Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

มาเด้อ..มาเที่ยวศรีสะเกษ เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับไปชมเมืองดอกลำดวน หอมหวนกระเทียมดี มีทุเรียนดินภูเขาไฟ งามวิไลผามออีแดง สวยร้อนแรงจับใจ

(ต่อจากตอนที่แล้ว) รีวิวตอนจบกับทริปท่องอีสานใต้ วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเลยขอเป็นคนบ้า เป็นผู้สาวขาเลาะ ชวนเพื่อนๆมาเที่ยวเมืองศรีสะเกษกันเด้อจ้า
สวัสดีค่ะเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคุณผู้อ่านผู้รักการทัศนาจร อรชร อ้อนแอ้น เริ่ดสะแมนแตนกันทุกๆคนอีกครั้งนะคะ หลังจากที่รีวิวก่อนหน้านี้ ดิฉัน ด้เป็นคนบ้า มาลั๊ลลาแบกเป้ลุยเดี่ยวแวะไปท่องเที่ยวทั้ง 3 เมืองมาแล้ว ในที่สุดก็หยุด Stop ที่เมืองสุดท้ายของทริปท่องอีสานใต้แห่งนี้แล้วค่ะ นั้นก็คือ เมืองศรีสะเกษ...

ต่อจากกระทู้รีวิวก่อนหน้านี้ ตามเว็ปไซต์ลิงค์ : http://bit.ly/2D3361i
ศรีสะเกษเมืองเล็กๆผู้คนน่ารัก ต้องบอกเลยว่าในย่านตัวเมืองเขาเล็กจริงๆ แม้จะเป็นเมืองเล็กกะจิ๋วหลิ๋ว แต่ก็มีอะไรที่ซ่อนอยู่ให้แวะไปจุ๊กกรู ส่องดูสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆอยู่ไม่น้อยทีเดียว และเป็นเมืองที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สมบูรณ์อีกแห่งเลยก็ว่าได้ เพราะตอนนี้ทางด้านทิศใต้ของจังหวัดซึ่งมีอาณาเขตติดกับกัมพูชา กลายเป็นดินแดนแห่งการเพาะปลูก ทุเรียนดินภูเขาไฟไปเสียแล้ว อีกหน่อยศรีสะเกษคงจะมีผลหมากรากไม้ให้กินกันตลอดทั้งปีอย่างแน่นอนเชียวล่ะ



จำได้ว่าก่อนหน้านี้ ดิฉันเองก็เคยมาเยือนเมืองศรีสะเกษหลายปีได้แล้วกระมัง และเมื่อสองปีก่อนโน้น ก็มาบ้านเพื่อนสาวพราวเสน่ห์ โดยแวะมาร่วมงานทำบุญออกพรรษาแห่กันหลอนซึ่งเป็นงานประเพณีที่จัดขึ้นทุกปี โดยตอนนั้นมา รู้สึกว่าได้ลิ้มลองรสชาติอาหารการกินของถิ่นอีสานใต้แห่งนี้แล้ว ยังติดอกติดใจไม่รู้คลาย เพราะกลิ่นปลาร้ายังหอมติดจมูก  แต่ตอนที่แวะมาศรีสะเกษช่วงนั้น ดิฉันก็ไม่ได้แวะไปเที่ยวที่ใหนนัก เพราะรถราก็ไม่มี เดินทางก็ลำบาก จะมีก็แต่เพื่อนสาวที่เป็นสารถีขับรถพาเที่ยวแวะไปดูโน้นนี้นั้นค่ะ



รอบนี้ดิฉันกลับมาเยือนเมืองศรีสะเกษอีกครั้ง ก็เลยขอจัดทริปลุยเดี่ยวเที่ยวแบบ Slow Life เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับไปเรื่อยเปื่อยแวะเที่ยวตามที่ต่างๆ ซึ่งแต่ละแห่งก็ดูน่าสนใจไม่ใช่น้อย และถึงแม้ศรีสะเกษจะเป็นเมืองเล็ก แต่เมืองเล็กๆ แบบนี้แหละค่ะ ที่มีความน่าสนใจยิ่งนัก เพราะไม่วุ่นวาย แถมในตัวเมืองก็ยังมีอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ให้เราได้แลเห็น ไม่ได้เปลี่ยนแปรไปตามกาลเวลาแต่อย่างใด เหมาะกับคนที่ชอบเที่ยวใช้ชีวิตแบบช้าๆ มีวัดวาอารามเก่าแก่ ก็ต้องลองแวะมาเที่ยวเมืองเก่าศรีสะเกษแห่งนี้ดูเลยนะค่ะ


จำได้ว่าก่อนหน้านี้ ดิฉันเองก็เคยมาเยือนเมืองศรีสะเกษหลายปีได้แล้วกระมัง และเมื่อสองปีก่อนโน้น ก็มาบ้านเพื่อนสาวพราวเสน่ห์
ใหนๆก็มาเที่ยวถึงเมืองศรีสะเกษแล้ว เรามารู้จักเมืองนี้กันสักเล็กน้อย

คำขวัญเมืองศรีสะเกษสะเกษ : หลวงพ่อโตคู่บ้าน ถิ่นฐานปราสาทขอม ข้าว หอม กระเทียมดี มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒนธรรม เลิศล้ำสามัคคี

เกี่ยวกับเมืองศรีสะเกษ : 


ศรีสะเกษเป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าแก่อีกแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ชื่อเดิมของศรีสะเกษแต่ก่อน เรียกว่าเมืองขุขันธ์  โดยศรีสะเกษประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย ซึ่งพูดภาษาถิ่นต่าง ๆ กัน อาทิ ภาษาลาว (สำเนียงลาวใต้ซึ้งใช้ครอบคลุมทั้งฝั่งอุบลราชธานีและจำปาศักดิ์), ภาษากูย, ภาษาเยอ และภาษาเขมรถิ่นไทย ส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนและนับถือผีมาแต่ดั้งเดิม  โดยมีการตั้งถิ่นฐานในจังหวัดศรีสะเกษมาแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จนเกิดพัฒนาการที่เข้มข้นในสมัยอาณาจักรขอมซึ่งได้ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมหลายประการไว้ เช่น ปราสาทหินและปรางค์กู่ศิลปะขอมตั้งกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง และนอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมประเพณีที่ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

 

ครั้นในสมัยอาณาจักรอยุธยา มีการยกบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน (บริเวณใกลๆปราสาทกุด หรือปราสาทสี่เหลียมโคกลำดวน วัดเจ็ก อำเภอขุขันธ์ ในปัจจุบัน) เป็นเมืองขุขันธ์ และในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์ได้ย้ายเมืองไปยังบริเวณตำบลเมืองเก่า (ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษ ในปัจจุบัน) แต่เรียกชื่อเมืองขุขันธ์ ตามเดิม กระทั่งยกฐานะเป็น จังหวัดขุขันธ์ เมื่อ พ.ศ. 2459 แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ พ.ศ. 2481


จังหวัดศรีสะเกษ ถือเป็นแผ่นดินทองแห่งอีสานใต้ เนื่องจากมีสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์
จังหวัดศรีสะเกษ ถือเป็นแผ่นดินทองแห่งอีสานใต้ เนื่องจากมีสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะเขตที่ราบลุ่มน้ำมูลและเขตที่ราบลุ่มตอนกลางของจังหวัดในบริเวณที่เรียกว่า ดงภูดินแดง ที่มีลักษณะดินป็นดินร่วนปนทราย สีแดง(จึงเรียกว่า ดงดินแดง หรือ ภูดินแดง )มีความอุดมสมบูรณ์สูง สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญได้ ภูดินแดงเป็นภูเขาไฟเก่าที่มีพื้นที่กว้างขวาง อยู่ลึกเข้ามาจากแนวเทือกเขาพนมดงรัก ชายเขตแดนไทยกับกัมพูชา เป็นรอยต่อของอำเภอเบญจลักษณ์ อำเภอน้ำเกลี้ยง อำเภอศรีรัตนะ อำเภอขุนหาญและอำเภอกันทรลักษณ์[5] เขตนี้จึงเป็นย่านที่ปลูกพืชสวนสำคัญๆ ได้ผลดี เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง มะยงชิด สะตอ ยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ มะปรางหวาน กระท้อน ส้มโอ มะม่วง โดยเฉพาะ การผลิตเงาะและทุเรียน จังหวัดศรีสะเกษถือเป็นแห่งผลิตแห่งแรก และเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีพื้นที่ปลูกกว่า 7,000 ไร่ เงาะที่ผลิตเป็นพันธุ์เงาะโรงเรียน ส่วนทุเรียนเป็นพันธุ์หมอนทอง พันธุ์ชะนี จึงเป็นแหล่งพืชสวน และผลไม้อันเป็นผลิตผลทางการเกษตรเพื่อการส่งออกแหล่งใหญ่ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย นอกจากนั้นยังมีพืชผลอื่นๆ ที่ออกผลตลอดทั้งปีอีกด้วย
เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/จังหวัดศรีสะเกษ
หลังจากที่ได้รู้จักเมืองศรีสะเกษกันไปแล้ว ดิฉันก็ขอมาร่าย รีวิวเที่ยวเมืองศรีสะเกษให้เพื่อนๆคุณผู้อ่านดูกันดังนี้ค่ะ

