็ประมาณ 29 เหรียญ หรือประมาณ 116 บาทไทยค่ะ
หากใครมาเที่ยวที่นี้ต้องเตรียมสะตุ้งสะตังมาให้พอนะค่ะ
universal plug ต้องเตรียมมาให้พร้อมค่ะ เพราะปลั๊กบ้านเค้าไม่เหมือนเมืองไทยเรา |
ก็ไม่เหมือนในเมืองไทยบ้านเรา
เดี๊ยนโชคดีเตรียม universal plug มาพร้อมเลย
พร้อมต้องใช้เสียบโน๊ตบุ๊คทำงาน
ซื้อมาตั้งนานหลายปีแล้ว
ยังใช้งานได้ดีอยู่ค่ะ หากใครที่แวะมาเที่ยวฮ่องกง
พกมือถือ หรือหอบโน๊ตบุ๊คมาทำงานแบบเดี๊ยน
อย่าลืมพกมาด้วยนะค่ะ มีขายทั่วไปทั้งในออนไลน์ และในเซเว่นค่ะ
และหลังจากทานข้าวอิ่มแล้วนะค่ะ
เดี๊ยนก็อาบน้ำทำธุรส่วนตัวจนเสร็จ
จากก็มานั่งตอบอีเมลล์งานที่บริษัทอีกสักชั่วโมง
ก่อนจะเข้านอนหลับเป็นตายไปตลอดคืนค่ะ
จบทริปในวันแรก--สรุปตื่นแต่เช้าตรู่ตั้งแต่ตี 3 ครึ่งเพื่อมาขึ้นเครื่องบินให้ทันไฟล์เช้าที่สนามบินดอนเมือง จากนั้นก็เดินเที่ยวชมสถาปัตยกรรมในมาเก๊าครึ่งวัน นั่งเรือมาถึงฮ่องกง โดน ตม.ท่าเรือฮ่องกงเรียกเข้าห้องเย็นอีก กว่าจะถึงที่พักเข้านอนก็เที่ยงคืนกว่าพอดีค่ะ เหนื่อยหน่อย แต่ก็สนุกท้าท้าย และได้เรียบรู้กับอะไรใหม่ๆ ในต่างแดน ถ้าอยู่แต่ในเมืองไทยก็จะไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าได้ออกมาเผชิญโลกภายนอกแล้ว ได้เรียนรู้อะไรเยอะและได้ประสบการณ์จาการเดินทางด้วยค่ะ
--------------------------------------------------------------------------------------
ขอสรุปทริปเที่ยวฮ่องกงแบบสั้นๆ แต่ยาวเหยียดดังนี้ค่ะ
วันที่ 2 ของทริปเที่ยวมาเก๊า-ฮ่องกงครั้งแรกในชีวิต ไม่รู้จะได้เดินทางมาอีกหรือเปล่า สรุปดังนี้ค่ะ
และในวันที่ 2 นี้เป็นทริปวันแรกที่จะได้ท่องเที่ยวในฮ่องกงค่ะ วันที่ 16 ม.ค.2018
สำหรับแผนการเดินทางท่องเที่ยวในวันที่ 2 ของการเดินทางทริปนี้
- ช่วงเช้า นั่งเคลียงานให้เสร็จก่อนมาเที่ยว
- ออกเดินทางช่วงบ่ายๆเดินทางไปขึ้นรถรางเพื่อไปจุดชมวิว The Peak อยากบอกว่ารถขึ้นรถรางคิวยาวมากๆนะค่ะ หากใครที่ไม่สามารถรอได้ แนะนำนั่งรถเมลล์ไปเลย
- และตกเย็นพลบค่ำก็ไปรอชม symphony of lights ริมอ่าววิกตอเรียค่ะ
ซึ่งจะเปิดให้ชมทุกวันในช่วงเวลา 2 ทุ่มค่ะ
ทริปเที่ยวฮ่องกงในวันที่ 3 ในวันที่ 17 ม.ค.2018
ดิฉันเน้นทริปเที่ยวแบบไหว้พระ ชมสวนดอกไม้และชมวิวทิวทัศน์ค่ะ
- หากมาฮ่องกงต้องไม่พลาด แวะไปไหว้เจ้าที่ wong tai sin temple
- และใกล้ๆกันก็ไปเดินชมสวน chi lin nunnery hong kong
- และตอนบ่ายก็ไปนั่งกระเช้าที่เขานองปิง
จากนั้นก็เดินทางกลับที่พัก
ทริปเที่ยวฮ่องกงในวันที่ 4 วันสุดท้าย วันที่ 18 ม.ค.2018
สำหรับวันสุดท้ายนี้
ดิฉันขอเที่ยวแบบ Slow Life หน่อยนะค่ะ
Check out ออกจากที่พักฝากกระเป๋าไว้ ณ ที่พัก
- ก็เลยไปเดิน chill out ย่าน street art แถวถนนฮอลีวู้ดค่ะ
- และนั่งรถไฟฟ้าไปถ่ายรูปชมตึกTransformer ย่าน Yick Fat Building
- จากนั้นก็นั่งรถราง Tram แบบ 2 ชั้นเพื่อชมวิถีคนเมืองฮ่องกง
- ก่อนจะเดินทางกลับที่พักเพื่อไปเอากระเป๋า
- จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้าไปยังท่าเรือฮ่องกงเพื่อเดินทางไปยังเกาะมาเก๊าที่ท่าเรือไทปา
- มาถึงมาเก๊าที่เกาะไทปา เวลายังเหลืออยู่มาก ก็เลยไปเดินช๊อปปิ้งซื้อของฝากที่ เวเนเซียน ซึ่งมีรถบริการไปรับและส่งฟรี ก็เลยไปเดินช๊อปปิ้ง
- เวลาประมาณ 2 ทุ่มก็เดินทางมายังสนามบินมาเก๊า เพื่อรอ check in นั่งเครื่องบินกลับประเทศไทยในช่วง Flight ประมาณ 5 ทุ่ม เดินทางถึงสนามบินดอนเมือง
------------------------------------------------------------------------------
เช้าของวันที่ 16 ม.ค.2561
ดิฉันตื่นสายได้ใจมากๆค่ะ
เพราะว่านอนสลบไสลคาราคาซังอยู่บนเตียงนอน
และอากาศในช่วงเช้าของเกาะฮ่องกงก็เย็นดีเหลือเกิน
แต่ยังไงก็ต้องตื่นขึ้นมาต่อ ไม่งั้นคงไม่ได้ไปใหนแน่ๆค่ะ
ช่วงเช้านี้ก็ยังไม่ได้ไปใหนนะค่ะ
กะว่าจะออกไปตอนสายๆประมาณ 11 โมงหรือตอนเที่ยงค่ะ
เช้านี้ก็หนีไม่พ้นอาหารเช้าจากเซเว่นอีเลฟเว่นอีกเหมือนเดิมค่ะ
เพราะสะดวกที่สุดแล้ว กะว่าจะไปทานโจ๊กฮ่องกง เอาไว้ก่อนนะ
พอดีเดี๊ยนยังหาพิกัดไม่เจอค่ะ
อาหารเช้านี้มีข้าวห่อใบบัว นมถั่วเหลือง ขนมไข่และผลไม้สด
ผลไม้ที่นี้แพงมากนะค่ะ ราคาอยู่ที่กล่องละ 19 เหรียญหรือประมาณ 76 บาท
โอ้ยมายกอด.....เดี๊ยนจะเป็นลมค่ะ
เอาเป็นว่าเช้านี้ทานอาหารจีนไปก่อนล่ะกันค่ะ
ดูเหมือนคล้ายบะจ่างนะค่ะ
ทำจากข้าวเหนียวห่อกับไส้หมูด้านใน
รสชาติอร่อยจัดจ้านดีนะค่ะ
แถมราคาก็ถูกกว่าอาหารแบบอื่นด้วย เพราะเป็นอาหารที่ทำขึ้นในเกาะฮ่องกง
ราคาก็เลยไม่แพงมาก ประมาณ 17 เหรียญ ถูกกว่าผลไม้เสียอีกนะค่ะ
ส่วนผลไม้ทานไม่หมด
ดิฉันก็เอาไปแช่ไว้ในตู้เย็นรวมค่ะ
เนื่องจากในห้องพักไม่มีตู้เย็นให้ แต่ก็มีตู้เย็นรวมให้นะค่ะ
แต่ต้องเขียนชื่อหมายเลขห้อง และวันเดือนปีที่นำเข้าใส่ตู้เย็นไว้ด้วย เพราะว่ามีป้ายระบุไว้ หากอาหารที่แช่ไว้ตู้เย็นเกิน 1 สัปดาห์จะถูกเก็บกวาดและ Big clean ลงถังขยะให้หมดค่ะ น่าจะเอามาใช้ใน office ที่บริษัทบ้างนะค่ะ เพราะของในตู้เย็นบางคน แช่ไว้เป็นปีแล้วจ้า 5555
พักค้างคืน Majestic7 Guesthouse |
ก็ไม่ได้ไปใหนค่ะ มานั่งเคลียงานไปอีกสัก1-2 ชั่วโมงให้แล้วเสร็จ
ก่อนจะออกเดินทางไปเที่ยวต่อค่ะ
หลังจากทำงานเสร็จแล้วนะค่ะ
ก็จวนเวลาจะเที่ยงพอดี
ทานอีกแล้วค่ะ เที่ยงนี้ไม่หนีไปทานข้าวที่ใหน
แวะทานผลหมาก รากไม้ให้หมด กับขนมข้าวซอยฮ่องกง
ขนมข้าวซอยตัดฉบับฮ่องกง ขนมราคาถูกไม่แพงอยู่ในเซเว่น
คล้ายๆกับขนมข้าวซอยตัดของฝากจากเชียงใหม่เลยนะค่ะ
แกะทานแล้ว รสชาติเหมือนกันเป๊ะ เด๊ะๆเลยจ้า
แต่ปริมาณและราคาของไทยเราได้เยอะกว่า
หลังจากที่ได้ทานอาหารเที่ยงอิ่มแล้วนะค่ะ
ก็ได้เวลาออกไปตะแล็ดแต๊ดแต๋ท่องเที่ยวยลโฉมเมืองฮ่องกงแล้วค่ะ
ในช่วงเวลาใกล้ๆเที่ยงที่ฮ่องกงวันนี้ย่านจิมซาจุ่ย
ผู้คนและนักท่องเที่ยวดูเยอะไปหมด
ไมว่าจะเป็นตามทางเดินฟุตบาท
หรือจะข้ามสี่แยก มองไปทางใหนก็มีก็มีแต่ผู้คนสัญจรไปมาอย่างหนาตา
สภาพบ้านเมืองในเกาะนี้
ก็ละลานตาไปด้วยตึกสูงชะลูดเสียดฟ้า
ดิฉันเดินจากที่พักมาไม่ไกลนัก
เปิด GPS เดินมาเพื่อมาชมวิวอ่าววิกตอเรีย
จุดชมวิวยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวหลายๆคนที่มาที่นี้ก็ไม่พลาด
ที่จะต้องแวะมาถ่ายรูปอ่าวแห่งนี้
เกาะฮ่องกง ริมอ่าววิกตอเรีย จุดชมวิวยอดนิยม |
"ฮ่องกง" เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอซินอัน เมืองเซินเจิ้น ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษากวางตุ้ง ซึ่งมาจากภาษาจีนกลาง ว่า "เซียงกั่ง" ความหมายก็ไม่เหมือนใคร หมายความว่า "ท่าเรือหอม" มีความเป็นมา สืบเนื่องมาแต่ครั้งที่กวางตุ้ง เป็นแหล่งปลูกไม้หอมชนิดหนึ่ง ส่งขายเป็นสินค้าออก โดยที่ต้องมาขนถ่ายสินค้ากัน ที่ท่าเรือน้ำลึกตอนใต้สุดของแผ่นดินจีน ด้วยภูมิประเทศของฮ่องกงเอง ที่เป็นเมืองท่าน้ำลึก เหมาะแก่การจอดเรือสินค้าขนาดใหญ่ จึงทำให้ฮ่องกงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโลก
พิพิธภัณฑ์อวกาศ ฮ่องกง |
น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์อวกาศฮ่องกงค่ะ
ตึกสวยงามทันสมัยดีค่ะ
หอนาฬิการิมอ่าววิกตอเรีย |
ก็เป็นหอนาฬิกา อีกหนึ่งจุดชมวิวถ่ายรูปสวยๆยามค่ำคืน
ส่วนตรงนี้เป็นลานจุดชมวิว symphony of lights
โดยตอนหัวค่ำประมาณ 2 จะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ
แวะมาชมการแสดงแสงสีและเสียงที่จุดนี้
หลังจากนั้นดิฉันก็เดินมาที่ท่าเรือเกาลูน
เพื่อจะนั่งข้ามไปยังเกาะฮ่องกงค่ะ
โดยท่าเรือที่นี้ก็อยู่ติดๆกับจุดชมวิวอ่าววิกตอเรียเลยค่ะ
ไม่ต้องไปเดินหาไกลนะค่ะ
ค่าเรือโดยสารที่นี้ถูกมากๆ เมื่อเทียบราคากับการเดินทางด้วยยานพาหนะแบบอื่นๆ
