และการไปเยือนพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งนี้ ก็เหมือนได้เปิดไทม์ แมชชีน เปิดประตูย้อนเวลา เข้าไปในอดีตวันวานอีกด้วย ดิฉันจำได้ว่า เคยมาชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เมื่อหลายสิบที่แล้ว จนจำ พ.ศ.ไม่ได้แล้วล่ะค่ะว่ามาปีใหน ถ้าบอก พ.ศ.ไป เดี๊ยนต้องแก่เป็นคุณป้าแน่นอน เอาเป็นว่า เพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอพาคุณผู้อ่านที่ยังไม่เคยไปเยือนชม ยลตระการพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้ชมกันเลย เผื่อใครที่คิดจะมาเที่ยวกรุงเทพ และไหว้พระที่วัดพระแก้ว ต่อไปก็ต้องไม่กังวลใจเรื่องรถติดแล้วล่ะค่ะ เพราะมีรถไฟฟ้าใต้ดินบริการมาถึงย่านเมืองเก่าใกล้ๆ สนามหลวง วัดพระแก้วเลย เรียกว่าสะดวกสุดๆ
เริ่มต้นการเดินทางวันนี้ แม้จะเป็นวันหยุด กว่าจะได้เดินทางออกจากที่พัก ก็ปาไปตอนเที่ยงกว่าเลยค่ะ นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินลงที่สถานีสนามไชย งามวิไลเริ่ดสะแมนแตน |
ส่วนการเดินทางมายังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานีรถไฟ สนามไชยได้เลย
ทางออกประตู 1 มิวเซียม สยาม
ป้ายบอกเส้นทางในสถานีรถไฟไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ
วัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง วัดโพธิ์
เดินขึ้นบันใดเลื่อนทางออกประตู 1 มาก็จะเห็นอาคารด้านหน้า พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามเลยค่ะ อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ในกรุงเทพที่น่าสนใจไม่น้อย
จากนั้นก็เดินตามทางเดินฟุตบาทตรงไปเรื่อยๆ หากใครไม่อยากเดินเท้าไปสนามหลวง นั่งรถเมลล์สาย 53 ไปได้ |
และหากใครไม่อยากเดินเท้าไปสนามหลวง พิพิธฑสถานแห่งชาติ ก็สามารถนั่งรถเมลล์สาย 53 ไปได้นะคะ โดยไปขึ้นที่ป้ายรถเมลล์หน้าตำหนักจักรพงษ์ อยู่ตรงข้ามกับ รร.ตั้งตรงจิตรพณิชยการก็ได้ ค่าโดยสาร 8 บาท
แต่ถ้าใครขึ้เกียจรอรถเมลล์ ก็เดินออกกำลังกายไปเลยก็ได้ เพราะบางวันรถติดหนัก รถเมลล์สีแดงกว่าจะมาจอดที่ป้าย เราอาจเดินไปถึงที่หมายก่อนก็ได้
แต่วันที่ไป รถติดมากๆ เดี๊ยนเลยตัดสินใจเดินไปดีกว่าค่ะ ถือว่าออกกำลังกายไปในตัวละกัน ประมาณ 1.8 กิโลเมตร เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวก็เดินเท้ากันไป ฝนตกลงมาปรอยๆ เย็นฉ่ำกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว
สองเท้า ก้าวเดินจากสถานีรถไฟใต้ดิน MRT สถานีสนามไชย มาเรื่อยๆก็ถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ |
National Museum Bangkok แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นไทย มีของเก่าแก่แท้ให้ชม อย่างน่าภิรมย์ใจ |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
