แบ่งปันรีวิวการเดินทางแบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวยุโรปครั้งแรกในชีวิต มันจะอิสสะงงๆหน่อยๆ สำหรับตอนนี้มาถึงเมืองมิลาน ประเทศอิตาลีแล้วจ้า |
เพื่อไม่ให้เสียเวลา มารีวิวต่อเลยค๊า ตอนนี้ก็เขียนมาถึงครึ่งทางแล้วค่ะ กะว่าจะเขียนรีวิวให้จบทั้งหมดคงจะเสร็จเดือนหน้าพอดีนะค่ะ เพราะต้องแบ่งเวลามานั่งเขียนหลังเลิกงานประจำ ยังไงต้องขอบพระคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกคน ยอมมาเป็นคนบ้าเปิดดูบล็อกรีวิวท่องเที่ยวยุโรปครั้งแรกในชีวิตของเดี๊ยนนะค่ะ แม้จะมาดูแค่ 1 คน แค่คนเดียวก็เริ่ดแล้วจ้า เพราะบล็อกก็ไม่ได้สวยหรู รูปก็ไม่ตกแต่งอะไร...แต่ตอนนี้เดี๊ยนจะเป็นลมแล้วจ้า เอาเป็นว่าจะสู้แบกเป้ต่อไปจนถึงตอนอวสานเลยนะค่ะ
....หลังจากที่บทความรีวิวเที่ยวตอนที่ 16 ได้พาเพื่อนไปรับความชุ่มฉ่ำบานยลตระการน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปแล้ว เข้าไปดูรีวิวได้ตามเว็ปไซต์ลิงค์ : http://bit.ly/2MiG5cz
มาถึงตอนนี้ก็ได้เวลาข้ามพรมแดนจากประเทศสวิซเซอร์แลนด์ นั่งรถไฟเริ่ดสะแมนแตนมาที่ประเทศอิตาลีแล้วค่ะ หลังจากที่แรมรอนมาแล้ว 14 วัน โดยทริปเที่ยววันนี้ก็เป็นคิวของเมืองมิลานแล้วจ้า ซึ่งเป็นทริปเมืองแรกในประเทศอิตาลีเลยจ้า ซึ่งก็ได้มาพักค้างแรมโรงแรมใกล้สถานีรถไฟในเมืองมิลานด้วยคึงนึง ก่อนจะไปเดินทางไปชิคแอนด์ชิลดูสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองมิลาน...เมืองมิลานเป็นอีกหนึ่งเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้แต่ตัวดิฉัน ที่ปั้นหมายปักหมุดไว้นาน ว่าเก็บตังได้เมื่อไหร่จะแบกเป้ลุยมาเที่ยวเมืองนี้ให้จงได้ ในที่สุดก็มาถึงวันนี้ ได้มาเห็นเป็นบุญตาตัวเองสักที แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าในเมืองมิลานแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง
นั่งรถไฟออกจากเมืองซูริคประเทศสวิซเซอร์ ข้ามพรมแดนมาเดินเริ่ดสะแมนแตนเที่ยวที่เมืองมิลาน มาดูสิว่าเมืองนี้มีอะไรให้ชมบ้าง |
เอาล่ะค่ะ เดี๊ยนไม่ขอพร่ำเพร้ออะไรมากละ ขอมาแบ่งปันรูปภาพที่ถ่ายมาแบบธรรมชาติสุดๆ เอียงบ้าง มัวบ้าง ไม่ตกแต่งดีงสีด้วยโปรแกรมอะไร เที่ยวไปตามประสาคนบ้าเที่ยวและถ่ายรูปจ้า
ก่อนจะเข้าสู่บล็อกรีวิว เรามารู้จักเมืองมิลานกันก่อนนะค่ะ มาอ่านเป็นความรู้ เปิดสู่โลกกว้างกันจ้า (เพราะโลกนี้มันกว้างจริงๆนะ มีที่เที่ยวให้ไปเยือนมากมายแล้วแต่ใจปราถนา จะขยันแบกเป้ไปค๊า)
เกี่ยวกับเมืองมิลาน
เมืองมิลาน (Milan) หรือหรือที่เรียกกันในภาษาอิตาลีว่าเมือง มิลาโน ( Milano) เป็นเมืองหลักของแคว้นลอมบาร์เดียและเป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี (Lombardy) เมืองมิลานมีประชากรประมาณ 1,308,500 คน (ข้อมูลปี พ.ศ. 2547) โดยถ้ารวมบริเวณรอบนอกและเขตปริมณฑลจะมีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งเรียกเขตทั้งหมดว่า ลากรันเดมีลาโน (La Grande Milano) มิลานมีพื้นที่ประมาณ 1,982 ตร.กม. ชื่อเมืองมิลานมาจากภาษาเคลต์ คำว่า "Mid-lan" ซึ่งหมายถึง อยู่กลางที่ราบนั้นเอง
เกี่ยวกับเมืองมิลาน |
เครดิตข้อมูลดีๆจากเว็ปไซต์ : https://th.wikipedia.org/wiki/มิลาน
แล้วสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนี้อะไรบ้าง