โดยราคาในวันธรรมดาอยู่ที่ 2.7 เหรียญ หรือประมาณ 10 บาทค่ะ
เดินเข้ามาก็จะมีป้ายบอกทางตลอด
ไม่ต้องกลัวหลง เพราะมีเรือข้ามฟากไปยังเกาะฮ่องสถานีเดียวคือ สถานี Central
นั่งเรือจะออกข้ามฟากไปยังเกาะฮ่องกง ให้บริการทุกๆ 10 นาที ไม่ต้องรอนาน
ส่วนการชำระเงินก็ง่ายมากๆค่ะ
ใช้บัตร Octopus เลยนะค่ะไม่ต้องไปเตรียมเงินเหรียญให้ยุ่งยาก
ถือว่าเป็นบัตรเอนกที่ใช้งานได้หลายอย่างจริงๆ
โดยเฉพาะเอามาขีดเส้นใต้แทนไม้บรรทัด ตรงดีไม่แพ้ใช้บัตรเครดิต หรือบัตรปปช.เลยจ้า
รอไม่นานนัก
ทางเจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูให้ลงไปที่เรือ
เพื่อนั่งข้ามฟากไปยังเกาะฮ่องกง
บรรยากาศริมอ่าววิกตอเรีย
ในช่วงเวลานี้ ลมพัดอากาศเย็นดีมากๆค่ะ
อากาศก็หนาวเย็นอยู่แล้ว มานั่งบนเรือยิ่งเย็นไปกันใหญ่เลย
เห็นเรืออีกลำกำลังล่อยละล่องอยู่กลางอ่าว
ส่วนเรือโดยสารที่ดิฉันนั่งมาอยู่นี้ก็กำลังจะแล่นไปจอดเทียบท่า
ผู้โดยสารที่นั่งมาบนเรือก็ไม่ค่อยเต็มลำเท่าไหร่
เพราะเป็นวันธรรมดา แต่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ คนน่าจะเยอะกว่านี้มากค่ะ
นั่งเรือข้ามฟากจากฝั่งเกาลูนมาที่เกาะฮ่องกง ใช้เวลาแป๊บเดียวก็ถึงท่าเรือ Central
เดินออกจากท่าเรือมา เห็นตึกสูงชะลูดเสียดฟ้าลอยอยู่ตรง
น่าจะเป็นตึกที่สูงที่สุดในเกาะฮ่องกงแล้วค่ะ
นั่งเรือจากฝั่งเกาะเกาลูนมาไม่นานนัก ก็ถึงเกาะฮ่องกงแล้วค่ะ |
ดิฉันก็ข้ามสะพานเพื่อมุ่งหน้าไปยังถนนฮอลลีวู้ด
ถนนสุดฮิป ที่เหลาวัยรุ่นเด็กแนว ชอบไปเดินแซวถ่ายรูปกันค่ะ
ใหนแวะมาทั้งทีก็ไม่พลาดต้องไปชมสักครั้งค่ะ
เดินทางครั้งนี้กลัวหลง
ต้องใช้ตัวช่วยในการเปิด GPS ดูเส้นทางตลอดค่ะ
เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ใหนและจะเดินไปทางใหนต่อ
เดินมาสักพักก็ถึงย่านใจกลางเมือง
ตรงนี้่น่าจะเป็นย่านแยก Central
ดูทั้งรถราและคนหนาตามากๆค่ะ
มองขึ้นไปบนฟ้าก็มีแต่ตึกสูงชะลูดเสียดฟ้า เรียงเต็มลูกกะตาไปหมด
เดินริมฟุตบาทในเกาะฮ่องกง ไม่ค่อยได้สัมผัสแสงแดดแน่ๆค่ะ
เพราะรายล้อมไปด้วยตึกสูง เรียงติดกันเป็นทอดๆ เป็นเมืองที่เหมาะกับการถ่ายภาพอาคารสถาปัตยกรรมมากๆนะค่ะ หากใครชอบถ่ายรูปแนวนี้ก็แวะมากันได้
หากแวะมาฮ่องกงแล้ว
ต้องไม่พลาดต้องนั่งรถราง Tram นี้สักครั้ง
ถือเป็นสัญลักษณ์ของเกาะฮ่องกงเลยล่ะค่ะ
ซึ่งเป็นรถรางที่เปิดให้บริการมาเป็นร้อยปีแล้ว
ผู้คนในเกาะฮ่องกับการสัญจรที่ไม่เคยหลับไหล
เพราะมองไปทางใหนคนก็เยอะและหนาตาไปหมดค่ะ
แม้จะเป็นเกาะเล็กๆ มีอาคารตึกสูงล้อมรายรอบเต็มไปหมด
แต่ตามตรอก ซอกซอยเล็กๆ ก็มีร้านขายของให้เดินช๊อปปิ้งกันตลอดค่ะ
มีมุมถ่ายรูปเก่ๆ สวยๆงาม
ให้แวะชมแวะถ่ายกันอย่างไม่มีเบื่อค่ะ
แต่ต้องระวังหน่อยนะค่ะ เพราะบางเส้นทางค่อนข้างชัน
เดียวจะหกล้มคะมัมตีลังกาเอาค่ะ
ในย่านตึกอาคารที่ทันสมัย
แต่ก็ยังคงกลิ่นอายของอาคารสถาปัตยกรรมแบบเก่าในยุคที่เกาะฮ่องกงแห่งนี้
อยู่ในอาณานิคมของอังกฤษค่ะ
มุมถ่ายรูปสุดเก๋ยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมาถ่ายรูป ที่ Shama hollywood hongkong Street Art |
และแล้วก็มาถึงจุดไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ต้องมาเดินผงาดถ่ายรูปกันนั้นก็คือ รูปภาพวาดฝาผนังในย่านถนนคนเดิน Street art
แถวถนน Hollywood ซึ่งถนนเส้นนี้มีภาพแนวๆชิคๆเก๋ๆ เอาใจวัยแนวให้ได้ถ่ายรูปกันหลายมุมเลยล่ะค่ะ
Shama hollywood hongkong Street Art |
หากใครที่แวะมาเที่ยวฮ่องกงครั้งแรก โดยเฉพาะวัยรุ่นวัยแนวและผู้ใหญ่วัยชราบางคนก็ชอบ
ต้องมาถ่ายรูปกันค่ะ
Shama hollywood hongkong Street Art |
มองไปทางใหนก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาในมุมนี้ตลอดค่ะ
แต่มุมอื่นๆก็มีให้ถ่ายภาพกันอีกเยอะเลยนะค่ะ
วิธีการเดินทางมายังถนนฮอลลีวูดนั้นไม่ยาก แต่อาจจะอิสสะงงๆหน่อยค่ะ
แรกๆที่ดิฉันเดินมาก็อิสสะงงนะค่ะ แต่พอมาถึงแล้วก็ร้อง อ๋อ อยู่ตรงนี้เอง
ยังไงต้องใช้ตัวช่วยอย่างโทรศัพท์มือถือเปิดเน็ต GPS นำทางค่ะ
ถนนคนเดิน street Art ย่านฮอลลีวูดฮ่องกง |
ในย่านถนนฮอลลี้วู้ดค่อนข้างแคบและชันมากๆ
ต้องระมัดระวังเวลาเดิน และระวังของมีค่าตัวเองด้วยนะค่ะ
เพราะเดี๊ยนเดินอยู่เห็นฝรั่งคนนึง เดินตามหากระเป๋าสตางค์ตัวเองที่หายไปด้วย
เดี๊ยนสงสัยนางจะโดนมิจฉาชีพฉกไปแล้วค่ะ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
เนี่ยขนาดกลางวันแสกๆนะค่ะ แล้วถ้าต้องกลางคืน ไม่ใช่จะโดนอุ้มไปทั้งตัวเหรอค่ะ
เดินมาเรื่อยก็มีมุมโน้น มีนี้ให้ชมไปเรื่อยเปื่อย
ท่ามกลางตึกสูงเสียดฟ้า กับศิลปะสุดชิค ที่สร้างสรรค์เอาใจคนชอบเที่ยวและถ่ายรูป
ยังมีภาพวาดฝาผนังแนวๆชิคๆเก๋ๆ เริ่ดๆเชิ่ดๆให้ถ่ายกันหลายมุม
แต่ละมุมก็แอบหลบซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ แล้วแต่มุมมองใครจะถ่ายออกมาอย่างไร
ส่วนเดี๊ยนก็ถ่ายไปเรื่อยเปื่อย ไม่เน้นสวย แค่เอามาลงในเว็ปบล็อก ไม่ให้บล็อกนี้ร้างไปก็เริ่ดแล้วค่ะ
บางภาพก็ดูมีสีสันลั๊ลลาช่ะช่ะช่าหัวใจยิ่งนัก
ช่วงสร้างความมีชีวิตชีวาให้ถนนสายนี้
และผู้ที่ได้เดินทางมาพบเห็นต่างก็ต้องหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายกันแทบทุกคน
ส่วนบางภาพก็หลบอยู่ตามมุม
เดินลัดเลาะตามซอกตรอกซอยในย่านถนน Street Art ฮ่องกงนี้
ไปพบกับน้องแมวเหมียว กำลังนอนขดตัวท่ามกลางลมหนาวหน้าร้านขายของ
สงสัยน้องเหมียว ตัวสั่นเชียว
เดินมาในย่านช๊อปปิ้ง
ก็มีของให้เลือกซื้อหลายอย่าง
แต่ราคาก็ต้องต่อรองกับคนขายเอาค่ะ
เดินลัดเลาะขึ้นลงเนินในเกาะฮ่องกงนั้น
ตอนเดินลงไม่เท่าไหร่
แต่ตอนเดินขึ้นเนินตามซอก ตรอกซอยในย่านนี้
เล่นเอาเหนื่อยเมื่อยเหมือนกันนะค่ะ
ในตลาดก็มีของขายหลายอย่างไม่ต่างจากตลาดบ้านเราค่ะ
ทั้งของสด ของแห้ง และอาหารการกินหลายอย่าง
ให้ได้ลิ้มลองทานกัน
เดินมาเริ่มจะเหนื่อยและหิวแล้วค่ะ
เลยแวะหาอะไรอร่อยทานสักหน่อยค่ะ
ดิฉันเลยเดินตามทางเดินฟุตบาทเรื่อยๆ
ก็มาเจอร้านขายขนมเค้ก
หน้าต่างหน้าทานมากๆค่ะ เห็นกำลังจัดโปรโมชั่นด้วย
ก็เลยขอลองซื้อไปทานดูสัก 3 ชิ้นค่ะ
หลังจากซื้อขนมเค้กมาแล้ว 3 ชิ้นนะค่ะ
ก็แวะมานั่งทานในร้านค๊อฟฟี่ช๊อปด้านล่างค่ะ
หน้าตาหน้าทานมากๆ
แยมโรสตอเบอรี่ กินไปแล้ว รสหวานกำลังดี
ไม่หวานมาก รสชาติอร่อยมากๆ ไม่หวานจั๊ดจนเกินไป
คนอ้วนก็ทานได้ เดี๊ยนให้ผ่านค่ะ
เดินเท้าไปยังสถานี Peak Tram |
เป็นขนมอร่อยๆทานกับคาปูชิโน่ร้อนๆไปแล้วนะค่ะ
เดี๊ยนก็สะพายกล้อง เดินย่องไปท่องฮ่องกงต่อค่ะ
และแหล่งท่องเที่ยวต่อไปก็คือ The Peak หรือจุดวิวทิวทัศน์ของเกาะฮ่องกง
ที่ใครมาเยือนเกาะนี้ไม่พลาด ต้องแวะขึ้นไป
และการเดินทางขึ้นไปยัง The peak ก็หนีไม่พ้นการนั่งรถราง Tramค่ะ
วิธีการเดินทางไปสถานี Peak Tram ก็ไม่ยากค่ะ
เดินมาตามป้ายบอกทางเรื่อยๆ ถ้ากลัวหลงยังไงก็เปิด GPS นำทางไว้นะค่ะ
จากนั้นก็เดินเลาะตามป้ายมาเรื่อยๆเลยค่ะ
ไม่ต้องไปนั่งแท๊กซี่หรือรถเมลล์นะค่ะ เปลืองสตางค์ไปเปล่าๆ
สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆบนเกาะนี้ ส่วนใหญ่อยู่ใกล้ๆกัน เดินไปได้ค่ะ
โบสถ์ St. John's Cathedral |
ซึ่งรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่เก่าแก่
บรรยากาศในโซนนี้ดูร่มรืนย์มากๆค่ะ
เดินมาเรื่อยๆก็จะเห็นตึกสูงๆที่อยู่ตรงหน้าค่ะ
จะเป็นสถานีรถราง Peak Tram
ถึงแล้วค่ะ สถานีรถราง Peak Tram
อาคารตามภาพนี้เลยค่ะ
มาถึงก็ยังไม่ได้ขึ้นไปที่รถรางเลยนะค่ะ
เพราะเนื่องด้วยมีนักท่องเที่ยวมารอเข้าคิวต่อแถว
เพื่อขึ้นไปยังรถรางเยอะมากเหมือนกันค่ะ
ตอนแรกกะว่าจะไม่ขึ้นไปแล้วนะค่ะ
ใหนๆมาแล้วก็ต้องขึ้นไปลองนั่งสักครั้งค่ะ
เพราะเห็นคนเข้าคิวต่อแถวแล้วถอดใจเลยค่ะ
คือแบบว่าเยอะมากๆ
หากใครที่จะมานั่งรถรางขึ้นไปยังจุดชมวิว The peak