ตั้งอยู่บริเวณ “พระราชวังบวรสถานมงคล” หรือ “วังหน้า” เป็นที่ประทับในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล วังหน้าหรือพระมหาอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2325 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1 ขอบเขตพระราชวังเมื่อแรงสร้างอยู่ระหว่างถนนพระจันทร์ถึงพนนราชินี บริเวณเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า และริมแม่น้ำเจ้าพระยาถึงถนนราชดำเนินใน ซึ่งเคยครอบคลุมพื้นที่สนามหลวงฝั่งเหนือ ปัจจุบันกำแพงพระราชวังเหลือเพียงกำแพงด้านทิศใต้ซึ่งเป็นกำแพงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และในคราวเดียวกับพระบรมมหาราชวัง พระราชวังแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชถึง 5 พระองค์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช พระราชวังแห่งนี้จึงว่างลง จึงโปรดเกล้าฯให้ “มิวเซียมหลวง” ณ ศาลาสหทัยสมาคมหรือหอคองคอเดีย ในพระบรมมหาราชวังมาตั้งแสดง
ต่อมาในรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรสถานมงคลทั้งหมด จัดเป็นพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนคร ทั้งรวบรวมศิลาจารึก คัมภีร์ใบลาน สมุดไทย ตำราโบราณมาจัดแสดงที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานในฐานะหอพระสมุดวชิรญาณ โดยสมเด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพิพิภัณฑสถานพระนคร เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2469
ค่าธรรมเนียมเข้าชม คนไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท เปิดให้ชมทุกวัน พุธ-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 8.30-16.00 น. |
คนไทย 30 บาท
ชาวต่างชาติ 200 บาท
ยกเว้นค่าเข้าชม เด็ก นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พระสงฆ์ สมาชิก ICOM และ ICOMOS ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม
พิพิธภัณฑ์เปิดให้ชมทุกวัน พุธ-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 8.30-16.00 น.
ยกเว้นค่าเข้าชม เด็ก นักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พระสงฆ์ สมาชิก ICOM และ ICOMOS ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม |
ไปรับบัตรจำนวนผู้เข้าชมแต่ละรอบด้วยนะคะ สำหรับคนที่จะเข้าชมห้องจัดแสดงในอาคารพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน |
ฝากของที่ห้อง Deposit Room |
ส่วนใครที่นำกระเป๋าเป้หรือของมีค่า ก็นำไปฝากไว้ที่จุดรับฝากได้เลยค่ะ
ข้อพึงปฎิบัติในการเ้าชมนิทรรศการพิเศษ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ |
ข้อพึงปฎิบัติในการเ้าชมนิทรรศการพิเศษ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
- ห้ามนำกระเป๋าขนาดใหญ่เข้าห้องจัดแสดง
- กระเป๋าใบเล็กที่นำติดตัวเข้าไปต้องผ่านการตรวจทุกใบ
- ห้ามนำไปแช็กและวัตถุที่ก่อให้เกิดประกายไฟเข้าห้องจัดแสดง
- ห้ามนำมีดพกและวัตถุมีคมเข้าห้องจัดแสดง
- ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดเข้าห้องจัดแสดง
- ถ่ายภาพนิ่งด้วยกล้องมือถือเท่านั้น
- ห้ามถ่ายภาพเคลื่อนไหวทุกชนิด งดเซลฟี่ งดแฟลซ และไม้เซลฟี่
- การเช้าชมนิทรรศการพิเศษจะได้รับการจัดสรรเป็นรอบ
- ผู้เข้าชมต้องผ่านการตรวจอาวุธและพึงรับฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่
รูปภาพแสดงหมายเลขชื่ออาคารต่างๆในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติให้ผู้สนใจเข้าไปชมและเรียนรู้ |
1.พระที่นั่งศิวโมขพิมาน ห้องจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ
