|
เพื่อไม่ให้บทความร้างไป เที่ยวเมืองไทยไปให้รู้ในวันนี้ คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า ขอนำเสนอสาระน่ารู้เกี่ยวกับ สะดือแม่น้ำโขง วัดอาฮงศิลาวาส จุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง แหล่งท่องเที่ยวที่ใครก็ไม่พลาดมาเช็กอินถ่ายรูปชมกัน |
สวัสดีค่ะเพื่อนๆผู้อ่านบนโลกออนไลน์ และเหล่านักทัศนาจร อรชร อ้อนแอ้น สุดสะแนน แสนโสภา ช่ะช่ะช่าหัวใจทุกๆคน หลังจากที่บทความก่อนหน้าได้พาไปลัดเลาะเที่ยวชมเสน่ห์วิถีชีวิตของกรุงเทพในอดีตกันไปแล้ว วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า ขอพาไปเที่ยวชม สะดือแม่น้ำโขง ที่วัดอาฮงศิลาวาส หนึ่งวัดเก่าแก่ในจังหวัดบึงกาฬ ที่ใครแวะผ่านก็ต้องมายลตระการสะดืดแม่น้ำโขง และไหว้พระกราบกรานที่วัดติดริมแม่น้ำแห่งนี้สักครั้ง ยังถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวและจุดเช็กอินถ่ายรูปสำคัญที่ใครมาเที่ยวบึงกาฬก็ไม่พลาดมาชม สะดือแม่น้ำโขง ให้เห็นเป็นบุญตาสักครั้ง
|
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ สะดือแม่น้ำโขง วัดอาฮงศิลาวาส จังหวัดบึงกาฬ (Wat Ahong Silawas, Bueng Kan province) |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ สะดือแม่น้ำโขง วัดอาฮงศิลาวาส จังหวัดบึงกาฬ (Wat Ahong Silawas, Bueng Kan province)
สำหรับจุดชม "สะดือแม่น้ำโขง" นั้น ตั้งอยู่ที่ วัดอาฮงศิลาวาส เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงใกล้ๆกับบริเวณแก่งอาฮง ซึ่งตัววัดอยู่ห่างจากตัวเมืองบึงกาฬประมาณ 21 กิโลเมตร โดยจุดดังกล่าวถือว่าเป็นจุดแม่น้ำโขงที่มีความลึกที่สุด เนื่องด้วยมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวตลาดและ มีกระแสน้ำวนบริเวรดังกล่าวเป็นกรวยวนขนาดใหญ่ในช่วงน้ำหลาก แต่ถ้าฤดูแล้ง แต่จุดดังกล่าวน้ำก็ไม่เคยแห้งเหือด ก็ยังมีกระแสน้ำวนตลอด โดยสังเกตุได้จากซากไม้หรือวัสดุที่ลอยมาถึงบริเวณดังกล่าว ซากไม้เหล่านั้นก็จะหมุนวนอยู่นาน จึงจะไหลต่อไปได้ ดังนั้นชาวบ้านในระแวกนั้นเชื่อกันว่าเป็น "สะดือแมน้ำโขง" โดยจะผ่านหน้าวัดฮาฮงศิลาวาส
|
คำว่า "อาฮง" หรือ "โฮง" นั้นเป็นภาษาโบราณ แปลว่า เมืองหลวง ห |
ส่วนคำว่า "อาฮง" หรือ "โฮง" นั้นเป็นภาษาโบราณ แปลว่า เมืองหลวง หรือพื้นที่กว้างใหญ่ สังเกตุได้จากพื้นที่คุ้งน้ำและภายในวัดเป็นพื้นที่กว้าง ที่มีคำว่า อา นำหน้านั้น ก็เป็นการพ้องเพี้ยนของภาษา แต่เดิมเรียกน้ำของ แต่ต่อมาเรียกน้ำโขง เป็นต้น
|
บริเวณที่เชื่อว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดที่เรียกว่า "สะดือแม่น้ำโขง" ก็คือบริเวณวัดอาฮงศิลาวาสนี้เอง |