ต่อจากรีวิวก่อนนี้คือตอนที่ 3 ตามเว็ปลิงค์ : http://bit.ly/2D3361i
เริ่มต้นการเดินทางมายังเมืองศรีสะเกษเที่ยวนี้ ดิฉันนั่งรถตู้โดยสารจาก บขส.สุรินทร์มาลงยังเมืองศรีสะเกษ
ระยะทางจากเมืองสุรินทร์มายังศรีสะเกษประมาณ 105 กิโลเมตรกว่าค่ะ
นั่งรถตู้จากสุรินทร์มาลงที่ศรีสะเกษ 70 บาทจ้า 
ค่าโดยสารรถตู้จากสุรินทร์มาศรีสะเกษ 70 บาท

 
ทางคนขับรถตู้บอกว่าไม่ผ่านโรงแรม แต่ผ่านห้างซุ้นเฮงพล่าซ่า ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก สามารถเดินเท้าไปได้


นั่งรถมาได้สักพักก็ถึงเมืองศรีสะเกษแลวค่ะ ซึ่งช่วงที่นั่งในรถตู้โดยสาร ดิฉันก็ได้สอบถามคนขับว่า รถขับผ่านโรงแรมเกษสิริหรือเปล่า ทางคนขับบอกว่าไม่ผ่าน แต่ผ่านห้างซุ้นเฮงพล่าซ่า ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก สามารถเดินเท้าไปได้

ดิฉันเลยลงที่หน้าห้างแห่งนี้ เพื่อเดินเท้าไปยังที่พัก เพราะถ้าไปลงที่ บขส.ศรีสะเกษ ต้องเดินเท้ามาอีกไกลเลย


 เดินเท้าจากห้างซุ้นเฮงมาไม่ไกลนักก็ถึงโรงแรมเกษสิริแล้วค่ะ ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย

สำหรับราคาห้องพักถ้าจองผ่านหน้าฟร้อนของโรงแรมอยู่ที่คืนละ 390 บาท

แต่ดิฉันจองผ่าน Agoda ตกคืนละ 400 บาท ราคาแพงกว่าจองผ่านโรงแรมนิดเดียวค่ะ

 

บรรยากาศที่ล็อบบี้ของโรงแรมก็โอ่โถงไม่กว้างนัก แต่มีที่นั่งให้สบาย


 

โรงแรมมีลิฟท์ให้นะคะ ตอนแรกดิฉันคิดว่าจะต้องเดินขึ้นบันไดเสียอีก


ออกจากลิฟท์เดินไปยังห้องพัก ดูเหมือนโรงแรมพึ่งปรับปรุงใหม่ เพราะผนังและทางเดินดูใหม่เอี่ยมเชียว
ส่วนห้องพักที่โรงแรมก็ขนาดพอเหมาะ เป็นห้องธรรมดา ไม่หรูหรา เน้นนอนอย่างเดียว ห้องน้ำในตัว
เครื่องปรับอากาศติดไว้ที่ผนังห้องใหม่เอี่ยมเชียว
แต่เตียงห้องพักรู้สึกนิ่มไปหน่อยนะคะ ห้องไม่ค่อยเก็บเสียงเท่าไหร่ สภาพโดยรวมห้องพักถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้ เหมาะสมกับราคา ไม่แพงด้วย
หลังจากเช็คอินน์เข้าพักแล้ว ก็ได้เวลาออกมาหาอะไรทานแล้วค่ะ
ใกล้โรงแรมเกษสิริอยู่ติดกันๆ มีร้านก๋วยจั๊บขายด้วย ชื่อร้านก๋วยจั๊บครูซ่ง น่าจะอร่อย
 ราคาก๋วยจั๊บชามละ 30 บาท อร่อยดีค่ะ แถมราคาไม่แพงด้วย ดิฉันมานั่งทานเห็นมีเด็กๆนักเรียน นักศึกษานั่งทานกันเต็มเลย
ฃเดินตรงออกมาจากโรงแรมนิดหน่อยก็มีร้านขายอาหารและเครื่องดื่มอยู่หลายร้านเลยล่ะค่ะ  ทั้งร้านนมสด ร้านขายก๋วยเตี๋ยว ร้านข้ามมันไก่ และร้านอาหารตามสั่ง
บรรยากาศในเมืองศรีสะเกษในช่วงหัวค่ำ ไม่ค่อยวุ่นวายเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ รถราไม่ค่อยเยอะ จะเดินเหินข้ามถนนไปใหนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะรถจะสอยเอาไปกิน
และเดินมาอีกหน่อยก็เป็นตลาดโต้รุ่งศรีนครลำดวน ซึ่งเป็นตลาดอยู่ติดกับทางรถไฟ
แวะไปเดินตลาดโต้รุ่ง ตลาดที่อยู่ติดๆกับสถานีรถไฟและอยู่ใกล้โรงแรม สามารถเดินไปได้
ในตลาดก็มีอาหารการกินหลากหลายอย่างให้แวะซื้อรับประทานกันค่ะ เนื่องจากเป็นตลาดอยู่ในตัวเมือง เดินเท้าจากโรงแรมมาได้ไม่ไกล
เดินไปเดินมาที่ตลาดโต้รุ่งแห่งนี้ ไม่รู้ทานอะไรดี ชะแว๊ปแวะไปเห็นร้านขายขนมปังสังขยา กำลังอบในเตาร้อนๆ และเห็นคนเรียงคิวรอซื้อเยอะ ดูแล้วน่าจะอร่อย เลยแวะไปซื้อมาลองทานดูค่ะ แถมคนขายก็ยิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าดี
เดินไปเดินมาที่ตลาดโต้รุ่งแห่งนี้ ไม่รู้ทานอะไรดี ชะแว๊ปแวะไปเห็นร้านขายขนมปังสังขยา กำลังอบในเตาร้อนๆ
แถมราคาไม่แพงด้วยนะคะ ตกชิ้นละ 10 บาท เหลือแค่ 2 ไส้ให้เลือกเองค่ะ
 ดิฉันลองซื้อทานชิ้นนึงก่อน ทานไปแล้วอร่อยจริงๆ ก็เลยซื้อเพิ่มมาอีก 4 ชิ้น
 เดินเท้ากลับมาที่โรงแรม พึ่งรู้ว่าที่โรงแรมมีร้านอาหารและร้านค๊อฟฟี่ช๊อปน่ารักๆด้วย รู้สึกว่าห้องอาหารจะเรียบหรูกว่าห้องพักมากๆทีเดียว ชื่อร้าน Be baked อยู่ติดถนนใหญ่ด้านล่างโรงแรมเลยค่ะ
 บรรยากาศในร้านก็ตกแต่งสวยงาม
แถมมีขนมน่าทานอีกด้วย แต่เสียดาย เดี๊ยนทานขนมปังสังขยาและก๊วยจั๊บเป็นอาหารมื้อเย็นไปแล้ว ถ้ามาทานขนมต่ออีก มีหวังแน่นท้องแน่นอน
หลังจากนั้นดิฉันก็กลับเข้าห้องพักผ่อน หมดไปอีก 1 วันกับทริปเที่ยวในเมืองสุรินทร์ และเดินทางมานอนพักค้างที่เมืองศรีสะเกษ เวลาเดินไปเร็วเสียเหลือเกิน
------------------------------------------------------------------------------------
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบินกับเช้าวันใหม่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เมืองศรีสะเกษ เมืองเล็กๆผู้คนน่ารัก
อรุณเบิกฟ้านกกาโบยบินกับเช้าวันใหม่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เมืองศรีสะเกษ
เริ่มต้นเช้านี้ ดิฉันรีบจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าจากนั้นก็ลงมาเช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนเลย จากนั้นก็เดินทางลงมารับประทานอาหารที่โรงแรม ตอนแรกว่าจะไปกินข้างนอก แต่คิดไปคิดมา มานั่งทานในโรงแรมเลยล่ะกัน สะดวกดี
 มาทานที่ห้องอาหารเกษสิริ ห้องอาหารตกแต่งน่ารักมากๆ ถ้าห้องพักโรงแรมตกแต่งได้น่ารักเหมือนห้องอาหารคงจะดีไม่ใช่น้อย
 สำหรับอาหารเช้านี้ทานโจ๊ก รสชาติอร่อยดี ออกแนวคล้ายๆโจ๊กบางกอก ประมาณนั้นค่ะ
 ทานโจ๊กไปแล้ว ยังไม่อิ่มค่ะ จัดอาหารหวานต่อ เพิ่มไขมันในร่างกาย มีขนมหลายอย่างให้เลือก
 แต่อย่างก็น่าทานมากๆ แต่เครปดูแล้วน่าจะน่าทานสุดๆ เลยสอยมาทานชิ้นนึง
ราคาชิ้นละ 75 บาท ราคาก็ไม่ถูกนะอยู่ในระดับกลาง แต่ก็ไม่ได้แพงเว่อร์เกินไป
หาแนวกินแบบของหวานๆ เพื่อเติมไขมันลงในร่างกายจะได้มีพลังงานเยอะๆ
ทานเครปราดด้วยแยมรสชาติหวานทีเดียว รู้อย่างนี้ไม่ราดซ่ะก็ดี
แผนที่ท่องเที่ยวเมืองศรีสะเกษ คือเก่าคั๊กแท้
 หลังจากที่ทานอาหารมื้อเช้ากับขนมหวานจี๊ดจนได้พลังงานเต็มทีแล้ว ก็ได้เวลาออกไปเที่ยวแล้วล่ะค่ะ หันมาดูแผนที่แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองศรีสะเกษซึ่งติดในโรงแรม สีจืดจางเชียว ในแผนที่ก็แนะนำไว้หลากหลายแห่งเหมือนกันนะ 
บรรยากาศเมืองศรีสะเกษในวันหยุด ดูไม่วุ่นวาย เงียบดีจริงๆ รถราก็ไม่ค่อยเยอะด้วย
บรรยากาศเมืองศรีสะเกษในวันหยุด ดูไม่วุ่นวาย เงียบดีจริงๆ รถราก็ไม่ค่อยเยอะด้วย นี้ขนาดดิฉันอยู่ในย่านใจกลางเมืองแล้วนะคะ  นี้แหละค่ะคือเสน่ห์ของการมาเที่ยวในเมืองศรีสะเกษ
รถจักรยานสามล้อถีบให้บริการอยู่ตลอด เผื่อใครที่ไม่อยากเดิน ก็นั่งสามล้อของคุณลุงได้นะคะ
เดินออกมาจากโรงแรมก็เห็นรถจักรยานสามล้อถีบให้บริการอยู่ตลอด เผื่อใครที่ไม่อยากเดิน ก็นั่งสามล้อของคุณลุงได้นะคะ
ถึงแม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ก็ยังคงมีอาคารบ้านเรือนพาณิชย์เก่าแก่ให้เห็นอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้
แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ก็ยังคงมีอาคารบ้านเรือนพาณิชย์เก่าแก่ให้เห็นอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ ดูหลังคาสังกระสีที่ร้านแห่งนี้แล้ว น่าจะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานพอสมควรทีเดียว
และจากโรงแรมเกษสิริเดินเท้ามาไม่ไกลนัก ก็มีตึกอาคารเก่าแก่ในเมืองศรีสะเกษให้แวะชมด้วย นั้นก็คือบ้านขุนอำไพพาณิชย์ ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวที่ต้องแวะมาเช็คอินน์อีกแห่งด้วย
เกี่ยวกับบ้านขุนอำไพพาณิชย์ อ่านดูเป็นความรู้ค่ะ
เกี่ยวกับบ้านขุนอำไพพาณิชย์ อ่านดูเป็นความรู้ค่ะ