2.พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ สถาปัตยกรรมวังหน้า ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์
3.พระตำหนักแดง คือที่ประทับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งทรงพระเยาว์
4.อาคารมหาสุรสิงหนาท แสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์โบราณคดีก่อนพุทธศตวรรษที่ 18
5.อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ แสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์โบราณคดีหลังพุทธศตวรรษที่ 18
6.อาคารหมู่พระวิมาน นิทรรศการแสดงข้าวของเครื่องใช้ในสำนักพระราชวังหลวง และศิลปะไทยประเพณี
7.พระที่นั่งอิศเรศราชนุสรณ์ ที่ประทับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
8.เก๋งนุกิจราชบริหาร ภาพจิตรกรรมฝาผนังจีน ห้องสิน
9.หอพระอนุสรณ์เจ้าพระยายมราช
10.โรงราชรถ จัดแสดงพระราชยานในงานพระเมรุ พระเมรุมาศ
11.พระที่นั่งมังคลาภิเษก
12.ศาลาสำราญมุขมาตย์ สถาปัตยกรรมไทยอันวิจิตรตระการตา
13.ศาลาลงสรง สถาปัตยกรรมวังหน้า
สำหรับรูปภาพที่ถ่ายมานี้ ก็มาจากมือถือเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ภาพอาจจะไม่ค่อยชัด หรือเบลอๆไปบ้าง ต้องขออภัยด้วยนะคะ |
นั่่งรถคิวไม่นานนักประมาณ 20 กว่านาที ก็เชิญเข้าไปชมด้านในอาคาร พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน จัดแสดงนิทรรศการพิเศษ จิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งนำโบราณวัตถุจากเมืองซีอานประเทศจีนมาจัดแสดง ให้ผู้สนใจเข้าชม
ซึ่งได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไม่น้อย จนต้องต่อคิวกันเข้าเลยทีเดียวค่ะ
อายุนามนับสองพันปีของโบราณวัตถุรูปปั่นหุ่นทหาร ที่ยืนเรียงนับร้อย กลายเป็นภาพติดตา ที่ใครๆก็ต้องอยากไปชมสักครั้ง |
ความเก่าแก่อายุนามนับสองพันปีของโบราณวัตถุรูปปั่นหุ่นทหาร ที่ยืนเรียงนับร้อย กลายเป็นภาพติดตา ที่ใครๆก็ต้องอยากไปชมสักครั้ง และแน่นอนว่าตอนนี้ ก็ไม่ต้องบินไปชมไกลถึงเมืองซีอานประเทศจีน พิพิธภัณฑ์สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี
แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน รวบรวมโบราณวัตถุสำคัญ จำนวน 86 รายการ (จำนวน
133 ชิ้น) มีอายุกว่า 2,000 ปี จากพิพิธภัณฑ์ชั้นนำ 14 แห่ง ในประเทศจีน มาจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ ณ พระที่นั่งศิวโมขพิมาน แห่งนี้ เปิดให้ชมนาน 3 เดือน ก่อนจะนำกลับไปเมืองจีนเหมือนเดิม
จัดแสดงพัฒนาการก่อนการรวมชาติ ในบริบทประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์ไทย |
ภายในห้องจัดแสดงวัตถุโบราณ มีกระจกกันขโมยอย่างดี หากไปสัมผัสหรือจับต้องเข้า จะมีเสียงกรีดกริ่งร้องระงมไปทั่ว ดังยิ่งกว่าเสียงจิ้งหรีดซ่ะอีก หากใครที่เข้ามาชมอย่าได้จับต้องเชียวล่ะค่ะ
สมัยจ้านกว่อ ประเทศจีนประกอบด้วยแคว้นเล็ก แคว้นน้อยที่แบ่งแยกการปกครองเอกเทศ จากภาพเป็นชิ้นส่วนข้อต่อโครงสร้าง |
ตามภาพถ่ายจากมือถือ เป็นชิ้นส่วนข้อต่อโครงสร้าง ใช้ยึดโยงตัวโครงสร้างไม้ให้มั่นคง
วัสดุเป็นสำริด
ยืนมาจาก พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มณฑลส่านซี
อายุสมัยซุนชิว (227 ปีก่อนเกิด พ.ศ.- พ.ศ.68)