เตรียมตัวและเตรียมใจไว้เลยนะค่ะ
และเผื่อเวลาไว้ด้วยค่ะ เพราะจะต้องเข้าแถวต่อคิวขึ้นรถรางนานพอสมควร
ระหว่างรอคิวก็ยืนชมวิวถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย
แถวก็ค่อยๆขยับไปเรื่อยๆค่ะ
โดยทางเจ้าหน้าที่จะนับจำนวนคนเพื่อข้ามไปยังสถานี The peak
ประมาณ 10-15 คน เพื่อลดความแออัด
ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาใหม่ ก็พากันอิสสะงวยงง ต้องมารอต่อคิวยาวเหมือนกัน
ดิฉันใช้เวลาเข้าคิวเรียงแถวเป็นอนุบาลเด็กโขงใช้เวลารอเกือบ 1 ชั่วโมง
ก็ได้เวลาที่จะได้ขึ้นรถรางแล้วค่ะ
โดยราคาสำหรับขึ้นรถรางไปยัง The Peak นั้น อยู่ที่ 32 เหรียญค่ะ
สามาถใช้บัตร Octopus จ่ายได้ โดยไปต้องรอคิวซื้อตั๋วทีละใบนะค่ะ เพราะจะเสียเวลาไปเปล่าค่ะ
เดี๊ยนเห็นนักท่องเทียวบางคน ต้องคิวมาตั้งนาน แทนที่จะได้รถขึ้นรางเลย
กลับต้องไปต่อคิวซื้อบัตรรถรางอีก จริงๆใช้บัตร octopus ได้เลย
นั่งรถราง Peak Tram เพื่อขึ้นไปจุดชมวิวบนยอดเขา Victoria Peak |
เพื่อที่จะขึ้นไปนั่งริมหน้าต่าง ทำให้เวลาขึ้นไปบนรถรางค่อนข้างลำบากและเบียดเสียดกันมาก
เพราะทุกคนต่างอยากจะเข้าไปนั่งริมหน้าต่างค่ะ
ส่วนดิฉันก็เดินมาธรรมดา แต่คุณลุงคนนึงเอาตัวดิฉันแทบจะล้มเลยค่ะ
เพราะกลัวว่าจะไม่มีที่นั่งค่ะ
แต่คนที่ขึ้นมาก็มีที่นั่งกันทุกคนนะค่ะ
ไม่เห็นมีใครยืนเลย เพราะเค้านับจำนวนคนไว้แล้ว
เพียงแต่ว่าจะได้ไม่นั่งริมหน้าต่างก็แค่นั้นแหละค่ะ
ระหว่างนั่งรถรางขึ้นไปยังจุดชมวิว The peak ก็ตื่นเต้นนะค่ะ
โดยเฉพาะคุณแม่ลูกสองที่นั่งข้างๆเดี๊ยน คุณลูกชอบใจใหญ่เลยค่ะ
รถรางใช้สายลวดสวิงลากขึ้นไปบนยอดเขา บางช่วงชันมากๆ เหมือนกำลังนั่ง
บนรถไฟเหอะอะไรประมาณนั้นๆ รูสึกเสียวเหมือนกัน กลัวว่าสายลวดสวิงที่ดึงขึ้นไปบนยอดเขา
เกิดพลาดขาดขึ้นมา จะเป็นยังไงไม่รู้ คงใต่ร่วงลงมาจากภูเขา บาดเจ็บกันระนาวเป็นแน่แท้ค่ะ
นั่งรถรางมาไม่นานก็ถึงสักทีค่ะ
หลังจากที่อุตสาห์รอคิวมาเป็นชั่วโมง
พอมาถึงก็อิสสะงงๆ เดินหลงไปตามเค้าค่ะ ไม่รู้เค้าไปทางใหนนะ
เดี๊ยนก็ตามเค้าไป เพราะมาถึงแล้วคิดว่า เค้าต้องไปจุดชมวิวถ่ายภาพ
แต่พอไปถึงแล้วด้านบนสุดของอาคารจะต้อยเสียค่าธรรมเนียมถ่ายรูปค่ะ
แต่ถ้าอยากถ่ายรูปฟรี ตามมุมตึกต่างๆก็มีให้ถ่ายนะค่ะ
เดินออกมาทางประตู ก็มีจุดชมวิวทิวทัศน์ Victoria Peak ให้ถ่ายรูปเหมือนกัน
คนไม่ค่อยเยอะด้วยค่ะ เนื่องจากเป็นระเบียงเล็ก เดินออกไป
ใกล้ๆก็เป็นร้านคาเฟ่นั่งดืมชิลๆ
แต่พอเดินลงมาจากอาคารก็พึ่งรู้ว่ามีจุดชมวิวอยู่ด้านนอกด้วยค่ะ
ถ้าไม่มีป้ายบอกไว้ เดี๊ยนก็ไม่รู้นะค่ะ คงหลงถ่ายรูปอยู่มุมอื่นอย่างเดียว
ด้านนอกอาคารของสถานี The Peak Tram
ก็เห็นรถรางกำลังแล่นขึ้นลงรับส่งผู้โดยสารค่ะมาจากจุดชมวิวบนยอดเขา Victoria Peak
เดินมาอีกมุมก็จะเป็นจุดชมวิวด้านนอก
มีนักท่องเที่ยวและนักเดินทางจากทั่วสารทิศ
แวะมาถ่ายรูปที่จุด Victoria Peak ซึ่งเป็นจุดชมวิวถ่ายรูปฟรี ไม่ต้องเสียตังค่ะ
นักท่องเที่ยวที่จุดถ่ายรูปมุมนี้คือเยอะมากๆค่ะ
น่าจะเป็นมุมถ่ายรูป highlight แล้วนะค่ะ
อากาศบนยอดเขา Victoria Peak แห่งนี้ก็ลมพัดเย็นดีเหลือเกิน
อากาศก็หนาวอยู่แล้ว ก็หนาวไปกันใหญ่เลย
จุดชมวิวบนยอดเขา Victoria Peak |
คงหนีไม่พ้นอาคารตึกสูงเสียดฟ้าในเกาะฮ่องกง
ที่สูงสลับซับซ้อนกลายเป็นจุดขายของนักเดินทางจากทั่วโลก
ต่างก็ต้องแวะมาถ่ายรูปกันค่ะ
จุดชมวิวบนยอดเขา Victoria Peak |
เพราะจะเห็นความสวยงามของตึกและแสงสีของเกาะฮ่องนี้ค่ะ
บรรยากาศในช่วงยามเย็นที่จุดชมวิวแห่งนี้
ยังมีคงมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาเที่ยวอย่างไม่ขาดสายค่ะ
ยิ่งตกเย็นเท่าใด คนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
แต่เดี๊ยนคงรอถึงเย็นไม่ไหวแล้วค่ะ ก็เลยขอบายๆจากจุดชมวิวนี้
ลงจากยอดเขาไปดีกว่า
สำหรับการเดินทางกลับลงจากเขา ดิฉันก็ไม่ได้นั่งรถรางกลับแล้วนะค่ะ
เพราะยืนต่อคิวรอไม่ไหวก็เลยใช้บริการนั่งรถเมลล์โดยสารลงจากเขาดีกว่าค่ะ
ราคาประหยัดกว่าด้วยค่ะ
โดยวิธีการเดินทางจากลงจุดชมวิวบนยอดเขา Victoria Peak
มารถขึ้นรถเมลล์ 2 ชั้น เบอร์รถหมาย 15 ค่ะ
สำหรับราคาตั่วโดยสารมีระบุที่ป้ายจอดไว้
ราคาอยู่ที่ 9.80 เหรียญค่ะ
วิธีการชำระเงินก็ต้องไม่ยุ่งยาก ค้นหาเงินเหรียญนะค่ะ
แนะนำ ก็ใช้บัตร octopus ชำระตอนลงจากรถได้เลยจ้า สะดวกดี
นั่งรถเมลล์โดยสาร 2 ชั้นลงจากยอดเขา Victoria Peak มาที่แยก central
ก็มืดค่ำพอดีค่ะ พอมาถึงย่านนี้ ดิฉันก็เดินทางไปยังท่าเรือ
เพื่อข้ามฝากไปยังจากเกาะฮ่องกง ไปยังฝั่งเกาลูนเพื่อไปรอชมการแสดงแสงสีและเสียง
ริมอ่าววิกตอเรีย ซึ่งจะแสดงให้เห็นในช่วงเวลา 2 ทุ่มค่ะ
ในช่วงพลบค่ำยามเย็นที่เกาะฮ่องกงในวันธรรมดา
รถราและการจราจรรวมทั้งผู้คนดูเยอะหนาตาเป็นพิเศษค่ะ
มองไปทางใหนก็เห็นแต่ผู้คน เดินทีแทบจะชนไหล่กันเลยค่ะ
ไม่รู้ไหล่ใครเป็นไหล่ใคร เดี๊ยนก็กระแซะชนกับเค้าไปหมดค่ะ
ส่วนอาคารตึกสูงชะลูดเสียดฟ้า
ก็เปิดไฟส่องออร่าไปทั่วทั้งนภาบนเกาะนี้
ดูมีสีสันและสวยงามต้อนรับเข้าสู่ยามราตรี
ชิงช้าสวรรค์เมื่อตอนกลางวัน
ก็เริ่มหมุนอย่างช้าๆ
ดิฉันเดินมาที่ท่าเรือ Central
เพื่อนั่งข้ามฝากไปยังเกาลูนค่ะ
ส่วนราคาตั๋วก็เหมือนเดิมค่ะ อยู่ที่ 2.7 เหรียญ
ข้อดีของการนั่งเรือคือรวดเร็วและไม่วุ่นวาย ราคาถูก
แถมไปถึงจุดชมวิวริมอ่าววิกตอเรียได้ใกล้ๆ
ถ้านั่งรถไฟฟ้าต้องลงจากสถานี Central
ไปลงที่สถานี จิมซาจุ่ย และก็ต้องเดินย้อนกลับมาอีก เสียเวลาด้วยค่ะ
เดินทางมาถึงจุดชมวิวริมอ่าววิกตกเรีย
เพื่อรอชมการแสดง symphony of lights
ซึ่งจะแสดงให้ชมกันในเวลา 2 ทุ่มค่ะ
เดินมาที่ด้านบน ก็เห็นผู้คนจับจองที่นั่งกันอย่างหนาตาค่ะ
ขนาดวันธรรมดานะค่ะ คนยังเยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์
เดี๊ยนว่าจุดชมวิวข้างบนนี้ต้องแตกล้นเป็นแน่แท้
symphony of lights in hongkong |
ก็ถ่ายรูปเรือสำเภา ซึ่งกำลังแล่นให้บริการ
นักท่องเที่ยวบนเรือ เพื่อชมความอลังการของแสงสีในเมืองนี้
symphony of lights in hongkong |
นักท่องเที่ยวทุกคนที่มายืน ณ จุดจุดนี้ ก็ไม่พลาด
หยิบกล้องถ่ายรูปที่มีกันเกือบทุกคนมาถ่ายรูปกัน
ส่วนแสงสีและเสียงก็แสดงถ่ายทอดให้ได้ชมกันอย่างสำราญใจ
symphony of lights in hongkong |
ไฟก็จะลุกโชนยังกับดิสโก้เทค ดูวับๆแวมๆเหมือนไฟในผับเลยค่ะ
ส่วนบางช่วงที่มีการใช้เสียงแบบช้าๆ
ดู Slow life สีสันสดใส สวยงามดีค่ะ
Doggie's Noodle |
ริมอ่าววิกตอเรียไปแล้วนะค่ะ
ก็ได้เวลาที่จะต้องออกไปหาอะไรทานแล้วค่ะ
ดิฉันเลยเดินเท้ากลับไปหาอะไรกินย่านจิมซาจุ่ย ซึ่งย่านนี้ก็มีของกินให้เลือกทานเยอะเหมือนกัน
เดินชะแว๊ปมาย่านถนน Cameron Rd,ซึ่งมีร้านขายอุด้งแบบฮ่องกงให้เลือกทานอยู่ค่ะ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Doggie's Noodle
ใหนๆแวะมาแล้ว ก็ขอลองไปทานดูหน่อยว่าอร่อยใหม๊
Doggie's Noodle in Hongkong |
มีพนักงานเสริฟมารับออเด้อ เป็นผู้หญิงพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เลย
สื่อสารลำบากมาก เดี๊ยนเลยชี้รูปไป บอกว่าอุด้งแบบแรกไม่เอา ขอยกเลิก
ขอสั่งมาทานแค่ 2 อย่างเท่านั้นๆ ไปๆมาๆตอนยกมาเสริฟมา 3 ถ้วยเลยค๊า
โอ้แม่เจ้า เดี๊ยนเลยบอกไปว่า อันนี้ไม่ได้สั่งนะ เพราะยกเลิกไปแล้ว แต่นางบอกว่า
เดี๊ยนสั่งชามนี้ด้วย เดี๊ยนก็เลยต้องจำใจรับสภาพไป
พอทานแล้วรสชาติออกเค็มๆ อร่อยแปลกลิ้นดีๆค่ะ แต่ที่อร่อยคงเป็นลูกชิ้นนะค่ะ
ทานคู่กับอุด้งก็เข้ากันได้ดี แต่เดี๊ยนก็ทานไม่หมดหรอกค่ะ เสียดายของเหมือนกัน
เพราะอิ่มแน่น ท้องมากๆ มื้อนี้จัดไป 64 เหรียญค่ะ
---------------------------------------------------------------------
มาเขียนต่อค่ะ!!
