Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

รีวิวเที่ยวเชียงราย 3 วัน ลุยเดี่ยวขับมอเตอร์ไซต์ไปดอยตุง กางเต็นท์นอนที่ดอยช้างมูบ ไหว้พระทำบุญ สุขแสนสบายใจ กินอิ่มบ้าง-ไม่อิ่มบ้าง เริ่ดเว่อร์สุดๆค่ะ


รีวิวเที่ยวเชียงราย งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนค่ะ
เดี๊ยนคุณนายเว่อร์ ขอทักทายสวัสดี สวีดัดชาวเน็ตทุกๆท่าน ใกล้จะสิ้นปีแล้วนะค่ะ ช่วงนี้หลายๆท่านเองก็คงจะสาระวนอยู่กับการเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนกันนะค่ะ ยังไงก็ขอให้เดินทางปลอดภัยนะค่ะ ขับรถขับราก็อย่าไปดื่มสุรา เคล้าคล้านารี ให้มืนเมา จนเสียสติสตางค์ไปนะค่ะ ต้องดูแลตัวเองด้วยค่ะ คนข้างๆที่รักเราจะได้ไม่เป็นห่วง...ส่วนเดี๊ยนเอง วันหยุดยาวๆในช่วงสิ้นปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ปี 2559 แบบนี้ เดี๊ยนคงไม่ได้ไปใหนไกลค่ะ ขอปักหลักหนุนหมอนนอนอยู่ที่บ้านในเมืองฟ้าอรมรัตนโกสินทร์นี้แหล่ค่ะ ถ้าจะไปเที่ยวคงไปไหว้พระทำบุญอยู่ใกล้ๆบ้านค่ะ จะได้ไม่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว และแย่งกันเดินทางค่ะ พอเข้าเทศกาลหยุดยาวทีไร เดี๊ยนไม่เคยออกเดินทางไปใหนเลยค่ะ ถือเป็นการพักผ่อน นอนชิวเว่อร์ อยู่บ้านค่ะ......

เพราะก่อนหน้าไม่กี่อาทิตย์นี้เอง เดี๊ยนได้มีโอกาศลาพักร้อนไปเที่ยวเชียงรายมาค่ะ ถือเป็นทริปเชียงรายรำลึกแล้วกันค่ะ เพราะเคยมาเที่ยวเชียงรายเมื่อ 7 ปีที่แล้วค่ะ แต่การไปเที่ยวเชียงรายครั้งนี้ ไม่เหมือนกับ 7 ปีที่แล้วนะค่ะ ที่เที่ยวแบบเหมารถตู้เที่ยว แต่การเที่ยวครั้งนี้เดี๊ยนจัดทริปแบบลุยนิดส์ นึงค่ะ ถือเป็นการบุกเบิกการเดินทางเที่ยวแบบลุยๆอีกครั้งค่ะ หลังจากที่วางมือไปนาน ทริปนี้เป็นทริปขับมอเตอร์ไซต์จากเชียงรายไปดอยตุง ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บเสียเหลือเกินนะค่ะ ขับมอไซต์ไป หน้าเน่อมือไม้เท้าชา เหมือนมีคนตบหน้าแสบไปหมดเลยค่ะ ถึงแม้ใส่หน้ากากอนามัยแล้วก็ตาม ขับไปน้ำมูกไหลไป ฮือๆๆ หนาวจริงๆ ใขมันในร่างกายไม่ได้เพิ่มความอบอุ่นให้เดี๊ยนเลย  อีกอย่างช่วงที่เดี๊ยนเดินทางไป กรมอุตุนิยมบอกว่า อากาศเย็นมากๆด้วยค่ะ

และการไปครัั้งก็ไม่ได้ไปเที่ยวพักผ่อนอย่างเดียว ถือว่าได้ไปทำบุญทำทานด้วยค่ะ แถมได้ไปกางเต็นท์นอนบนดอยอากาศหนาวจับใจ  โดยการเดินทางไปเชียงรายครั้งนี้ เดี๊ยนวางแผนการเดินทาง 3 วันค่ะ คือวันที่ 18-21 ธ.ค.2558 รวมเสาร์-อาทิตย์แล้วค่ะ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรบ้าง เข้ามาติดตามอ่านกันได้ตามรูปภาพเลยค่ะ...อ้อมีอย่างจะบอกค่ะ ภาพทุกภาพที่เดี๊ยนถ่ายออกมา อาจจะมีสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง มืดมัวบ้างนะค่ะ เนื่องจากว่าเดี๊ยนไม่ได้แต่งกับโปรแกรมอะไรเลยค่ะ ใจจริงอยากจะแต่งภาพมากนค่ะ แต่ด้วยระยะเวลา



เย็นวันที่ 17 ธ.ค.58 เดี๊ยนเลิกงานเสร็จ รีบนั่งวินมอเตอร์ไซต์ออกจากที่ทำงานใจกลางเมืองกรุง เปิดผมกระบังฟลอร่ากลับบ้านด่วนจี๋เลยค่ะ เพื่อกุลีกุจอไปเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าเป้ เครื่องสำอาง ยาสระผม ลูกอม คอลคอต สบู่วิเศษ ละก็ใส่ลงไปให้หมดค่ะ ส่วนน้ำเนิ่มเดี๊ยนไม่ได้อาบนะค่ะ ซกมกมากๆค่ะ เพราะกลัวจะไปไม่ทันรถโดยสารที่เชียงราย ก็เลยปล่อยให้ตัวเหม็นขึ้นรถ เอาน้ำหอมกลิ่นปลาร้าเน่าๆ ประพรหมใส่เสื้อผ้าแทนค่ะ... ตอนแรกนะค่ะ เดี๊ยนว่ากะจะนั่งเครื่องบินนะค่ะ พอไปดูราคาตั๋วในเว็ปไซต์แทบเป็นลมจับค่ะ เพราะแพงมากๆ เกินราคาที่ลูกจ้างจนๆอย่างเดี๊ยนจะรับไหวค่ะ ก็เลยเปลี่ยนจากการบินบนฟ้า มาเป็นยาจกนั่งรถโดยสารที่หมอชิตแทนค่ะ



-เดี๊ยนไปถึงหมอชิต มือหนึ่งถือกระเป๋าเป้อันเล็ก อีกมือหนึ่งก็แบกกระเป๋าเป้อันใหญ่ ดูผรุงผรังมากๆนะค่ะ ยังกับว่าจะอพยพย้ายฐิ่นฐานค่ะ  เดี๊ยนรีบเดิน ตรงดึงไปที่เคาว์เตอร์ เพื่อซื้อตั๋วเลยค่ะ โชคดีวันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ไม่ได้เป็นวันหยุดยาวๆ ตั๋วรถโดยสาร มีที่นั่งวานเหลือบานเบิกให้เลือกค่ะ  เดี๊ยนได้ซื้อราคาตั่วที่นั่งเป็นรถ ม.4 ข เสียเงินค่าเดินทาง 588 บาทค่ะ รถออกเวลา 21.30 น.
 
 

พอได้ตั๋วรถ ก็รีบไปที่ชานชลา เพื่อขึ้นรถโดยสาร ขึ้นไปบนรถ มีโดยสารบ้างประๆปรายๆให้เห็นค่ะ เดี๊ยนโชคดีหน่อยค่ะ เหลือที่นั่งอีกที่ไม่มีผู้โดยสารท่านอื่นมานั่ง เดี๊ยนเลยยืดนอนทั้ง 2 ที่นั่งเลยค่ะ 55+ ในตั๋วรถแจ้งรถออกเวลา 21.30 น. รถออก 21.40 น.ค่ะ เลยเวลาที่แจ้งไว้ในตั๋วถึง 10 นาทีนะค่ะ หรือนาฬิกาในข้อมือของเดี๊ยนมันเดินเร็วกว่าก็ไม่รู้กระมัง



รถโดยสารออกเดินทางจากกรุงเทพวันที่ 17 ธ.ค.58 เวลา 21.40 น. ถึงจังหวัดเชียงราย วันที่ 18 ธ.ค. 58 เวลา 8.30 น.เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากค่ะ นั่งรถมาก็หลับๆตื่นๆ นั่งเมื่อยตูดสุด รากแทบงอกค่ะ   แต่ก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพนะค่ะ ลงจากรถโดยสารออกมาก็แทบช็อค รีบเปิดกระเป๋าเป้ หยิบเสื้อกันหนาวมาส่วมใส่เลยค่ะ เพราะอากาศเย็นเสียเอามากๆเลย สภาพอากาศช่างแตกต่างจากที่กรุงเทพมหานครโดยสิ้นเชิงค่ะ



พอมาถึงก็มาขึ้นรถสองแถว เพื่อนั่งสองแถวจากขนส่งเชียงรายสายใหม่ เพื่อเดินทางไปขนส่งใหม่สายเก่าค่ะ โดยการขึ้นรถสองแถวนี้จะต้องรถให้คนเต็มก่อนเท่านั้นนะค่ะ รถถึงจะออก ราคาโดยสารอยู่ที่ 15 บาท ถ้าไม่เต็มรถก็ไม่ออกค่ะ หรือไม่ก็เสียราคาแพงกว่าเดิมค่ะ  วันนั้นเดี๊ยนเสียเงินค่าโดยสารไป 20 บาทค่ะ มีผู้โดยสารประมาณ 10  คนกระมัง เดี๊ยนก็จำไม่ได้แล้ว รถก็ขับมาส่งที่สถานีขนส่งเชียงรายสายเก่าในตัวเมืองค่ะ

รถสองแถวขับจากขนส่งสายใหม่มาส่งที่ขนส่ายเก่า มาถึงก็แทบตกใจ เพราะที่ขนส่งสายเก่ากำลังมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารอยู่ค่ะ จำแทบไม่ได้เลยค่ะ พอลงจากรถเดี๊ยนก็รีบเดินออกจากสถานีขนส่งเลยค่ะ เพื่อออกมาเดินหาร้านเช่ามอเตอร์ไซต์

เดี๊ยนเดินแบกเป้ เดินออกจากสถานีขนส่งมา ก็เดินสาระวนหาร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ เดินไปเดินมา ก็เริ่มหลงทางแล้วนะค่ะ เพราะมือถือไฮเทคระดับ 4ซ่า5จี ที่มีโปรแกรมจีพีอาร์เอชนำทาง แทบจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเดี๊ยนเลย ยิ่งจะถลำนำพาเดี๊ยนไปยังเส้นทางที่เดี๊ยนไม่คุ้นเคยเสียเอาเลยจริงๆ  อีกอย่างท้องไส้ก็เริ่มร้องหิวโหย โว้ยวายใหญ่แล้วก็เลย ต้องไปหาอะไรประทังท้องตอนเช้านี้ไปเสียก่อน


เดินมาไม่ไกลนักก่อน ก่อนจะไปเจอถนนเส้นใหญ่ มาพบร้านข้าวหมูแดงนครปฐม มาตั้งหลักขายไกลอยู่เชียงรายให้ได้ลิ้มลองรสชาติ เดี๊ยนไม่ไหว้แล้ว เลยขอจัดไป 1 จาน มาเพิ่มไขมันและคอลเลสเตอรอสให้กับร่างกายตัวเอง ที่อ้วนขึ้นทุกวีทุกวันค่ะ...พอได้ทานแล้วค่อยยังชั่วค่ะ รสชาติอร่อยใช้ได้เลยค่ะ ถือว่าได้ประทังท้องมื้อเช้าไปแล้ว มื้อนี้จัดไป 50 บาทค่ะ น้ำดื่มไม่ต้องซื้อค่ะ ดื่มน้ำขวดที่เหลือจากการนั่งรถโดยสารมาค่ะ

ทานข้าวหมูแดงอิ่มมากแล้ว ฝั่งตรงข้ามมีร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ให้เช่าด้วยค่ะ เดี๊ยนเลยไปติดต่อขอสอบถามราคาก่อน ผู้ให้เช่าบอกว่า ราคาเช่ามอเตอร์ไซต์อยู่ที่วันละ 200 บาท มัดจำ 3000 บาท....เดี๊ยนเลยตกลงเช่าเลยค่ะ จ่ายมัดจำไป 3000 บาท ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซต์ 3 วัน รวมกันก็ 600 บาทค่ะ ส่วนน้ำมันต้องเติมเองนะค่ะ

ได้รถมอเตอร์ไซต์คู่ใจไว้เช่าขับแล้วค่ะ เป็นมอเตอร์ไซต์เกียร์ออโต้ ก่อนขับต้องเตรียมตัว และเตรียมใจ เตรียมร่างกายให้พร้อมในการตะลุยขับรถไปไกลถึงดอยตุง-ดอยช้างมูบ ถือเป็นทริปการเดินทางที่ต้องใช้ความอดทนไม่น้อยค่ะ แต่ข้อดีของการขับรถมอเตอร์คือความสะดวก แต่อาจจะไม่สบาย อยากจอดแวะพักที่ใหนก็พักได้ อยากไปใหนก็ไปเถอะ อุ้ย..ชิวเว่อร์สุดๆค่ะ  ข้อเสียคือ รถไม่ได้บังแสงอุตราไวโลเลตให้เดี๊ยนเลยค่ะ เรียกว่าต้องสู้ฟ้าท้าลมแดดไม่น้อยค่ะ ต้องสละทิ้งความศิวิลาศ-ศิวิลัยและไฮโซโก้หรูในเมืองกรุง มาเป็นนักขับแว็นๆ แอ็นๆ แอ๋วดอยในเมืองเหนือ ดูสก๊อยไม่เบาค่ะ 55++

เดี๊ยยขับมอเตอร์ไซต์สะพายเป้+ถุงสำหรับกางเต็นท์ ออกจากตัวเมืองเชียงราย สิ่งที่ขาดไม่ได้หากมาเชียงราย ต้องไปแวะสักการะพ่อขุนเม็งรายก่อนค่ะ อยู่ที่ห้าแยกพ่อขุนเม็งราย จะได้เดินทางรอดปลอดภัย แคล้วคลาด ไม่มีพยาธิมาก่อกวนค่ะ

ได้เวลาเดินทางไกลแล้วค่ะ เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ออกจากเชียงรายมาเรื่อยๆ ท่ามกลางสภาพฟ้าที่ครึ้มทั้งวัน ส่วนสภาพอาหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิมอีกนะค่ะ ชั้นไขมันในร่างกายของเดี๊ยนก็เริ่มจับตัวเป็นก้อนๆแล้ว ไม่ได้แตกฟองละอองฟิ้ว ช่วยปกป้องความหนาบเหน็บจายภูมิอากาศภายนอกได้เลย   มือไม้เท้าเริ่มชา ขับมอไซต์ไปเนี่ยนะค่ะ คงขับได้ไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมงกระมังค่ะ เพราะอากาศเย็นเอาเสียจริงๆ จะขับเร็วกว่านี้เสียเอาก็ไม่ได้ค่ะ เพราะขับมอเตอร์ไซต์ยิ่งเจอลม ใบหน้าและริมฝีปากเดี๊ยนก็ยิ่งแทบแตกเป็นผืนดินทุ่งกุลาร้องให้เลยค่ะ ให้เอาโลชั่นหรือวาสลีนมาทาแล้ว ยังไม่หายเลยค่ะ รู้สึกว่าหน้าตัวเองไม่ด้านพอค่ะ.