เป็นบ้านที่พักอาศัยเก่าของขุนอำไพพาณิชย์ (ทองอินทร์ นาคสีหราช) คหบดีชาวศรีสะเกษ ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2468 ได้รับการบูรณะและอนุรักษ์ไว้โดยทายาทขุนอำไพพาณิชย์ร่วมกับกรมศิลปากร จึงได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น ด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมในเขตเมือง ที่มีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 2530 เนื่องจากมีความโดดเด่นทางด้านศิลปะ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ความเป็นมา ต่อมา ใน พ.ศ. 2538 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ
อาคารบ้านขุนอำไพพาณิชย์
อาคารขุนอำไพพาณิชย์ เดิมเป็นบ้านเก่าของขุนอำไพพาณิชย์ กับนางอำไพพาณิชย์ ภริยา ซึ่งเป็นคหบดีรุ่นเก่าชาวศรีสะเกษ ก่อสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2468 โดยช่างชาวเวียดนาม (ญวน) และจีน อาคารได้รับอิทธิพลของศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบญวนผสมจีน

ขุนอำไพพาณิชย์เป็นคหบดีในพื้นที่ ประกอบธุรกิจค้าขายมีความมั่งคั่ง และสร้างอาคารขุนอำไพพาณิชย์ขึ้นบริเวณย่านตลาดใน (ย่านตลาดเก่า) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้ายุคแรก ๆ ของเมืองศรีสะเกษ
หลังการเสียชีวิตของขุนอำไพพาณิชย์และภริยา ผู้สืบทอดสกุลนาคสีหราชคือนายหงษ์ทอง นาคสีหราช อาคารหลังนี้ได้รับการตกทอดเป็นมรดกให้กับนางเฉลา ช.วรุณชัย บุตรบุญธรรม ซึ่งเดิมเป็นหลานแต่นำมาชุบเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมเนื่องจากขุนอำไพพาณิชย์ไม่มีบุตร หลังจากนั้นอาคารขุนอำไพพาณิชย์ก็ได้ตกทอดมายังทายาทตระกูลนาคสีหราชอีกหลายรุ่น จนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้มีการอนุรักษ์อาคารมรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นและส่งมอบมาให้ไว้เป็นอย่างดี จนกระทั่งองค์กรต่าง ๆ และหน่วยงานราชการได้เข้ามาร่วมสนับสนุนการอนุรักษ์ตามลำดับ เนื่องจากเล็งเห็นคุณค่าและความสำคัญ ความโดดเด่นด้านศิลปะ สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของอาคารดังกล่าว
เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/อาคารขุนอำไพพาณิชย์
เดินทางมาที่ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซต์ในเมืองศรีสะเกษ
 หลังจากที่ได้แวะชมบ้านขุนอำไพพาณิชย์แล้ว  ดิฉันก็เดินเท้ามาที่ร้านเช่ารถในเมืองศรีสะเกษ เพื่อเช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับออกไปเที่ยวยังนอกเมืองศรีสะเกษค่ะ ซึ่งได้ค้นหาข้อมูลใน Google เกี่ยวกับร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ในเมืองศรีสะเกษแล้ว เห็นมีอยู่ร้านเดียวเนี่ยแหละค่ะ ร้านเช่ารถชื่อร้าน OK car rent อยู่ใน สถานีบขส.เมืองศรีสะเกษเลย มีรถยนต์ รถเก๋งให้เช่าขับด้วยนะคะ

ตอนแรกที่ดิฉันเดินมาก็ยังไม่รู้นะคะ ว่าร้านอยู่ตรงใหน เพราะว่าหาป้ายร้านไม่เจอ โทรติดต่อไปทางเจ้าของร้านเช่า บอกว่าให้เดินเข้ามาด้านในบขส.เลยจึงเห็นป้ายร้านจนเจอ
 โดยราคาเช่ารถมอเตอร์ไซต์อยู่ที่วันละ 400 บาท
เป็นรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยมอ่อง สู่สีพอๆกับรถมอเตอร์ไซต่เช่าในเมืองบุรีรัมย์เลย
แต่ดูๆแล้ว รถมอเตอร์ไซต์ที่เช่าในเมืองศรีสะเกษดูทันสมัยและรูปทรงสวยงามกว่าเยอะทีเดียว
แถมราคาแพงกว่าเช่าที่บุรีรัมย์ด้วย

เพราะค่าเช่าวันละ 400 บาท แต่ก็มีคันละ 300 ให้เช่นนะคะ แต่ทางเจ้าของร้านบอกว่า รถมันไม่ดี ดิฉันเองก็คงต้องเชื่อตามคำแนะนำของเจ้าของร้านไปค่ะ ถ้าเกิดนึกจะขับคันที่ถูกคืนมา แล้วรถไปเสียกลางทาง คงจะลำบากยากได้เข็ญรถราหาร้านซ่อมรถเป็นแน่แท้
ส่วนค่ามัดจำรถมอเตอร์ไซต์อยู่ที่ 2000 บาท
ทำสัญญาเช่าด้วย บัตรประจำตัวประชาชน