วันที่ 3 ของทริปมาเก๊า-ฮ่องกง 17 ม.ค.2561
เช้านี้ดิฉันตื่นแต่เช้าตรู่เลยค่ะ
แวะไปซื้ออาหารเช้าที่เซเว่นใกล้ๆที่พักมาทานค่ะ
มื้อเช้าวันที่ 3 ของทริปนี้จัดไปเบาๆ
ผลหมากรากไม้กล่องละ 19 เหรียญ ขอบอกว่าแพงมาก ถ้าในเมืองไทยคงเหมาทานได้ทั้งสวนเลยนะค่ะ
ชานมร้อนรสชาติอูมามิกลมกล่อมดีค่ะ
นมถั่วเหลือราคาถูกมาก 8 เหรียญเองค่ะ
ขนมผักกาดที่คล้ายพุดดิ้งค่ะ ราดด้วยน้ำพริกเผาเสฉวนเผ็ดได้ใจ รสอร่อยดี
และสุดท้ายคือขนมจีบแต่ไม่มีซาลาเปาอยู่ในกล่องเล็กๆค่ะ
หลังจากทานอาหารเช้าอิ่มไปแล้วนะค่ะ
ขอมานั่งเคลียงานที่บริษัทสักพักใหญ่ให้เสร็จก่อนค่ะ
ก่อนจะออกไปตะแล็ดแต๋ดแต๋เที่ยวในฮ่องกง
พอเคลียงานเสร็จแล้วนะค่ะ
ก็ได้เพลาออกจรลีหนีงานไปเที่ยวแล้วค่ะ
โดยทริปในวันที่ 3 เช้านี้ แวะไปไหว้พระที่วัด หว่องไทซิน
(Wong Tai Sin)
เดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ MTR จากสถานีจิมซาจุ่ย
วิธีการเดินทางไปวัดหว่องไทซิน
นั่งรถไฟจากสถานีจิมซาจุ่ยสายสีแดงนะค่ะ
จากนั้นให้ไปลงที่สถานี Yau ma tai หรือ Mong Kok ก็ได้ค่ะ
เพื่อที่จะขึ้นสายรถไฟสีเขียวตามภาพค่ะ
ไปลงที่สถานีรถไฟ Wong tai sinค่ะ
ก่อนเดินทางทุกครั้ง สามารถเติมเงินได้ตู้เติมเงินอัตโนมัตได้ค่ะ
แต่เติมที่ตู้ต้องเติมครั้งละ 50 เหรียญ กับ 100 เหรียญเลยนะค่ะ
ถ้าหากอยากเติมเงินในบัตรน้อยกว่านั้นก็ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ Customer service ที่เคาวเตอร์จะสะดวกกว่าค่ะ
เดินทางมาถึงสถานี Wong tai sin ก็ไม่ต้องกลัวหลงนะค่ะ
เพราะมีป้ายบอกทางออก Exit B มายังทางเข้าหน้าวัดเลยค่ะ
วันที่ดิฉันมานี้เป็นวันพฤหัสบดี ที่ 17 ม.ค.2561
ไม่มีรู้ที่วัดมีงานอะไรกัน คนเยอะมากๆ เยอะแบบสุด
น่าจะเป็นวัดโชคดีมีแรงแซงโค้งอะไรสักอย่างนะค่ะ เดี๊ยนว่า
เพราะนักท่องเที่ยว สาธุชนชาวจีนทั้งหลาย ต่างมากราบไหว้พระที่วัดนี้กันล้นหลามค่ะ
วัดนี้ถือเป็นวัดที่ใครได้มากราบไหว้ขอพรก็จะได้โชคได้ลาภ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับวัดหว่องไทซิน (Wong Tai Sin temple)
วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในอดีตกาล หลวงพ่อหว่องไทซิน (หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าฮวงชูปิง) ซึ่งเกิดในศตวรรษที่ 4 และกลายเป็นเทพที่เขาเหิงซาน (เขาสนแดง) ในปี 1915 นักพรตลัทธิเต๋าเหลียงเหรินอันได้นำภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อหว่องไทซิน เดินทางจากกว่างตงทางตอนใต้ของประเทศจีนมายังฮ่องกง ปัจจุบันวัดหว่องไทซินเก็บรักษาภาพวาดอันลำค่านี้ไว้ ทั้งยังเป็นสถานที่สำหรับให้ผู้เลื่อมใสศรัทธาได้สวดมนต์เพื่อขอโชคลาภและคำทำนายจากเหล่าทวยเทพ
คำกล่าวที่ว่าวัดซิกซิกหยวน หว่องไทซินสามารถ 'ทำให้ความปรารถนาทุกประการเป็นจริงตามที่ขอ' อาจเป็นเหตุให้ที่นี่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้มาเยี่ยม วัดนี้ได้รับอิทธิพลมาจากสามศาสนา (ลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธ และลัทธิขงจื้อ) มีทัศนียภาพธรรมชาติที่งดงามและอาคารที่ตกแต่งอย่างประณีตสวยงาม จึงเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่รื่นรมย์และเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญ
ขอขอบคุณเครดิตข้อมูลจาก http://www.discoverhongkong.com/th/see-do/culture-heritage/chinese-temples/wong-tai-sin-temple.jsp
ชาวจีนหอบของมาเซนไหว้
หรือมาแก้บ่นก็ไม่ทราบ
ทุกคนต่างมุ่งมั่น ด้วยความศรัทธาค่ะ
ตอนเดินก็ต้องระวังนะค่ะ
เพราะเดียวธูปจะทิ่มตาทิ่มหัวเอาค่ะ
กว่าเดี๊ยนจะเดินมากราบไหว้เจ้าด้านหน้าได้
เล่นเอาซ่ะเหนื่อยเลยค่ะ เพราะต้องฝ่าดงผู้คนอันล้นหลาม
เดินมาอีกมุมหนึ่งไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก
ประวัติเกี่ยวกับวัดหว่องไทซิน
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1921 วัดหว่องไท่ซิน 黃大仙祠 เป็นวัดในลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงของฮ่องกง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฝั่งเกาลูน ตั้งชื่อตามนักบวชลัทธิเต๋า หว่อง ชิวปิง (黃初平) ที่มี่ชื่อเสียงแถบตอนใต้ของจีน ในยุคราชวงศ์จิ้นตะวันออก และได้รับการนับถือเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งที่มีความสามารถในการรักษาโรค
วัดหว่องไท่ซิน เป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเดินทางมาเสี่ยงเซียมซี และให้หมอดูทำนายโชคชะตาและยังเป็นวัดเพียงวัดเดียวในฮ่องกง ที่สามารถจัดพิธีมงคลสมรสในวัดได้
ขอบคุณเครดิตข้อมูลจาก (https://th.wikipedia.org/wiki/วัดหว่องไท่ซิน_(ฮ่องกง))
มีมุมให้จุดธูปด้วยหลายจุด
แต่ต้องรอคิวหน่อยนะค่ะ
เพราะคนเยอะมากๆ
เดินแวะมาสักพักก็เห็นมีเจ้าหน้าที่คนนึงกำลังขึงเชือก
และปิดทางเดินไม่ให้คนผ่าน
น่าจะมีงานอะไรสักอย่างค่ะ
พอมองไปอีกฝั่ง ก็มีขบวนพาเหรดอะไรสักอย่างค่ะ
ดูน่าจะเป็นงานมงคลคลนะค่ะ
คิดว่าเป็นงานอะไร ที่แท้เป็นงานแต่งงานนี้เองค่ะ
เนื่องจากนวัดเพียงแห่งเดียวในฮ่องกง ที่สามารถจัดพิธีมงคลสมรสในวัดได้
และวันนี้เป็นพฤหัสน่าจะเป็นวันที่กฤกษ์ดี คู่บ่าวสาวเลยเลือกจัดงานวันนี้ค่ะ
และหลังจากที่ดิฉันได้ไปไหว้พระที่วัดหว่องไทซินแล้วนะค่ะ
ก็เดินทางต่อไปยังสวนหนานเลียนต่อค่ะ
หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่า วัดชีหลินค่ะ
โดยการเดินทางมายังวัดชีหลินเพื่อมาชมสวนดอกไม้สวยงามแห่งนี้
ก็เดินทางไม่ยากเลยนะค่ะ หากไหว้พระที่วัด Wongtai sin แล้ว
ก็นั่งรถไฟฟ้าจากสถานี wong tai sin มาลงที่สถานีรถไฟ Daimond Hill ค่ะ
จากนั้นก็เดินทางออกจากประตู Plaza holly wood นะค่ะ
เดินออกก็จะมีป้ายบอกทางตลอดค่ะ
สังเกตุป้ายจะมีป้ายบอกว่า Nan Lian Garden และ Chi Lin Nunnery ค่ะ
จากนั้นเดินตรงไปตามป้ายอีกประมาณ 50 เมตรก็ถึงค่ะ
สำหรับสวนแห่งนี้เดินเข้ามาเที่ยวชมได้ฟรี
ไม่มีการเสียค่าธรรมเนียมค่ะ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับสวนหนามเหลียน แต่พี่ไทยเราชอบเรียกว่าสวนในวัดชีหลิน เนื่องจากอยู่ติดๆกับสำนักชีหลินค่ะ
สวนหนานเหลียน (nan-lian-garden) |
สวนหนานเหลียนสวนหนานเหลียนตัดผ่านกลุ่มอาคารอพาร์ทเมนต์สูงจำนวนมากบนเนินเขาไดมอนด์ เป็นสวนสาธารณะที่มีความเงียบสงบ สร้างขึ้นในรูปแบบสมัยราชวงศ์ถัง ทัศนียภาพของสวนเป็นพื้นที่ที่มีการจัดแต่งอย่างปราณีตขนาดมากกว่า 3.5 เฮกเตอร์ ซึ่งการวางตำแหน่งของเนินเขา หิน น้ำ พืชและโครงสร้างต่างๆ ที่ทำจากไม้เป็นไปตามกฎและวิธีการเฉพาะมากมาย ที่นี่เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมไม้ของจีน หิน และต้นไม้ในกระถาง และถ้ารู้สึกหิว คุณก็สามารถลองชิมอาหารในร้านอาหารมังสวิรัติและร้านน้ำชาที่มีอยู่ได้
เครดิตข้อมูลจาก : http://www.discoverhongkong.com/th/see-do/culture-heritage/chinese-temples/chi-lin-nunnery-and-nan-lian-garden.jsp
หากเดินเข้ามาก็เห็นยอดโดมปราสาทสีทอง ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ในกลาง
เป็นจุดเด่นที่ล้อตาและล้อใจนักท่องเที่ยวต้องมาถ่ายรูปที่สวนแห่งนี้ทุกคนค่ะ
นอกจากหอเจดีย์สีทองแล้ว
ภายในสวนยังมีไม้ประดับต่างให้ชมและแวะถ่ายรูป
นั่งพักผ่อนหย่อนใจกันอยู่หลายมุมเลยนะค่ะ
อย่างเช่นมุมน้ำตกแห่งนี้
ก็รู้สึกชุ่มฉ่ำเย็นดีไม่ใช้น้อยเลยค่ะ
เพราะน้ำตกเทียมที่สร้างขึ้นนั้น
ไหลแรงดีเหลือเกิน ยิ่งอากาศก็เย็นอยู่แล้ว
เดินไปใกล้ๆน้ำตกก็สัมผัสได้กับละอองของน้ำที่สาดกระเซ็น กระเด็น กระดอนจนเปียกปอนไปตามๆกันค่ะ
นอกจากนี้ยังมีสระปลาคาฟซึ่งตั้งอยู่กลางสวน
ให้ได้ชมกันอย่างเพลิดเพลินใจอีกด้วยนะค่ะ
ปลาคาฟในสวนแต่ละตัวก็สีสันสวยงาม อร่าอร่ามจับใจ งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนจริงๆค่ะ
มาเดินในสวนนี้แล้วเพลินดีค่ะ เพราะสัมผัสได้ถึงความสดชื่นๆของต้นไม้ใบหญ้าที่ตัดแต่งอย่างสวยงาม