- Il Duomo (Milan Cathedral) มหาวิหารมิลาน หรือมหาวิหารดูโอโม่ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ใครมาเยือนมิลานครั้งแรก หากไม่ได้แวะมาแล้ว ถือว่ามาไม่ถึงค่ะ
- Galleria Vittorio Emanuele II หรือ(Luxury Shops and Elegant cafe) ศูนย์การค้าช๊อปปิ้งที่เก่าแก่ทีสุดในเมืองมิลาน อยู่ติดๆกับมหาวิหารดูโอโม่ เป็นห้างหรู ตกแต่งสวยงามหรูหรา มีสินค้าแบรนเนมและร้านขายอาหาร ขนมไอศกรีมคนต่อคิวกันเต็ม
- ปราสาทสฟอร์เซสโก้ Castello Sforzesco เป็นปราสาทเก่าแก่อายุหลายร้อยปีอยู่ในเมืองมิลาน สามารถเดินเท้าจากมหาวิหารดูโอโม่ได้ไม่ไกล โดยภายใน มีพิพิธภัณฑ์ที่โด่งดังอย่าง Museum of Ancient Art ให้ได้แวะชมกันด้วย
- Leonardo da Vinci's Last Supper พิพิธภัณฑ์อาหารค่ำมื้อสุดของลีโอนาโด ดาวินชี่
- ถนนคนเดินช๊อปปิ้ง Via Dante เส้นถนนที่สามารถเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้าและเสื้อผ้าเบรนเนมหรูหราฟู่ฟ้าไฮโซโก้เก๋ ร้านขายน้ำหอมดังๆเรียงรายเป็นตับให้ได้ช๊อปปิ้งกัน
และหลังจากที่เราได้รู้จักเมืองมิลานกันแบบคร่าวๆ ชิมกันเป็นออเดิฟไปแล้วนะค่ะ ต่อไปดิฉันก็ขอมารีวิวเที่ยวเมืองมิลานให้เพื่อนๆสไลด์ดูภาพถ่ายแบบธรรมชาติสุดๆกันเล๊ย (ธรรมชาติลงโทษ)
เพื่อไม่ให้งงๆและสับสน ขอเขียนต่อจากบล็อกรีวิวก่อนหน้านี้ ตามเว็ปไซต์ลิงค์ : http://bit.ly/2MiG5cz
ตีตั๋วเสียเฉพาะค่าจองที่นั่งจากสถานีรถไฟเมืองซูริคประเทศสวิตเซอร์แลนด์
นั่งรถไฟความเร็วสูงแบบเริ่ดสะแมนแตน แอ๊น แอ๊นมาที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
ค่าเสียหายของตั๋วรถไฟอยู่ที่ 15 สวิสฟรังค์จ้า
ขึ้นรถไฟมาก็นั่งชมวิวทิวทัศน์ บ๊ายๆอำลาดินแดนแห่งหุบเขาและธรรมชาติของประเทศสวิตเซอร์แลนด์สักแป๊บ เพราะจากนี้ไปก็จะไปสู่อีกประเทศนึงแล้ว แต่เหมือนว่าประเทศเค้าอยู่เชื่อมติดกันหมดเลย ข้อดีคือไม่ต้องเสียเวลาผ่านด่าน ตม.ให้เมื่อยตู้มนะค่ะ ไม่งั้นก็จะยุ่งยากกว่านี้แน่ๆ
หลังจากชมวิวทิวทัศน์ริมทางก็มานั่งทำงานต่อค่ะ เพราะงานยังไม่เสร็จเลย เดี่ยวถ้าไม่ส่งงานที่บริษัทโดนกินหัวแน่นอน...เสียดายอินเตอร์เน็ตไม่ค่อยดีเลย หลุดบ่อยมากๆ ยังดีที่มีเน็ตในโทรศัพท์ช่วยเหลือไว้ แต่ก็บางเบาเหลือเกิน ไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่
นั่งทำงานบนรถไฟไปสักพัก ก็ได้เวลาทานอาหารมื้อเย็นแล้ว
อาหารมื้อนี้ก็เป็นอะไรไม่รู้ ซื้อเป็นอาหารกล่องมาจากสถานีรถไฟเมืองซูริค
เป็นไส้กรอกราดซอสมะเขือเทศ ทานกับขนมปังบันกลมๆ และก็โยเกิร์ต
รสชาติไม่ค่อยถูกปากเลย เพราะมันเค็มมากๆ เหมือนกินน้ำทะเลเลยค่ะ โอ้ย..เดี๊ยนจะเป็นลม
ก็เลยเอาน้ำเติมเลยไป พอเจือจางได้บ้าง.. คนที่นี้กินเค็มมากๆนะค่ะ โดยเฉพาะน้ำสลัด เค๊ม เค็มค่ะ
แม้จะไม่อร่อย แต่ก็ฝืนทานจะหมด เพราะเสียดายตัง
ทานไปพอประทังท้อง
นั่งรถไฟมาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าก็ถึงสถานีรถไฟแห่งกรุงมิลาน ประเทศอิตาลีแล้วค่ะเข้ามาก็คนละบรรยากาศกับประเทศสวิซเซอร์แลนด์เลยนะค่ะ สถานีรถไฟดูใหญ่โตอลังการล้านแปดมากๆ
ยิ่งพอเดินออกมาด้านนอกสถานีรถไฟ ก็ยิ่งอลังไปกันใหญ่ สร้างได้เว่อร์วังสุดๆ
เดินออกมาก็มาตั้งหลักสักพัก เปิด GPS ให้ช่วยนำทางไปยังที่พัก
ที่พักค้างแรมคืนนี้พักที่ โรงแรม ออสเตลโล เบลโล กรันเด (Ostello Bello Grande) |