เบื้องต้นเดี๊ยนขอสรุประยะทางในการเดินทางการขับแว็นมอไซต์ ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในวันแรกก่อนนะค่ะ

วันที่ 18 ธ.ค.58
-ระยะทางแรก ขับมอเตอร์ไซต์จากเชียงรายไป-ไร่ชาชุยฟง ประมาณ 40 กิโล่เมตรค่ะ
-ระยะทางต่อไป จากไร่ชาชุยฟงไป-ดอยตุง อีกประมาณ 20 กิโลเตรค่ะ
* แวะเที่ยวชมสวนแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง
-ระยะทางต่อไป จากพระตำหนักดอยตุง ขับไปชมสวนรุกชาติอีก 10 กิโลเมตร 
* กางเต็นท์นอนค้างคืน ที่ดอยช้างมูบ สุดชายแดนประเทศไทยที่สูงสุดในประเทศจากระดับน้ำทะเล 1500 เมตรกระมังค่ะ เห็นเค้าบอกกันค่ะ
 
เดี๊ยนขับรถออกจากเมืองเชียงรายประมาณ 20 กิโล  เข้าสู่ตำบลท่าสุด ก็แวะเข้าสู่หมู่บ้านเด็กโสละ เชียงรายค่ะ เพื่อร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กในมูลนิธิค่ะ เป็นทริปที่นอกจากมาเที่ยวแล้ว ก็ต้องแวะมาทำบุญทานด้วยค่ะ จะได้สบายทั้งใจและกาย ถึงแม้จะร่างกายเดี๊ยนยังไม่ได้อาบน้ำมาเลยตั้งแต่เมื่อคืน แต่เหมือนก็เหมือนได้อ่าบน้ำชะล้างคราบความตระหนี่ถี่เหนียว และชะโลมจิตรใจของตนเองออกไปได้เยอะๆเสียจริงค่ะ


เดี๊ยนได้ขับรถเข้าไปในมูลนิธิ เพื่อติดต่อที่สำนักงาน ก็มีเด็กๆ มากรี๊ดติ้งทายทักสวีดัด ประหนึ่งว่าเดี๊ยนเป็นแขกที่มีมีเกียรติสำคัญในการมามูลนิธินี้เสียจริงๆค่ะ แต่เด็กๆก็น่ารัก ยิ้มแย้มแก้มปริ ตามประสาเด็กดอยค่ะ ขึ้นมาติดต่อมีเจ้าหน้าเป็นผู้หญิงร่างสูง หน้ากลมยิ้มแก้มป่อง ออกมากล่าวทักทายเดี๊ยนเป็นภาษาเหนือ ฟังแล้วเสนาะเพราะพริ้งหูเสียจริงๆ


เดี๊ยนเข้าไปติดต่อที่สำนักงาน เพื่อร่วมบริจาคเงินสมทบ ทางเจ้าหน้าที่ก็ใจดี ต้อนรับมีน้ำทามาให้บริการ เดี๊ยนเองก็รู้สึกดีใจมากๆค่ะ ไม่เสียเที่ยวที่ได้แวะมาจริงๆค่ะ ตอนเดี๊ยนร่วมบริจาค ทางเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิก็ใจดี ให้พวงกุญแจลูกปัดเป็นของที่ระลึกด้วยค่ะ เป็นฝีมือเด็กๆที่ช่วยกันร้อยเรียงเป็นลูกปัดเพื่อมอบเป็นน้ำใจงามให้กับผู้ที่ร่วมกันช่วยเหลือมูลนิธิค่ะ


หลังจากที่เดี๊ยนแวะไปร่วมบริจาคเงินเพื่อสมทบการช่วยเหลือเด็กในหมู่บ้านเด็กบ้านโสสะ ออกจากหมู่บ้านท่าสุด ก็มุ่งตรงขับมอไซต์ดิ่งท้าความหนาว เข้าสู่อำเภอแม่จันค่ะ  ขับมาพบศาลเจ้าปู่ เจ้าปา เจ้าเขา ก็ต้องแวะมากราบไหว้ก่อนค่ะ จะได้เดินทางปลอดภัย แคล้วคลาด พยาธิไม่มาก่อกวนลำใส้ค่ะ


 จุดมุ่งหมายต่อไปคือ ไร่ชาฉุยฟงค่ะ มาตามรอยบ้า ละครทีวีค่ะ เห็นๆเค้ามาถ่ายกันก็บ้าตามเค้าค่ะ ก็เลยอยากแวะมาชมให้เป็นบุญตาบ้างค่ะ โดยเส้นทางไปไร่ชาฉุยฟง เป็นเส้นทางเดียวกับที่จะไปดอยแม่สลองค่ะ เส้นทางขึ้นเขาลงเขา เลี้ยวลดคดเคี้ยว


ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นลงเนิ่นเขาเมื่อยตูดมาไม่นานก็ถึงแล้วค่ะ ไร่ชาฉุยฟง สวยดีค่ะ รอบไร่ชา ห้อมลอบไปด้วยไร่สัปปะรดทั้งนั้นเลยค่ะ ดูไร่ชาแห่งนี้ น่าจะเป็นไร่ชาแห่งเดียวในนี้ ที่เป็นไร่ชาในบรรดาไร่สัปปะรถค่ะ เพราะตอนขับมอเตอร์ไซต์เข้ามาเอ้า เดี๊ยนเห็นแต่ไร่สัปปะรดเต็มริมสองฝั่งข้างทางค่ะ  พอขับมาเห็นแล้วก็ยังไม่สวยเท่าที่เห็นในเว็ปไซต์และทีวีเท่าไรนักนะค่ะ   แต่ถ้าท้องฟ้าเปิดมีพระอาทิตย์ทอแสงส่องรัศมีเจิดจรัสเป็นฟลอร่าดุจอร่าอร่ามคงจะสวยงดงามจับตาคณานับค่ะ


เดี๊ยนขับมอไซต์ เตรียมบิดคันเร่งขึ้นเนิ่นเขาเพื่อไปชม วิวทิวทัศน์ บนไร่ชาฉุยฟงค่ะ ทางขึ้นนี้ชันไฟ-สไลด์ลื่นเอาเสียจริงๆนะค่ะ ตอบขับขึ้นไม่เท่าไหร่ค่ะ อีตอนจะลง คงจะเสียววี๊ดวิ้วน่าดูค่ะ ดูในภาพเหมือนไม่ชัน แต่ถ้าลองขับมอเตอร์ไซต์มา เดี๊ยนล่ะใจแทบจะมลายหายสูญไปอยู่ที่ดอยยายเหงาค่ะ




เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์สะพายเป้อันหนักขึ้นมาถ่ายรูป วิวด้านบน ภาพสวยไม่เบาค่่ะ ดูๆไปแล้ว คล้ายกับการทำนาขึ้นบันใดเลยนะค่ะ ถ้าท้องฟ้าเปิดมีพระอาทิตย์ทอแสงส่องรัศมีเจิดจรัสเป็นฟลอร่าดุจอร่าอร่ามคงจะสวยงดงามจับตาคณานับค่ะ
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post_6.html
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post.html


มองไปเห็นวิวอีกฝั่งมีร้านชาและกาแฟไว้ให้บริการผู้ที่มาเยี่ยมชมไร่ชานี้ ดูเห็นผู้คนมาเที่ยวไร่นี้แล้ว มากันแบบไม่ขาดสายเลยนะค่ะ เดี๊ยนมาก็เห็นแต่รถเก๋ง รถตู้ ยกเว้นรถถังที่ไม่มีคนขับมา คล้าคลั่งเป็นด้วยนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว ที่จังหวัดเชียงราย เพื่อสัมผัสอากาศหนาวค่ะ นี้ขนาดเป็นวันธรรมดานะค่ะ ถ้าเป็นช่วงวันหยุดยาวนี้ผู้คนจะเยอะแยะขนาดใหน เดี๊ยนว่า ไร่ชาฉุยฟงแทบแตกแน่ๆค่ะ รถราคงจะติดรอคิวกันผลัดขึ้นมาชมวิวไร่ชาบนดอยเป็นแน่แท้ค่ะ

เดี๊ยนใช้เวลาอยู่ไร่ชาฉุยฟง ประมาณ 20 นาที ก็เตรียมเดินทางต่อค่ะ อ้อ..ตอนขับออกจากไร่ชามาแวะเห็นผลเสาวรสวางขายเป็นถุงๆ จำหน่ายอยู่ เดี๊ยนเลยแวะซื้อเพื่อมากิน เติมเต็มให้มีวิตามินซีในร่างกายซักหน่อยค่ะ ผิวพรรณจะได้เปล่งปลั่งเป็นยองใย ตอนนี้ผิวพรรณ เดี๊ยนก็ดูเสียเอาไม่ได้เลยจริงๆนะค่ะ เหี่ยวเฉาเป็นดอกไม้เน่าเลยค่ะ

เดี๊ยนขับรถออกจากไร่ชาฉุยฟง ไม่นานนัก ก็ได้เวลาระทึกใจ ขับมอเตอร์ไซต์ไต่เขาขึ้นไปดอยตุงแล้วค่ ขับรถจากอำเภอแม่จัน เข้ามาที่แยกห้วยไคร้ ก็ขับมอเตอร์ไซต์สะพายเป้มาเรื่อยๆค่ะ  เส้นทางก็ไม่ได้ชันมากเท่าไหร่ค่ะ ขับสบายๆแต่อากาศหนาวก็จับใจ ลมเย็นๆประทะกับใบหน้า ถึงเอาครีมเบเต้าทาก็เอาไม่อยู่ค่ะ ลมพัดหวิวๆ เห็นวิวสองข้างทางเป็นป่าไม้เขียวชะอุ่ม ช่างชื่นช่่ำสบายอุราจริงๆค่ะ


 ขับรถมาตั้งนานค่ะ ตอนนี้รู้สึกเมื่อยหลังสุดเลยค่ะ  พอเห็นป้ายบอกทางแล้วก็ชื่นใจสบายอุราค่ะ เพราะบอกว่าใกล้ถึงพระตำหนักดอยตุงแล้วค่ะ สมัยก่อนตอนมาเที่ยวดอยตุงก็นั่งรถตู้มา ไม่ได้รู้สึกว่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้เลยค่ะ ความรู้สึกต่างกันมากกับเมื่อสมัยอดีตค่ะ มาเที่ยวดอยตุงครั้งนี้ เหมือนมาเที่ยวเชียงรายรำลึกยังไงก็อย่างนั้นเลยค่ะ 

ป้ายบอกว่าใกล้ถึงแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงสักกะทีค่ะ ขับไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆค่ะ อากาศอุณหภูมิก็เย็นล้ง..เย็นลง มือไม้เดี๊ยนนี้เริ่มจะบิดคันเร่งมอเตอร์ไซต์ขึ้นไปไม่ค่อยได้แล้วค่ะ
เห็นป้าย กม.14 บอกป้ายวิวพักผ่อนริมทาง เดี๊ยนเลยขอเลี่ยวแวะพักสักแป๊บค่ะ ไม่ไหวแล้วค่ะ เพราะปวดเมื่อยหลังสุด เนื่องจากต้องแบกเป้มาด้วยค่ะ เดินไปพักริมวิวหน้าผา พอเห็นวิวแล้วดูเหมือนฟ้าช่างมืดครื้มเหมือนจะฝนตกจะยังชอบกลไม่รู้ค่ะ ลมพัดเฉื่อยเรื่อยๆเย็นจับใจจริงๆค่ะ

ในที่สุดก็ถึงสักทีค่ะ จุดหมายปลายทางที่รอคอย ดอยตุง ชื่อดอยที่หมายถึงความรุ่งโรจน์ช่วงโชติชัชวาลย์ แผ่กว้างครอบสุดขอบจักรวาลไพศาลแห่งดินแดนล้านนา มีตุงประดับประดาสีสันฉูดฉาดวิลาศวิลัยละมัยอำพรรณมากๆค่ะ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวมาเยือนดอยแห่งนี้  ดอยตุงเมื่อก่อนเป็นผู้เขาหัวโล้นเลย แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จย่า ทรงมีพระราชดำริมา พัฒนาดอยแห่งนี้ โดยสร้างโครงการหลวงต่างๆ และสร้างพระตำหนักดอยตุง เพื่อเป็นที่ประทับ จนเป็นดอยที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาชื่นชมอย่างไม่ขาดสาย ช่างน่าภูมิใจมากๆเลยค่ะ