สำนักชีหลิน chi-lin-nunnery-and-nan-lian-garden |
ดิฉันก็เดินวนขึ้นบันใดมาที่สำนักชีหลิน ตอนแรกคิดว่าเป็นวัด แต่จริงแล้วไม่ใช้นะค่ะ
ที่นี้เป็นสำนักชีหลินค่ะ
เดินเข้ามาก็พบกับความเว่อรวังอลังการงานสร้างของสำนักชีหลินแห่งนี้ค่ะ
สวยงามท่ามกลางตึกสูงรายรอบ
เดินมาด้านในอาคาร บางจุดจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะค่ะ
โดยจะมีป้ายบอกไว้ และมีกฎคือห้ามนอน หรือนั่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลอยู่ตลอดค่ะ เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวที่แวะเข้ามา พากันทำอะไรไม่ดีไม่งาม เนื่องจากเป็นสถานที่ศักดิ์ เวลาเข้ามาต้องอยู่ในอาการสำรวมและเงียบสงบ ห้ามคุยหยอกล้อกันเสียงดัง เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ค่ะ
สำนักชีหลิน chi-lin-nunnery-and-nan-lian-garden |
สำนักชีฉีหลินเป็นกลุ่มอารามขนาดใหญ่ที่มีสถาปัตยกรรมไม้ที่งดงาม โดยเริ่มก่อสร้างขึ้นในปี 1934 และก่อนจะได้รับการบูรณะใหม่ในรูปแบบของราชวงศ์ถัง (ค.ศ 618–907) ในปี 1990 ภายในยังเก็บพระบรมสารีริกธาตุและมีสระบัวที่ให้ความสงบแก่ดวงวิญญาณ นอกจากนี้ สำนักชีแห่งนี้ยังประกอบไปด้วยโถงอารามหลายโถง บางโถงมีรูปปั้นทอง ดินเหนียว และไม้เป็นตัวแทนของสิ่่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระศากยมุนีและพระโพธิสัตว์
เครดิตข้อมูลจาก http://www.discoverhongkong.com/th/see-do/culture-heritage/chinese-temples/chi-lin-nunnery-and-nan-lian-garden.jsp
เดินมาด้านในอาคาร บางจุดจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะค่ะ
โดยจะมีป้ายบอกไว้ และมีกฎคือห้ามนอน หรือนั่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลอยู่ตลอดค่ะ เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวที่แวะเข้ามา พากันทำอะไรไม่ดีไม่งาม เนื่องจากเป็นสถานที่ศักดิ์ เวลาเข้ามาต้องอยู่ในอาการสำรวมและเงียบสงบ ห้ามคุยหยอกล้อกันเสียงดัง เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ค่ะ
ตอนเดินรอบระเบียงคดในสำนักชีแห่งนี้
สัมผัสได้ถึงความเย็นและความเงียบสงบ
นอกจากนี้ยังได้กลิ่นของดอกไม้ที่ปลูกในสำนักแห่งนี้ด้วย
ไม่รู้ว่าดอกอะไร กลิ่นหอมหวนระจวนจิตเหลือเกินค่ะ
หลังจากได้เดินชมสวนหนานเหลียนและสำนักชีหลินไปแล้วนะค่ะ
ดิฉันก็เดินทางกลับมายังที่พักต่อค่ะ
พอดีลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องพัก ก็เลยต้องกลับมาเอา
จริงๆแล้วกะว่าจะเดินทางต่อไปยังเขานองปิงเลยนะค่ะ
แต่เป็นใยป้าขี้ลืมจริง ก็เลยต้องเสียเวลาย้อนกลับมา
ใหนๆก็แวะมาแล้ว ก็เลยหาอะไรทานใกล้ๆที่พักในย่านจิมซาจุ่ยซ่ะเลยค่ะ
แวะเข้ามาตรอกตามซอยในช่วงเวลาเที่ยงครึ่งของวันพฤหัสนี้
พนักงานออฟฟิศและคนทำงานเริ่มออกมาร่อนเร่ ซัดเซพเนจร หาอะไรออนซอนทานกันค่ะ
ตอนแรกเดี๊ยนกะว่าจะนั่งทานในร้านอาหาร
แต่อุตสาห์มาเยือนฮ่องกงทั้งที ก็ต้องลิ้มลองอาหาร Street Food แห่งนี้สักหน่อยค่ะ
เนื่องจากว่าน่าทานไม่น้อยค่ะ แวะมาเจอร้านขายลูกชิ้นล้วก หรือลูกชิ้นทอดไม่รู้
มีอาหารและซุปอื่นให้เลือกด้วย
เห็นคนขายกำลังขะมักเขม้นทำอาหารให้ลูกค้าทานอยู่
เป็นอุด้งใส่เกี๊ยวน่าทานมากๆ ราคาอยู่ที่ 25 เหรียญค่ะ
อาหารเที่ยงในทริปเที่ยวฮ่องกง มาเก็าของการเดินทางวันที่ 3 นี้ จัดไปอุด้งใส่เกี้ยว |
ได้มาแล้วค่ะ อุด้งใส่เกี๊ยวร้อนๆ
อาหารมื้อเที่ยงนี้ ทานง่ายๆ ไม่ต้องอะไรมาก
มีเก้าอี้ให้นั่งทานริมทาง รสชาติออกเปรี้ยวเค็มๆอร่อยดีค่ะ
ตอนแรกคิดว่าจะทานไม่ได้ซ่ะแล้ว แต่ตั้งใจทานเอา ทานไปเรื่อยก็อร่อยเองค่ะ
พยายามจะให้อร่อยที่สุด จะได้สนุกกับการเดินทางในเมืองนี้นะค่ะ
ทานอุด้งไปไม่อิ่มค่ะ
พอดีเห็นมีลูกค้าท่านนึงสั่งขนมรังสีสันสดใส ส่งกลิ่นหอมหวนรัญจวนจิต
เดี๊ยนเห็นแล้ว ก็เกิดกิเลศเพศอาภัยอยากทานกับเค้าเหมือนกัน
เลยกวักสตางค์มาจ่ายอีก 12 เหรียญ
สั่งขนมรังผึ้งสไตล์ฮ่องกงมาทาน
แต่ลองทานแล้วกลิ่นหอมดีนะค่ะ แต่รู้สึกแป้งจะไม่สุกค่ะ
ก็เลยไม่อร่อยเลย ทานไปรู้สึกได้ว่าฝืดคอเหลือเกิน
ดีอยู่อย่างเดียวคือกลิ่นหอมน่าทาน แต่รสชาติของแป้งยังไม่ผ่าน
ขนมรังผึ้งแบบไทยๆ บ้านเราอร่อยกว่าค่ะ
หลังจากได้ทานอาหารมื้อเที่ยงอิ่มแล้วนะค่ะ
ก็ได้เวลาออกเดินทางไปเที่ยวต่อแล้วค่ะ
โดยจุดมุ่งหมายของวันนี้คือไปไหว้พระใหญ่ที่เขานองปิ
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับใครหลายๆคนที่มาเที่ยวฮ่องกงแล้วต้องไม่พลาดที่ต้องหลงทางแวะมานั่งกระเช้าชมวิวสวยๆกันให้ค่ะ
สำหรับการเดินทางไปขึ้นกระเช้านองปิงนั้น
ดิฉันเดินทางออกจากสถานีจิมซาจุ่ย (ครั้งนี้ไม่ลืมโทรศัทพ์ไว้บนห้องพักแล้วค่ะ ตอนนี้พกใส่กระเป๋าไว้เลย เพราะหากขาดมือถือ เหมือนขาดตัวช่วยนำทาง)
ออกจากสถานีจิมซาจุ่ย สายสีแดง นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีรถไฟ Line King
จากนั้นก็เปลี่ยนสถานีมาลงสายสีส้ม จากสถานี Line King มาลงที่สถานี Tung Chung Station สุดปลายทางเลยค่ะ
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ Tung Chung แล้วนะค่ะ
ก็เดินออกจากสถานีมายังจุดจำหน่ายตั๋ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีมากนัก
เดินมาประมาณ 200 เมตรก็ถึงจุดขายตั๋ว
โดยซื้อตั๋วนั่งกระเช้าลอยฟ้าราคาทั้งไปแล้วกลับอยู่ที่ 210 เหรียญฮ่องกงค่ะ เป็นกระเช้าแบบธรรมดา ไม่ใช่กระเช้าแก้วค่ะ ถ้ากระเช้าแก้วก็จะเป็นกระเช้าที่ถ่ายได้ 360 องศา และถ่ายพื้นด้านล่างมองเห็นทะเลด้วย แต่เนื่องจากอยากประหยัดสตางค์ เดี๊ยนเลยเลือกแบบประหยัดดีกว่า
โดยเลือกชำระค่าตั๋วกระเช้าจ่ายผ่านบัตรเครดิต
เพราะดูเงินสดในกระเป๋าสตางค์แล้ว เดี๊ยนไม่น่าจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อถึงวันพรุ่งนี้แน่ๆ
โชคดีนะค่ะที่จุดขายตั๋วรับบัตรเครดิตด้วย
หลังจากได้ตั๋วแล้วเป็นตั่วแบบธรรมดา
ก็มาตกแถวเพื่อขึ้นกระเช้า ซึ่งจะแยกเป็นแถวกระเช้าแบบธรรมดา
และกระเช้าแบบแก้วค่ะ
วันที่ดิฉันไปเที่ยวเป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวก็มาแบบเรื่อยๆค่ะ แต่ก็มีตลอดเลยนะค่ะ
ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นค่ะ มีฝรั่งผมสีทองบ้างเล็กน้อย แต่ไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ
โดยในกระเช้านั่งได้ 6 คนค่ะ
ถ้าใครมาเป็นหมู่คณะ ทางเจ้าหน้าที่
ก็จะจัดจำนวนคน นับไว้เลย
แต่วันนั้นมาคนเดียว ซึ่งเหลือเศษ 1 คน
ก็จัดให้นั่งกระเช้าอื่นรวมกับคนอื่นเพื่อให้ครบ 6 คนค่ะ
นังกระเช้ามาก็ไม่เหงานะค่ะ
เพราะมีผู้หญิงชาวญี่ปุ่นคนนึงนั่งกระเช้ามาด้วยกัน
นางมาคนเดียวเหมือนกัน แถมสื่อสารพูดภาษาอังกฤษได้เริ่ดเลยค่ะ
ก็เลยได้พูดคุยกันระหว่างนั่งในกระเช้า
ระหว่างนั่งกระเช้าก็นั่งชมวิวทิวทัศน์อันสวยงาม
ของหุบเขานองปิงแห่งนี้ไปค่ะ
มองไปด้านล่างก็เห็นทางเดินสำหรับผู้ที่ไม่อยากนั่งกระเช้าด้วยนะค่ะ
ซึ่งระยะทางในการนั่งกระเช้าจากสถานี Tung chung ไปไหว้พระใหญ่ วัดโปลิน ประมาณ 5 กิโลเมตรค่ะ
ใช้เวลานั่งประมาณ 35 นาที
แต่ถ้าเดินลัดเลาะตามภูเขาไป เดี๊ยนว่าน่าจะต้องข้ามภูเขาหลายลูกและใช้เวลาครึ่งค่อนวันเลยนะค่ะ
เพราะภูเขาแต่ละลูกก็สูงชันเหลือเกิน
นั่งกระเช้ามาไม่นานนักก็มองเห็นพระใหญ่บนเขานองปิงแล้วค่ะ
ดูโดดเด่นมองเห็นเป็นสง่าอยู่ไม่ไกลนัก
สถานีกระเช้าลอยฟ้าเคเบิ้ลคาร์ นองปิง360 องศา
พอเดินออกจากมาสถานีกระเช้าลอยฟ้าแล้วนะค่ะ
จุดแรกก็จะเป็นหมู่บ้านนองปิง โดยในหมู่บ้านนี้ก็จะมีร้านขายอาหาร
และขายของที่ระลึก เสื้อผ้า แฟชั่น ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกัน
เนื่องจากเป็นทางเดินผ่านไปไหว้พระใหญ่ค่ะ
สินค้าแต่ละอย่างก็น่ารักมุ้งมิ้งมาก
มีให้เลือกซื้อเลือกหาหลายอย่างเลยค่ะ
แต่ละชิ้นก็อยากได้ทั้งน๊านเลย
เดินจากหมู่บ้านนองปิงมาไม่ไกลนักก็ถึงสักทีค่ะ