ซึ่งสะดือแม่น้ำโขง ก็จะมีความเกี่ยวพันกับตำนานของพญานาคด้วย โดยประวัติที่มาของสะดืดแม่น้ำโขงนั้นเริ่มต้นจาก แม่น้ำโขงถือได้ว่าเป็นแม่น้ำนานาชาติ มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัยผ่านประเทศจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชาและเวียดนาม รวมความยาวทั้งสิ้น 4,880 กิโลเมตร เป็นแม่น้ำที่มีความยาวเป็นอันดับ 8 ของโลก แต่บริเวณที่เชื่อว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดที่เรียกว่า "สะดือแม่น้ำโขง" ก็คือบริเวณวัดอาฮงศิลาวาสนี้เอง โดยจะเห็นได้ชัดในฤดูน้ำหลากคือช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายน
|
คนแก่สมัยโบราณเคยวัดความลึกของสะดือแม่น้ำโขงโดยใช้เชือกกับก้อนหินหย่อนลงไปวัดความลึกได้ 80 วา |
คนเฒ่าคนแก่สมัยโบราณเคยวัดความลึกของสะดือแม่น้ำโขงโดยใช้เชือกกับก้อนหินหย่อนลงไปวัดความลึกได้ 80 วา ส่วนในหน้าแล้งคือช่วงเดือนมีนาคม ถึงเดือนเมษายน วัดความลึกได้ 45-50 วา เนื่องจากบริเวณสะดือแม่น้ำโขงค่อนข้างกว้างใหญ่ ยากที่จะสังเกตุให้รู้ได้ ดังนั้นหากท่านใด อยากจะทราบว่าบริเวณใดเป็นจุดที่ลึกที่สุดนั้น ให้สังเกตุวังน้ำวนได้หน้าพระอุโบสถถึงหน้าพระวิหารใหญ่
|
น้ำโขงในบริเวณนี้จะเป็นคุ้งที่มีกระแสน้ำไหลวนเป็นวงกว้าง ยิ่งน้ำไหลแรงเชี่ยวกราดมากเท่าไหร่ ก็จะเห็นน้ำวนเป็นหลุมรูปทรงกรวยอย่างชัดเจน |
ลักษณะน้ำโขงในบริเวณนี้จะเป็นคุ้งที่มีกระแสน้ำไหลวนเป็นวงกว้าง ยิ่งน้ำไหลแรงเชี่ยวกราดมากเท่าไหร่ ก็จะเห็นน้ำวนเป็นหลุมรูปทรงกรวยอย่างชัดเจน จะกินบริเวณกว้างจากหน้าวัดไปจนถึงแก่งอาฮงเลย ซึ่งเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ทอดยาวต่อกันเป็นสายลงไปในแม่น้ำโขง ฃ
|
ในทางภูมิศาสตร์นั้น สันนิษฐานว่า บริเวณนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับรอยเลื่อนของเปลือกโลกเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน |
ซึ่งในทางภูมิศาสตร์นั้น สันนิษฐานว่า บริเวณนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับรอยเลื่อนของเปลือกโลกเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน ทำให้เกิดเป็นชั้นหินที่ต่างระดับลักษณะคล้ายหน้าผาใต้น้ำ ดังนั้นกระแสน้ำที่ไหลผ่านมาถึงบริเวณนี้จึงมีการตกกระแทก เฉกเช่นน้ำที่ตกจากหน้าผาสูงชันทั่วไป ประกอบกับคุ้งน้ำบริเวณหน้าวัดอาฮงศิลาวาส มีลักษณะคล้ายตัวอักษร S ทำให้มวลน้ำที่การกระแทกหมุนวนไปมา จึงเกิดเป็นวังน้ำวนขนาดใหญ่ จนได้ชื่อว่า สะดือแม่น้ำโขง นั้นเอง
|
จากนี้ยังมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค หรืองูขนาดใหญ่ที่มีฤทธิ์มากอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง ทุกวันออกพรรษา 15 ค่ำเดือน 11 |