เหอ เป็นภาชนะมีพวยกาประดับลวดลายคดโค้ง ใช้สำหรับบรรจุเหล้า |
ติ่ง ภาชนะในพิธีกรรม |
ภาชนะประเภทนี้ใช้สำหรับบรรจุอาหารเพื่อใช้ในการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
วัสดุ สำริด
ยืนมาจาก พิพิธภัณฑ์หล่งเสียน
อายุสมัยซุนชิว (227 ปีก่อนเกิด พ.ศ.- พ.ศ.68)
ลูกต้มน้ำหนัก 30 จิน วัสดุทำจากสำริด |
วัสดุเป็นสำริด
ยืนมาจาก พิพิธภัณฑ์มณฑลส่านซี
อายุสมัยราชวงศ์ฉิน (พ.ศ.323-338)
โซนจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีนกับกองทัพทหารดินเผา |
แสดงโบราณวัตถุสำคัญจากสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี เช่นหุ่นทหาร และม้าดินเผา เสื้อเกราะ อาวุธสำริด และรถม้าสำริด |
ส่วนประกอบเป็นทองคำและเงิน |
ส่วนประกอบเป็นทองคำและเงิน อายุสมัย ราชวงศ์เฉิน พ.ศ.323-328 ราวประมาณ 2,240 ปีมาแล้ว |
ยืนมาจาก พิพิธภัณฑ์สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี
อายุสมัย ราชวงศ์เฉิน พ.ศ.323-328
มีอายุราวประมาณ 2,240 ปีมาแล้ว
หลังจากชาวนาคนหนึ่งได้ขุดค้นพบทหารดินเผา นับเป็นการค้นพบทางโบราณคดีครั้งสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20 |
เสื้อแกราะสำริดโบราณของทหารถูกฝั่งเก็บไว้ มีสภาพสมบูรณ์ อายุนานนับ 2,000 ปี |
พบสุสานบริวารของเจ้าชาย เจาหญิง นางสนม ข้าราชการ คนงานสร้างสุสาน คอกสัตว์และรถม้าสำริดอีกด้วย ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ และกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อไปชมความยิ่งใหญ่ ของสุสานจิ๋นซีแห่งนี้
แผ่นทองคำมีตราประทับหรือตัวหนังสือปรากฎด้านบน ใช้สำหรับเป็นของกำนัล |
แผ่นทองคำมีตราประทับหรือตัวหนังสือปรากฎด้านบน ใช้สำหรับเป็นของกำนัล
วัสดุเป็นทองคำ
ยืมมาจาก พิพิธภัณฑ์ซีอาน
ตุ๊กตาหญิงรับใช้ ใส่เสื้อหลายชั้น แขกกว้าง ซึ่งแสดงถึงการแต่งกายในราชสำนักในยุคนั้น |
วัสดุเป็นดินเผาเขียนสี
ยืมมาจาก พิพิธัภัณฑ์หยางหลิน
อายุสมัยราชวงศ์ฮั่น ตะวันตก พ.ศ.338 -552
ประติมากรรมบุคคล |
ประติมากรรมบุคคล
รูปปั้นทหารในสมัยนั้น
ตุ๊กตารูปสัตว์
ประตูสุสานสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ มรดกทางวัฒนธรรมจากจักรพรรดิจิ๋นซีและราชวงศ์เฉิน ส่งต่อสู่ราชวงศ์ฮั่น ส่วนสุดท้ายของนิทรรศการ จัดแสดงโบราณวัตถุสุสานสมัยราชวงศ์ฮั่น |
ประตูสุสานสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ยังคงความงามของลวดลายไว้อย่างสมบูรณ์
มรดกทางวัฒนธรรมจากจักรพรรดิจิ๋นซีและราชวงศ์เฉิน ส่งต่อสู่ราชวงศ์ฮั่น ส่วนสุดท้ายของนิทรรศการ จัดแสดงโบราณวัตถุสุสานสมัยราชวงศ์ฮั่น และโบราณวัตถุที่บอกเล่าเรื่องราวประเพณี วิถีชีวิต ความรุ่งเรืองทางด้านวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง สังคม เกษตรกรรม และเทคโนโลยี ทางการทหาร ตลอดจนการค้า การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่าง ชาวจีนโบราณกับชาวต่างชาติบนเส้นทางสายแพรไหม สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคั่งทางเศรษฐกิจ นับเป็นยุคทองของงานศิลปกรรมและอารยธรรมของจีนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ยังมีโบราณวัตถุอื่นๆ อีกหลายชิ้นที่นำมาจัดแสดงให้ผู้สนใจได้เข้าชม โดยจัดแสดงในพระที่นั่งศิวโมกขพิมานนาน 3 เดือน ก่อนจะนำกลับสู่แผ่นดินจีนดั้งเดิม