โดยที่พักค้างแรมคืนนี้พักที่ โรงแรม ออสเตลโล เบลโล กรันเด (Ostello Bello Grande)
เนื่องจากโรงแรมอยู่ใกล้สถานีรถไฟ เป็นที่พักแนวโฮสเทล Backpack Hotel ราคาถูก ไม่แพง เหมาะสำหรับคนงบน้อยๆ
เดินเข้ามาด้านใน ประทับใจมากๆ ตั้งแต่แบกเป้มาตั้งแต่ฝรั่งเศสมาจนถึงสวิส และเข้ามาที่อิตาลี ก็พึ่งได้รับ Welcome drink ที่โรงแรมเนี่ยแหละค่ะ แบกเป้มาเหนื่อยๆ มีน้ำผลไม้เย็นให้ดื่ม ช่วยแก้กระหายได้เยอะเลย ถือว่าบริการเริ่ดมากๆ
ภายในโรงแรมก็ตกแต่งแต่งๆ
ตรงล็อบบี้ก็มีที่นั่งและกิจกรรมให้ผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายด้วยนะค่ะ
ส่วนใหญ่ก็เป็นนักเดินทางแบกเป้ มานอนพักค้างชั่วคราว
แขกที่เข้าพักแต่ละคน ก็ดูเป็นหนุ่มสาว พราวเสน่ห์ ผู้ชายผิวขาว ตาน้ำข้าวหุ่นเอาะๆ น่าเกาะน่ากอดดีนะ และวันที่เข้าพักก็ไม่ค่อยมีคนเอเชียเลย มีตัวดิฉันก็คนเดียวกระมัง ยืนเสลอเป็นใยป้า มองผู้บ่าวตาน้ำข้าวอยู่คน
ทางเจ้าหน้าที่โรงแรมก็มี มีแผนที่เดินทางให้ด้วย แต่รู้สึกว่าตัวหนังสือเล็กมากๆ ถ่ายออกมาก็มัวไปกันใหญ่
ห้องพักอยู่ด้านบนมีลิฟท์ให้นะค่ะไม่ต้องแบกเป้ขึ้นบันใดให้เมื่อย
หรือถ้าจะไม่ขึ้นลิฟท์ อยากออกกำลังกาย ก็ขึ้นบันใดได้นะ บันใดก็เก๋ มีรูปวาดผนังเป็นตัวการ์ตูนน่ารักอีกด้วย
เห็นบันใดแล้วคงแบกเป้ขึ้นไม่ไหวแน่ๆค่ะ
ขอขึ้นลิฟท์ดีกว่าเพราะพักอยู่ชั้นบนเลยนะ
ส่วนทางเข้าห้องพักก็โอเคสะอาดสะอ้าน
ส่วนห้องพักคืนนี้ ก็เป็นห้องนอนรวม มี 4 เตียง ต้องนอนรวมกับคนอื่นค่ะ
เข้าเป็นห้องพักเล็กๆ ใม่ใหญ่มากนัก แต่โดยรวมถือว่าดี อาจจะดูรกๆหน่อย เพราะมีแขกคนอื่นๆพักเหมือนกัน
เตียงที่ดิฉันนอนคืนนี้อยู่ด้านบนอีกแล้วค่ะแต่ชอบตรงที่เก็บกระเป๋าของเค้าค่ะ อยู่ด้านล่างสุดของเตีตยง เพราะเป็นตู้เหล็กให้อย่างดี มีกุญแจให้ตอนเช็คอินน์ เปิดเลื่อนออกมาก็หยิบใส่เข้าไป
แม้จะเป็นกระเป๋าเป้ใบใหญ่ๆก็ยกใส่ได้ด้วยนะค่ะ
ส่วนห้องน้ำก็อยู่ในห้องเดียวกันเลยค่ะ เป็นเหมือนห้องส่วนตัวเลย ไม่ต้องกระโจมนุ่งผ้าถุงถือขันไปอาบด้านนอกค่ะ อาบในห้องมีห้องน้ำส่วนตัวให้ ห้องน้ำกว้างดี ไม่คับแคบ สรุปโดยรวมให้ผ่านค่ะ..ชอบที่มี Welcome drink ให้ลูกค้าดื่มตอน Check in แถมพูดจาไพเราะ เอาใจลูกค้ามากๆเลยนะค่ะ เอาไปเลย 5 ล้านดาวคะแนนจ้า
ที่ห้องครัวไว้สำหรับทำกับข้าวได้ด้วย หรือเอาของกินมาแช่ที่ตู้เย็นได้ มีจาน มีชาม มีหม้อให้
แต่ต้องล้างให้เค้าด้วยนะ
หลังจากที่เมื่อยล้าจากการเดินทางมาตลอดเกือบครึ่งวันนี้ ดิฉันก็เข้าพักผ่อนนอนสลบไสลไป 1 คืน-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันใหม่ในวันถัดมา ตื่นมาก็ยังไม่ได้ทำอะไรค่ะ ก็ต้องมานั่งทำงาน
ที่ชั้นฟ้ามีพื้นที่ว่างให้นั่งทำงานด้วย แต่ดิฉันว่าคงไม่ไหวค่ะ เพราะมีคนนั่งสูบบุหรี่อยู่
ดิฉันเลยแบกโน๊ตบุ๊คเปลี่ยนมานั่งที่ห้องทำงานอีกห้องคะ
แต่ห้องนี้เงียบดี มีโซฟานั่งเล่น พักผ่อน ห้องพักตกแต่งเก๋ดี ดูไม่วุ่นวาย เนื่องจากยังไม่มีแขกขึ้นมาเพราะว่ายังเช้าตรู่อยู่ ดิฉันเลยมานั่งทำงานที่ห้องนี้จนเสร็จก่อนเวลา 10 โมง
หลังจากนั่งทำงานจนเสร็จจนเกือบจะ 10 โมง ต้องรีบลงไปทานข้าวแล้วค่ะ
ราคาห้องพักคืนละ 1 พันนิด มีอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ให้นะค่ะ
มาดูสิว่าอาหารเช้าที่ โรงแรม ออสเตลโล เบลโล กรันเด (Ostello Bello Grande)
มีอาหารเช้าอะไรให้ทานบ้าง