นอกจากนี้ยังมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค หรืองูขนาดใหญ่ที่มีฤทธิ์มากอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง ทุกวันออกพรรษา 15 ค่ำเดือน 11 จะมีประชาชนจำนวนมากมาเฝ้ารอชมปรากฎการณ์มหัศจรรย์ที่เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" มีความเชื่อกันว่าเป็นเมืองหลวงของพญานาค ตั้งแต่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย มาจนถึงสะดือแม่น้ำโขง หน้าวัดอาฮงศิลาวาสแห่งนี้จึงเชื่อกันว่าเป็นดินแดนแห่งพญานาคด้วย โดยบั้งไฟที่เกิดขึ้นนั้น เริ่มต้นแต่เวลาพลบค่ำ ลักษณะเป็นไฟดวงขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดใหญ่เท่าใข่ห่านหรือผลส้ม มีสีแดงชมพูออกเป็นสีบานเย็นหรือสีทับทิม ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลว ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น โดยบั้งไฟพญานาค จะเริ่มปรากฎจากเหนือผิวน้ำ ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร พุ้งสูงขึ้นไปประมาณ 50- 150 เมตร เป็นเวลา 5- 10 วินาที และจะดับหายวับไปในอากาศ ทั้งๆที่ดวงไฟยังโตอยู่ มิได้หรี่เล็กลงแล้วค่อยดับ และไม่มีลักษณะโค้งแล้วโตลงมาเหมือนดอกไม้ไฟ
ปัจจุบันมีกลุ่มนักวิจัยจากหลายสถาบันตั้งสมมุติฐาน และหาหลักฐานอธิบายปรากฎการณ์ว่าเกิดขึ้นจาก กลุ่มก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่ในแม่น้ำโขง เช่น ก๊าซมีเทน เป็นต้น แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์และหาหลักฐานชี้ชัดได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการกระทำของ พญานาค หรือเกิดจากการกระทำของธรรมชาติกันแน่
|
เนื่องจากความลึกของแม่น้ำโขงนั้น ทำให้แก่งอาฮงเป็นที่อยู่อาศัยของปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก นั้นก็คือปลาบึก |
และเนื่องจากความลึกของแม่น้ำโขงนั้น ทำให้แก่งอาฮงเป็นที่อยู่อาศัยของปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก นั้นก็คือปลาบึก ในตอนดึกของฤดูน้ำหลากโดยเฉพาะช่วงวันเพ็ญเดือนเก้า จะได้ยินเสียงมาจากแม่น้ำโขง ประหนึ่งว่ามีคนลงเล่นน้ำ เสียงดังตูมตามประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็จะเงียบหายไป คนเฒ่าคนแก่เล่าว่า นั้นคือเสียงปลาบึกออกมาผสมพันธุ์กัน ด้วยในบริเวณนั้นเป็นน้ำลึก และปลาบึกเองก็กินตะไคร่น้ำเป็นอาหาร อีกทั้งใต้น้ำแก่งอาฮงนั้นมีโขดหินมากมายและมีถ้ำใหญ่ ระบบนิเวศเรียกได้ว่ามีความสมบูรณ์ จึงเป็นแหล่งที่มีปลาบึกฉุกชุมอีกแห่งของประเทศไทย
|
ประวัติการก่อตั้งวัดอาฮงศิลาวาสนั้น คือหลวงพ่อลุน ซึ่งก่อตั้งขึ้นกลางป่าดงดิบกับโขดหินน้อยใหญ่อยู่ติดริมแม่น้ำโขง ณ สมัยนั้นยังไม่มีถนนตัดผ่าน |