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับพระที่นั่งพุทไธสวรรย์
เป็นพระที่นั่งภายในพระราชวังบวรสถานมงคล สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เดิมมีนามว่า พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เดิมสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทมีพระราชดำริให้สร้างขึ้นเพื่อทำการพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีตรุษสารท พระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกเธอ เป็นต้น หลังจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2330 พระองค์เสด็จไปยังเชียงใหม่ และไดัอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมา พระองค์จึงทรงพระราชอุทิศพระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์
เมื่อต่อมา สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ทรงเปลี่ยนนามพระที่นั่งองค์นี้ว่า พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ปัจจุบัน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (เครดิตข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/wiki/พระที่นั่งพุทไธสวรรย์)
ด้านในประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ องค์จริงจากสมัยอาณาจักรสุโขทัย ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ |
ภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบไทยแท้ งามยิ่งนักแลด้านในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ |
โดยภาพเขียนฝาผนัง แสดงเรื่องราวพุทธประวัติ ซึ่งมีทั้งหมด 32 ผนัง ยกตัวอย่างเช่น ผนังที่ 1 พระราชพิธีอภิเษกสมรสพระเจ้าสุทโธทนะ ไปจนถึงผนังที่ 32 แสดงการถวายพระเพลิง พระมหากัสสปะกราบพระยุคลบาทองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระตำหนักแดง เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ศาลาสำราญมุขมาตย์ สถาปัตยกรรมไทย งามวิไลเริ่ดสะแมนแตน |
ศาลาสำราญมุขมาตย์ สถาปัตยกรรมไทยอันงดงามวิจิตรตระการตา |
โซนแสดงนิทรรศการนครรัฐไทยบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ |
จากรัฐโบราณสู่บ้านเมืองไทย ภาพอาจเบลอๆ ไม่ค่อยชัด เนื่องจากถ่ายจากล้องมือถือค่ะ From The Ancient States to The Thai Kingdom |
แผ่นดินไทยเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสุวรรณภูมิ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ตอนล่างเป็นคาบสมุทรเปิดสู่ทะเลจีนใต้ทางภาคตะวันออก และออกสู่มหาสมุทรอินเดีย ทางภาคตะวันตก เป็นจุดภูมิศาสตร์สำคัญทางการค้าโบราณ ระหว่างโลกตะวันออกและโลกตะวันตก มีผู้คนหลากหลายภาษา เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเจริญด้านต่างๆ และวัฒนธรรม จนชุมชนก่อนประวัติศาสตร์พัฒนาขึ้นเป็นเมือง และรัฐสมัยต้นประวัติศาสตร์ โดยรัฐแรกที่สำคัญ เช่น ทวารวดี และลวปุระหรือลพบุรีในภาคกลาง เจนละและศรีจนาศะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศรีวิชัยในภาคใต้ และหริภูญชัยในภาคเหนือ