ใกล้ๆก่อนถึงพระตำหนัก มีกาดดอยตุง เดี๊ยนเลยขับมอเตอร์ไซต์ไปจอดไว้ที่กาดค่ะ เอากระเป๋าเป้วางไว้กับมอเตอร์ไซต์เลย คงไม่หายหรอก ถ้ามีคนจะขโมยไป ก็ขโมยเอาไปเลยค่ะ เพราะมันหนักมากๆค่ะ แต่เดี๊ยนว่าคงไม่มีใครขโมยไปแน่ๆ เพราะไม่มีของมีค่าราคาเงินล้านให้เอาไปหรอกค่ะ


มาถึงดอยตุงทั้งที ก็ดูแผนที่ก่อนค่ะ ตอนนี้เดี๊ยนอยู่ที่พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง หมายเลข 4 หมายเลข 1 และหมายเลข 2

ทางไปพระตำหนักดอยตุง และสวนแม่ฟ้าหลวงค่ะ


ช่วงนี้เป็นช่างฤดูหนาวค่ะ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนพระตำหนักอย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ เดี๊ยนเห็นความน่ารักของช่างน้อยสีชมพู สองตัวนี้แล้ว อดไม่ได้ต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปค่ะ บนดอยนี้เต็มไปด้วยหมอกสีขาวค่ะ จะขับรถขับราก็ต้องระวังนะค่ะ


ก่อนจะเข้าไปยังพระตำหนัก ต้องไปซื้อบัตรเพื่อเสียค่าธรรมเนียมเข้าก่อนค่ะ เดี๊ยนจัดไปเลย 3 สถานที่ค่ะ คือ พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง และ สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวงที่ดอยช้างมูบ รวมราคา 220 บาทค่ะ


เวลาที่เดี๊ยนมาถึงนี้ก็บ่าย 1 แล้วค่ะ ท้องเริ่มหิวอีกแล้ว สงสัยข้าวหมูแดงเมื่อเช้านี้เอาไม่อยู่แล้วแน่ค่ะ วันนี้เลยหาอะไรร้อนๆทานก่อนค่ะ ไปๆมาคิดไม่ออก ไม่รู้จะทานอะไรดี เลยจัดชาร้อนดอยตุง และขนมเค้กไปทานเป็นมื้อเที่ยงนี้แทนค่ะ  พอได้ทานแล้วก็รู้สึกช่วยให้เดี๊ยนสดชื่น หน้าตาอาจดูด้านชาไปบ้าง เพราะดื่มชาไป ผิวพรรณจากที่เหี่ยวเฉาเป็นดินแตกระแหงทะแยงเป็นลายแมงมุม ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นผิวพรรณสีสดใสผุดผ่องเป็นยองใยเป็นสาวที่ไฉไลเปรี้ยวจี๊ดขึ้นมาทันตาเห็น... ขนมเค้กชิ้นเล็กไปหน่อย แต่ก็พอทานพออยู่ท้อง ไม่อิ่มหรอกค่ะ ทานไปงั้นๆ แหละ จริงๆก็อยากทานข้าวนะค่ะ แต่กำลังลดความอ้วนอยู่ เลยไม่อยากทานมากไปกว่านี้ เดี่ยวจะไปใยเฉิ่มเบ้อะเกินควร


ทานชาร้อนๆให้ชุ่มคอ กับขนมเค้กบลูเบอรี่ไปแล้ว ก็พอมีแรงขึ้นมาบ้างค่ะ ได้เวลาไปชื่นชมความงามของความงดงามและเว่อร์วังอลังการสุดจะพรรณนาของดอยตุงแล้วค่ะ สถานที่แรกที่ต้องไปคงพลาดไปไม่ได้กับ สวนแม่ฟ้าหลวง เพื่อชื่นชมความงดงามของมวลดอกไม้นานาพรรณ ที่ตกแต่งกันได้อย่างเว่อร์วังอลังการ ดุจวิมานสวรรค์ชั้นดาวดึง ตราตรึงอยู่ในใจเดี๊ยนไม่รู้ลืมค่ะ

ประวัติสวนแม่ฟ้าหลวง 
เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ในหุบเขา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 เดิมมีพื้นที่ 12 ไร่ มีการปลูกดอกไม้หมุนเวียนสลับ ให้ออกดอกไม่ซ้ำกันตลอดสามฤดู ล้อมรอบประติมากรรมชื่อ "ความต่อเนื่อง" เป็นรูปเด็กยืนต่อตัวที่กลางสวน นอกจากนี้ ยังจัดแต่งสวนหินซึ่งประดับด้วยหินภูเขากลมเกลี้ยงขนาดใหญ่ สวนน้ำอุดมด้วยไม้น้ำพันธุ์ต่างๆ บัว และสวนปาล์มที่รวบ รวมปาล์มไว้มากมายในพื้นที่ 13 ไร่ สวนแม่ฟ้าหลวงจึงมีพื้นที่ทั้งสิ้น 25 ไร่ (ขอขอบคุณเนื้อหาดีจาก สารานุกรมเสรีวิกีพีเดียค่ะ)

สวนแห่งนี้มีดอกไม้นานาพรรณ ทั้งดอกไม้เมืองร้อน ดอกไม้เมืองหนาวหาดูได้ยาก ให้ได้ชื่นชม สีสันสดใส พิศมัยวิลัยลาส ประดุจดั่งมวลดอกไม้ในสวนบุปผาสวรรค์ชั้นฟ้า ที่เริ่งราล้อเล่นลมลาย-สายหมอกเฆม เสกมนต์ขลังดั่งต้องมาได้มาเยือนสักครั้งสักครา ให้เป็นบุญตา เพื่อบันทึกในไดะอารี่เล่มสีฟ้าไม่ให้ลืมเลือนค่ะ

บัตรค่าธรรมเนียมเข้าชมพระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง และสวนรุกขชาติค่ะ ตอนแรกก็ถือถ่ายค่ะ แต่มือไม้เดี๊ยนก็สั่นเครือไปหมดค่ะ เลยวางบนท่อนไม้ แล้วถ่ายเอาดีกว่าค่ะ


เดี๊ยนเดินเข้ามาในสวน เดินย่างกรายเข้ามา ท้าลมหนาว+สายหมอกที่พร้อมจะกลืนกินเดี๊ยนเข้าไปแดนดงค่ะ พอเดินเข้าก็ แทบตกใจไปพบสัตว์ที่ถูกประดับไว้ในสวน ไม่รู้ว่า่จิ้งจกอะไรตัวใหญ่จังค่ะ หรือตัวตุ๊กแกก็ไม่รู้ค่ะ รอมาทักทายคน ถ้ามันมีชีวิตจริง ในสวนแห่งนี้คงสนุกน่าดูค่ะ ได้วิ่งหนีกันให้วุ่นเลยค่ะ 555+
พอเดินเข้ามาก็จพบกับการจัดสวนที่ทาง เจ้าหน้าที่ภายในสวนแม่ฟ้าหลวง สร้างสรรค์ขึ้นได้อย่างสวยงามค่ะเห็นน้องลิงตัวนี้แล้วช่างน่ารักเสียจริงๆค่ะ ไม่ยอมเปลี่ยนท่าเอาเสียเลยค่ะ โหนตัวลงมาทักทายผู้คนที่มาเยือนสวนสวยๆแห่งนี้ค่ะ


 เมื่อได้เดินเข้ามาก็ไม่พลาดนะค่ะ ที่ได้ชื่นชมดอกไม้นาพรรณ ที่หาชมได้ยาก ผลิดอกออกใบมีสีสันสดใส ต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาชืนชมและถ่ายรูปกันค่ะ.....เดี๊ยนเข้ามาในสวนแม่ฟ้าหลวงวันศุกร์ สภาพอากาศบนดอยทั้งหนาวเย็นและมืดครื้ม แต่คนที่มาเที่ยวในสวนก็มากันอย่างต่อเนื่องค่ะ แต่ก็ไม่ได้เยอะแน่นจนเกินไปค่ะ

 เมื่อมาถึงสวนแห่งนี้ ใครที่จิตใจหดหู่ ดูไม่สดชื่น เมื่อได้เห็นมวลดอกไม้บุปผานานาพรรณ ขยันชูช่อสีสันให้ชื่นชมทั้งดอกไม้จากเมืองนอกเมืองนา รวมทั้งดอกไม้เมืองป่า เมืองปาย ถูกมาจัดแสดงไว้ให้ได้เห็นกันเป็นบุญตา เรียกว่ามาสวนแห่งนี้ เหมือนได้ไปชมสวนดอกไม้ที่เมืองนอกเลยค่ะ ดอกไม้แต่ละชนิด เห็นได้เฉพาะในภูมิอากาศหนาวเท่านั้นนะค่ะ....ดูดอกไม้นี้สิค่ะ คล้ายดอกกุหลาบ แต่ไม่ใช่นะค่ะ มันคือ ดอกไลซิแอนทัส แค่ชื่อดอกไม้ก็ชนะเลิศ เว่อร์วังอลังการ เรียกขานก็ยากแล้วค่ะ


มีการจัดสวนต้อนรับคนในช่วงปีใหม่ ดี๊ยนช่างโชคดีเสียกระไรเช่นนี้ หาได้มีผู้คนมาดมดอม-ตอมสวนแห่งนี้ไม่ ทำให้เดี๊ยนแชะภาพมาได้ แบบไร้ผู้คนมารอคิวถ่ายกัน.. ถ้าเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาว เดี๊ยนคงพลาดค่ะ




เอื้องดอกไม้หลากสีสันถูกนำมาปลูกไว้บนต้นไม้ เรียงรายกันเบ่งบานผลิ-ดอกออกใบทั้งกล้วยไม้ขาวพราวชมพู ดูแล้วน่าชื่นชม ช่างสวยสม สดชื่นระรืนตา จนอยากไปเด็ดตัวดอกมาทัดที่ใบหู ทำให้ดูเหมือนนางในวรรณดี แต่คงต้องไม่ใช้นางกากี หรือนางโมราแน่ๆค่ะ


เดี๊ยนเดินมาอีกหน่อย ก็มาพบกับเจ้าดอกเบญจมาศ เยอบี่ร่า คาร์เทีย ช่างสวยเสียจนอยากนำมาจัดไว้ในแจกัน มีดอกเล็ก ดอกใหญ่ สลับไปกับสีส้ม ขาว พราว แดง เหลือง ดูรุ่งเรืองสดใสวิลัยลาศยิ่งนักค่ะ เดินเหินไปที่ใหนในบุปผาแม่ฟ้าหลวงแห่งนี้  ก็พบแต่ดอกไม้สีสันสดใส เห็นทีไรก็ชื่นทั้งใจและกายให้ผ่อนคลายสบายตัวจริงๆค่ะ


เจ้าเป็ดน้อย กลอยใจ หลอกล้อเล่นว่ายน้ำในคู ดูแล้วน่ารักจริงๆค่ะ  อากาศในนี้ก็เย็นเสียจนเจ้าเป็ดน้อยกระพืดปีก-สะบัดละอองน้ำให้ฟูฟ่องละอองฟิ้ว ดูชีวิตเจ้าเป็ดนี้ชิวๆ มากๆเลย น่าอิจฉาจังค่ะ

มอเตอร์ไซต์เวสป้า คันโก้ ถูกนำมาทำเป็นกระถางปลูกดอกไม้นานาพรรณ ทั้งเยอร์บี่ร่า คาร์เทีย เบญจมาศ รวมทั้งดอกไม้หลากนานาชาติ ก็นำมาปลูกรวมกันไว้ในมอเตอร์ไซต์คันนี้ แต่เสียดายที่ขับไม่ได้

ดอกเบญจมาศสีขาวพราวบานสะพรั่ง ถูกนำมาจัดเรียงปลูกไว้ในรถเข็น ช่่างน่ารักและสวยงดงามอร่ามตายิ่งนัก เดินไปที่ใหนก็มีแต่มุมถ่ายรูปสวยๆ ฟินๆทั้งนั้นเลยค่ะ


เดินออกมาจากสวนดอกไม้นานาพรรณ สู่ไฮไลท์ของสวนแม่ฟ้าหลวง คงพลาดไม่ได้กับการต้องได้แวะเดินมายังสวนดอกไม้ที่รูปปั่นประติมากรรมต่อเนื่องค่ะ ถือเป็นสวนที่ผู้คนให้ความสนใจมากค่ะ เดี๊ยนเดินทางถึงตรงนี้แล้ว ก็นึกย้อนวัยไปตอนที่มาเที่ยวเชียงรายครั้งแรก เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว สวนแห่งนี้ยังสวยและได้รับการดูแลถนุถนอมเหมือนเดิมค่ะ

ป้ายอธิบายเรื่องราวประติมากรรมต่อเนื่อง ดูท่าจะเก่ามากๆน่าดูค่ะ ความชื้นและการแทรกตัวของเชื้อราไปเจริญเติบโตทับตัวอักษรบนแผ่นป้าย ให้มืดมัว ทำให้มองเนื้อหาที่อธิบายได้ไม่ค่อยชัดมากนัก

สวนประติมากรรมต่อเนื่อง ยามที่ไร้ผู้คนมารถยืนถ่ายรูป ช่างสวยงามจริงๆค่ะ ถ่ายรูปไปก็ต้องป้ดหน้ากล้องถ่ายรูปไป เพราะละอองของน้ำค้างจากมวลหมอกที่ปลิวลิ้วล่องมาจากต้นไม้สูงใหญ่ ปะทะกับเลนส์กล้องถ่ายรูป ทำให้ภาพมัวมืดไปกันใหญ่ อากาศก็มืดครืมอยู่แล้วค่ะ




เดี๊ยนเดินมาได้สักพัก แหงนดูนาฬิกาในข้อมือ ได้เวลาแล้ว ที่ต้องร่ำลาบุปผาสวนแม่ฟ้าหลวง ถือว่ามาเดินชมดอกไม้ คลายความกังวล จนไปถึงสลัดความวุ่นวาย  ด้วยการมาใช้ชีวิตง่ายๆ อยู่บนดอยตุงค่ะ