สำหรับไลน์อาหารเช้าก็เป็นแบบง่ายๆ ค่ะ มีซีเรียล ขนมปัง มีผลไม้ มีไข่ มีชา กาแฟ โก้โก้ ให้เลือกทาน
มีไข่ให้ทาน แต่ไข่ดูแข็งกระด้างไปหน่อยค่ะ
มีไส้กรอกให้ รสชาติเค็มไปนิด แต่ก็พอทานได้นะ
มีนมก็ใส่ถังเล็กๆเปิดให้เติมดื่มได้ไม่อั้น
มีผลไม้เป็นกีวี และลูกแพร์หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่รสชาติหอมหวานอร่อยดี
ผลไม้ที่นี้ก็เป็นผลไม้ท้องถิ่น หาได้ง่าย ราคาถูก จะหาสัปปะรด กล้วย น่าจะแพงค่ะ
มื่อเช้านี้ของคุณนายเว่อร์ที่โรงแรม ออสเตลโล เบลโล กรันเด (Ostello Bello Grande) |
เดี่ยวทานเยอะจะแน่นท้องเอา
บรรยากาศที่ห้องอาหารก็ตกแต่งเก๋ๆ
อาหารเช้านี้ที่โรงแรม ออสเตลโล เบลโล กรันเด (Ostello Bello Grande) |
และหลังจากที่ทานอาหารมื้อเช้าอิ่มแล้ว เวลาประมาณ 11 โมง
ดิฉันก็แบกเป้ลงจากที่พัก มา Check out และฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมด้านล่างค่ะ
ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมเรียบร้อย ก็เตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวค่ะ
มาเปิดดูแผนที่การเดินทางไปยังย่านท่องเที่ยวในเมืองมิลาน ที่ทางโรงแรมทำเป็นแผ่นๆแจกให้แขกที่เข้าพัก
เปิด GPS ให้ช่วยบอกระยะทางไปน่าจะช่วยให้เข้าใจได้เยอะ
ส่วนภาพแผนที่นี้เป็น แผนที่เส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงมิลานให้ด้วยค่ะ
ทางเจ้าหน้าที่ก็แนะนำให้ดิฉันนั่งรถไฟมิลาน ไปยังสถานีรถไฟ Duomo
เดินออกจากที่พัก แนะนำให้เอาเงินสดพกมาไม่ต้องเยอะนะค่ะ
เดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวจุดแรกของวันนี้ก็คือ มหาวิหารมิลาน หรือมหาวิหารดูโอโม่ (ชื่อมหาวิหารจะขาวใสเหมือนผงซักโอโม่ใหม๊น้อ ต้องไปดู)
สำหรับการเดินทางไปยังมหาวิหารมิลาน ก่อนอื่นต้องเดินทางลงมาที่ชั้นใต้ดิน เพื่อนั่งรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสถานี M3 นะค่ะ เนื่องจากทริปนี้เป็นครั้งแรกที่ดิฉันมาเที่ยวมิลาน ยังอิสสะงงๆอยู่มาก ก็เลยมาติดต่อซื้อบัตรโดยสารกับเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่จะถามว่าเอาแบบไป-กลับ ว่าแบบเที่ยวเดี่ยว (Single ticket or Round ticket) ถ้าซื้อรอบเดียวก็บอกว่า Single แต่ถ้าซื้อแบบไปกลับ ก็บอกไปว่าซื้อ Round ticket หรือหากนึกไม่ออก ก็ Go and come back เลยจ้า
พอได้บัตรแล้วก็เดินมาที่เคาว์เตอร์ผ่านด่าน เหมือนรถไฟฟ้าBTS บ้านเรา
ตามรูปจุดหมายคือไปสถานี Duomo (สถานีดูโอโม่ ชื่อเหมือนผงซักฟอกยี่ห้อนึงในเมืองไทยเราเลยนะ)
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไป
ถ้าทางออกจะเขียนว่า Uscita แต่ก็มีคำว่า Exit ให้ทราบด้วย ว่าจะออกทางใหนไปทางใหน แต่ยังไงมาครั้งแรก เดี๊ยนก็อิสสะงงๆ หลงป้ายอยู่พอสมควร
นั่งรถไฟใต้ดินมาแป๊บเดียวก็ถึงแล้วค่ะ มหาวิหารมิลาน หรือ มหาวิหารดูโอโม่ ดูสวยงามจริงๆ ต้องเดินไปดูใกล้ๆว่าขาวใสเหมือนผงซักฟอกโอโม่ใหม๊
เอ้..ถ้ามีมหาวิหารดูโอโม่ ในเมืองนี้น่าจะมีมหาวิหารแฟ๊บ วิหารเปา วิหารบรีส ชื่อเหมือนยี่ห้อผงซักฟอกบ้านเราเลยนะ
บริเวณโดยรอบมหาวิหารก็เป็นลานกว้าง เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมายืนถ่ายรูปกันอย่างคึกคัก เนี่ยขนาดวันธรรมดานะค่ะ ถ้าเป็นวันหยุด คนน่าจะเยอะกว่านี้มากๆ