เวลาต่อมา เมื่อรัฐโบราณข้างต้น และอาณาจักรใกล้เคียง เช่น กัมพูชา พุกาม เสื่อมอำนาจลง ประกอบกับจีนเปลี่ยนนโยบายการค้า มาติดต่อกับเมืองน้อยใหญ่โดยตรง และสนับสนุนให้ผู้คนทางใต้ของจีนเข้ามาทำมาหากินในอุษาคเนย์ จึงเป็นปัจจุัยให้เกิดบ้านเมืองใหม่ๆ บนแผ่นดินไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ดั่งปรากฎในเอกสารจีน ศิลาจาริกจาม และเขมร เรียกกลุ่มเมือง หรือรัฐบนแผ่นดินนี้ว่า เสียน เสียม หรือสยาม กลุ่มบ้านเมืองเหล่านี้ ล้วนมีรากฐานมาจากความเจริญทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่มีมาก่อน กระจายอยู่ทุกภูมิภาค โดยมักตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำสายหลัก ที่มีเส้นทางติดทะเล เติบโตด้วยการเป็นศูนย์กลางการค้า มีศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาท เป็นศาสนาหลัก กษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ แต่ไม่กีดกันศาสนาอื่น จนในที่สุดก็มีการผนึกเป็นอาณาจักรของชาวไทยอย่างแท้จริง หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า ราชอาณาจักรสยามในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อพุทธศตวรรษที่ 21 กระทั่งเป็นราชอาณาจักรไทย หรือประเทศไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 25 จวบจนถึงทุกวันนี้
ภายในจัดแสดงนิทรรศการความรู้ ความสำคัญต่างๆของแผ่นดินไทยไว้อย่างน่าสนใจ
พระที่นั่งของพระมหากษัตริย์ทไย
วัตถุสิ่งของมีค่าที่หาชมได้ยากมาจัดแสดงไว้
พระสุวรรณภิงคาร เป็นศิลปอยุธยา พบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ |
ดอกพิกุลทอง จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ศิลปสมัยรัตนโกสินทร์ |
บัลลังค์จำลองทองคำ พุทธศตวรรษที่ 22 ศิลปะล้านนา ได้มาจากการขุดค้นวัดเจดีย์สูง |
สร้างเครื่องราชนูปโภค ถวายเป็นพุทธบูชา
หนังสือกฎหมายตราสามดวง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กฎหมายโบราณที่ถูกตราและชำระขึ้นมาใหม่ในรัชกาลที่ 1
รถไฟจำลอง เป็นเครื่องราชบรรณาการจากสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียอังกฤษ |
นอกจากนี้ยังมีวัตถุโบราณต่างๆ นำมาจัดแสดงให้ชมในโซนดังกล่าวอีกมากมาย และได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้่งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาเรียนรู้และเดินชมไม่น้อย
นอกจากนี้ยังมีโซนอื่นๆอีก โดยมีป้ายบอกหมายเลขอาคารต่างๆไว้ด้วย
พระที่นั่งมังคลาภิเษก สถาปัตยกรรมวังหน้า |
ใกล้ๆกันเป็นโรงราชรถ จัดแสดงพระราชยานในงานพระเมรุ พระเมรุมาศ |
ซึ่งโรงราชรถก็เป็นอีกหนึ่งโซนที่รวบรวมสถาปัตยกรรมไทยไว้อย่างสวยงาม มีป้ายแสดงความรู้ให้ได้อ่าน และเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำอีกด้วย
เดินมาที่อาคารหมายเลข 5 เป็นอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ |
เป็นอาคาร 2 ชั้น เพิ่ม 2 หลัง เพื่อจัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่มีเพิ่มมากขึ้น เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาแก่ประชาชนโดยมีนาย ทิพา สังขวัฒนะเป็นผู้ออกแบบ ผู้จัดตั้งแสดงในห้องต่างๆ
ชั้นบนเป็นห้องจัดแสดงศิลปสมัยอยุธยา |
ชั้นบนเป็นห้องจัดแสดงศิลปสมัยอยุธยา