พระใหญ่เขานองปิง เคยเห็นแต่ในทีวีและในเน็ต
พอได้มาเห็นของจริง ก็ใหญ่โตโอฬารสมชื่อเลยนะค่ะ
มีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ แวะมาไหว้พระกันอย่างไม่ขาดสายเลย
ระหว่างเดินขึ้นบันใด ก็เล่นเอาซ่ะเหนื่อยหอบเลยค่ะ
จากที่ใส่เสื้อกันหนาว ตอนนี้ไม่รู้สึกหนาวแล้ว เพราะร้อนเหลือเกิน
เนื่องจากใช้พลังงานไปเยอะ
พอเดินมาถึงด้านบนก็หายเหนื่อยค่ะ
เพราะลมพัดเย็นและอากาศเย็นสบายดีเหลือเกินค่ะ
วิวทิวทัศน์โดยรอบรายล้อมไปด้วยภูเขาและป่าไม้เขียวขจี
สาระน่ารู้เกี่ยวกับพระใหญ่ |
ในปี 1993 พระพุทธรูปสำริดอันสง่างามนี้มีความสูง 34 เมตรและหันพระพักตร์ไปทางเหนือเพื่อเฝ้าดูชาวจีน เป็นที่ดึงดูดพุทธศาสนิกชนจากทั่วทั้งเอเชียกิริยาต่างๆ ขององค์พระ ได้แก่ พระเนตร พระโอษฐ์ การเอียงพระเศียร และพระหัตถ์ขวายกขึ้นให้พรแก่คนทั่วไป ได้ทำให้องค์พระใหญ่มีลักษณะอ่อนโยนและสง่างามอย่างลุ่มลึก โดยต้องใช้เวลาการก่อสร้างถึง 12 ปี หากคุณอยากจะสำรวจพระพุทธรูปที่โดดเด่นนี้อย่างใกล้ชิดขึ้น ให้ขึ้นบันไดไปอีก 268 ขั้น และยังจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพของทิวเขาและทะเลจากบริเวณฐานขององค์พระด้วย
องค์พระพุทธรูปหันพระพักตร์ไปทางเหนือสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ประดิษฐานอยู่โดยมีความสูง 26.4 เมตร บนฐานดอกบัว หากนับรวมฐานแล้วมีความสูงทั้งสิ้น 34 เมตร ค่าก่อสร้างพระพุทธรูป 60 ล้านเหรียญฮ่องกงเลยทีเดียว
และไม่ไกลนักเมื่อได้ไหว้พระใหญ่แล้ว ก็มากราบพระต่อที่อารามโปลิ๋นค่ะ
ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธ์ของชาวพุทธที่สำคัญที่สุดของฮ่องกง และถูกเรียกว่าเป็น "โลกของพุทธศาสนิกชนในตอนใต้" เป็นสถานที่จำวัดของพระสงฆ์ที่เคร่งครัด อารามแห่งนี้เต็มไปด้วยภาพของเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่มีสีสันสวยงาม และรื่นรมย์ด้วยเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้ในสวน คุณยังสามารถกระตุ้นความอยากอาหารได้ที่ร้านอาหารมังสวิรัติที่เป็นที่นิยมในอารามด้วย
มีดอกไม้สวยประดับประดา
อยู่ตรงบันใดทางเดินอารามในวัดโปลิ๋นด้วยค่ะ
เป็นดอกเบญจมาศสีชมพูกับสีเหลือง
แต่ละดอกใหญ่เว่อร์วังมากๆ เปล่งสีสันงดงามอร่ามจับตาเชียว
ดิฉันใช้เวลาอยู่ที่เขานองปิงแห่งนี้อยู่ได้สักพัก เบนดูเข็มนาฬิกาก็ปาไปสี่โมงเย็น
ได้เวลาต้องเดินทางกลับแล้วค่ะ ระหว่างเดินทางกลับก็แวะผ่านร้านขายของริมทาง
สินค้าที่นำมาวางขายนั้น ก็น่ารักมุ้งมิ้งมากๆค่ะ
เห็นที่ร้านแห่งนี้ มียางลบเหลืออยู่อันเดียว
เลยอุดหนุนคนขาย เป็นพ่อค้าจีนหนุ่มน้อยน่าใส แต่ผิวพรรณเอเชียอาคเนย์มาก
พูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ถ้าพูดภาษาไทยด้วยนี้ จะเหมาทั้งร้านเลยค่ะ
จัดไปยางลบอันนึง ราคา 10 เหรียญ
ในช่วง 4 โมงกว่าก็นั่งกระเช้าลอยฟ้ากลับมาที่สถานี Tung Chung ค่ะ
แต่ช่วงขากลับ ต้องยืนต่อแถวเรียงคิวเพื่อขึ้นกระเช้าลอยฟ้านานมากนะค่ะ
เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเดินทางกลับกันเยอะ ทำให้กว่าจะได้นั่งกระเช้า
ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมงทีเดียวค่ะ
นั่งกระเช้าลอยฟ้ากลับมาถึงที่สถานี Tung Chung ก็ 5 โมงเย็นกว่าๆพอดี
หลังจากนั้นเดี๊ยนก็นั่งรถไฟฟ้าจากสถานี tung chung ไปสุดปลายทางที่สถานี Hong kong ในเกาะฮ่องกงค่ะ
แวะมาเดินออกกำลังขาและช๊อปปิ้งในย่านถนนคนเดินในเกาะฮ่องกงอีกครั้งค่ะ
ในตอนหัวค่ำแบบนี้ คนเยอะและคึกคักทีเดียวค่ะ
สินค้าบนถนนเส้นนี้
ก็มีของให้เลือกซื้อหลายอย่าง
โดยเฉพาะของที่ระลึกอย่างพวกตุ๊กตาตุ๊กตุ่นแต่ละตัวน่ารักเชียว
เดินวนมาในย่านนี้อีกครั้งค่ะ
กับถนน Hollywodd Road หรือจะไปย่านผับบาร์ อาหารและเครื่องดื่มก็จะเป็นแถว Lan Kwai Fong
บนถนนสายนี้เรียกว่าไม่เคยหลับไหลเลยนะค่ะ
มีนักท่องเที่ยวและคนเดินผ่านตลอดค่ะ
โดยเฉพาะถนนฮอลลีวูด มีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศแวะมากันอย่างไม่ขาดสาย
มาตอนกลางวันคนก็เยอะอยู่แล้ว
มาในช่วงกลางคืนที่ถนน street Art แห่งนี้
นักท่องเที่ยวมาเยอะกว่ามากเลยค่ะ
และหลังจากได้เดิน Slow life ในถนนฮอลีวู้ดแห่งนี้แล้วนะค่ะ
ดิฉันก็เดินเท้าต่อไปที่สถานี Central เพือเดินทางช๊อปปิ้งต่อค่ะ
โดยสถานที่ต่อไปคือถนนคนเดิน Temple Street Market
ซึ่งเดินทางจากสถานีไฟฟ้า Central เกาะฮ่องกง ไปยังสถานีรถไฟ Jordan ฝั่งเกาะเกาลูน
เรียกว่าไปเดินออกกำลังกายดีกว่า ไม่ได้ช๊อปปิ้งซื้ออะไรเลย อยากไปเห็นไปเดินเล่นเฉยๆค่ะ
นั่งรถไฟจากเกาะฮ่องกงมาไม่นานก็ถึงสถานีรถไฟ Jordan
จากนั้นเดินเท้ามาอีกประมาณ 50 เมตรก็ถึง แหล่งช๊อปปิ้งถนนคนเดิน ย่าน Temple street ค่ะ
มีป้ายภาพเก่าเล่าอดีตย่าน Yua Ma Tei in the 60s,70s
รูปภาพย่าน ยัวมาไทในยุค 60-70 ภาพเก่าคลาสสิคดีค่ะ
โดยในย่าน temple street นี้ก็เป็นถนนสายช๊อปปิ้งจะมีสินค้าของที่ระลึกวางขายทั้งสองข้าง
นึกถึงตลาดนัดรถไฟ หรือเปิดท้ายอะไรแบบนั้นค่ะ สินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเสื้อผ้า แฟชั่น กระเป๋า และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ราคาสินค้าก็ถูกและแพงปะปนกันไป แล้วแต่ใครอยากได้อะไรก็เลือกซื้อและต่อราคากับคนขายเอาค่ะ
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารจีนแบบฮ่องกงให้เลือกทานหลายอย่างด้วยนะค่ะ
ดิฉันเดินมาในย่านนี้ก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย
นอกจากเดินถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย เก็บภาพมาลงในเว็ปบล็อก
เพราะเห็นป้ายไฟในย่านนี้โดดเด่นสวยงามดี
คนกำลังปั่นจักรยาน น่าจะกำลังไปส่งอะไรสักอย่าง
แต่ดูปั่นชิวเหลือเกินนะค่ะ
อาหารการกินในเกาะฮ่องกงนั้นก็ไม่ต่างจากย่านของกินในเมืองไทยบ้านเรานะค่ะ
เพราะมีหมู เห็น เป็ดไก่ให้ได้ลิ้มลองทานกันหลายอย่างเลยค่ะ
ดูอย่างร้านนี้น่าจะเป็นเป็ดพะโล้นะค่ะ เพราะส่งกลิ่นหอมหวนรัญจวนจิตให้กระเพาะเรียกน้ำย่อยดีเหลือเกิน
อาหารทะเลก็มีนะค่ะ
เดี๊ยนเดินมาในย่านนี้ ก็เห็นพนักงานขายถือเมนูอาหารเรียกแขกริมทาง
ให้เค้าไปนั่งทานในร้าน
หลังจากเดินมาสักพักคือ
ไม่ไหวแล้วจริงๆค่ะ ท้องเริ่มร้องหาอร่อยแล้ว
มื้อนี้เลยขอฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารแถวจิมซาจุ่ย
เป็นข้าวอบหมูทอดราดข้าวค่ะ
ได้เยอะมากๆนะค่ะ ทานแทบไม่หมด
แต่รสชาติอออจืดๆ ไม่ค่อยจัดจ้าน
ต้องเติมซอสลงไป เค็มได้ใจมากค่ะ
หลังจากทานอาหารมื้อค่ำอิ่มแล้วนะค่ะ
ดิฉันก็หอบท้องกลับห้องพัก อาบน้ำ เข้านอน หลับเป็นตาย
จบไปอีก 1 วันค่ะ
-------------------------------------------------------------
ทริปวันสุดท้ายในเกาะฮ่องกง วันที่ 18 ม.ค.2561
แวะซื้อไก่ต้มผัดกับพริกเสฉวน |
ขอแบบชิลๆ สบายๆ ไม่รีบอะไรมากนักค่ะ
เช้านี้ก็เลยไม่ได้ไปใหน เลยแวะทำงานในห้องพัก
พอดีเมื่อวานตอนค่ำๆ ก่อนกลับห้องพัก แวะซื้อกับข้าวมาแล้ว
อาหารเช้ามื้อนี้จัดไปค่ะ ข้าวผัดร้อนๆ
ทานกับไก่ต้มผัดพริกเสฉวน รสชาติเผ็ดซี๊ด อยากจะกรี๊ดดังๆ เพราะทานแล้วแซ่บปากไปหมดค่ะ
แต่ก็ไม่รู้ว่าไก่ที่ซื้อมานี้ชื่ออะไรนะค่ะ เพราะเห็นแต่หน้าตาแล้ว น่าทานดี
เป็นมื้อเช้าที่จัดหนักมาก และอาหารก็รสจัดจ้านได้ใจมากๆด้วย ปกติจะไม่ทานอาหารเช้าหนักขนาดนี้
แต่ด้วยอุตสาห์ซื้อไก่ผัดพริกเสฉวนมาแช่ตู้เย็นไว้ทั้งที ขอลิ้มลองทานสักหน่อยล่ะกันค่ะ
เนื่องจากในเซเว่นไม่มีผลไม้กล่องค่ะ
เดี๊ยนเลยจำใจต้องซื้อส้มมาแทน เพราะทานอาหารไม่มีผลไม้ ยังไงไม่รู้ รู้สึกไม่มีอะไรมาล้างปาก
แต่ส้มที่นี้เป็นส้มเปลือกหนา น่าจะเป็นส้มซันควิกกระมัง
ลูกละ 10 เหรียญเลยนะค่ะ ซื้อมา 2 ลูกก็ 40 บาทไทยเลยจ้า
โอ้แม่เจ้า แพงมากๆ แต่ก็ซื้อมาค่ะ เพราะหาผลไม้ทานไม่ได้ล่ะ
kowloon park สวนสาธารณะเกาลูน ปอดสีเขียวใจกลางเมือง |
ดิฉันก็นั่งทำงานต่อไปสักพัก จนดูเข็มนาฬิกาในข้อมือว่าได้เวลาที่จะต้องเช็คเอาท์แล้ว