เดี๊ยนใช้เวลาอยู่ในสวนบุปผาแม่ฟ้าหลวง ชื่นชมความงดงามของมวลดอกไม้นานาพรรณ ที่ตกแต่งกันได้อย่างเว่อร์วังอลังการ ดุจวิมานสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตราตรึงอยู่ในใจเดี๊ยนไม่รู้ลืมค่ะ

สถานที่ต่อไปค่ะ ที่ควรค่าการไปอย่างยิ่ง นั้นก็คือ พระตำหนักดอยตุงค่ะ ซึ่งอดีตเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จย่ามาก่อน ปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่ประทับอยู่ค่ะ และเปิดโอกาศให้นักเดินทางท่องเที่ยวได้มาเยือมชมและศึกษากันอย่างน่าประทับใจค่ะ

เดี๊ยนแสดงบัตรที่ทางเข้า จากนั้นก็เดินมาตามทางเนิ่นขึ้น ไปพระตำหนักดอยตุงค่ะ ตลอดเส้นทาง มีมวลดอกไม้นานาพรรณประดับริมทางเดินไป สวยงามเริ่ดเลอเพอเฟ๊คมากๆค่ะ


เมื่อเดินไปถึงพระตำหนักแล้วนะค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่ประกาศทางโทรโข่ง เรียกให้นักท่องเที่ยวได้ต่อคิวกันเข้าไปด้านในพระตำหนักค่ะ ซึ่งด้านในห้ามถ่ายรูป ห้ามส่งเสียงดังเด็ดขาดนะค่ะ แต่จะมีเครื่องอธิบายจุดชมต่างๆให้ได้ฟังกันตามแต่ละจุดค่ะ เครื่องอธิบายนี้ดูคล้าย ซาวเบาว์หรือไม่ก็เครืื่องเล่น mp3 เลยค่ะ มีหูฟังให้ด้วยนะค่ะ

เครื่องเป็นอย่างนี้เลยค่ะ จะมีหมายเลขบอกอธิบายถึงจุดตำแหน่งที่แสดงในพระตำหนักแต่ละจุดค่ะ เรียงตามหมายเลขไปค่ะ เดี๊ยนเดินเข้าไปชมด้านในพระตำหนักแล้ว  ต้องขอบอกเลยค่ะว่า สุดยอดมากๆ สวยงามประดุจดั่งห้องในวิมานชั้นฟ้า ในพระตำหนักเป็นที่ประทับและที่ทำงานของสมเด็จย่า พอเข้าไปแล้วรู้สึกอบอุ่นมากๆค่ะ

ประวัติพระตำหนักดอยตุง 

พระตำหนักดอยตุงเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2530 เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มี พระชนมายุ 88 พรรษา โดยก่อนหน้านั้นมีพระราชกระแสว่า หลังพระชนมายุ 90 พรรษา จะไม่เสด็จไปประทับที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ จึงได้เลือกดอยตุง ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม ขณะเดียว กันสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี เมื่อทรงทอดพระเนตรพื้นที่ เมื่อต้นปี พ.ศ. 2530 ก็ทรงพอพระราชหฤทัย และมีพระราชดำริจะสร้างบ้านที่ดอยตุงพร้อมกันนี้ ยังมีพระราชกระแสรับสั่งว่าจะ ปลูกป่าบนดอยสูงจึงกำเนิดเป็น โครงการพัฒนาดอยตุงขึ้น โครงการพัฒนาดอยตุงเริ่มดำเนินการโดยความร่วมมือจากหน่วยราชการทุกส่วน เช่น กรมป่าไม้ กรมชลประทาน หน่วยงานด้านปกครอง นอกจากทำการปลูกป่าฟื้นฟูสภาพพื้นที่แล้วยังมีการฝึกอาชีพ เพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเขาบนดอยตุง ซึ่งประกอบด้วยชาวเขาเผ่าอาข่าลาหู่ ไทยใหญ่ และจีนฮ่อ ขณะเดียว กันยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตนไว้

      พระตำหนักแห่งนี้ ถือเป็นบ้านหลังแรกของสมเด็จย่า สร้างขึ้นโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์โดยเน้นที่ความ เรียบง่ายและการใช้ประโยชน์ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จย่าพระตำหนักยังได้ รับการอนุรักษไว้เป็น อย่างดีและเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าเที่ยวชม สถาปัตยกรรมของพระตำหนักเป็นการผสมผสาน ระหว่างสถาปัตยกรรมแบบล้านนา กับบ้านพื้นเมืองของสวิส สร้างบนไหล่เนิน มองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลสุดสายตา พระตำหนักมี สองชั้น และชั้นลอยชั้นบนแยกเป็นสี่ส่วน แต่เชื่อมต่อกันเป็นอาคารหลังเดียว ที่โดดเด่นสะดุดตา คือ กาแลและ ไม้แกะสลัก เป็นเชิงชาย ลาย เมฆไหล ที่อ่อนช้อยโดยรอบ ภายในตำหนักล้วนใช้ไม้สน และไม้ลังที่ใส่สินค้า เป็นเนื้อไม้สีอ่อนที่สวยงามจุดน่าสน ใจอีกจุดคือ เพดานดาว ภายในท้องพระโรง แกะสลักขึ้นจากไม้สนภูเขาเป็น กลุ่มดาวต่างๆ ล้อมรอบระบบสุริยะ ชมได้อย่างไม่รู้เบื่อ ส่วนบริเวณผนังเชิงบันได แกะสลักเป็นพยัญชนะไทย พร้อมภาพประกอบภายหลังการสวรรคตของสมเด็จย่า พระตำหนักยังได้รับการอนุรักษ์ ไว้เป็นอย่างดี และบางครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชกรณียกิจที่จังหวัดเชียงราย ก็จะเสด็จมาประทับ ณ พระตำหนักแห่งนี้ (ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากสารานุกรมเสรี วิกีพีเดีย)

สถานที่ภายในพระตำหนัก 
1.หอพระราชประวัติ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าสุดของพระตำหนัก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ แปดห้อง ดังนี้
-ห้องแรก แผ่นดินไทยฟ้ามืด กล่าวถึงการเสด็จถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2539
-ห้องที่ 2 ฉันจะเดินทางด้วยเรือลำนี้ แสดงถึงปรัชญาในการดำเนินพระชนม์ชีพ ที่ประกอบด้วยหลักเหตุผล และการสร้างสรรค์ทางศิลปะ
-ห้องที่ 3 ภูมิธรรม ประมวลความสนพระทัยในหลักธรรมคำสั่งสอน
-ห้องที่ 4 หนึ่งศตวรรษ เป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จย่า และเฉลิมฉลองในวาระ 100 ปีแห่งการพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ. 2443 ทั้งนี้ ทรงพระปรีชาชาญ ในการอภิบาลพระธิดา และพระโอรสที่ต่อมาได้เถลิงถวัลย ราชสมบัติ เป็น พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ รวมทั้งทรงนำความรู้ใหม่ๆ มาใช้ในงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ของพสกนิกร จนองค์การยูเนสโก ได้ประกาศพระนามในปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก
-ห้องที่ 5 เวลาเป็นของมีค่า กล่าวถึงงานฝีมือต่างๆ ของพระองค์ที่ใช้พระราชทานแก่บุคคลต่างๆ
-ห้องที่ 6 พระมารดาแห่งการแพทย์ชนบทและการสาธารณสุขไทย
-ห้องที่ 7 พระผู้อภิบาล บรรยายถึงความเป็นพระผู้อภิบาลธรรมชาติ
-ห้องที่ 8 ดอยตุงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวถึงโครงการพัฒนาดอยตุงที่เป็นโครงการพัฒนาระยะยาว เน้นการ อนุรักษ์ธรรมชาติและคุณภาพชีวิตของประชาชน
(ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากสารานุกรมเสรี วิกีพีเดีย)

เดี๊ยนใชเวลาอยู่ในสวนนี้ไม่นาน ก็ได้เวลาร่ำลาพระตำหนักดอยตุง เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายของวันนี้แล้วค่ะ นั้นคือ สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวงค่ะ ซึ่งห่างจากพระตำดอยตุงไปอีกประมาณ 8 กิโลเลยนะค่ะ

เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ออกจากพระตำหนักดอยตุง มุ่งหน้าตรงไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายของวันนี้ก่อนจะไปกางเต็นท์นอนบนดอยช้างมูบค่ะ  ตลอดเส้นทางการเดินไปสวนรุกขชาตินี้ ต้องฝาสายหมอกที่ขาวประดุจดั่งควันที่พร้อมกลืมกินเดี๊ยนให้มุดตัวให้หายไปได้ทุกเมื่อ  ขับมอเตอร์ไซต์ไปก็ต้องเปิดไฟ และเมื่อถึงทางโค้งก็ต้องบีบแตร่ เรียกขานรถด้านหน้าให้รับรู้ว่ามีรถกำลังจะมาค่ะ  ขับไปก็ลุ้นไป อากาศก็หนาวเย็นจับใจมากๆค่ะ ขับมอไซต์ไปก็รู้สึกวังเวงยังไงไม่รู้ค่ะ เพราะการไปสวนรุกขชาติวันนั้น เป็นวันธรรมดา อีกอย่างก็ตกเย็นประมาณ 4 โมงได้แล้วกระมัง แต่รู้สึกเหมือนจะพลบค่ำแล้วยังไงชอบกลค่ะ แต่ก็สู้ขับมาจนมาถึงสวนรุกขชาติจนได้ค่ะ


ใจหายขับรถฝ่าสายหมอกไต่เขาขึ้นลง ชันไฟสไลด์ลื่น...ในที่สุดใจของเดี๊ยนก็สว่างขึ้นแล้วค่ะ มาถึงสักทีค่ะ สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1500 เมตรค่ะ  สูงกว่าที่พระตำหนักดอยตุงประมาณ 300 เมตรเลย อากาศด้านบนหนาว่่จับใจมาก สายเมฆปกคลุมไปทั่วทั้งผืนป่าบนยอดดอยตุงแห่งนี้ค่ะ

ไฮไลท์เด่นของสวนแห่งนี้คือ เป็นสวนรวมพันธุ์ไม้หาอยาก โดยเฉพาะดอกกุหลาบพันปีสีต่างๆ ที่ไม่มีให้เห็นบนพื้นดินราบ จะเจริญเติบโตเฉพาะในที่อากาศหนาวเย็นและอุดมสมบูรณ์เท่านั้นค่ะ 

เดี๊ยนเดินเข้ามาในสวนมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับ และให้แสดงบัตรการเข้าชมด้วยค่ะ พอเดินเข้ามาก็ตกใจไม่น้อย เพราะความรู้สึก เหมือนกับว่ากำลังเดินเข้าสู่ห้วงสายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วผืนป่าในสวนรุกชาติค่ะ เดินเข้ามาก็จินตนาการไปตลอดค่ะว่า จะเจอเจ้าชายหรือเทพบุตรออกจากสายหมอกที่ขาวขุ่นเพื่อมารับสาวแก่อย่างเดี๊ยนหรือไม่  เพราะบรรยากาศใกล้จะพลบค่ำก็เป็นใจเสียเหลือเกิน แต่ยังดีที่มีคนสวนรถน้ำให้ได้ยินเสียงบ้าง มีชาวเขาบนดอยแห่งนี้ พูดภาษาถิ่นให้ได้ยินฟังแล้วคล้อยตามไปด้วย


ดอกกุหลาบพันปี พันธ์ผสมค่ะ



ดอกคามีเลีย ออกดอกพุ่มเต็มต้นค่ะ บางก็กำลังผลิ-ดอกออกเบ่งบานสีชมพูอ่อนบ้าง-เข้มบ้างสีสันสวยจับใจ บางดอกก็กำลังร่วงโรยราไปตามอายุสังขารที่หมดวัยค่ะ

มีจุดชมวิวให้ได้ชมด้วยนะค่ะ แต่เดินไปก็เห็นแต่สายหมอกค่ะ หาได้เป็นทะเลหมอกไม่... ถ้าฟ้าเปิดมีแสงพระอาทิตย์ทอแสงส่องเรไร คงจะสวยงามวิไลเลิศเลอเพอเฟ๊คอยู่ไม่น้อยนะค่ะ เพราะจะได้เห็นผืนป่าสีเขียวชะอุ่มบนดอยตุง... แต่การมาครั้งนี้ เดี๊ยนเองก็ผิดหวังอยู่ไม่น้อย เพราะมาเจอแต่สายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วผืนดอยพร้อมอากาศที่หนาวเย็นจับใจ จนมือไม้ชาไปหมดค่ะ ประหนึ่งว่าเหมือนได้มาเที่ยวเมืองนอกเลยค่ะ
 เดินมามีสวนดอกกำหล่ำปลุกไว้ เรียงราย รอเปลี่ยนเป็นสีขาว-ม่วงให้ได้ชื่นชนกันค่ะ

ไฮไลท์ของสวนแห่งนี้คือ ดอกกุหลาบพันปีสีแดง แต่เดี๊ยนมาช่วงเดือนธันวาคม ดอกยังไม่บานเลยค่ะ ต้องมาประมาณกลางเดือนมกราคม-กุมพาพันธ์ ก็จะได้เห็นดอกกุหลาบพันปี แค่ชื่อก็บ่งบอกถึงความขลังแล้วค่ะว่า ไม่ได้ออกดอกให้เห็นง่ายนะค่ะ ถ้าอยากเห็นต้องไปตามดอยสูงๆมีอากาศหนาวเย็นตลอด เช่นดอยตุง ดอยอินทนนท์ ดอยหลวงเชียงดาว เป็นต้นค่ะ