เป็ออีกโซนที่น่าสนใจ บ่งบอกประวัติศาสตร์ความเจริญรุ่งเรื่องในสมัยอยุธยาได้เป็นอย่างดี
เช่น ห้องจัดแสดงศิลปะวัตถุตู้โบราณและหีบต่างๆห้องจัดแสดงพระพุทธรูปโบราณสมัยอยุธยา พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ปางมารวิชัย อายุประมาณ 300 ปี ศิลปะอยุธยา
เศียรพระพุทธรูปสมัยอยุธยา ที่นำมาจัดแสดงให้ชม อย่างน่าอัศจรรย์ใจ |
ธรรมสาสน์ ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 23 ได้มาจากวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี |
รูปหล่อสำริดโบราณต่างๆ
เดินลงมาด้านล่างเป็นห้องจัดแสดงโบราณวัตถุสมัยรัตนโกสินทร์
ห้องจัดแสดงโบราณวัตถุสมัยรัตนโกสินทร์ |
เจดีย์จำลอง ศิลปะรัตนโกสินทร์ มีลักษณะพิเศษคือ การทำทุกส่วนอยู่ในผังย่อมุม ตั้งแต่ฐานไปจนถึงบัลลังค์ |
ตู้พระธรรมขาหมู จำหลักลายเซี่ยวกางยืนเงื้อศาสตรบนสิงห์โตและเวชสันดรชาดก |
เศียรหุ่นหลวง ตัวพระ ตัวนาง ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 24 อายุประมาณ 200 ปีมาแล้ว |
เป็นไม้เขียนสี ทองคำ ประดับกระจก โดยกรมพิณพาทย์และโขนหลวงส่งมาให้เมื่อปี พ.ศ.2469 สำหรับหุ่นหลวงหรือหุ่นใหญ่ นิยมสร้างขนาดความสูงจากระดับศรีษะถึงปลายเท้า ตั้งแต่ 85-110 เซนติเมตร มีลำตัว แขน แขน และแต่งตัวเช่นเดียวกับละคร
และตรงข้ามอาคารประพาธพิพิธภัณฑ์ ก็เป็นโซนแสดงนิทรรศการหมายเลข 6 อาคารหมู่วิมาน
614 เป็นห้องจัดแสดงเครื่องสัตราวุธโบราณ |
จุดเด่นในห้องนี้นอกจากเครื่องอาวุธโบราณต่างๆแล้ว คงเป็นเป็นช้างตัวใหญ่ ซึ่งเป็นคชยุทธ์ ช้างพาหนะสำคัญในการสงคราม โดยเหล่าขุนศึกผู้ควบคุมช้าง จะจัดกระบวนทัพช้างเป็นแถว ตามหลักพิชัยสงคราม โดยมีแม่ทัพที่ประทับบนคอช้างศึก เป็นผู้นำออกคำสั่งผ่านการให้อาณัติสัญญาณบนสัปคับหลังช้าง สำหรับช้างที่ใช้ออกศึก จะผ่านพิธีกรรมลงยันต์ ตามตัวเพื่อให้หนังเหนียวและมีความศักดิ์สิทธิ์
ถัดมาก็เป็นห้องมุกกระสัน จัดแสดงเครื่องใช้มุกต่างๆในราชสำนักวังหลวง
มีด้านบนให้ขึ้นไปชมได้อีกด้วย
ด้านบนเป็นพระที่นั่งอุตราภิมุข แสดงอิสริยพัตราภูษาภัณฑ์ต่างๆให้ได้ชมและเรียนรู้อีกด้วย
ถัดจากห้องมุขกระสัน ก็เป็นห้องจัดแสดงพระภูษา ฉลองพระองค์ หรือเสื้อผ้าของพระมหาษัตริย์ไทย
ชุดไทยในพระราชสำนัก
614 เป็นห้องจัดแสดงเครื่องสัตราวุธโบราณ |
เครื่องสัปคับก็คือ ที่นั่งบนหลังช้าง |
ห้องจัดแสดงเครื่องถ้วยในพระราชสำนัก ที่พระที่นั่งวสันตพิมาน อยู่ด้านล่าง |
ที่พระที่นั่งวสันตพิมาน อยู่ด้านล่าง
ห้องจัดแสดงเครื่องที่ประทับในวังหลวง |
อยู่ด้านบนของ พระที่นั่งวสันตพิมาน
พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข จัดแสดงเครื่องโลหะศิลป์ |
ก็เป็นพระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข จัดแสดงเครื่องโลหะศิลป์
ก็คือห้องแสดงดนตรีไทยในวังหลวงแบบต่างๆ
รวมทั้งจัดแสดงหัวโขน เครื่องแต่งกายของโขน ให้ผู้ที่สนใจได้ชมและได้รับความรู้ในโซนนี้ด้วย
เวลา 4 โมงเย็น ก็หมดเวลาการเข้าชมของพิพิธภัณฑ์แล้วค่ะ |