เมื่อได้มอเตอร์ไซต์แล้วก็ไปโล้ดเลยค่ะ ไม่ต้องเดินให้เมื่อยขาแล้วค่ะ
ขับมอเตอร์ไซต์เลาะมาไหว้พระที่วัดหลวงพ่อโต วัดเก่าแก่ประจำเมืองศรีสะเกษที่ใครแวะมา ต้องกราบไหว้กันทุกคน
และสถานที่สำคัญอีกแห่งในเมืองศรีสะเกษที่ใครแวะผ่านมาเมืองศรีสะเกษ ต้องเข้ามากราบไหว้สักการะกันนั้นก็คือ วัดมหาพุทธาราม หรือวัดหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโตซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของคนในเมืองนี้ และนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยือนเมืองนี้ทุกราย ต่างเข้ามากราบกราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกัน
เกี่ยวกับวัดวัดมหาพุทธาราม (วัดหลวงพ่อโต)
เกี่ยวกับวัดวัดมหาพุทธาราม (วัดหลวงพ่อโต)

(วัดพระโต) ได้ชื่อว่าเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษ ก็เนื่องจากในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ เป็นปีที่เจ้าเมืองศรีสะเกษคนที่ ๒ พระยาวิเศษภักดี (ชม) ได้ย้ายเมืองศรีสะเกษ จากที่ตั้งเดิมบ้านโนนสามขาสระกำแพงมาตั้งที่บริเวณที่เป็นศาลหลักเมืองในปัจจุบัน ในขณะที่สร้างเมืองนั้น มีคนไปพบหลวงพ่อโต ภายในใจกลางป่าแดง (ขณะนั้นบริเวณวัดพระโตเป็นป่าแดง) จึงได้อุปถัมภ์บำรุง โดยให้สร้างวัดขึ้นบริเวณที่พบหลวงพ่อโต ตั้งชื่อว่า “วัดพระโต หรือวัดป่าแดง” ได้จัดหาพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิมาปกครอง ก่อสร้างเสนาสนะที่จำเป็นต่าง ๆ
และเมื่อเจ้าเมืองศรีสะเกษคนต่อ ๆ มาไม่ว่าเจ้าพระยาวิเศษภักดี (โท) หรือเจ้าพระยาวิเศษภักดี (บุญจันทร์) เป็นต้น ก็ได้อุปถัมภ์เอาใจใส่บำรุงวัดพระโตเสมือนเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษตลอดมา ตราบเท่าที่ศรีสะเกษได้กลายเป็นจังหวัด ตามกฎหมายแบ่งเขตการปกครอง ซึ่งเปลี่ยนชื่อตำแหน่งเจ้าเมืองใหม่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนต่างก็ให้ความเคารพยำเกรง เมื่อมาดำรงตำแหน่งใหม่ก็ถือเป็นประเพณีที่ต้องมาทำพิธีบูชาสักการะหลวงพ่อโตในวิหารก่อนเสมอ
หลวงพ่อโต  ประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวงพ่อโตวัดมหาพุทธารามปัจจุบันนี้
หลวงพ่อโต  ประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวงพ่อโตวัดมหาพุทธารามปัจจุบันนี้ ในตำนานเมืองศรีสะเกษเล่าว่า มีการค้นพบหลวงพ่อโตในสมัยสร้างเมืองใหม่ ที่ “ดงไฮสามขา” หลวงพ่อโตที่พบมีสภาพเป็นตุ๊กตาหิน ขนาดเท่าแทน แต่พอไปวัดโดยการโอบด้วยแขนกลับขยายใหญ่ขึ้นจนโอบไม่หุ้ม ดังตำนานเล่าว่า “ที่ตั้งวัดพระโต มีป่าเครือมะยางร่มครื้มหนาแน่น ในขณะที่ถางป่านั้นได้พบตุ๊กตาหินรูปหนึ่ง มีลักษณะคล้ายพระพุทธรูป เล่ากันว่า ตุ๊กตาหินองค์นี้มีอภินิหารเป็นพิเศษ คือเมื่อมองดูจะเห็นเป็นรูปเล็ก ๆ เท่าแขนคนธรรมดา แต่พอเข้าไปกอดเข้ากลับโอบไม่รอบ พวกราษฎรพากันฉงนยิ่งนัก จึงไปบอกอาจารย์ศรีธรรมาผู้เป็นใหญ่ เมื่อรู้ว่าเป็นจริงก็เลยทำพิธีสมโภชกันขนานใหญ่ และขนานนามตุ๊กตาหินองค์นี้ว่า “พระโต” ซึ่งต่อมาได้นำอิฐหรือปูนสร้างเสริมให้ใหญ่จริงๆ ดังที่เห็นกันในปัจจุบัน
แต่ตำนานที่ค่อนข้างสอดคล้องกับประวัติศาสตร์เมืองศรีสะเกษ จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางเล่ากันว่า หลวงพ่อโตองค์จริงนั้น ถูกหุ้มอยู่ข้างใน เป็นพระพุทธรูปหินดำเกลี้ยง (บางแห่งว่าหินเขียว บางแห่งว่าหินแดง) ปางมารวิชัย (ปางสะดุ้งมาร) เดิมมีหน้าตักกว้างยาว ๒.๕๐ เมตร ต่อมากลัวว่าพวกมิจฉาชีพจะทำให้เสียหาย จึงมีผู้ศรัทธาหุ้มเสริมองค์จริงเข้าไปหลายครั้ง จนถึงปัจจุบันนี้ มีขนาดหน้าตัก ๓.๕๐ เมตร ความสูงตั้งแต่พระเกศาลงมา ๖.๘๕ เมตร เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๙ ได้มีการสร้างวิหารใหญ่ครอบซึ่งมีความกว้าง ๑๔.๐๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
เดรดิตข้อมูลดีๆจาก : http://www.musisaket.go.th/t/t3/t3.htm
แวะมากราบพระต่อทีวัดเจียงอี
และไม่ไกลนักจากวัดหลวงพ่อโต ดิฉันก็ขับรถมอเตอร์ไซต์มาที่วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่และสำคัญอีกแห่งในเมืองแห่งนี้
เกี่ยวกับวัดเจียงอี  ชื่อวัดแห่งนี้มีที่มา
เกี่ยวกับวัดเจียงอี 
คำว่าเจียงอี ชื่อนี้มีที่มา ซึ่งเป็นภาษาส่วย ไม่ใช่ภาษาจีนแต่อย่างใดนะคะ ตอนแรกดิฉันก็คิดว่าเป็นวัดจีนแน่ๆ แต่โดยแท้จริงแล้วเป็นภาษากูย หรือภาษาส่วย

โดยภาษาส่วย
คำว่า "เจียง" แปลว่า ช้าง
ส่วนคำว่า "อี" แปลว่า เจ็บ,ป่วย
แปลทั้งหมดก็หมายถึง วัดช้างเจ็บ
ภายในวิหารวัดเจียงอี (วัดช้างเจ็บ)
เหตุได้นามว่า "วัดเจียงอี" เพราะตั้งอยู่ในคุ้มวัดหมู่บ้านวัดเจียงอี การตั้งชื่อบ้านชื่อวัดในสมัยก่อนนั้น นิยมตั้งไปตามชื่อสิ่งของต่าง ๆ ที่เกิดเป็นนินิตขึ้น ได้ทราบว่าบ้านเจียงอี ประชาชนผู้เป็นของถิ่นเดิมเป็นชนชาติไทยเผ่าส่วย ไทยเผ่าส่วยนี้มีสำเนียง การพูดเพี้ยนจากเผ่าอื่น ๆ "เจียงอี" เป็นภาษาพื้นบ้าน แยกออกได้สองศัพท์คือ เจียง เป็นภาษา ที่แปลว่าช้าง อี ที่แปลว่า ป่วย รวมกันเรียกว่า เจียงอี แปลแปลภาษาว่า ช้างป่วย
พระอุโบสถวัดเจียงอี
เข้ามากราบสักการะพระในอุโบสถ
มาเป็นผู้สาวขาเลาะ ขับมอเตอร์ไซต์เหยอะๆเลาะไปเที่ยวชมวัดพระธาตุเรืองรอง
และไม่ไกลจากตัวเมืองศรีสะเกษ ห่างมาอีก 6 กิโลเมตรก็เดินทางมาที่วัดพระธาตุเรืองรอง
โดยพระธาตุเรืองรอง เป็นพระธาตุศิลปะแบบพื้นบ้าน ตั้งอยู่ที่วัดบ้านสร้างเรือง ตำบลหญ้าปล้อง อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากตัวเมืองศรีสะเกษประมาณ 8 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2373 (ศรีสะเกษ-ราษีไศล)
วัดพระธาตุเรืองรอง
เกี่ยวกับวัดพระธาตุเรืองรอง หรือวัดบ้านสร้างเรืองรอง