ถึงแม้ดอกกุหลาบพันปีสีแดง ยังไม่เบ่งบานชูช่อกลีบและเกสรให้ได้เห็น แต่เดี๊ยนเดินมาเจอดอกรักเร่ ก็สวยงามมากๆค่ะ ชูช่อเอนอ่อนกะมิดกะเมี้ยนทำท่าล้อสายลมหมอก เย้าหยอกเล่น เห็นแล้วก็อยากเด็ดมาดมนักค่ะ แต่ก็ไม่กลิ่นอะไรเลยค่ะ ชื่นชมอย่างเดียวก็เกินพอค่ะ ถือเป็นดอกไม้ที่มีช่อพุ่มดอกเรียงตัวสลับเหมือนช่อมาลัยได้สวยงามมาก ดอกมีสีเหลืองอร่ามงดงามจับตาคณานับค่ะ

ฐานปฎิบัติการดอยข้างมูบ 
จบทริปวันนี้แล้วค่ะ...สถานที่ต่อไปที่ต้องเดินทางไปต่อนั้นคือ การเดินทางไปที่พักค่ะ เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ออกจากสวนรุกขชาติขึ้นเขามาอีกไม่นานนักประมาณ 3 กิโล ก็ถึงฐานปฎิบัติการดอยช้างมูบ  สำหรับที่พักวันนี้ไม่ได้เป็นโรงแรมหรูหราฟู้ฟ่าไฮโซ หรือบังกะโลเก๋ๆแต่อย่างใดนะค่ะ แต่คือการกางเต็นท์นอนที่ฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบค่ะ ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศการนอนในเมืองกรุง มานอนกินบรรยากาศบนดอยสูง กินลม ชมวิวทะเลหมอก อากาศหนาวๆค่ะ

ที่ดอยช้างมูบแห่งนี้ ถือเป็นจุดสิ้นสุดชายแดนไทยค่ะ อีกฝั่งก็จะเป็นประเทศพม่าค่ะ อากาศบนนี้หนาวมากๆค่ะ เดินไปมือเดี๊ยนก็สั่นไปค่ะ อากาศเย็นลงเรื่อยค่ะ


เมื่อมาถึงเดี๊ยนได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ทหาร ที่เป็นผู้อารักขาขอบชายแดนไทยแห่งนี่้คะ ขอลงเสาเข็มเต็นท์นอนค้างคืนที่นี้สักหนึ่งคืนค่ะ บรรยากาศโดยรอบมองไปมีแต่สายหมอก ประดุจดั่งหมอกในนิทานเทพนิยายที่จะต้องมีเทพบุตรออกมา หรือไม่ก็เป็นผีป่าปีศาจร้าย เพราะมองไป ต้นม้งต้นไม้ก็ถูกสายหมอกกลืนกินไปเสียหมดค่ะ




ได้เวลากางเต็นท์ เพื่อลงเสาเข็มบนพื้นหญ้าแล้วค่ะ ตอนแรกก็ว่าจะนอนบนพื้นปูนในสนามตะกร้อนี้ แต่ทางคุณพี่ทหารบอกว่า ห้ามนอนเด็ดขาดเพราะพื้นจะเย็นมากๆ เดี๊ยนเลยยกเต็นท์ไปบนพื้นหญ้าแล้วลงเสาเข็มปักหมุดไว้ซะเลยค่ะ


เดี๊ยนมากางเต็นท์นอนในวันศุกร์ที่ 18 ธ.ค.นี้ ไม่มีนักท่องเที่ยวใดๆเลย ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงไปหน่อยค่ะ มีทหารยืนประจำการอยู่กันไม่กี่นาย แต่ก็มีเจ้าจ่อตัวกะจิ๊ดลิด 2 ตัว น่ารัก ดวงตาแป๋วๆ ออกมาเห่าบ๊อกๆ ต้อนรับนักท่องเที่ยวแปลกถิ่นอย่างเดี๊ยนค่ะ เจ้าสองตัวนี้ เดี๊ยนเดินไปที่ใหน มันก็ตามเดี๊ยนไปที่นั้นค่ะ มาเคล้าคลอเคลียขาเดี๊ยนตลอด มันคงหิวน่าดูนะค่ะ แต่อาหารมื้อนี้ของเดี๊ยนก็ไม่ได้หรูหราอะไรเลยค่ะ

อาหารมื้อนี้ กินง่าย อยู่ง่าย ตามฉบับชาวดอยค่ะ มีข้าวต้มมัดกับมันเทศต้มค่ะ อย่างอื่นก็ไม่มีแล้วค่ะ เพราะเดี๊ยนไม่ได้แวะร้านเจ็ด-สิบเอ็ด ก็เลยไม่มีของกินตามฉบับคนเมืองเท่าที่ควร ได้ทานของกินแบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ จะได้ละลายกิเลสตัวเองที่กินแต่ของดีๆในเมืองหลวง แต่พ่วงไปด้วยสารพิษที่รอกัดกร่อนชีวิตให้ฉิบหายไปทุกวันค่ะ
 มีผลเสาวรสก็ซื้อมาจากตอนไปชมไร่ชาฉุยฟงค่ะ หอบมาหนึ่งถุง เดี๊ยนเลยเอาไปแบ่งให้คุณพี่ทหารได้ทานกันค่ะ ส่วนเดี๊ยนเอามาแค่ 3 ผลเท่านั้น เพราะขี้เกียจหอบกลับค่ะ

ข้าวต้มมัดรสชาติจืดชืดไปบ้าง แต่เนื่องจากบนดอยแห่งนี้ไม่มี เครื่องปรุงแต่งรสชาติใดๆเพิ่ม เดี๊ยนเลยต้องกินไปตามรสชาติที่เป็นธรรมชาติที่สุด แต่พอตบท้ายด้วยการลอกเปลือกมันเทศออกมาทาน รสชาติหวานช่ำจับใจ ช่วยเพิ่มรสชาติและอรรถรสในการทานอาหารแบบชาวดอยมื้อนี้ให้อร่อยไปอย่างสิ้นเชิง........ ถึงแม้จะไม่มีผักสีเขียว แต่ก็มีรสชาติอันเปรี้ยวจี้ดของเสาวรสที่เพิ่มวิตามินซีในร่างกายเดี๊ยนให้มีภูมิคุ้มกันต้านอนุมูลอิสระให้เดี๊ยนไม่น้อยค่ะ  หลังจากทานอิ่มเดี๊ยนก็ไปอาบน้ำ (น้ำเย็นมากๆค่ะเหมือนอาบน้ำแข็งเลยค่ะ) ทำภาระก่ิจให้เสร็จ ก่อนจะนำแบตเตอรี่กล้องถ่ายรูปมาชาร์ท ที่ป้อมด่านตรวจของคุณพี่ทหารที่ใจดี ให้ร่วมชาร์ทได้ และเข้านอนที่เต้นท์ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บค่ะ 
จบทริปการชับมอเตอร์ไซต์เดินทางจากเชียงราย - ดอยตุงค่ะ วันที่ 18 ธ.ค.58 ค่ะ

สรุป ขับมอไซต์จากเชียงราย-บ้านเด็กโสสะ-ไร่ชาฉุยฟง-พระตำหนักดอยตุง-สวนแม่ฟ้าหลวง-สวนรุกขชาติ-ฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ สุดขอบชายแดนไทย ร่วมระยะทางกว่า 70 กิโลเมตรค่ะ ขับไปก็พักไป เพราะปวด



------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ดอยช้างมูบ 

เช้าตรู่วันที่ 19 ธ.ค.2558 วันเสาร์เช้าตรู่ เปิดม่านเต็นท์ออกมาแทบไม่อยากออก มีแต่สายหมอกอันมืดมิด เดี๊ยนตื่นมาพร้อมกับความงัวเงีย เนื่องจากเมื่อคืนนอนไม่ค่อยกลับเลย อากาศหนาวมาก ล้มก็พัดแรงมากๆค่ะ เต้นท์ที่กางไว้ ถึงแม้จะปักเสาเข็มแล้วก็ตาม พอเจอล้มแล้ว เสียงดังพืบผับ พืบผับ จะกับจะพัดทั้งเต็นท์และเดี๊ยนให้ลอยล่องออกนอกรั่วราชอาณาจักรหลุดไปชายแดนพม่าเลยค่ะ เพราะลมแรงจริงๆค่ะ อากาศก็หน๊าว..หนาว มือไม้ชาไปหมด ถุงเท้า ถุงมือ หมวกเหมิกก็ใส่ซ่ะมิดชิดเชียวค่ะ ก็ยังสู้ท้าความหนาวไม่ได้ค่ะ

เดี๊ยนเดินขึ้นมาที่ฐานปฎิบัติการบนดอยช้างมูบ มาดูปรอทวัดอุณหภูมิอยู่ที่ 6 องศาเลยค่ะ อากาศหนาวจริงๆเลยค่ะ ใครอยากสัมผัสอากาศหนาว ลองมานอนรับลมที่นี้กันสักคืนนะค่ะ


ดอยช้างมูบ 


อากาศข้างบนนี้ ไม่ค่อยจะสู้ดีมากนักค่ะ มีทั้งหมอกที่ปกคลุมไปทั่ว เดี๊ยนเองก็คาดหวังว่าจะได้เห็นทะเลหมอก แต่ก็ผิดหวังจ่อยไปเลยค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ให้มองในแง่บวกจินตนาการไปว่า ได้มาอยู่ในห้วงสายหมอกที่จะมีเทพบุตรมาปรากฏตัวให้เห็นเหมือนในนวนิยายปรัมปราค่ะ

เดี๊ยนใช้เวลาเดินกินลม ชมอากาศอยู่บนดอยช้างมูบไม่นาน เดี๊ยนเก็บเต็นท์ ส่วนถุงนอนยัดใส่กระเป๋าเป้แบกสะพ้านด้านหลัง เตรียมเดินทางต่อไป เวลาประมาณ 9.30 โมงเช้า  เดี๊ยนก็ออกเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวถัดไปในวันนี้คือ พระธาตุดอยตุงค่ะ ก่อนแวะพระธาตุดอยตุงก็ต้องไปพระธาตุดอยช้างมูบก่อนค่ะ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสวนรุกขชาตินี้เองค่ะ



ถึงแล้วค่ะ พระธาตุช้างมูบ ที่เห็นเป็นก้อนหินนั้นคือ หิวที่คล้ายกับช้างมูบหมอกลงค่ะ


วันที่เดี๊ยนไป มีพระและนักแสวงบุญหลายท่าน นำคณะขึ้นมาสักการะพระธาตุช้างมูบแห่งนี้ค่ะ ทำให้สถานที่แห่งนี้ยิ่งดูศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์ขลังมากขึ้นเลยค่ะ ภาพบรรยากาศป่าที่ปกคลุมไปด้วยสายหมอก มีพระมาสวดมนต์ ดูแล้วช่างน่าอรรศจันทร์ใจยิ่งนักค่ะ  แต่ก็อดสงสารเณรน้อยไม่ได้นะค่ะ มือและเท้าสั่นไปหมดเลยค่ะ น่าจะหนาวมากๆเชียวค่ะ


หลังจากที่เดี๊ยนได้ไปสาระพระธาตุช้างมูบมาแล้ว ก็ได้เวลาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ต่อค่ะ นั้นก็คือพระธาตุดอยตุงค่ะ หากใครแวะมาเที่ยวพระตำหนักดอกตุงหรือสวนแม่ฟ้าหลวงแล้ว ไม่มาแวะสักการะพระธาตุแห่งนี้ ถือว่ายังมาไม่ถึงดอยตุงนะค่ะ ยังไงมาแล้ว ก็ต้องแวะไปไหว้พระธาตุอีกครั้งค่ะ

ช่วงเช้าวันที่ 19 ธ.ค. เดี๊ยนขับรถฝ่าสายลมหมอกที่หนาทึบมากๆค่ะ ประดุจดั่งกับว่าถ้าขับเข้าดงหมอกไปแล้วเหมือนกับว่าจะหลุดไปอยู่อีกภมูิภพนึง คลับคล้ายคลับคลากับนิราศสองภพนะค่ะ  ที่เดินฝ่าสายหมอกไปอยู่ในยุคกรุงศรีประมาณนั้นค่ะ เดี๊ยนก็จินตการล้ำเลิศไปไกลเว่อร์ค่ะ เอาเข้าจริงๆเวลาขับต้องเปิดไฟให้ส่องแสงทอประกายเจิดจ้า อร้าอร่าม เพื่อให้รถข้างหน้าได้เห็น ขับรถตีโค้งเมื่อไหร่ บีบแตร่ให้เป็นดนตรีโป๊งๆฉึงเลยค่ะ


เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ฝ่าสายหมอกจากดอยช้างมูบมาที่พระธาตุดอยตุง ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรค่ะ ก็เอามอเตอร์ไซต์มาจอดที่ทางขึ้นหน้าพระธาตุค่ะ อากาศตอนเช้าๆนี้หนาวจับใจจริงๆค่ะ เดี๊ยนมีความรู้สึกว่า ล้างหน้าตอนเช้าไป หน้าตึงๆยังไงไม่รู้ค่ะ แถมต้องสู้หน้าท่าลมหนาว ขับแว็นๆมาดอยตุง


ทางขึ้นหน้าพระธาุตดอยตุงเป็นบันใด พญานาคมองขึ้นไปดูมีมนต์ขลังมากๆค่ะ มีสายหมอกเป็นม่านฉากเปิด ประดุจดั่งบับใดขึ้นสู่สรวงสรรค์ชั้นฟ้า เด่นอร่ามงามตา วิริสมาหรา-วิริศมาลัย


เดินขึ้นมาถึง มีทวารบาล ทั้ง 2 องค์ ดูแล้วน่าเกรงขาม มากๆค่ะ เพื่อป้องคุ้มครอง และป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามาในวัดพระธาตุดอยตุง


เมื่อมาถึงจะเห็นระฆังขนาบอยู่ริม 2 ข้างที่จะเดินเข้าไปในวัดเพื่อไหว้พระธาตุ



ถึงแล้วค่ะ พระธาตุดอยตุง เด่นสง่าอยู่บนดอยสูง ท่ามกลางสายมอกที่ลอยคละคลุ้งปกคลุมไปทั่วผืนป่า เดี๊ยนมาถึงก็กราบสักการะพระธาตุดอยตุง เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลค่ะ
ประวัติพระธาตุดอยตุง
พระบรมธาตุดอยตุง เป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของเชียงราย ประดิษฐานอยู่บนยอดดอยตุง ในเขตกิ่งอำเภอ แม่ฟ้า หลวง มีถนนแยกจากบ้านห้วยไคร้ขึ้นไปจนถึงองค์พระบรมธาตุองค์พระธาตุบรมธาตุเจดีย์ อยู่สูงจากระดับ น้ำทะเล ประมาณ 2000 เมตร ตามตำนานมีว่า เดิมสถานที่ตั้งพระบรมธาตุดอยตุง มีชื่อว่า ดอยดินแดง อยู่บน เขาสามเส้น ของพวกลาวจก ต่อมาสมัยพระเจ้าอุชุตะราช รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์สิงหนวัต ผู้ครองนครโยนก นาคนคร เมื่อปี พ.ศ. 1452 พระมหากัสสป ได้นำพระบรมสารีริกธาตุในส่วนของพระรากขวัญเบื้องซ้าย (ไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้ามาถวายซึ่งตรงตามคำทำนายของพระพุทธองค์ว่าที่ดอยดินแดงแห่ง นี้ ต่อไปจะเป็นที่ประดิษฐาน พระมหาสถูปบรรจุ ุพระบรมสารีริกธาตุ ในภายภาคหน้าพระเจ้าอุชุตะราช มีพระราชศรัทธา ได้เรียกหัวหน้าลาวจก มาเฝ้าพระราชทานทองคำจำนวนแสนกษาปณ์ ให้เป็นค่าที่ดินบริเวณดอยดินแดงแก่พวกลาวจก แล้วทรงสร้าง พระสถูปขึ้น โดยนำธง ตะขาบยาว 3000 วา ไปปักไว้บนดอยมื่อหางธงปลิวไปไกลเพียงใด้ ให้กำหนดเป็นฐาน พระสถูปเพียงนั้นดอย ดินแดงจึงได้ชื่อใหม่ว่า ดอยตุง (คำว่า ตุง แปลว่า ธง) เมื่อสร้างพระสถูปเสร็จก็ได้นำ พระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวบรรจุบรรจุไว้ให้คนสักการบูชา ต่อมาสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช แห่งราชวงศ์ลาวจก พระมหาวชิระโพธิเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย จำนวนองค์ พระเจ้าเม็งรายจึงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระ สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นอีกองค์หนึ่ง เหมือนกับพระสถูปองค์เดิมทุกประการ ตั้งคู่กัน ดังปรากฏอยู่จน ถึงทุกวันนี้ ชาวเชียงรายมีประเพณีการเดิน ขึ้นดอยบูชาพระธาตุ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี สิ่งที่น่าสนใจ : พระธาตุดอยตุง เป็นเจดีย์สีทองขนาดเล็กสององค์ สูงประมาณ 5 ม. บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม มีซุ้มจระนำสี่ทิศ องค์ระฆังและปลียอดมีขนาดเล็ก พระธาตุดอยตุง อยู่บนดอยสูงแวดล้อมด้วยป่ารกครึ้ม เรียกว่า สวนเทพารักษ์ เชื่อกันว่า เป็นที่สถิตของเทพารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รอยปักตุง เป็นรอยแยกบนพื้น ยาวประมาณ 1 ฟุต อยู่ด้านหน้าพระธาตุ เชื่อกันว่า เป็นรอยแยกที่ใช้ปักฐานตุง บูชาพระธาตุ เมื่อ 1,000 ปีก่อน (ขอบคุณข้อมูลดีๆจากสารานุกรมเสรีวิกิพีเดียค่ะ)






พระสถูปขึ้น โดยนำธง ตะขาบยาว 3000 วา ไปปักไว้บนดอยมื่อหางธงปลิวไปไกลเพียงใด้ ให้กำหนดเป็นฐาน พระสถูปเพียงนั้นดอย ดินแดงจึงได้ชื่อใหม่ว่า ดอยตุง (คำว่า ตุง แปลว่า ธง) เมื่อสร้างพระสถูปเสร็จก็ได้นำ พระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวบรรจุบรรจุไว้ให้คนสักการบูชา
พระธาตุดอยตุง เป็นเจดีย์สีทองขนาดเล็กสององค์ สูงประมาณ 5 ม. บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม มีซุ้มจระนำสี่ทิศ องค์ระฆังและปลียอดมีขนาดเล็ก พระธาตุดอยตุง อยู่บนดอยสูงแวดล้อมด้วยป่ารกครึ้ม เรียกว่า สวนเทพารักษ์ เชื่อกันว่า เป็นที่สถิตของเทพารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รอยปักตุง เป็นรอยแยกบนพื้น ยาวประมาณ 1 ฟุต อยู่ด้านหน้าพระธาตุ เชื่อกันว่า เป็นรอยแยกที่ใช้ปักฐานตุง บูชาพระธาตุ เมื่อ 1,000 ปีก่อน (ขอบคุณข้อมูลดีๆจากสารานุกรมเสรีวิกิพีเดียค่ะ)



ในเมื่อมาถึงทั้งที ก็เลยขอไปถวายสังฆทานด้านในวัดดีกว่าค่ะ จะได้อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งในชาตินี้และอดีตชาติ ร่วมถึงบรรพบุรษที่ล่วงลับไปแล้วค่ะ


เดี๊ยนเข้าไปไหว้พระทำบุญด้านในอุโบสถ มีพระสงฆ์รับนิมนต์ญาติโยมให้ได้ร่วมกันทำบุญด้วยนะค่ะ พอได้ทำบุญร่วมถวายสังฆทาน และได้กรวดน้ำอุทิศบุญกุศลทีไร จิตใจของเดี๊ยนก็รู้สึกอื่มเอิ่ม สุขเกษมเปรมปรีดา ยิ่งกว่าเต้นระบำจังหวะชะ-ชะ-ช่า เสียอีกค่ะ


เดี๊ยนใช้เวลาอยู่บนวัดพระธาตุดอยตุงไม่นานประมาณ 40 นาที ก็ได้เวลาที่จะต้องเดินทางต่อแล้วค่ะ พอเดินมาาจากพระธาตุ รู้สึกว่าท้องเริ่มร้องแล้วค่ะ เพราะตั้งแต่เมื่อเช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลยค่ะ ที่ด้านล่างมีร้านขายปลาส้มและหมูยอ เดี๊ยนเลยจัดมารองท้องมื้อนี้ไปก่อนค่ะ ทานไปกับข้าวเหนียว ค่าเสียหายประมาณ 50 บาทค่ะ หากหิวเดี่ยวลงไปทานด้านล่างอีกค่ะ




เดี๊ยนขับรถลงจากพระธาตุดอยตุง ขับลงมาเรื่อยมาเจอศูนย์เพาะพันธ์ดอกไม้เมืองหนาว ริมทาง ก็เลยขอแวะเข้าไปชมสักครั้งค่ะ ไปพบคุณลุงท่านหนึ่งรูปร่างสูงกำยำ ผิวพรรณเข้ม เดี๊ยนเลยไปสอบถามว่าคุณลุงขายราคาต้นเท่าไหร่ คุณลุงบอกว่า ไม่ได้ทำขาย คุณลุงทำส่งให้กับโครงการหลวงบนดอยตุงค่ะ  ดอกไม้แต่ละต้นสวยๆงามๆทั้งนั้นเลยค่ะ


จุดมุ่งหมายต่อไปคืออำเภอแม่สายค่ะ เป็นอำเภอที่อยู่เหนือสุดในสยาม ติดชายแดนไทยพม่าค่ะ เดี๊ยนเองก็อยากไปเยือนสักครั้งนะค่ะ ก็ขับรถมอเตอร์ไซต์ลงจากดอยตุงมุ่งหน้าสู่อำเภอแม่สายค่ะ อำเภอที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post_6.html
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post.html



เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ลงมาจากดอยตุงไม่นานมากนัก พอขับมาถึงสี่แยกห้วยใคร้ ท้องก็เริ่มร้อง ขรอกๆ หิวโหยโว้ยวาย สยายลำใส้ให้ปั่นป่วนอีกแล้ว สงกะสัยว่าปลาส้มกับหมูยอที่ทานตรงหน้าพระธาตุดอยตุงจะเอาไม่อยู่เสียแล้วกระมัง.... คราวนี้ต้องแวะพักทานอะไรเป็นมื้อเที่ยงซ่ะแล้วล่ะค่ะ ขับรถมาถึงสี่แยกจะเลี้ยวซ้ายตรงไปแม่สาย ไปพบกับร้านกาแฟร้านนึงตกแต่งได้เก๋เชียวค่ะ ก็เลยแวะเข้ามาอุดหนุน
(..อ้อ เดี๊ยนเองไม่ได้รับเงินโฆษณาใดๆนะค่ะ พอดีถูกใจการแต่งร้านและการบริการ เลยมารีวิวโปรโมทให้ฟรีๆเลยค่ะ)




พอเข้ามาก็ให้อารมณ์ประมาณ ร้านกาแฟ-น้ำชามแถวทองหล่อ-เอกมัย-สาทร-สวนพลู อะไรประมาณนั้นอ่ะค่ะ เพราะด้านในตกแต่งได้แนวๆเก๋ ดูแล้วชิคๆ ให้อารมณ์ชิวเว่อร์สุดๆค่ะ เข้ามาเดี๊ยนก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านน่าจะเป็นคนมีกะตังและร่ำเรียนการเป็นเด็กสถาปัตร ไม่ก็เรียน มัณฑนศิลป์มาหรือเปล่า เห็นใส่ใจการตกแต่งร้านเครื่องดื่มนี้เอาเสียมากๆเลยเชียว

พอเดี๊ยนเข้ามา ก็มีคุณผู้หญิงใส่เสื้อสีแดงลายจุดโพกะดอท สีแดงขาว มาต้อนรับทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปริ พร้อมเชิญให้เดี๊ยนเลือกหาที่นั่งได้ตามใจ ก่อนจะยื่นเมนูเครื่องดื่มมาให้ค่ะ


 มีเกาอี้ให้นั่งตัวเตี้ยเล็กๆ กุ่งกิ้ง มุ้งมิ้ง น่ารัก เอาซ่ะมากเลยเชียวค่ะ เก้าอี้ตัวนี้ถ้าเป็นเด็กหรือคนตัวเล็กนั่งคงพอดีตัว แต่ถ้าคนตัวใหญ่นั่งเก้าอี้นี้ไป คนต้องหลังค่อมมะร่อมมะร้อเอาเป็นแน่แท้ค่ะ


พอเข้ามาสิ่งแรกที่สั่ง คงไม่ใช้น้ำชาเออเกร่เป็นแน่แท้ เลยขอเปลี่ยนเป็นโก้ๆร้อนแทนค่ะ ดูเมนูก็ตกใจไม่น้อย ไม่ใช่เพราะราคาแพงนะค่ะ...แต่ราคาถูกกว่าร้านเครื่องดื่มหรูๆในกรุงเทพมาก ราคาเพียง 30 บาทเท่านั้น ปกติที่เคยทานย่านใจกลางเมืองกรุงเทพ ก็ปาไปเกือบร้อยแล้วค่ะ รสชาติโก้ๆรสชาติหวานกำลังดีค่ะ มีฟองน้ำนม ดื่มแล้วก็ติดริมฝีปาก ต้องเอาลิ้นเลีย ตวัดริมริมฝีปากให้หมด ทำเหมือนงูจงอางเลยค่ะ

 เดี๊ยนลองเปลี่ยนจากที่นั่งเก้าอีสูง เปลี่ยนมานั่งเก้าอี้ต่ำ ยิ่งนั่งเป็นคนแคระกับสโนท์เชียวค่ะ กลัวเหมือนกันจะทำเก้าอี้เค้าหัก เพราะน้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นทุกวันนะค่ะ

พาเลทที่เป็นชั้นวางสินค้าก็นำมาทำเป็นที่โต๊ะเก๋ใด้นะค่ะ ความคิดบรรเจิดเลิศเลอเพอเฟ๊ค แต่ก็เคยเห็นคนนำพาเลทไปทำอย่างอื่นก็มีเยอะ รู้จักใจประโยชน์จากสิ่งของเหลือใช้รอบด้านค่ะ

ภายในร้านมีขนมเค้ก และขนมปังบริการด้วย ซึ่งทางเจ้าของร้านเป็นคนทำเอง สไตล์โฮมเมดทำเอง ใหนมาทั้งที เลยอยากทานขนมปังโฮมเมดร้อนสักหน่อย เดี๊ยนเลยสั่งไปกับขนมปังทานกับไอศกรีม พร้อมกับโก้ๆที่ยังเหลืออยู่ในแก้ว




เดี๊ยนสั่งขนมปังปิ้งไป รอประมาณ 20 นาที ทางเจ้าของร้านก็ถือมาเสริฟให้ค่ะ กลิ่นของขนมปังโชยเตะจมูกเดี๊ยนให้รู้สึกว่าขนมปังนี้อบมาสดๆแน่ มีกลิ่นน้ำผึ้งออกจะขึ้เมาหน่อยๆ.... ขนมปังปิ้งมีไอศกรีมก้อนนึงวางอยู่ด้านบน ข้างมีกล้วยหอมราดด้วยช๊อตโกแลด ดูน่าทานเอาเสียมากๆค่ะ มีชื่อด้วยนะค่ะ แต่เดี๊ยนเป็นอัลไซเมอร์จำก็ค่อยไม่ได้นะแล้ว ขนมมีชื่อภาษาอังกฤษว่า โทษเธอ อะไรมาณนี้ 555++ (Toast :ขนมปังปิ้ง/อบ) จะดัดจริตออกเอ๊กซะเล้นให้เริ่ดเลอเพอเฟ๊คก็ลืมตลอดค่ะ


พอได้ทานแล้วก็อร่อยไม่เบาค่ะ แต่ขอตินิดสนึงรสชาติของน้ำผึ้งที่มาโรยบนขนมปัง หวานจี๊ดไปหน่อยนะค่ะ กล้วยหอมกัดไปกำลังดี ไม่เละจนเกินไปทานตัดคู่กับช็อคโกแล็ต ขนมปังอบเนื้อร้อนมีกลิ่นของน้ำผึ้งเตะจมูก พอได้กินแล้วก็รู้สึกไม่ต้องเคี้ยวนานจนเกินไป เนื้อขนมด้านในนิ่ม ส่วนด้านนอกกรอบกำลังดีค่ะ ส่วนไอศกรีมก็ไม่ได้ละลายเร็วแต่อย่างใด ช่วยผสานละอองไออุ่นเพิ่มหวานละมุนเข้าไป ให้เคี่้ยวและกลืนลงคอได้ง่ายดี....ตกลงเดี๊ยนทานเครื่องดื่มและของว่างในร้านนี้ให้แล้ว ให้ผ่านระดับ 5 ล้านดาวค่ะ!!!!