ก็เก็บข้าวเก็บของใส่กระเป๋า Check out และฝากกระเป๋าไว้กับที่พักค่ะ
เช้านี้ไปใหนดี เลยขอมารับอากาศดีที่ สวนสาธารณะเกาลูนพาร์ค ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักค่ะ
เดินมาได้ไม่ไกลนัก อารมณ์ประมาณสวนกลางกรุง คล้ายสวนลุมพินีบ้านเราค่ะ
บรรยากาศเดินมาที่สวนก็ร่มรืนย์
และสดชื่นดีมากๆค่ะ เพราะแวดล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่
เป็นปอดสีเขียวใจกลางเมืองแห่งนี้ค่ะ
kowloon park สวนสาธารณะเกาลูน ปอดสีเขียวใจกลางเมือง |
ในสวนแห่งนี้ก็ยังมีนกกระเรียนให้ชมด้วยค่ะ
มองจากรั้วไปก็เห็นนกกระเรียน
กำลังเดินวงเวียนอยู่ในกรง
มีเด็กอนุบาลเดินลั๊ลลากันมาทัศนศึกษาในสวนนี้ด้วยนะค่ะ
เดินทางจากสถานี Tsim sha tsui ไป สถานี Tai koo ไปถ่ายรูปตึก Yick Fat Building ตามรอยภาพยนต์ transformer |
ดิฉันก็เดินทางต่อไปยังจุดท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งที่คนรักการถ่ายภาพตึก
และสถาปัตยกรรมชอบไปกันนันก็คือ ไปถ่ายรูปตึก Yick Fat Building ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Transformer มีนักเดินทางท่องเที่ยวหลายคนแวะมาในย่านนี้ค่ะ
โดยตึกนี้ ตั้งอยู่ ที่ King's Road, Quarry Bay, Hong Kong
วิธีการเดินทางมาที่ตึก Yick Fat Building
นั่งรถไฟจากสถานี Tsim Sha Tsui มาลงที่สถานี admiralty station จากนั้นก็เปลี่ยนมานั่งรถไฟสายสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นรถไฟสาย Chai wan ให้ไปลงที่สถานี Tai koo ค่ะ ซึ่งเป็
เมื่อมาถึงสถานี tai koo ก็ออกเดินทางประตู B ค่ะ
จากนั้นก็เดินเลี้ยวซ้ายมาเรื่อยนะค่ะ
เดินตามฟุตบาทมาเรื่อย เลยแยกไฟแดงไปหน่อย
จะเห็นตึกใหญ่สุดทางเลยค่ะ พอถึงตึกนั้นก็เดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลยคะ
เป็นตึกที่อยู่อาศัยของคนบนเกาะฮ่องกง
เดินตามฟุตบาทมาเรื่อยๆก็จะเจอตลาด
และมีทางเล็กเดินเข้าไปค่ะ ตามรูปภาพเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหลงนะค่ะ
เพราะยังไงก็ต้องหลงอยู่แล้ว 555
ไปถ่ายรูปตึก Yick Fat Building ตามรอยภาพยนต์ transformer |
ของคนรักการถ่ายภาพก็ไม่พลาดแวะมากันค่ะ
เดินเข้ามาก็จะเป็นอาคารแบบนี้เลยค่ะ
เป็นตึกที่อยู่อาศัยคล้ายแฟลตๆหรืออพาร์ทเม้นต์ค่ะ
มีนักท่องเที่ยวหลายๆคน
แวะมาถ่ายรูปกันไม่น้อยเลยค่ะ
โดยบริเวณโดยรอบก็มีแท่นปูนคล้ายๆ แท่นเก็บน้ำประปาค่ะ
สามารถนั่งหรือขึ้นไปยืนถ่ายรูปได้
อย่างเช่นนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
ก็กำลังเพลิดเพลินใจ งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนกับการถ่ายภาพ
ตึกแนวๆเก๋ๆ สไตล์เซอร์ที่ไม่ต้องปรนเปรอแต่งอะไรมากนัก
เพราะตึกเก่าๆแบบนี้แหละค่ะ คือจุดขายของเหล่าวัยแนวชอบมาถ่ายกัน
ไปถ่ายรูปตึก Yick Fat Building ตามรอยภาพยนต์ transformer |
หลังจากที่ได้ถ่ายภาพตึก Yick fat building ตามรอยภาพยนต์ transformer แล้วนะค่ะ
ก็ตัดสินใจนั่งรถราง Tram ค่ะ เนื่องจากอยากสัมผัสเสน่ห์ของการโดยสารที่เก่าแก่ที่สุดในฮ่องกงค่ะ
ยังไงต้องนั่งสักครั้งค่ะ
นั่งรถราง tram เพื่อเดินทางกลับไปยังใจกลางเมืองแถว central ค่ะเป็นการโดยสารที่ประหยัดสตางค์มาก ถึงจะช้าแต่มีเสน่ห์มาก
รถรางแบบ 2 ชั้น รูปร่างผอมสูง
วิธีขึ้นคือจะต้องไปขึ้นด่านหลังรถ
และรถเสียเงินลงรถด้านหน้า
นั่งรถราง Tram ครั้งแรกในฮ่องกง เป็นเสน่ห์อีกอย่างของการท่องเที่ยวในเมืองนี้ค่ะ |
ขึ้นมาก็ตื่นเต็นนิดหน่อยค่ะ
โดยดิฉันเลือกนั่งชั้นบนค่ะ
เนื่องจากลมพัดเย็นดีและไม่อึดอัดด้วย
ระหว่างทางนั่งรถออกจากย่าน Tai koo มายังใจกลางเมือง
ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยค่ะ เป็นการนั่งครั้งแรก ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยค่ะว่าถึงป้ายใหนแล้ว
วิธีการคือเปิด GPS ในมือถือตามดูด้วยจะได้ไม่หลงทาง หรือนั่งรถเลยไปค่ะ
จะได้ไม่หลงทางค่ะ
ยังเป็นการเดินทางแบบ Slow life มากๆ เหมาะกับคนที่ต้องการใช้ชีวิตแบบช้าๆ
เพราะเป็นรถรางที่วิ่งช้า เนิบๆ ไปเรื่อยๆ แต่ก็มีรถรางอื่นๆตามต้อยๆ สร้อยตูดมาติดๆกันค่ะ
ที่ป้ายรถรางแต่ละป้ายจะมีป้ายแจ้งว่าป้ายนี้ชื่อว่าอะไร
จะได้ไปถูกค่ะ แต่เนื่องจากเดี๊ยนไปครั้งแรก
ก็อิสสะงงๆหน่อยค่ะ ขึ้นมานั่งเลย จากนั้นก็ใช้วิธีเปิดมือถือ ให้ GPS นำทางค่ะ
เดี๊ยนก็เดินทางกลับไปเอากระเป๋ายังที่พัก เพื่อเดินทางกลับไปยังเกาะมาเก๊า เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับค่ะ ต้องรีบไปเกาะจะมืดค่ำนะค่ะ เพราะช่วงเย็นคนจะเยอะมากค่ะ
ดิฉันเดินทางจากสถานี Tshim sha tsui มาลงที่สถานี central
จากนั้นก็นั่งรถไฟสายสีน้ำเงินมาลงที่สถานี Sheung Wan เพื่อไปท่าเรือฮ่องกง
โดยจากท่าเรือฮ่องไปเกาะมาเก๊านั้น
ต้องใช้บริการเรือของ Cotai water jet ซึ่งเป็นเรือเฟอรี่ลำสีน้ำเงินค่ะ
ซื้อตั๋วแล้วนะค่ะ ก็มาเข้าคิวต่อแถวออกจากด่าน ตม.ค่ะ
จากนั้นก็ไปที่ชานชลาของเรือ Cotai water
ค่าโดยสารนั่งเรือ Cotai water จากเกาะฮ่องกง มาเกาะไทปา มาเก๊า อยู่ที่ 171 เหรียญค่ะ |
โดยราคาถูกกว่าตอนค่ำหรือตอนกลางคืนจริงๆค่ะ
จำได้ว่าตอนขาเดินทางจากมาเก๊ามาฮ่องกง ราคา 200 เหรียญ แต่ตอนขาออกจากฮ่องกงไป เกาะไทปา มาเก๊า ราคาเพียง 171 เหรียญเองค่ะ
แถมได้ที่นั่งอยู่ท้ายลำด้วยนะค่ะ
เพราะหากนั่งที่หัวเรือ มีเมาเรือแน่นอนค่ะ
นั่งเรือมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงท่าเรือไทปา ออกมาเดินรถขึ้นรถบัสฟรีไป เวเนเซียน |
ก็ต้องผ่านด่าน ตม.อีกค่ะ มาถึงด่านนี้ เดี๊ยนก็โดนเรียกสอบถามอีกนะค่ะ
แต่ไม่นานนัก โดยทางเจ้าหน้าที่ขอดูตั๋วโดยสารขากลับของดิฉันว่ากลับเมืองไทยจริงใหม๊
เสียเวลาอยู่ประมาณ 15 นาทีค่ะ
จากนั้นก็เดินออกจากท่าเรือไทปา มารอขึ้นรถบัสฟรีไปลงที่เวเนเซียนค่ะ
ดูเวลาแล้วยังเหลือเวลาอีกมาก ก็เลยไปช๊อปปิ้งซื้อของฝากที่คาสิโน่แห่งนี้ค่ะ
ยืนรอรถไม่นานนัก น่าจะสักประมาณ 10 นาที
รถ shuttle bus ของเวเนเซียนก็เดินทางมาจอดรับแล้วค่ะ
เป็นรถบริการฟรีค่ะ
นั่งรถบัสแป๊บเดียวไม่นานนัก ก็ถึงเวเนเซียนแล้วค่ะ
เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มีบ่อนคาสิโน่ และมีแหล่งช๊อปปิ้งด้านใน
เรียกว่าเอาใจคนชอบการพนันและรักการช๊อปปิ้งจริงๆ
เดินขึ้นบันใดเลื่อนมา ก็ถึงแล้วค่ะ grand canal shopper at venetian macau |
พอเดินมาให้ขึ้นบันใดเลื่อนจะมีป้ายบอกว่า grand canal shopper
ก็ขึ้นมาเลยก็จะเห็นเป็นแหล่งช๊อปปิ้ง มีตึกอาคาร สร้างคล้ายๆ Venic italy เลยค่ะ
grand canal shopper at venetian macau |
กับสถาปัตยกรรมการสร้างห้าง เอาไว้ในโรงแรมขนาดใหญ่
โดยภายในเป็นร้านขายสินค้าแบรนด์เนมหลายร้านให้เลือกซื้อ
ทั้งเสื้อผ้า นาฬิกา และเครื่องประดับ ให้เลือกมากมายค่ะ
บรรยากาศโดยรอบก็ตกแต่งได้สวยงามแบบตะวันตก
ออกแนววินเทจ มีมุมถ่ายรูปสวยงามหลายแห่งเลยค่ะ
มิน่าล่ะ นักท่องเที่ยวชาวไทยถึงนิยมมาเดินช๊อปปิ้งกันนะค่ะ
เสน่ห์ของแหล่งช๊อปปิ้งแห่งนี้คงเป็น
การนั่งเรือในคลองเวเนเซียน ซึ่งมีคนพายคอยให้ความบันเทิงกับแขกที่มานั่งด้วย
แต่ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่นะค่ะ เดี๊ยนเองก็ลืมไปดูที่ป้าย
เพราะมาที่นี้คงไม่ได้นั่งเรือล่องคลองเวนิสจำลองแห่งนี้
Lord stow bakery |
ไม่พลาดแวะทานร้านขนม Lord stow bakery
ซึ่งเป็นร้านขนมชื่อดังในมาเก๊าซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งช๊อปปิ้งแห่งนี้ด้วย
แวะ |
หน้าตาขนมแม้จะดูไหม้เกรียมไปสักหน่อย แต่รสชาติอร่อยดีค่ะ
ชิ้นละ 10 ปาทาก้า ตอนจ่ายเงิน มีเงินเหรียญมาเก๊าเหลืออยู่
เดี๊ยนเลยจ่ายไปให้หมดแล้วค่ะ
นั่งทานคู่กับชาร้อนๆ ถือว่าเป็นอาหารมื้อเย็นไปแล้วกันค่ะ
Lord stow bakery |
ยังมีร้านขายขนมหลายอย่างที่ชั้น 1 อีกค่ะ
เป็นขนมที่ตั้งใจมาซื้อมา เพราะวันแรกที่มาเที่ยวมาเก๊า ได้ลิ้มลองขนมเค้าแล้วอร่อยดี