วัดบ้านสร้างเรือง เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2511 โดยหลวงปู่ธัมมา พิทักษา ซึ่งเป็นชาวบ้านสร้างเรืองโดยกำเนิด จนได้รับพระราชทานวิสุงคามวาสี เมื่อปี พ.ศ. 2520 ต่อมาหลวงปู่ธัมมา ได้เล็งเห็นว่าในภูมิภาคอีสานใต้ไม่มีพระธาตุให้ชาวบ้านสักการบูชา จึงได้ริเริ่มสร้างพระธาตุขึ้นในปี พ.ศ. 2525
โดยวัดพระธาตุเรืองรอง เป็นพระธาตุที่สร้างแบบศิลปะพื้นบ้านสี่เผ่า ได้แก่ ส่วย เขมร ลาว เยอ เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2524
โดยวัดพระธาตุเรืองรอง เป็นพระธาตุที่สร้างแบบศิลปะพื้นบ้านสี่เผ่า ได้แก่ ส่วย เขมร ลาว เยอ เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2524 โดยหลวงปู่ธัมมา พิทักษา มีความสูง 49 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสด้านละ 30 เมตร แบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 ชั้นให้ผู้ที่แวะมากราบสักการะได้แวะชม
บริเวณโดยรอบพระธาตุเรืองรองก็มีการตกแต่งพื้นที่โดยการสร้างแบบจำลองปูนปั้นปริศนาธรรม และแบบจำลองปูนปั้นประเพณี พิธีกรรมที่สำคัญของชาวอีสาน รวมทั้งมีการจัดสถานที่สำหรับการร่วมทำบุญโดยการบริจาค บูชาวัตถุมงคล และจำหน่ายของที่ระลึก รายได้ทั้งหมดจะนำมาใช้ในการปรับปรุงพัฒนาพระธาตุเรืองรองต่อไป
 และถัดจากวัดพระธาตุเรืองรองมาไม่ไกลนัก ก็เป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุสุพรรณหงส์
 และถัดจากวัดพระธาตุเรืองรองมาไม่ไกลนัก ก็เป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุสุพรรณหงส์
ตลาดโบราณวัดสุพรรณหงส์ เมืองศรีสะเกษ
 ซี่งวันที่ดิฉันมานี้ ที่วัดมีการจัดตลาดโบราณให้นักท่องเที่ยวได้แวะเข้าไปแวะชมและเลือกซื้อสินค้าในชุมชนด้วย
สินค้าที่วางขายในตลาดโบราณชุมชนวัดสุพรรณหงส์
ตลาดโบราณวัดสุพรรณหงส์ เมืองศรีสะเกษ เดินมาในตลาดก็ได้สัมผัสกับความโบราณแล้วจ้า เพราะคนขายมีแต่ผู้อาวุโสทั้งนั้นเลย
 สินค้าที่วางขายอยู่ในตลาดแห่งนี้ เห็นจะเป็นของกินเสียส่วนใหญ่ อย่างที่เห็นห่ออยู่นี้ ก็เป็นข้าวหมากนะคะ มีขนม ข้าวต้มมัด ขนมเทียนวางขาย
ตลาดโบราณวัดสุพรรณหงส์ เมืองศรีสะเกษ เดินมาในตลาดก็ได้สัมผัสกับความโบราณแล้วจ้า เพราะคนขายมีแต่ผู้อาวุโสทั้งนั้นเลย
 ส่วนคนขายก็เห็นจะแต่มีผู้เฒ่าผู้แก่ คนโบราณทั้งนั้นเลยล่ะค่ะ ไม่เห็นมีผู้บ่าวผู้สาววัยรุ่นเอาะมานั่งขายสินค้ากันเลย สมกับเป็นตลาดโบราณจริงๆ ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ช่วยสงเสริมให้ชุมชน และชาวบ้านมีรายได้จากนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยือนที่วัดแห่งนี้
หอมกับกระเทียม ของฝากขึ้นชื่อที่อยู่ในคำขวัญเมืองศรีสะเกษ ว่ากันว่าหากจะซื้อหอมกับเทียมดีๆ ต้องมาซือที่ศรีสะเกษเท่านั้น
และที่ขาดไม่ได้เลยคงเป็นหอมกับกระเทียน สินค้าขึ้นชื่อของเมืองศรีสะเกษ ก็นำมาให้ผู้ที่แวะเวียนมาได้เลือกซื้อไปเป็นของฝากเหมือนกัน ว่ากันว่าหากจะซื้อหอมกับเทียมดีๆ ต้องมาซือที่ศรีสะเกษเท่านั้น
ได้แนวกินเป็นของหวานอีกแล้วค่ะ น้ำตาลในเลือดขึ้นก็คราวนี้แหละคะ
แวะมาเที่ยววัดสุพรรณหงส์ ได้ของกินมาเพียบเลยค่ะ ส่วนใหญ่เป็นขนมจำพวกห่อใบตอง อาทิ ขนมเทียน ข้าวต้มมัด ขนมตาล ขนมกล้วย สารพัดขนม และมื้อเที่ยงนี้ ดิฉันก็คงได้ทานขนมห่อใบตองเหล่านี้แหละค่ะ
 และหลังจากที่แวะไปเดินชมตลาดโบราณชุมชนวัดสุพรรณหงส์แห่งเมืองศรีสะเกษมาแล้ว ดิฉันก็แว๊นๆ ขับมอเตอร์ไซต์มุ่งหน้าออกจากเมืองศรีสะเกษไปยังอำเภออุทุมพรพิสัยไปอีก 25 กิโลเมตร เพื่อไปชมปราสาทหินสระกำแพงใหญ่
ระหว่างทางหากใครขับรถผ่านเส้นทางนี้ จะเห็นร้านขายหอมกระเทียมมากมายทีเดียวค่ะ แถมราคาไม่แพงด้วย
สมกับเมืองแห่งการปลูกหอมกระเทียมจริงๆนะคะ เพราะหอมขาย 3 กิโล 100 บาทเท่านั้นเอง เป็นของฝากขึ้นชื่อนำไปประกอบอาหารได้สารพัดเมนูอยู่คู่ครัวไทย
 ขับรถตากแดดในช่วงกลางวัน มาเรื่อยๆ จนถึงบ้านสระกำแพงใหญ่
ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ ศาสนสถานแบบเขมร
เข้ามาในวัดก็เป็นที่ตั้งของปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดศรีสะเกษ
เกี่ยวกับปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ อ่านเป็นความรู้กันค่ะ
เกี่ยวกับปราสาทหินสระกำแพงใหญ่ อ่านเป็นความรู้กันค่ะ