พอทานอื่มก็มีน้ำดื่มให้บริการด้วยค่ะ ก่อนจะนั่งพักให้อาหารมื้อเที่ยงนี้ย่อยสักครู่ค่ะ และไปชำระเงินค่าเสียหามื่้อนี้ค่ะ ถือว่าเป็นอาหารมื้อเที่ยงไปค่ะ ถ้าจะไปกินต่อคงจะไม่เอาแล้ว เดี่ยวน้ำหนักอ้วนขึ้นไปอีก แค่นี้คอเลตเตอรอลใขมันก็กระจายและเพิ่มขึ้นไปทะลุถึงอะตอม โมเลกุล ในร่างกายแล้วค่ะ จะทานอีกต้องไม่ไหว เราต้องคุมน้ำหนักและลดลงให้ได้ค่ะ
 ราคาค่าเสียหายมื้อเที่ยงนี้
- โก้โก้ร้อน 30 บาท
- ขนมปังปิ้ง/อบโฮมเมดร้อน ชื่อว่า โทษเธอ 105 บาท (ต้องขอโทษจริงๆเดี๊ยนจำชื่อไม่ได้ค่ะ เลยตั้งชื่อให้ใหม่เลย)
รวมมื้อนี้  135 บาทค่ะ

นอกจากนี้แล้วที่ร้านกาแฟยังมีบริการที่พักดีๆ ใกล้ดอยตุงให้ด้วยค่ะ ยังไงใครที่ลงมาจากดอยตุงหรือกำลังเดินทางไปเที่ยวแม่สาย แวะพักดื่มน้ำชา กาแฟ ขนมปังโทษเธอก่อนได้ค่ะ
(..อ้อ เดี๊ยนเองไม่ได้รับเงินโฆษณาใดๆนะค่ะ พอดีถูกใจการแต่งร้านและการบริการ เลยมารีวิวโปรโมทให้ฟรีๆเลยค่ะ)



พอได้ทานขนมปังปิ้งไปเป็นมื้อเที่ยงนี้ไป ก็ได้เวลาที่เดี๊ยนต้อง แว็นๆต่อแล้วค่ะ จุดมุ่งหมายต่อไปคือ อำเภอแม่สายค่ะ เดี๊ยนขับรถออกจากร้านกาแฟที่ห้วยไคร้ คราวนี้ ขับมอเตอร์ไซต์ไม่ต้องเลี้ยวแยก แหกโค้ง ให้ตื่นเต้นหัวใจสั่นระรัวเหมือนอยู่บนดอยตุงแล้วค่ะ ขับชิวๆ กินลม ชมวิว ไปเรื่อยๆเลยค่ะ ทางเรียบๆ แต่ก็ไม่เงียบเลยนะค่ะ เสียงรถวิ่งแต่ละคัน ทั้งใหญ่-เล็ก บิดคันเร่งกันยังกับ ไปประลองแข่งรถเอาถ้วยรางวัลเลยค่ะ


เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์มาใกล้ถึงเชียงราย 2 ข้างทาง มีร้านสตอเบอรี่ขายริมทางให้เห็นตลอด และมีสตอเบอรี่ร้านนึง มีพ่อค้ามากวักมือเรียกเดี๊ยนให้ลองมาชิมดู.... เดี๊ยนเลยต้องผ่อนคันเร่งพร้อมดับเครื่องและ ขอแวะซื้อชิมรสชาติสักหน่อย ว่าจะหวานหรือเปรี้ยวกันแน่ค่ะ..พอได้ชิมแล้วก็เกรงใจพ่อค้าหน้าหวาน หน้าตาพริ้มเพรา พูดจาภาษาคำเมือง ช่างเสนาะหูเสียจริง ...เดี๊ยนเลยใจละลายพ้ายแพ้ไปให้กับพ่อค้าเสียงหวาน เรียกขานให้เดี๊ยนมาชิมสตอเบอรี่ที่แม่สายค่ะ จนตกหลุมพรางต้องซื้อสตอเบอร์กลับไปทานค่ะ เสียค่าเสียหายการซื้อสตอเบอรี่มา 50 บาทค่ะ

 เดี๊ยนซื้อสตอเบอรี่กับพ่อค้าหน้าหวานเสร็จ ก็บิดคันเร่งมอเตอร๋ไซต์มาเรื่อย ก่อนจะถึงตัวเมืองอำเภอแม่สาย ก็ขอแวะมาชมสวนศูนย์พัฒนาพันธ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริก่อนค่ะ
ที่ศูนย์นี้มีชื่อเสียงสุดๆก็คงเป็นร้านอาหาร จันกะผัก ทีมีรสชาติอร่อยถูกปากให้ทานค่ะ ตอนแรกเดี๊ยนตั้งใจว่าจะมาทานที่นี้ แต่ด้วยโมโหหิวมาก ก็เลยทานขนมปังโทษเธอไปก่อนหน้านี้แล้วค่ะ แต่ก็ดีค่ะที่ทานมาก่อนแล้ว เพราะที่ร้านจันกะผัก คนแน่นร้านเอาเสียมากค่ะ


เดี๊ยนใช้เวลาอันน้อยนิด เดินเข้ามาชมในสวนของศูนย์พัฒนาพันธ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ ก็เดินชิวๆกินลม ชมวิว ทัศน์ทิวดอกไม้ในสวนไปค่ะ




 ภายในสวนก็จะแสดงพืชพันธ์ดอกไม้และผ้กต่างๆให้ได้เห็นกันค่ะ บรรยากาศอาจจะไม่สวยงดงามตระการวิริสมาหราเท่ากับสวนแม่ฟ้าหลวงแน่นอนค่ะ

ประวัติศูนย์พัฒนาพันธ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ 
ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชกระแสให้มูลนิธิชัยพัฒนาเข้าไปฟื้นฟูพื้นที่ที่น้ำลดแล้ว ระยะแรกให้นำเมล็ดพันธุ์พืชและผักต่างๆ ที่ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริได้จัดเตรียมไว้ไปมอบให้เพาะปลูก กินกันภายในครัวเรือนก่อน เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงที่เกษตรกรยังไม่มีรายได้จากผลผลิตเพราะเสีย หายไปหมดแล้ว แล้วจึงดำเนินการฟื้นฟูด้านอื่นๆ ที่สอดคล้องและเป็นไปตามความต้องการ เพื่อให้เกษตรกรที่ประสบภัยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติได้เร็วขึ้นและดีกว่า เดิม
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีมีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้น เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์พืชอย่างมีคุณภาพให้เกษตรกรได้มีพันธุ์พืชที่ดีใช้ใน การทำเกษตร ศูนย์นี้อยู่ก่อนถึงอำเภอแม่สายเพียง 4 กิโลเมตร สามารถแวะเข้าไปเยี่ยมชมโครงการ และถ่ายภาพเทือกเขานางนอน ซึ่งอยู่เบื้องหลังโครงการเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยเฉพาะยามเย็นที่มีแสงอาทิตย์สะท้อนลงในแปลงพืชผักทอประกายระยิบระยับ เมื่อเหนื่อยและเริ่มหิวสามารถแวะพักผ่อนคลายร้อน บรรเทาหิวได้ที่ “ร้านจันกะผัก” ของศูนย์จักรพันธ์ที่อยู่บริเวณหน้าโครงการได้ (ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจากเว็ปไซต์ http://princechak.com/)

เดี๊ยนขับรถมอไซต์ออกจาก ศูนย์พัฒนาพันธ์พืชจักรพรรณเพ็ญศิริไม่นาน ก็ถึงตัวเมืองแม่สายแล้วค่ะ อำเภอที่อยู่เหนือสุดแดนสยาม  จากนั้นก็ขับมอไซต์ตรงขึ้นมาเกือบถึงจะมีด่าน ตม.อยู่ค่ะ ในวันเสาร์ที่ 19 ธ.ค.58 นี้ที่อำเภอแม่สายตรงตลาดริมด่าน ตม. ก็คลาคลั่งไปด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและชาวพม่า เดินอีหลักขวักไขว่ มีทั้งคนขาย คนซื้อ เดินกันไปๆมาๆ สองข้างทางริมฟุตบาท ก็แน่นไปด้วยผู้คน ส่วนใหญ่ก็จะมาช็อปปิ้งค่ะ 

http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post_6.html
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post.html

เดี๊ยนเองเลยหาที่จอดมอเตอร์ไซต์ แล้วเดินไปช็อปปิ้งกับคนอื่นเขาบ้างค่ะ....พอเดินเข้าไปแล้วก็รู้สึกยิ่งเหนื่อยใหญ่เลยค่ะ เพราะจะหาของถูกใจก็ไม่มีเลย อารมณ์ประมาณไปเดินช๊อปปิ้งซือของที่สำเพ็ง หรือไม่ก็คลองถมเลยค่ะ ไม่ประมาณสิค่ะ เรียกว่าเหมือนกันเด๊ะๆเลย ...มาถึงตังเมืองในอำแม่สายก็ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือเลย นอกจาก สตอเบอรี่แค่นั้นเองค่ะ.... เอาเป็นว่ามาแม่สาย เดี๊ยนก็ยังได้ สตอเบอรี่เป็นของติดมือมานะค่ะ 
เดี๊ยนใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในตลาดริมชายแดนแม่สายไม่นาน แหงนดูนาฬิกาในข้อมือปาไปเกือบจะ 4 โมงเย็นแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองเชียงรายแล้วค่ะ ก็เลยตัดสินใจ สตาร์ทมอไซต์บิดคันเร่งจากอำเภอแม่สายตรงเข้าสู่อำเภอเมืองเชียงรายค่ะ ระยะทางร่วม 60 กว่ากิโลเมตรค่ะ


ระหว่างทางขับมอไซต์สะพายกระเป๋าเป้จะกลับเข้าสู่เมืองเชียงราย บังเอิญริมทางมีร้านเป็นเพิงๆขายสัปปะรดภูแลหวานๆให้เลือกกันค่ะ เดี๊ยนเลยขอแวะซื้อโดยไม่ได้แวะชิมเลยค่ะ เป็นสัปปะรดภูแลชิ้นเล็กๆเหมือนที่เคยเห็นขายในกรุงเทพ แบบที่ผ่าแล้วถุงนึงตัง 40-50 บาทเลยค่ะ มาอยู่สัปปะรดผ่าแลใส่ถุงไว้แล้วขาย 20 บาทเอง ราคาถูกกว่ากันตั้งครึงนึงเลยนะค่ะ...เดี๊ยนเลยอุดหนุนแม่ค้า ซื้อมา 2 ถุงค่ะ แม่ค้าใจดีมากขายเพียง 30 บาทเท่านั้นเอง บอกว่าเหลือเป็นสองถุงสุดท้าย เลยอยากลดราคา เพราะจะปิดร้านแล้วค่ะ 



เดี๊ยนขับรถออกจากแม่สายมาถึงเมืองเชียงราย ก็แวะเข้าที่พัก ซึ่งได้ทำการจองและชำระเงินไว้ล่วงหน้าแล้ว ผ่านเอเจ้นAgoda ค่ะ โดยจองที่พักไว้ชื่อว่า บ้านสุขถาวร ชื่ออาจจะดูไม่ทันสมัย ไม่บูติค ไม่หรูหราไฮโซ และมีกิมมิคเก๋ ให้ดูสักเท่าไรนักนะค่ะ  แต่ที่พักที่นี้ได้คะแนนรีวิวอยู่ในระดับยอดเยี่ยมเลยค่ะ เดี๊ยนเลยตัดสินใจมาพักที่นี้ เนื่องจากเงียบสงบไม่วุ่นวาย แต่ข้อเสียคือ ค่อนข้างไกลมาจากในตัวเมืองมาก แต่ว่าสะดวกในการไปสนามบินเลยค่ะ ....พอดีก่อนหน้านี้ ก็เล็งที่พักในเมืองไว้หลายที่ แต่ที่พักก็เต็มหมดเลย เพราะว่ามาจองช่วง พักคืนวันเสาร์ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โรงแรมที่เลือกไว้ในเมืองที่เล็งเอาไว้ ก็เลยอด ต้องมาเลือกหาโรงแรมย่านชานเมืองแทนค่ะ


เดี๊ยนจองห้องพักไว้เป็นห้องเตียงเดียว แต่กลายเป็นว่าได้ห้อง 2 เตียงค่ะ ชำระเงินตัดบัตรไปแล้ว 810 บาท รวมภาษีและค่าบริการแล้ว ผ่าน Agoda นะค่ะ ห้องพักรวมอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์  พนักงานที่ให้บริการโรงแรมก็พูดจาดี พร้อมกล่าวขออภัยเดี๊ยนมาด้วย บอกว่าห้องที่ลูกค้าจะพักเป็นห้องเตียงเดี่ยว ลูกค้าพักต่อ เดี๊ยนก็เลยต้องพักห้อง 2 เตียงไปค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๊ยนให้อภัยค่ะ ไม่ซีเรียสค่ะ 