ถือเป็นอีกหนึ่งศูนย์เรียนรู้อันทรงคุณค่าที่สุดอีกแห่งขอเมืองไทย เพราะรวบรวมประวัติศาสตร์ความเป็นมา โบราณวัตถุ และศิลปะวัตถุไว้อย่างดี หากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนใหน ยังไม่เคยมาเยี่ยมชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ก็แวะมาออนซอน เดินเทียวชมและศึกษาหาความรู้กันนะคะ รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ แถมตอนนี้ เดินทางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องรถติดอีกแล้ว เพราะมีรถไฟฟ้าใต้ดินบริการมาจนถึงย่านท่องเที่ยวเมืองเก่าอีกด้วย แวะมาเที่ยวกันเยอะนะคะ
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่าเดินทางรถไฟฟ้าใต้ดินไปกลับ เที่ยวละ 42 บาท รวม 84 บาทไปกลับ
ค่ารถเมลล์โดยสารขากลับ สาย 53 ไปลงป้ายหน้า รร.ตั้่งตรงจิต 8 บาท
ค่าธรรมเนียมเข้าชม 30 บาท
รวมทั้งหมด 122 บาท
สำหรับรีวิวทริปเที่ยวพาชมพิพิพิธภัณฑ์ในบทความนี้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ หากผิดพลาดสิ่งใด ต้องขออภัยด้วยนะคะ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกๆท่านที่เสียสละเวลา เข้ามาสไลด์เลื่อนชมกัน หวังว่าะจะได้พบกันอีกในเว็ปบล็อกถัดไป....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
------------------------------------------------------------------------
บทความบล็อกอื่นๆ มีดังนี้
7 วัดสวยงามในกรุงเทพ ที่ใครๆก็ต้องมาเสพสุขไหว้กันสักครั้ง มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลยค่ะ>> |
เก็บตกวันหยุด รีวิวพาเที่ยวชมพระราชวังเดิม เติมความรู้แบบไทยๆ ไปชมกันเลยจ้า คลิ๊กดูที่เที่ยว>> |
เที่ยวกรุงเทพปีนี้ พักแถวใหนดี กับ 7 โซนตามเส้นทางรถไฟฟ้า คลิ๊กดูข้อมูล>> |
หรือดูข้อมูลที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2k5RELh
แนะนำโรงแรมและที่พักแถวจตุจักร-หมอชิตเปิดใหม่ ราคาถูก ประหยัด คลิ๊กดูที่พักค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวมิวเซียมสยาม แหล่งเรียนรู้สุดเก๋ไก๋ มีอะไรอัพเดทใหม่บ้าง ตามไปเที่ยวกันเลย>> |
แบ่งปันรีวิวเที่ยวขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ไปถ่ายรูปวิวสวยงาม คลิ๊กดูที่เที่ยว>> |
รีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถขับตะลอนไปชมสถานที่ต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ>> |
รวม 12 ข้อดีของประโยชน์ที่ได้ออกไปท่องเที่ยวมีอะไรบ้าง คลิ๊กดูบทความค่ะ>> |
รีวิวเช่ารถมอเตอร์ไซต์ไปเที่ยวเมืองปราจีนบุรี ต้องไปฉิมพลีกันสักครั้งครา คลิ๊กดูรีวิว>> |
เที่ยวนครนายกไม่มีรถส่วนตัว ก็เช่ารถมอเตอร์ไซต์เที่ยวไปทั่วได้ด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิว>> |
แบ่งปันทริปรีวิวเที่ยวเมืองเก่าซาลซ์บูร์ก 1 วัน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
เปิดโลกกว้างเที่ยวเมืองเซลอัมซี (Zell am See) เมืองนี้ มีที่เที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
แบ่งปันรีวิวเดินทางไปชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
รีวิวเที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
รีวิวพาไปเที่ยวเมืองอูล์ม เมืองน่ารักที่ไม่เป็นแค่ทางผ่าน คลิ๊กดูสถานที่ท่องเที่ยวจ้า>> |
แบ่งปันรีวิวพาไปชมเมืองสตุทการ์ท มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง ตามไปกันเลย>> |
0 ความคิดเห็น