แต่มหาวิหารของเค้าก็สวยงาม ดูใหญ่โตโอฬาร ชื่อมหาวิหารดูโอโม่ ดูแล้วก็มีความเป็นโอโม่อยู่บ้างนะ แต่ถ้าจะให้ดูแล้วโอโม่คงต้องถ้าสีขาวผ่องไปทั้งหมด คงจะงามงดแงะกระแซะสายตากว่านี้มากๆ
มารู้จักมหาวิหารมิลาน หรือ ( Il Duomo (Milan Cathedral) |
สำหรับมหาวิหารแห่งมิลานหนือที่รู้จักกันในภาษาอิตาลีว่า Duomo di Milano โดยตั้งอยู่ที่จัตุรัสใจกลางเมืองมิลาน วิหารแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรแบบกอธิคที่อลังการและยิ่งใหญ่ ด้วยความสูง 157 เมตรและกว้างถึง 92 เมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นมหาวิหารแบบกอธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมหาวิหารได้เริ่มก่อสร้างในปี 1386 ในยุคสมัยของ Antonio da Saluzzo
ความโดดเด่นของ Duomo Di Milano ก็คืออยู่ที่ยอดแหลมบนหลังคาวิหารนั้นเองค่ะ ซึ่งด้วยวิหารตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีระดับความสูง 108.5 เมตรจากพื้นดิน และถูกรายล้อมด้วยยอดแหลมประมาณ 135 ยอดบนหลังคาทำให้มหาวิหารนั้นดูสง่า สวยงามแปลกตา
บริเวณด้านหน้าของวิหารได้รับการตกแต่งด้วยรูปปั้นและรูปสลักหินอ่อนที่ประณีตสวยงาม
และนอกจากนี้แล้ว ด้านบนหลังคาของมหาวิหารนั้น นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองมิลานได้อีกด้วย โดยมีค่าเข้าชม 5 ยูโรสำหรับการเดินเท้าผ่านบันได 158 ขั้นเพื่อขึ้นไปชม แต่ถ้าใครที่ไม่อยาก เดินก็สามารถใช้บริการลิฟต์ได้ เสียค่าเข้าชม 7 ยุโรเท่านั้น
บรรยากาศโดยรอบ หากเมื่อยขา ก็มานั่งลั๊ลลาพักตรงทางเดินบันใดได้นะ เห็นนั่งกันเต็มเลยจ้า
และใกล้ๆกับมหาวิหารมิลาน ก็ยังมีห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ย่านช๊อปปิ้งชื่อดังให้แวะอีกด้วยนะ นั้นก็คือ Galleria Vittorio Emanuele II หรือ(Luxury Shops and Elegant cafe)
Galleria Vittorio Emanuele II หรือ(Luxury Shops and Elegant cafe)
ศูนย์การค้าช๊อปปิ้งที่เก่าแก่ทีสุดในเมืองมิลาน
อยู่ติดๆกับมหาวิหารดูโอโม่ เป็นห้างหรู ตกแต่งสวยงามหรูหรา
มีสินค้าแบรนเนมและร้านขายอาหาร ขนมไอศกรีมคนต่อคิวกันเต็มภายในศูนย์การค้า Galleria Vittorio Emanuele II หรือ(Luxury Shops and Elegant cafe) |
สถาปัตยกรรมสวยงาม ดูหรูหรา เว่อร์วัง ออกแนวๆคล้ายๆกับของฝรั่งเศสเลยนะค่ะ
แต่ที่ห้างนี้ดูอลังการมากๆ
สินค้าที่ขายในย่าน Galleria Vittorio Emanuele II หรือ(Luxury Shops and Elegant cafe) ก็จะเป็นสินค้าแบรนด์ที่คนรู้จัก ราคาแพงๆทั้งนั้น
Galleria Vittorio Emanuele II หรือ(Luxury Shops and Elegant cafe) |
เดินเล่นชิลๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย เดี๊ยนก็ไม่กล้าซื้ออะไร เดี่ยวเงินรั่วออกหมดจากกระเป๋าไปหมด
ของฝากของที่ระลึก มิลาน ประเทศอิตาลี |
ของที่ระลึกก็เป็นที่ติดตู้เย็น ราคาของที่ระลึกอยู่ประมาณ 3-4 ยูโร แล้วแต่ชิ้น
เดินออกมาก็เห็นบุหรี่ใหญ่เว่อร์จัดแสดงให้ดูด้วย น่าจะให้คนตระหนักเรื่องของพิษภัยบุหรี่นะ
เดินมาซักพักก็เริ่มหิวล่ะ อาหารมื้อเช้าย่อยไปหมดแล้ว เห็นขนมแล้วก็อยากทานมากๆ ตกแต่งซ่ะน่ารักเชียว ทานไอศครีมอิตาเลี่ยน รสชาติหอมหวานอร่อยกำลังดี |
ทานไอศครีมอิตาเลี่ยน รสชาติหอมหวานอร่อยกำลังดี |
พลาดไม่ได้ เมื่อมาเยือนอิตาลีทั้งที ก็ต้องลิ้มลองไอศกรีม อิตาเลี่ยนสักหน่อย สอยไป 1 แท่ง ราคาเบาๆที่ 2.6 ยูโร