ปราสาทสระกำแพงใหญ่ หรือ ปราสาทศรีพฤทเธศวร ตั้งอยู่ในบริเวณวัดสระกำแพงใหญ่ ถนนประดิษฐ์ประชาราษฎร์ หมู่ 1 ตำบลสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ใกล้กับสถานีรถไฟอุทุมพรพิสัย และห่างจากที่ว่าการอำเภออุทุมพรพิสัยไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 2 กิโลเมตร  สามารถเดินทางมาได้ไม่ไกล
ความเป็นมาของปราสาทสระกำแพงใหญ่ ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าสร้างขึ้นมาในสมัยใดหรือศักราชใด ถึงแม้จะพบจารึกที่โบราณสถานแห่งนี้ ข้อความในจารึกกล่าวถึงการซื้อที่ดินถวายแก่เจ้านายผู้ล่วงลับคือ "กมรเตงชคตศรีพฤทเธศวร" ไม่ได้กล่าวถึงการสร้างปี พ.ศ. 1585 ที่ปรากฏในจารึกไม่ใช่ปีที่สร้างปราสาท ระยะดังกล่าวในกัมพูชาเป็นสม้ยที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ครองราชย์ แต่มิได้หมายถึงพระองค์เป็นผู้สร้าง จากการศึกษาลาดลายต่างๆทางด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม ปราสาทสระกำแพงใหญ่ น่าจะมีอายุอยู่ในศิลปะเขมรแบบคลังต่อบาปวน หรือประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 16 ถึงพุทธศตวรรษที่ 16 ตอนปลาย
ปราสาทสระกำแพงใหญ่ประกอบด้วยระเบียงคดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 49 เมตร ยาว 67 เมตร ล้อมรอบกลุ่มปราสาทอิฐและบรรณาลัย รวมทั้งหมด 6 หลัง
สภาพทั่วไปของปราสาทสระกำแพงใหญ่ประกอบด้วยระเบียงคดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 49 เมตร ยาว 67 เมตร ล้อมรอบกลุ่มปราสาทอิฐและบรรณาลัย รวมทั้งหมด 6 หลัง จากภาพถ่ายทางอากาศ ชี้ให้เห็นว่าปราสาทสระกำแพงใหญ่น่าจะมีชุมชนรายรอบอย่างหนาแน่น ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ห่างออกไปประมาณ 400 เมตร มีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เรียกว่า "สระกำแพง" สันนิษฐานว่าน่าจะขุดขึ้นเมื่อครั้งสร้างปราสาท ส่วนทางทิศตะวันออกมีลำห้วยเล็กๆไหลผ่าน คือ ห้วยตาเหมา ซึ่งเป็นลำห้วยสาขาที่แยกออกมาจากห้วยสำราญ 
ภาพจำหลักทับหลังปราสาทหินสระกำแพงใหญ่เป็นศิลปะเขมรแบบคลังต่อบาปวน ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16
ทับหลังตั้งอยู่เหนือกรอบประตูทางเข้าเสมอ ทับหลังนี้เป็นภาพจำหลักเล่าเรื่องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคติความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา ภาพจำหลักทับหลังปราสาทหินสระกำแพงใหญ่เป็นศิลปะเขมรแบบคลังต่อบาปวน ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ทับหลังที่พบที่ปราสาทหินสระกำแพงใหญ่มี่มากถึง 13 แผ่นอยู่ภายในบริเวณปราสาทสระกำแพงใหญ่ 
โดยปราสาทสระกำแพงใหญ่น้้น ถือเป็นศาสนสถานแบบเขมร ทั้งในด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม รวมทั้งความเชื่อในการนับถือศาสนาจากหลักฐานที่ปรากฏสันนิษฐานว่าเดิมเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู โดยดูจากทับหลังที่สลักภาพบุคคลเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวข้องกับความเชื่อในศาสนาฮินดู ภายหลังเมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแถบนี้จึงเปลี่ยน เป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธโดยได้ขุดพบพระพุทธรูปนาคปรกปางสมาธิ สูง 1.33 เมตร  
ทั้งนี้ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานสำหรับชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 0ง วันที่ 8 มีนาคม 2478 พร้อมกับปราสาทอีกหลายแห่งในจังหวัดขุขันธ์ (ชื่อในขณะนั้น เครดิตข้อมูลน่ารู้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ปราสาทสระกำแพงใหญ่
เดินทางกลับเข้ามาเที่ยวในเมืองต่อ แวะมาที่สวนสมเด็จเลย
และเมื่อได้เดินชมปราสาทหินสระกำแพงใหญ่แล้ว ดิฉันก็ขับมอเตอร์ไซต์เดินทางกลับเข้ามาในเมืองศรีสะเกษ เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่ง นั้นก็คือ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร
สวนสมเด็จแห่งแรกในประเทศไทยอีกแห้วย และเป็นสวนสมเด็จที่มากมายไปด้วยต้นลำดวนอยู่ในสวนแห่งนี้หลายหมื่นต้นทีเดียว
ซึ่งสวนสมเด็จที่แห่งนี้ ไม่เหมือนที่อื่นคือ เป็นสวนสมเด็จแห่งแรกในประเทศไทยอีกแห้วย และเป็นสวนสมเด็จที่มากมายไปด้วยต้นลำดวนอยู่ในสวนแห่งนี้หลายหมื่นต้นทีเดียว

ว่ากันว่าหากจะมาให้ถูกช่วงฤดูกาลดอกลำดวนบานสะพรั่ง ต้องมาช่วงเดือนมีนาคม เพราะช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่สวนสมเด็จแห่งนี้จะตลบอบอวล ไปด้วยกลิ่นของดอกลำดวนหอมรัญจวนใจยิ่งนัก
ที่นี่สวนสมเด็จฯ เมืองแม่ศรีฯ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ

สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ เป็นสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 80 พรรษาแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองครก อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ติดกับบริเวณวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ มีเนื้อที่ 237 ไร่ ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทร์บรมราชชนนี พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จเป็นประธานเปิดสวนแห่งนี้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2524