ก็เลยต้องแวะซื้อไปฝากคนที่บ้านและที่ทำงานด้วย ถ้าไม่ซื้อไปคงถามหา และเสียใจแน่ๆ
หลังจากที่ได้ช๊อปปิ้ง เดินสุดสวิงริงโก้ เฮโลในเวเนเซียน
ซื้อของฝากเป็นขนมนมเนยไปฝากคนที่บ้านและที่ทำงานแล้วนะค่ะ
เดี๊ยนก็นั่งรถบัสฟรีจากเวเนเซียนกลับมายังสนามบิน เพื่อเดินทางกลับเมืองไทย
โดยไฟล์ทกลับออกจากสนามบินมาเก๊า เวลา ประมาณ 22.30 น. เดินทางถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ
จบทริปเที่ยวมาเก๊า ฮ่องกง 4 วัน กับ 3 คืน เป็นทริปที่ท้าท้าย ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นสบายกำลังดี ไม่หนาวมาก แถมได้ประสบการณ์จากการเดินทาง ได้เรียนรู้การเดินทางในต่างแดน และได้แวะไปชมสถานทีท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่งด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ครบทั้งหมด แค่ได้ไปแค่นี้ เดี๊ยนก็โอเคแล้วล่ะค่ะ
สรุปทริปค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ ทั้งรีวิวตอนที่ 1 และรีวิวตอนที่ 2
ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ดอนเมือง-มาเก๊า รวม 3,930 บาท (จองล่วงหน้าก่อนมา 1 เดือนค่ะ)
ค่าที่พักโรงแรม Majestic7guesthouse hongkong พัก 3 คืน 3,212 บาท
ค่าเรือจากเกาะมาเก๊ามาฮ่องกง 200 เหรียญ 800 บาท
ค่าเรือกลับจากฮ่องกงมาสนาบินไทปา 171 เหรียญ 684 บาท
กระเช้าลอยฟ้าไปนองปิง 210 เหรียญ
ค่าบัตร octopus ในฮ่องกง 200 เหรียญ
ค่าเดินทางท่องเที่ยว+กินในเกาะฮ่องกงและมาเก๊าทั้ง 4 วัน 2,584 บาท
ไม่รวมของฝากนะค่ะ
สรุปค่าเสียหายทั้งหมด 12,832 บาทค่ะ
ต้องขอขอบพระคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านและสไลด์ดูภาพกันนะค่ะ ไว้พบกันใหม่กับทริปเดือนถัดไป หวังว่าจะได้พบกันอีกนะค่ะ ส่วนจะไปที่ใหนนั้น รอมาสุ่มๆเปิดๆดูนะค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
----------------------------------------------------------
บทความอื่นๆ มีดังนี้ค่ะ (จะทยอยเขียนเรื่อยๆเพื่อไม่ให้เว็ปบล็อกนี้ร้างไปค่ะ)
รวม 9 ที่เที่ยวฮ่องกงยอดนิยมของคนชอบเช็คอินถ่ายรูป คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
ไปเที่ยวมาเก๊าพักร้อนนี้ จะไปแถวใหนดี ราคาไม่แพง คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/tdgXUS
แบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวมาเก๊า นั่งเรือเมาไปถึงเกาะฮ่องกง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
มาเด้อ..มาเที่ยวศรีสะเกษ แดนดงดอกลำดวน หอมหวนกระเทียมดี คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูรีวิวการเดินทางได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2QngTUm
มาม๊ะ..แวะมาเที่ยวเมืองสุรินทร์ ชมถิ่นช้างใหญ่ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวแบกเป้ลุยเดี่ยว เช่ารถมอเตอร์ไซต์เที่ยวในบุรีรัมย์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
แบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวเมืองโคราช กินหมี่รสชาติแซ่บๆกันจ้า คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวหลังสวน ลิ้มลองทุเรียนจากสวนหวานฉ่ำ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวชุมพร งามอรชรตลอดกาล เดือน ก.ย.2018 คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูรีวิวการเดินทางที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2Oc4kNZ
ตอนจบกับทริปแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรป 26 วัน คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูรีวิวการเดินทางที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2xlaVuZ
แบ่งปันการเดินทางในเกาะซานโตรินีด้วยตัวเองง่ายๆ คลิ๊กดูรายละเอียดจ้า>> |
หรือดูรีวิวการเดินทางที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2p5eQZf
รีวิวตอนที่ 24 แวะเที่ยวกรุงเอเธนส์ 1 วัน มีที่เที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2NrtXcU
รีวิวตอนที่ 18 แบกเป้ลุยเดี่ยวเมืองเวนิชครั้งแรก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2KQvnsh
รีวิวตอนที่ 17 แบกเป้ไปเที่ยวเมืองมิลาน มีอะไรให้ชมบ้างนะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2AWC1xk
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 16 ไปเดินลั๊ลลาไปชมน้ำตกไรน์-ซูริค คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2MiG5cz
รีวิวลุยเดี่ยวตอนที่ 15 แบกเป้เดินเที่ยวรอบเมืองลูเซิร์นแบบชิลๆ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2vjt0bK
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 5 เดินลั๊ลลาเมืองโพรว็องสุดโรแมนติค คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/4tuuke
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 4 เดินเร้าฤดีฉิมพลีเสน่ห์เมืองมาร์เซย์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/Bxaq9X
รีวิวท่องเที่ยวประจำเดือน เม.ย.2018 ล่องเรือไหว้แม่น้ำเจ้าพระยา คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
หรือดูบทความรีวิวที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/HrLddq
รีิวิวเที่ยวเมืองลพบุรี เดินยวลยีชมวังเก่า เคล้าความหลัง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/7ZB3pt
รีิวิวเที่ยวประจำเดือน เม.ย.นี้ แวะไปเที่ยวสิงห์บุรีมาค่ะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/eL6fHw
วิธีวางแผนเดินทางตามรถไฟสายยุโรปด้วยตัวเองแบบง่ายๆ คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือเข้าไปดูเนื้อหาบทความได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/4nwkke
จัดมารีวิวเที่ยวสัตหีบ 2 วัน 1 คืน เดือน มี.ค.61 ไปที่ใหนบ้าง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ> |
หรือดูบทความรีวิวที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/YV4FbW
รวมเด็ด 7 โบราณสถานเด็ดเมืองอยุธยา มีที่ใหนบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
จัดมารวมประโยคภาษาอังกฤษเพื่อการโรงแรม คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูเนื้อหาบทความได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/uBCnFK
วิธีการกรอกข้อมูลใบสมัครเพื่อทำนัดขอวีซ่าฝรั่งเศส คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูรายละเอียดขั้นตอนได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/bmozLd
วิธีการจองตั๋วเครื่องบินเพื่อทำวีซ่าแบบไม่เสียสตัง คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/nog7ED
อยากรู้จังว่า งานคร่ำคืออะไร คลิ๊กอ่านเป็นความรู้ค่ะ>> |
หรือดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/rc2LbD
การเขียนจดหมายแนะนำตัวภาษาอังกฤษเพื่อทำวีซ่า คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/YHUCtA
หากเป็น Freelance ขอวีซ่าเชงเก้นต้องเตรียมเอกสารไปบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูรายละเอียดที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/sYCgPF
รวมมาประโยคภาษาอังกฤษง่ายๆใช้เดินทางทั่วโลก คลิ๊กดูรายละเอียดค่ะ>> |
หรือดูบทความได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/cN2kwu
รีวิวเที่ยวงานอุ่นไอรักคลายความหนาว สวยสกาวน่ารัก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/sB8ccW
รีวิวเที่ยวกาฬสินธุ์ ฟินคั๊กหลายๆ ก.พ.2018 ตอนที่ 2 คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/CSYvaB
รีวิวเที่ยวร้อยเอ็ด งามเด็ดอีหลีเด้อ ก.พ.2018 ตอนที่ 1 คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/igFAoe
0 ความคิดเห็น