มีคาเนเป้ชิ้นเล็กมุ้งมิ้งให้เลือกซื้อทานอีกด้วย แต่ชิ้นเล็กไปใหม๊ จะอิ่มใหม๊เนี่ย
ทานไอศกรีมอิ่มล่ะ ก็ไปเดินใช้พลังงานต่อค่ะ เดินผ่านร้านอาหาร ร้านขายของริมทางมากมาย
ผ่านร้านดอกไม้ สีสันสดใส หวานแหว๋วเชียวค่ะ ดอกไม้จัดใส่ช้อบูเก้เล็กๆให้เลือก
เดินออกมาไม่ไกลนักจากมหาวิหารดูโอโม่(มหาวิหารดูผงซักฟอกขาวสะอาดจริงๆ) ก็จะเป็นถนนคนเดินช๊อปปิ้ง Via Dante
บรรยากาศโดยรอบก็เต็มไปด้วยตีกรางอาคารเก่าแก่แบบอิฐหินดินปูน สร้างใหญ่โต เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรมและแหล่งช๊อปปิ้ง
และสถานที่ท่องเที่ยวถัดไปที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิหารดูโอโม่(มหาวิหารผงซักฟอกขาวสะอาดจริงๆ) ก็คือปราสาทสฟอร์เซสโก้ Castello Sforzesco
ที่ถนนเส้น Via Dante แห่งนี้ก็ถือว่าถนนสายช๊อปปิ้งยอดนิยมอีกแห่งในเมืองมิลานเนื่องจากมีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย
เดินเลยถนน Via Dante มาจะเป็นวงเวียน Milan Largo Cairoli
เวลาจะเดินข้ามถนนต้องรอรถรางสไตล์วินเทจนี้ข้ามไปก่อนนะค่ะ
เดินเลยถนน Via Dante มาจะเป็นวงเวียน Milan Largo Cairoli |
เดินมาไม่ไกลนักในที่สุดก็ถึงปราสาทสฟอร์เซสโก้แล้วค่ะ (Castello Sforzesco) |
หากเดินมาเหนื่อย มีมะพร้าวชิ้นขายนะค่ะ
ราคาชิ้นละ 1 ยูโร
เจอไอศกรีมโคนอีกล่ะค่ะ
ตั้งแต่เดินมา ดิฉันเจอร้านขายไอติมหลายร้านเลยนะค่ะ ราคาก็ประมาณนี้แหละค่ะ
มาถึงแล้วเดินเข้าไปชมด้านในดู
โดยเดินผ่านประตูนี้ไม่ต้องเสียตังนะค่ะ เข้าได้ฟรีจ้า
ส่วนด้านในถ้าจะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็จะมีเสียตังอีกรอบนึงอีกที
ปราสาทสฟอร์เซสโก้ Castello Sforzesco ปราสาทเก่าแก่ที่สุดอีกแห่งในเมืองมิลาน |
สาระน่ารู้เกี่ยวกับ ปราสาทสฟอร์เซสโก้ Castello Sforzesco อ่านกันดูค่ะ
สำหรับปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ในศตวรรษที่ 15 โดยมีอายุมากกว่า 500 ปี เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองมิลาน ในบริเวณสวน Sempione Park โดยในปราสาทแห่งนี้เป็นแหล่งรวบรวมพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากมาย โดยเฉพาะ Museum of Ancient air ให้ได้ชมและศึกษากันอีกด้วย
ปราสาทสฟอร์เซสโก้ Castello Sforzesco ในกรุงมิลาน |
ซึ่งในยุคที่เริ่มเปิดให้เข้าชมนั้นเริ่มเมื่อปี 1900 ทำให้ปราสาทแห่งนี้ได้รับยอมรับในฐานะป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป เนื่องจากมีขนาดใหญ่ ซึ่งการเที่ยวชมสามารถเดินเที่ยวชมตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆในปราสาท หรือว่าจะใช้บริการจากไกด์ท้องถิ่นก็ได้ โดยจุดแวะชมสำคัญอยู่ส่วนของพิพิธภัณฑ์ชื่อดังของเมืองมิลานที่ตั้งอยู่ภายในปราสาทคือ Museum of Ancient Art และยังมีพิพิธภัณฑ์อื่นๆมากมายให้ได้แวะชมและศึกษากันอีกด้วย
เดินเข้ามาด้านในก็มีพิพิธภัณฑ์ อาคาร สถาปัตยกรรมในรูปแบบที่สวยงามแปลกตา
เหมือนหลุดไปอยู่ประเทศแถวอาหรับ หรือโมรอคโคเลยนะ
สถาปัตยกรรมสวยงาม เก๋ๆดี ใครที่ชอบถ่ายรูปต้องไม่พลาด ช่วงที่ดิฉันมาเที่ยว นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะนัก เนื่องจากเป็นวันธรรมดา