โดยเป็นสวนที่มีความเป็นธรรมชาติมากเนื่องจากเดิมเป็นป่าอยู่แล้ว จึงมีความร่มรื่นและสวยงามเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับการพักผ่อนแบบผ่อนคลายและแบบกระฉับกระเฉง ที่สามารถเดินหรือวิ่งเหยาะไปตามถนนวงรอบที่กว้างและร่มรื่น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดอีกด้วย
พื้นที่เดิม เป็นป่าละเมาะธรรมชาติที่อุดมด้วยพรรณไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งประดู่ พยุง ตะแบก มังคุดป่า ชะพวงและมะส้าน โดยเฉพาะต้นลำดวนที่มีขึ้นอยู่มากมายในพื้นที่ ประมาณได้มากถึง 50,000 ต้น จากการสร้างสวนนี้เองที่จังหวัดศรีสะเกษได้นำต้นลำดวนมาเป็นต้นไม้ประจำจังหวัด โดยที่พื้นที่เดิมมีส่วนหนึ่งที่เป็นป่าธรรมชาติ ที่มีสัตว์ป่าและนกอยู่อาศัยอยู่เดิมแล้วเป็นจำนวนมากและหลากหลายชนิด เช่น กระรอก กระแต อีเห็นลายจุด พังพอน รวมทั้งกระจง ผู้ออกแบบวางผังจึงกำหนดให้คงไว้เป็นแหล่งพักพิงของสัตว์ป่า 
หากเดินเข้ามาภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ จะมีพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บริเวณทางเข้าสวนฯ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จเป็นประธานเปิดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2543
ลานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จย่า ในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ
 ซึ่งตรงลานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จย่า ยังเป็นจุดถ่ายภาพที่ระลึกของผู้ที่แวะมาเที่ยวสวนแห่งนี้ด้วย
 หากเดินเข้ามาภายในสวนก็จะมากมายไปด้วยต้นลำดวนและแมกไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนัก
 มีต้นลำดวนที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงปลูกเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2524 ซึ่งปัจจุบันต้นเจริญเติบโตสูงใหญ่
และในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี เป็นช่วงที่ต้นดอกลำดวนภายในสวนจะผลิดอกบานทั่วทั้งสวนสมเด็จฯ ภายในงานจะมีการแสดงแสงสีเสียงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของจังหวัดศรีสะเกษ การจัดหน่ายสินค้า OTOP และการแสดงนิทรรศการพื้นบ้านสี่เผ่าไทย (ส่วย เขมร ลาว เยอ) เพื่อให้ผู้ที่สนใจแวะมาเที่ยวชมกันอีกด้วย
มาเดินยลชมบรรยากาศเกาะกลางน้ำ ที่ห้วยน้ำคำ
และสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจอีกแห่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองศรีสะเกษ ก็คือ ห้วยน้ำคำ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
 โดยแต่เดิมนั้นที่แห่งนี้เป็นป่าละเมาะและทุ่งนา เทศบาลเมืองศรีสะเกษได้พัฒนาเพื่อสร้างเป็น ศูนย์ประสานการท่องเที่ยวอีสานใต้ พัฒนาให้เป็นอ่างเก็บน้ำห้วยนำคำ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนออกกำลังกายและกิจกรรมทางน้ำของประชาชน
และสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา (เกาะห้วยน้ำคำหรือเกาะกลางน้ำ) เทศบาลเมืองศรีสะเกษ ได้จัดสร้างสวนเฉลิมพระเกียรติแห่งนี้ขึ้น บนเกาะกลางอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำคำ โดยมุ่งหวังให้เป็นสถานที่ออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่จัดงานลอยกระทงและงานรื่นเริงอื่นๆ รวมถึงการเป็นศูนย์การจัดประชุมและนิทรรศการอีกด้วย
ที่เกาะกลางน้ำก็มีมุมเช็คอินน์ถ่ายรูปสวยๆเก๋อีกด้วย
แต่เสียดายอาคารที่เป็นตึกหอคอยกำลังปรับปรุงอยู่ ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่ ดิฉันก็เลยไม่ได้เข้าไปชมด้านในเลยค่ะ
หลังจากที่ไดัแวะไปชมสวนกลางน้ำที่ห้วยน้ำคำแล้ว ดิฉันก็เดินทางขับรถมอเตอร์ไซต์มาคืนที่ร้านเช่าในสถานีขนส่ง เพื่อรอเพื่อนสาวจากกันทรลักษ์มารับเดินทางไปพักค้างแรมด้วย
ระหว่างนั้นก็เลยเดินทางกลับเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม และทานอาหารมื้อเที่ยงควบคู่มื้อเย็นไปด้วยซ่ะเลย
รอเพื่อนสาวอยู่ที่โรงแรมไม่นานนัก นางก็ขับราชรถมาเกยดิฉันถึงที่พักเลยค่ะ
รอเพื่อนสาวอยู่ที่โรงแรมไม่นานนัก นางก็ขับราชรถมาเกยดิฉันถึงที่พักเลย โดยนางจะเป็นไกด์นำพาดิฉันไปเที่ยวยังแดนดินถิ่นปลูกทุเรียนภูเขาไฟแห่งนี้ต่อค่ะ
 ขับรถจากเมืองศรีสะเกษมายังกันทรลักษ์ประมาณ 60 กิโลเมตร มาถึงนางก็พาดิฉันไปกราบไหว้ศาลหลักเมืองในตัวอำเภอก่อนเลย
นางพาดิฉันขับรถวนเวียนไปดูสวนทุเรียนดินภูเขาไฟ แต่เสียดาย ไม่มีทุเรียนให้ทานสักลูก เพราะหมดฤดูกาลแล้วจ้า
 จากนั้นก็พาดิฉันไปดูสวนทุเรียนภูเขาไฟ ว่ากันว่าเป็นจุดท่องเที่ยวมีชื่อเสียงแห่งใหม่ในฤดูกาลผลไม้ช่วงเดือน มิ.ย. ถึง เดือน ก.ย. แต่เสียดายที่ดิฉันมาช้าไป นางบอกว่าช่วงนี้หมดฤดูผลไม้ ไม่มีทุเรียนให้กินแล้ว
 ระหว่างทางขับไปที่บ้าน ก็ผ่านป่าสวนยางนับพันๆต้นน่าจะได้
 ออกจากสวนยางมาก็มาเจอภูดินแดง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกทุเรียนภูเขาไฟ
 ออกจากสวนยางมาก็มาเจอภูดินแดง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกทุเรียนภูเขาไฟ
 ขับมาอีกหน่อยก็เจอสวนทุเรียนดินภูเขาไฟอันมีชื่อเสียงหลากหลายร้อยต้นทีเดียวค่ะ ถ้าอยากทานทุเรียนที่นี่ คงต้องรอปีหน้าเลยนะคะ ช่วงนี้ใครอยากทานทุเรียนภูเขาไฟ ก็ทานทุเรียนกวนไปก่อนล่ะกัน
เช้านี้เพื่อนสาวพาดิฉันตื่นแต่เช้าตรู่ ตั้งแต่ตี 5 ออกจากบ้านของนางเพื่อเดินทางชมทะเลหมอกที่ผามออีแดง
 เริ่มต้นเช้าวันใหม่ในจังหวัดศรีสะเกษ
 เช้านี้เพื่อนสาวพาดิฉันตื่นแต่เช้าตรู่ ตั้งแต่ตี 5 ออกจากบ้านของนางเพื่อเดินทางชมทะเลหมอกที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดอีกแห่งในจังหวัดศรีสะเกษ
ชมพระอาทิตย์ยามเช้าที่ผามออีแดง กับอากาศเย็นๆ ลมพัดเย็นสบาย งามพร่างพรายยิ่งนักเชียวค่ะ
 ออกจากบ้านเพื่อนสาวมาตอนตี 5 มาถึงกันทันช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นพอดีเลยค่ะ ส่วนอากาศตอนเช้าที่นี้เย็นเล็กน้อย ไม่ถึงกับเย็นหรือหนาวมากค่ะ
พระอาทิตย์ค่อยๆเลื่อนจากหมู่ก้อนเมฆทะยานสู่ท้องฟ้า เปล่งประกายเป็นสีทองเรืองรอง ผุดผ่องเป็นยองใย งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนยิ่งนักแล
 รับแสงทอสาดส่องเป็นสีทองจากผามออีแดง ก็สวยร้อนแรงไม่เบาทีเดียว พระอาทิตย์ค่อยๆเลื่อนจากหมู่ก้อนเมฆทะยานสู่ท้องฟ้า เปล่งประกายเป็นสีทองเรืองรอง ผุดผ่องเป็นยองใย งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนยิ่งนักแล
และถึงแม้จะไม่มีทะเลหมอกให้เห็นเป็นสีขาวนวลก็ตาม แต่บรรยากาศการมารับพระอาทิตย์ขึ้นเป็นแสงสีทองผุดผ่องเป็นยองใยแบบนี้ ก็งดงามชื่นฤดีไม่น้อยทีเดียวค่ะ
 สาระน่ารู้เกี่ยวกับผามอีแดง
 สาระน่ารู้เกี่ยวกับผามอีแดง

ผามออีแดง ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับทางเดินขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร เป็นหน้าผาสูงชันกั้นเขตแดนประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา โดยตลอดแนวผามออีแดงมีระยะประมาณ 300 เมตร เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพของแผ่นดินประเทศกัมพูชาที่อยู่ต่ำลงไปอย่างเป็นมุมกว้าง มีฝูงค้างคาวในยามพระอาทิตย์ตกดิน บริเวณใกล้เคียงมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ชมโบราณสถานสถูปคู่รูปทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ส่วนบนกลมข้างในเป็นโพรง สำหรับบรรจุสิ่งของสร้างด้วยหินทรายแดง ขนาดกว้าง 1.93 เมตร ยาว 4.2 เมตร ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์
เครดิตข้อมูลจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/ผามออีแดง
บรรยากาศยามเช้า ไร้ทะเลหมอกให้เห็น
 แต่ก็มีลมพัดเย็นๆ อากาศดีไม่น้อยทีเดียวค่ะ
 มุมนี้เป็นลานรับแสงตะวัน หรือจุดชมทะเลหมอกที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมาที่สุด
ภาพแกะสลักนูนต่ำเป็นภาพคน 3 คน ในเครื่องแต่งกายแบบชาวกัมพูชา สร้างขึ้นก่อนปราสาทเขาพระวิหาร ราวกลางศตวรรษที่ 11 อายุประมาณ 1,500 ปี
 และอีกหนึ่งไฮไลท์นอกจากเป็นจุดชมวิวสวยๆแล้ว บริเวณผามออีแดง มีภาพแกะสลักนูนต่ำเป็นภาพคน 3 คน ในเครื่องแต่งกายแบบชาวกัมพูชา สร้างขึ้นก่อนปราสาทเขาพระวิหาร ราวกลางศตวรรษที่ 11 อายุประมาณ 1,500 ปี มีโบราณวัตถุ (พระพุทธรูปนาคปรก) บริเวณจุดสูงสุดของผามออีแดงสามารถมองเห็นทัศนียภาพของปราสาทเขาพระวิหารได้อย่างชัดเจน
 มองจากเนินเสาธงไปก็เป็นปราสาทเขาพระวิหาร
น้องลิงที่ผามอีแดง กำลังยืนรอดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
 และที่พบมากบริเวณผามอีแดง ก็คงเป็นน้องลิงเจี๊ยกมากมาย โดยเฉพาะในช่วงเช้าตรู่จะออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวและยืนรอรับแสงตะวันสีทองเช่นกัน
รูปภาพสลักนูนต่ำผามออีแดง
จบทริปเที่ยวภาคอีสานใต้ เดินทางกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
หลังจากที่เพื่อนสาวคนสวยรวยเสน่ห์ พาดิฉันไปดูวิวทิวทัศน์ที่ผามออีแดงจนเต็มอิ่มแล้ว ก็มาส่งดิฉันที่สถานีขนส่งกันทรลักษ์ เพื่อนั่งรถบัสโดยสารรอบกลางวันกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบทริปท่องเที่ยวแดนดินถิ่นอีสานใต้อย่างคุ้มค่า ช่ะช่ะช่าหัวใจ