ส่วนประวัติการก่อตั้งวัดอาฮงศิลาวาสนั้น คือหลวงพ่อลุน ซึ่งก่อตั้งขึ้นกลางป่าดงดิบกับโขดหินน้อยใหญ่อยู่ติดริมแม่น้ำโขง ณ สมัยนั้นยังไม่มีถนนตัดผ่าน โดยเป็นเทือกเขาเชื่อมโยงมาจากฝั่งประเทศลาว วัดนี้มีชื่อเรียกว่า “วัดป่าเลไลย” ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2506 จนหลวงพ่อลุนได้มรณภาพลงทำให้ วัดนี้ไม่มีพระภิกษุอยู่จำวัดแบบถาวรเลย จึงคงเหลือแต่ แม่ชี ที่อยู่เฝ้าวัดและจำพรรษาอยู่ จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2517 ท่านเจ้าคุณนิเทศศาสนคุณ (หลวงพ่อมหาสมาน สิริปัญโญ) ผ่านมาและ แวะเข้าไปดูบริเวณวัด และเห็นสภาพทั่วไป สงบร่มรื่น อยู่ติดกับริมฝั่งแม่น้ำโขงซึ่งจะมี โขดหินเรียงรายอยู่ในแม่น้ำยื่นจากฝั่ง ออกไปสู่กลางลำน้ำโขงเรียกว่า ”แก่งอาฮง”
|
พระอุโบสถหินอ่อนวัดอาฮงศิลาวาส |
|
อักทั้งบริเวณวัดยังมีโขดหินรูปร่างแปลกตามากมาย มีการจัดเรียงตามธรรมชาติ เหมือนกับสวนหิน ให้ผู้ที่ได้มาเยือนได้เดินชมกันอย่างเพลิดเพลินด้วย |
และหลวงพ่อมหาสมานได้ปรึกษากับคณะพระภิกษุสงฆ์ พร้อมญาติโยม จะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ ให้เป็นวัดที่สมบูรณ์และถาวรโดยปรับปรุง สภาพแวดล้อมและก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ที่มีความจำเป็นแก่พระ ภิกษุสามเณร และญาติโยม เสร็จแล้วหลวงพ่อตั้งชื่อวัดใหม่ให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมว่า “วัดอาฮงศิลาวาส” จนถึงปัจจุบัน และได้พัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญประจำจังหวัดบึงกาฬ ที่ใครก็ต้องแวะมาเช็กอินไหว้พระและชมสะดือแม่น้ำโขงที่วัดแห่งนี้สักครั้ง
|
ายในพระอุโบสถ์ ประดิษฐาน “พระพุทธ คุวานันท์ศาสดา” ซึ่งมีความงดงามยิ่งนัก |
ภายในวัดวัดอาฮงศิลาวาส มีพระอุโบสถ์หินอ่อนที่สวยงาม ตั้งตระหง่านอยู่ ริมแม่น้ำโขงตั้งอยู่บนแก่งอาฮง ภายในพระอุโบสถ์ ประดิษฐาน “พระพุทธ คุวานันท์ศาสดา” ซึ่งมีความงดงามยิ่งนัก ด้วยว่าเป็นพระ พุทธรูปลักษณะเดียวกับพระพุทธชินราช นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปทองคำสององศ์ ประดิษฐาน บรรยากาศภายในวัด อักทั้งบริเวณวัดยังมีโขดหินรูปร่างแปลกตามากมาย มีการจัดเรียงตามธรรมชาติ เหมือนกับสวนหิน ให้ผู้ที่ได้มาเยือนได้เดินชมกันอย่างเพลิดเพลินด้วย
|
จากตัวเมืองบึงกาฬ ใช้ทางหลวงหมายเลข 212 เส้นทางไปจังหวัดหนองคาย ห่างจากตัวเมือง 21 กิโลเมตร |
ส่วนการเดินทางมายังวัดอาฮงนั้น ระยะทางจากตัวเมืองบึงกาฬ ใช้ทางหลวงหมายเลข 212 เส้นทางไปจังหวัดหนองคาย ห่างจากตัวเมือง 21 กิโลเมตร
เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://thai.tourismthailand.org/Attraction/วัดอาฮงศิลาวาส
https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/4395
------------------------------------------------------------------------------
บทความบล็อกอื่นๆ มีดังนี้ค่ะ
จัดไปกับ 15 ที่เที่ยวจุดเช็กอินยอดนิยมในเชียงราย ที่ใครก็ต้องปักหมุดไปถ่ายรูปกันสักครั้ง มีที่ใหนบ้างนั้น ตามไปเที่ยวชมกันได้เลย คลิ๊กดูรายละเอียดที่เที่ยวค่ะ>>>
0 ความคิดเห็น