หากใครที่รักการถ่ายภาพ หรือชอบเที่ยวชมปราสาทเก่าแก และความหลังปละประวัติศาสตร์ก็แวะมาชมกันนะค่ะ เพราะมีให้ชมและถ้าจะให้ดี มีไกด์นำเที่ยวด้วยก็จะได้ความรู้มาก วันที่ดิฉันไปก็ไม่ได้พึ่งไกด์เลย เพราะภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะแข็งแรง เค้าพูดมา เราก็เงอะงะงะ เดี่ยวจะงงเอา...ก็เลยชะเง้อหูฟังไกด์คนอื่นเอา พอจับใจความได้นิดหน่อยตรงกลางด้านในปราสาทสฟอร์เซสโก้ ก็เป็นลานหญ้ากว้างและมีที่ให้นั่งพักผ่อนด้วย
มีนักท่องเที่ยวแวะมาชมและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกตลอดเส้นทางเลย
หากใครที่เดินมาเหนื่อย เกิดอาการหิว ก็พกขนม นม เนย มาทานด้วยก็ดีนะค่ะ
เพราะใช้พลังงานไปเยอะเหมือนกัน
ทานขนมอิ่มแล้ว ก็เดินไปเที่ยวต่อค่ะ
หากเดินตรงมาเรื่อยๆ ก็จะทะลุมาด้านนอกตัวปราสาท จะเป็นสวนสาธารณะอุทยาน Parco Sempione
ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ แวดล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวร่มรื่น เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวมิลาน และนักท่องเที่ยวที่แวะมายังปราสาทสฟอร์เซสโก้ ก็ออกมานั่งพักผ่อนได้
ภายในสวนสาธารณะ Sempione Park จตุรัส Arco della Pace ซึ่งอยู่ติดกับสวน Sempione |
บริเวณจตุรัส Arco della Paceก็จะเป็นลานอิฐกว้างๆ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินมาถึงที่นี้มากนัก ส่วนใหญ่จะหยุดสิ้นสุดแค่สวน Sempione
เพราะถ้าหากใครที่เดินมาถึงจตุรัส Arco Della pace ก็จะเห็นปราสาทสฟอร์เซสโก้ในอีกมุมมองหนึ่ง และใครที่ชอบถ่ายรูปก็ไม่พลาดเดินออกกำลังกายมาเรื่อยได้นะคะ
หลังจากที่ได้ไปนั่งพักที่สวนสาธารณะ Sempione ดิฉันก็เดินกลับมาเส้นทางเดิน เพื่อเดินทางกลับ ระหว่างทางก็เดินผ่าน ถนนคนเดินช๊อปปิ้ง Via Dante
ถนนคนเดินช๊อปปิ้ง Via Dante |
ระหว่างเดินไปก็เห็นคนแต่งชุดแฟนซีใส่หน้ากาก ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ถ่ายรูปด้วย
รถรางในเมืองมิลาน |
หลังจากที่เดินมาเหนื่อยๆ ก็เลยมานั่งชิลๆเติมพลังงานสักแป๊บค่ะ
ของว่างบ่ายนี้ ดิฉันเลยจัดไปค่ะ เอสเพรสโซ่ ปกติจะไม่ทานกาแฟ แต่เดินเข้ามาในร้านแล้ว กลิ่นกาแฟครุกรุ่นมากๆ โชยตลบไปหมด เลยขอสั่งมาดื่มสักหน่อย เป็นกาแฟเข้มข้น ขมปี๋เลย แต่กลิ่นหอมฉุนดี๊ดี นอนไม่หลับแน่คืนนี้
ทานคู่กับแฟนเค้ก แต่งซ๋ะน่ารักเลย ในเมนูก็ไม่มีภาพให้ดู เลยนึกไม่ออก ลองสั่งมาทานดู เหมือนขนมเด็กเลยค่ะ น่ารักดี ถือว่าทานขนมย้อนวันวาน
หลังจากที่ได้นั่งทานของว่างกับกาแฟหอมไปแล้ว ดิฉันก็เดินเท้ามาที่สถานีรถไฟใต้ดิน Duomo ที่มหาวิหารดูโอโม่
ส่วนตั๋วโดยสารรถไฟใต้ดิน ก็ใช้ใบทีเหลืออยู่อีกใบนึง นั่งรถไฟกลับไปยังสถานีรถไฟมิลาน
พอถึงสถานีรถไฟมิลาน ดิฉันก็เดินไปเอากระเป๋าเป้ที่ฝากไว้ที่โรงแรม จากนั้นก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังเมืองท่องเที่ยวถัดไปค่ะโดยเมืองที่จะแวะไปเยือนต่อไปก็คือเมืองเวนิช เมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่เคยเห็นแต่ในภาพ ดิฉันเลยขอไปเที่ยวสักครั้งให้เห็นเป็นบุญตา ยังไงรอติดตามกันนะค่ะ
สำหรับรีวิวเที่ยวเมืองมิลานในบล็อกนี้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ ดิฉันหวังว่ารีวิวดังกล่าวน่าจะมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์เล็กๆน้อยต่อคุณผู้อ่านทุกๆท่านไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ดิฉันเองต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่เสียสละเวลาคลิ๊กเข้ามาสไลด์อ่านกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกในเว็ปบล็อกถัดไปนะค่ะ...จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