หากเพื่อนๆคนใหนที่กำลังวางแผนมาเที่ยวอีสาน และปักหมุดมาเที่ยวดินแดนอีสานใต้ดูสักครั้งนะคะ เพราะไล่มาตั้งแต่โคราช บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ เมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม มีวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม รวมทั้งโบราณสถานมากมายให้แวะไปชมอย่างน่าอภิรมย์สมใจ  นอกจากนี้ยังมีอาหารรสชาติอร่อยๆ แถมโรงแรม ที่พักก็ราคาแสนถูก ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการเดินทางและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นให้ชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้ ทำให้เศรษฐกิจในแถบนี้คึกคักอีกด้วย

สรุปค่าใช้จ่ายในทริปท่องอีสานใต้ 6 วัน 5 คืน

1.โคราช
ค่าเดินทางกรุงเทพโดยรถบัสโดยสารประจำทาง 191 บาท
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์วันละ 300 บาท
ค่าโรงแรมที่พักค้างในตัวเมืองโคราชคืนละ 1263 บาทรวมอาหารเช้า
ค่าธรรมเนียมเข้าชมปราสาทหินพิมาย 20 บาท
 
2.บุรีรัมย์
ค่าเดินทางด้วยรถตู้จากเมืองโคราช-บุรีรัมย์ 91 บาท
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์วันละ 350 บาท
ค่าที่พักในเมืองบุรีรัมย์คืนละ 917 บาท รวมอาหารเช้า
ค่าธรรมเนียมเข้าชมปราสาทพนมรุ้ง-เมืองต่ำ 30 บาท

3.สุรินทร์
ค่าเดินทางด้วยรถบัสโดยสารจากบุรีรัมย์-สุรินทร์ 45 บาท
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์วันละ 300 บาท
ค่าที่พักค้างแรม คืนละ 400 บาทไม่รวมอาหาร
ค่าธรรมเนียมเข้าชมการแสดงช้าง 50 บาท 

4.ศรีสะเกษ
ค่าเดินทางด้วยรถตู้จากเมืองสุรินทร์-ศรีสะเกษ 70 บาท
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์วันละ 400 บาท
ค่าที่พักค้างแรมในตัวเมืองคืนละ 404 บาทไม่รวมอาหาร
ค่าธรรมเนียมเข้าไปในอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร 40 บาท
ค่ารถโดยสารเดินทางกลับกันทรลักษ์-กรุงเทพฯ 421 บาท

-ค่าอาหารการกินจิปาถะทั้ง 4 เมืองรวม 1,865 บาท
รวมค่าเสียหายใช้จ่ายทริปเที่ยวอีสานใต้ทั้งหมด = 7,157 บาท
ไม่รวมค่าซื้อของฝากและทำบุญ

สำหรับทริปรีวิวแบกเป้เที่ยวอีสานใต้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รีวิวดังกล่าวน่าจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย และอยากชักชวนเพื่อนแวะมาเที่ยวอีสานใต้กันนะคะ รับรองว่าประทับจิตติดตราตรึงถึงทรวงในอย่างแน่นอนค่ะ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่เสียสละเวลา คลิ๊กเข้ามาสไลด์ดูกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกในเว็ปบล็อกถัดไปนะคะ....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
-------------------------------------------------------------
แนะนำบทความอื่นๆ และรีวิวท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อยตามเมืองต่างๆที่ผ่านมา มีดังนี้จ้า
งามเด็ด 7 ที่เที่ยวในเมืองศรีสะเกษ แวะมาเบิ่งเนตรดูกันได้เลยเด้อ คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
แนะนำ 7 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองศรีสะเกษสุดน่าสนใจ แวะไปเบิ่งกันได้เลยเด้อ คลิ๊กดูข้อมูลที่เที่ยวจ้า>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ไปถ่ายรูปวิวสวยงาม คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
มาเด้อมาเที่ยวเมืองขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ขับรถไปถ่ายรูปชมวิวต่างๆ มีที่ใหนเช็คอินบ้าง ตามไปเที่ยวกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>

มาม๊ะ..มารีวิวเที่ยวเมืองนครสวรรค์ใน 1 วัน ยลสุขสันต์เมืองชุมทางสี่แคว คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวนครสวรรค์ ยลสุขสันต์เมืองสี่แคว งามจริงแท้ยอดเขาคีรีวง ชมอาทิตย์อัสดง งามเริ่ดสะแมนแตคลิ๊กดูภาพรีวิวและที่เที่ยวค่ะ>>
มาม๊ะ..แวะมาเที่ยวเมืองสุรินทร์ ชมถิ่นช้างใหญ่ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวท่องอีสานใต้ตอนที่ 3 มาม๊ะ..มาเที่ยวสุรินทร์ ไม่ต้องกินสุรา แวะไปดูช้าง ดูชาวบ้านทอผ้า สวยระย้านาข้าวหอมมะลิ กำลังผลิบาน ร้าวรานจับใจ คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวเลยจ้า>>>
รีวิวแบกเป้ลุยเดี่ยว เช่ารถมอเตอร์ไซต์เที่ยวในบุรีรัมย์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวท่องอีสานใต้ตอนที่ 2 มาเด้อเที่ยวเมืองบุรีรัมย์ เยือนถิ่นปราสาทหินเก่าแก่ แลภูเขาไฟ งามไฉไลเมืองกีฬาฟุตบอล แวะมาออนซอนกันได้เลย คลิ๊กดูรีวิวภาพที่เที่ยวจ้า>>>
แบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวเมืองโคราช กินหมี่รสชาติแซ่บๆกันจ้า คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวท่องอีสานใต้ตอนที่ 1 มาเด้อ..มาเที่ยวเมืองโคราช กินหมี่รสแซ่บอีหลี แสนสุขขีแวะทำบุญสุนทาน ร้าวรานจับใจ แวะมาเที่ยวกันนะคะ คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวจ้า>>>
ต้องแวะมา 6 ชายหาดยอดนิยมในชุมพร ที่ต้องแวะไปอรชรกันสักครั้ง>>
ต้องแวะมา 6 ชายหาดยอดนิยมในชุมพร ที่สวยงามอรชรตลอดกาล มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลย คลิ๊กดูข้อมูลที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวหลังสวน ลิ้มลองทุเรียนจากสวนหวานฉ่ำ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวหลังสวน แวะเยือนเมืองผลไม้ เมืองนี้มีอะไรให้เที่ยวชมบ้างนะ คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางค่ะ>>
รีวิวตอนที่ 21 ลุยเดี่ยวไปเที่ยวเนเปิล-เมืองมรณะปอมเปอี คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวตอนที่ 21 แบกเป้ลุยเดี่ยวไปเที่ยวซากเมืองมรณะปอมเปอี เมืองนี้ไงที่โดนระเบิดภูเขาไฟฝั่งคนไว้ทั้งเป็น ต้องแวะให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง คลิ๊กดูรายเอียดรีวิวค่ะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2oiNldZ
รีวิวตอนที่ 20 เที่ยวกรุงโรม ไปจู่โจมอาณาจักรโรมันสักครั้งสิ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวตอนที่ 20 แบกเป้เที่ยวกรุงโรม แวะไปจู่โจมอาณาจักรโรมัน มีที่เที่ยวอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยจ้า คลิ๊กดูภาพรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2BI8ckL
รีวิวตอนที่ 18 แบกเป้ลุยเดี่ยวเมืองเวนิชครั้งแรก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 18 เที่ยวเมืองเวนิช นอนแนบชิดติดริมน้ำ เดินตามหาของกินอร่อยในซอกซอยเล็กๆ คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางค่ะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2KQvnsh
รีวิวตอนที่ 17 แบกเป้ไปเที่ยวเมืองมิลาน มีอะไรให้ชมบ้างนะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ขยันลุยเดี่ยว ตอนที่ 17 นั่งรถไฟข้ามพรมแดนมาเริ่ดสะแมนแตนที่เมืองมิลาน มาดูมีที่เที่ยวใหนให้ยลตระการบ้าง คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2AWC1xk
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 16 ไปเดินลั๊ลลาไปชมน้ำตกไรน์-ซูริค คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้ลุยเดี่ยว ตอนที่ 16 มาเดินชิคๆชมวิวเมืองซูริค นั่งรถไฟกุ๊กกิ๊กไปดูน้ำตกไรน์ น้ำใสสวยสด งดงามอร่ามตา คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2MiG5cz
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 13 วิธีการเดินทางไปจุงเฟราด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
แบกเป้เที่ยวยุโรป ตอนที่ 13 แบ่งปันรีวิววิธีการเดินทางไปพิชิตเขาจุงเฟราด้วยตัวเองมาฝากจ้า คลิ๊กดูภาพรีวิวการเดินทางคะ>>>
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2LHckBV

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น