-----------------------------------------------------------------------------------------------
แนะบทความบล็อกอื่นๆ และรีวิวท่องเที่ยวเมืองต่างๆ มีดังนี้ค่ะ (จะทยอยอัพเดทเขียนเพิ่มเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เว็ปบล็อกนี้ร้างไปจ้า)
รีวิวตอนที่ 22 แบกเป้ลุยเดี่ยวไปเที่ยวเมือง Sorrento คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2C4PTGF
รีวิวตอนที่ 18 แบกเป้ลุยเดี่ยวเมืองเวนิชครั้งแรก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2KQvnsh
แบกเป้ลุยเดี่ยวตอนที่ 16 ไปเดินลั๊ลลาไปชมน้ำตกไรน์-ซูริค คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2MiG5cz
รีวิวลุยเดี่ยวตอนที่ 15 แบกเป้เดินเที่ยวรอบเมืองลูเซิร์นแบบชิลๆ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2vjt0bK
รีวิวลุยเดี่ยวตอนที่ 14 แบกเป้ไปชมความน่ารักที่เมืองกอลมาร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2uQBBTE
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 13 วิธีการเดินทางไปจุงเฟราด้วยตัวเอง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : http://bit.ly/2LHckBV
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 12 ลุยเดี่ยวไปเมืองสปิซ-อินเทอร์ลาเก้น คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2LkZvQM
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 11 แบกเป้เที่ยวกรุงเบิร์น ดูเพลินๆสวยดีนะ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
ดูภาพรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2uoxRbX
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 10 เยือนสวิตเซอร์แลนด์ เจนีวา-โลซาน คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2N0X57i
รีวิวเที่ยวยุโรปตอนที่ 9 เดินชมเมืองลียง ชมอัสดงที่เขาฟูรวิแยร์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://bit.ly/2NyWRFA
เที่ยวยุโรปตอนที่ 8 แวะนั่งพักตากอากาศริมหาดที่เมืองนีซ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/dLDKAX
เที่ยวยุโรปตอนที่ 7 แวะชมประเทศโมนาโค เมืองโก้หรูริมทะเลดูสิ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/e6o4UL
รีวิวเที่ยวตอนที่ 6 แวะเที่ยวเมืองคานส์ มีอะไรให้ยลตระการบ้าง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/GpiYVK
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 5 เดินลั๊ลลาเมืองโพรว็องสุดโรแมนติค คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/4tuuke
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 4 เดินเร้าฤดีฉิมพลีเสน่ห์เมืองมาร์เซย์ คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/Bxaq9X
รีวิวเที่ยวฝรั่งเศสตอนที่ 3 เดินชิลๆดูวิวเมืองปารีส&ช๊อปปิ้ง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>> |
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/XCFzYC
0 ความคิดเห็น