 ภายในห้องกว้างขวาง สะอาด สะอ้าน ตกแต่งได้เรียบๆ สบายตา มีเครื่องอำนวยความสะดวกในห้องพัก ทีวี ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ที่ชอบที่สุดคงเป็นโต๊ะสำหรับเขียนหนังสือค่ะ

มีระเบียงด้านหน้าห้อง เงียบสงบ ไม่วุ่นวายค่ะ 

ห้องน้ำห้องทา ก็สะอาดใช้ได้ น้ำไหลดีค่ะ


มีผ้าขนหนูให้พร้อมในห้อง 2 ผืนค่ะ 
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post_6.html
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post.html



ใกล้ค่ำ ได้เวลาเดินย่ำยามเย็น คงไม่พลาดที่จะต้องมาสักการะพ่อขุนเม็งรายอีกครั้งค่ะ เมื่อวานก็ไหว้ไปแล้ว ก็ไหว้อีกค่ะ ที่มาไหว้เพราะต้องมาถ่ายรูปยามค่ำคืนในเมืองเชียงรายค่ะ 

ประวัติพ่อขุนเม็งรายมหาราชโดยย่อ
อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช
ตั้งอยู่บริเวณห้าแยกพ่อขุนฯ อำเภอเมืองเชียงราย พ่อขุนเม็งรายมหาราชเป็นราชโอรสของพระเจ้าลาวเม็งแห่งราชวงศ์ลัวะจักรราช ผู้ครองเมืองหิรัญนครเงินยางกับพระนางอั้วมิ่งจอมเมือง ราชธิดาของท้าวรุ่งแก่นชายเจ้าเมืองเชียงรุ้ง พระองค์ประสูติเมื่อ วันอาทิตย์แรม 9 ค่ำ เดือน อ้ายปีกุน เอกศก จุลศักราช 601 ตรงกับพุทธศักราช 1782 ทรางสร้างเมืองเอกในแว่นแคว้นถึง 3 เมือง ได้แก่ เมืองเชียงราย เมื่อ พ.ศ.1805 เมืองกุมกาม เมื่อ พ.ค. 1829 (อยู่ใน อ.สารภี จ.เชียงใหม่) และเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.1823  พ่อขุนเม็งราย สวรรคต ขณะเสด็จประพาสกลางเมืองเชียงใหม่ โดยถูกอสนีบาดตกต้องพระองค์ เมื่อ พ.ศ.1860 (ขอขอบพระคุณข้อมูลจากเทศบาลนครเชียงราย)
 

สำหรับการมาเที่ยวเชียงรายในวันหยุดสัปดาห์แบบนี้  ต้องไม่พลาดเด็ดขาดที่จะต้องมาแวะช็อปปิ้งในถนนคนเดินเมืองเชียงราย ซึ่งถือว่าเป็นถนนคนเดินที่ยาวมากๆค่ะ เดินกันทีขาแทบลากค่ะ...โดยในตลาดนี้มีโซนให้ขาช็อป ได้เดินเลือกซื้อ เลือกหากันมากมาย ทั้งของระลึกเอาไว้ไปเป็นของฝาก เสื้อผ้าแฟชั่น พวงกุญจง กุญแจ กาแฟ สระผม ลูกอม คอลเคต สูบู่วิเศษ หลากหลายแนว ที่ถูกใจเดี๊ยนสุดๆคงเป็นโซนอาหารการกิน ที่มีให้เลือกได้เลย มีทั้งอาหารเหนือ กลาง ใต้ ออกตก แม้กระทั้งอาหารฝรั่งก็มีขายให้ได้รับประทานกันค่ะ

เดี๊ยนเดินเลือกซื้อหาของทานได้หลายอย่างค่ะเพราะตอนนี้ ท้องไส้ก็เริ่มร้องหาอาหารคาวเริ่ดๆแล้วค่ะ เพราะ เมื่อวานก็ทานแต่อะไรก็ไม่รู้ ยิ่งมาเมื่อเช้านี้ที่พระธาตุดอยตุง ก็ทานปลาส้มทอดกับหมูยอไป ทานไปก็มือสั่นไปค่ะ หรือต้องเที่ยงนั้นไซร้ก็ขนมปังมีแต่คาร์โบไฮเดรตทั้งน็านเลยค่ะ ยังไม่ได้ทานอาหารหนักเท่าที่ควรเลยค่ะ วันนี้เดินตลาดถนนคนเดินในเมืองเชียงราย เลยอยากทานอาหารเหนือ


มาสะดุดร้านข้าวยำแรมฟืน ข้าวซอยยำรวมนี้ เอ้...ไม่เคยทาน มันยังไงน้อ...ข้าวซอยไม่เท่าไหร่ค่ะ งงข้าวแรมฟืนนี้แหล่ะค่ะ เป็นข้าวที่เอาไปเผากับฟืนแล้วเอาไปค้างแรมต่อหรือเปล่าน๊า....เลยชื่อ ข้าวแรมฟืน .....เดี๊ยนก็คิดเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่เลยค่ะ  พอดีว่าที่กรุงเทพ ไม่เห็นมีขายเลย..... เดี๊ยนอยาก ลองซื้อไปทานดูบ้าง น่าจะอร่อยกระมังค่ะ เห็นต่อคิวกันซื้อเชียวค่ะ... มีข้าวซอย ข้าวแรมฟืน ขนมจีน ทำขายกันเป็นยำรวมค่ะ  เดี๊ยนเลยขอซื้อ 1 ถุงค่ะ ...นอกจากนี้ยังซื้อ ไส้อั่ว แกงเห็ดป่า ข้าวเหนียวไปทานด้วยค่ะ
 
เดินถนนคนเดินไปช็อปปิ้ง ใครมีเหรียญ 10 สัก 100 เหรียญ หรือธนบัตรแบ็งใหญ่ๆสัก 500 หรือ 1000 บาทก็อย่าลืม แวะหยอดกระปุกแบ่งปันความสุขให้เด็กๆกันนะค่ะ จะได้มีกุศลไว้เป็นเสบียงบุญค่ะ

จอดมอเตอร์ไซต์ไว้ เสียค่าจอดไป 10 บาทค่ะ ...
เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ ออกจากถนนคนเดินเมืองเชียงราย มาก็ขอพักแข้งพักขาสักหน่อยก่อนค่ะ เป็นถนนคนเดินที่ยาวมากๆเลยนะค่ะ ถ้าให้ดีต้องใช้เวลาเดินอีก 1 วันค่ะ

ไฮไลท์ของการมาเที่ยวเชียงรายอีกอย่าง ในช่วงพลบค่ำยามค่ำคืนแบบนี้ต้องไม่พลาด มาชมหอนาฬิกาที่สวยที่สุดในประเทศไทย สร้างสรรค์และออกแบบโดยจิตกรที่มีชือเสียง ฝีปากกล้า คือท่าน อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ค่ะ เรียกว่าถ้าใครมาเที่ยวเชียงราย คงต้องไม่พลาดแวะและหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปไว้เป็นบุญตากันสักครั้งสักครานะค่ะ



โดยหอนาฬิกาแห่งนี้มีความพิเศษแตกต่างจากหอนาฬิกาอื่นคือ จะระบบแสงสี เสียง แสดงให้ได้ชมกันเป็นบุญตาโดยมีรอบแสดงเวลา 19.00 น. 20.00 น.และ 21.00 น.ของทุกๆวันค่ะ...เดี๊ยนเองขับมอเตอร์ไซต์มาทันใกล้เวลาจะ 2 ทุ่มพอดีค่ะ ก็ทันเจ้านาฬิกานี้จะแสดงแสงไฟ-ระยิบระยับประดาไปทั่วท้องถนนเพื่อประกาศศักดาความห้าวหาญชาญชัยให้ผู้คนได้รู้  นอกจากนี้ยังจะร้องเพลงประสานดนตรี เสียดสีซอ-สล้อเสียงซึง ฟังแล้วรำพึงรำพันให้นึกถึงความฝันอันแสนไกล แต่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือเสียจริงๆค่ะ 


หลังจากที่เดี๊ยนได้ชื่นชมความงามของค่ำคืนราตรีพลบค่ำที่เมืองเชียงราย กับการไปตลาดถนนคนเดินที่เชียงราย หอบของกินมาเยอะแยะ พร้อมไปถ่ายรูปหอนาฬิกาแสดงแสงสีและเสียงให้เพลิดเพลินเย้ายยวนอุราสร่าเริงรมย์แล้ว ก็ต้องแว็นมอไซต์กลับที่พักค่ะ เพราะรู้สึกหิวมากๆแล้วค่ะ ตอนแรกกะว่าจะกินที่ตลาดถนนคนเดินเลย ไปๆมาๆไม่เอ้าดีกว่า เลยหอบของกินกลับมาทานที่ห้องพักในโรงแรมน่าจะดีที่สุดค่ะ

กับข้าวแล้วกะอาหารมื้อแล้ง วันที่ 19 ธ.ค.นี้ บ่หรูหรา บ่ฟู่ฟ่าอลังล้านแปด เท่าใดเน้อ มีทั้งข้าวเหนียว ไส้อั่ว แกงเห็ดป่า แล้วก็ข้าวยำฮวมแฮมฟืนเจ้า..รสชาติแต่ละอย่าง พอกินไปแล้ว กะต้องฮ่องอู้ว่า ล่ำแต้ๆเจ้า...อาหารแต่ละอย่างอร่อยถูกปากเดี๊ยนค่ะ ไม่ต้องไปนั่งทานในร้านหรู แค่นี้ก็อิ่มแล้วค่ะ หน้าตาอาจะไม่น่าทานบ้าง แต่รสชาติก็แซ่บเว่อร์ เลิศเลอเพอเฟ๊ค เยี่ยมยอดไปฮอดสะแม๊นแต๊นค่ะ

เมื่อคืนวานนี้กางเต็นท์นอนบนดอย วันนี้นอนโรงแรม บรรยากาศการเข้าพักก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงค่ะ  เหมือนได้เที่ยวพักที่นอนแบบ 2 ขั้วเลยค่ะ ได้อรรถรสการนอนไปอีกแบบนะค่ะ

เมื่อทานข้าวมื้อเย็นอิ่มมากๆ แล้ว เดี๊ยนก็นั่งพักสักแป๊บ ก่อนไปทำธุรส่วนตัว อาบนง อาบน้ำ ให้ผ่อนคลายสบายกาย ให้ชื่นชำอุรา ชะชะช่าไปถึงทรวงใน เพื่อจะเอนกายนอน ลงบนเตียงนอนนุ่มๆ ก่อนที่เดี๊ยนจะนอนหลับปุยไปโดยไม่รู้ตัวค่ะ เนื่องจากเพลียจากการขับมอเตอร์ไซต์มาไกลโข่เลยค่ะ เริ่มตั้งแต่ ยอดดอยช้างมูบ ไปพระธาตุดอยตุง มุ่งขับลงจากพระธาตุดอยตุงก็ตรงดิ่งต่อไปยังอำเภอแม่สาย และต่อจากแม่สายกลับมาที่เชียงราย สนุก โห มันส์ ฮา ซ่า บ้าบ้องจริงๆค่ะ


เช้าวันที่ 20 ธ.ค.58 เวลาประมาณ 8.30 น.ได้กระมัง เดี๊ยนตืนสายได้โลห์เลยค่ะ .. เมื่อคืนก็นอนหลับสบายมากๆนะค่ะ  อาจะเป็นเพราะเมื่อยล้าจากการขับมอเตอร์ไซต์มาไกล แต่ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกปวดหลังอยู่ไม่น้อยเลย เพราะแบกเป้สะพายใส่หลังมาถึงมีเบาะมอเตอร์ไซต์ แต่ก็ต้องทรงตัวอยู่ไม่น้อย จะเอากระเป๋ามาวางหน้ารถก็ไม่มีที่วางขาค่ะ เลยต้องแบกหามยังกับจะอพยพค่ะ

เดี๊ยนรีบทำภาระกิจส่วนตัวให้เสร็จ อาบน้ำ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เพื่อเตรียมตัวไปทานข้าว ก่อนที่ห้องอาหารของโรงแรมจะปิดค่ะ เพราะว่าสายมากๆแล้วค่ะ  พอลงมาก็แถทบตกใจ เพราะยังไม่มีใครมาทานเลยค่ะ  สำหรับอาหารในโรงแรมแห่งนี้ ก็เป็นอาหารง่าย มีให้เลือกทานทั้งแบบฝรั่งและแบบไทยค่ะ
- มีไข่ขาว ทานกับขนมปัง
- มี ข้าวต้มร้อน ๆ
อาหารมี 2 อย่างแค่นี้ค่ะ เข้ามามีคุณป้าท่านนึงอยู่ในครัว บอกให้ตักทานได้เลย จะทานทั้ง 2 อย่างเลยก็ได้ จะได้ทานให้อิ่มๆค่ะ


- เครื่องดื่ม มีชา กาแฟ โอวัลติน น้ำดื่มร้อน-เย็น มีแก้ววางให้พร้อมเลยนะค่ะ

ที่ชอบสุดก็คงเป็นชามะลิค่ะ ซึ่งไม่ได้เป็นถุงชาเหมือนโรงแรมทั่วไปที่เป็นซองๆมาให้ แต่นี้ต้องทำการชงเองนะค่ะ เป็นใบชาต้องนำมากรองเองเพื่อให้ได้ชามะลิ กลิ่นหอมหวนกระจวนเหลือเกินค่ะ พอดอมดมแล้วสดรื่นระรืนใจ ไถลลื่นไปไกลเกือบถึงคลองน้ำค่ะ

นี้ขนาดเดี๊ยนตื่นสายแล้วนะค่ะ ยังไม่มีใครตื่นจากที่บรรทม มาเสวยอาหารยามเช้า มีข้าวต้มร้อนไว้ให้ทานด้วยค่ะ เดี๊ยนเปิดฝาหม้อออกมา กลิ่นหอมกระเทียมเจียว ที่โรยบนหน้าข้าวต้มโชยเตะจมูกเดี๊ยนเสียเหลือเกิน จนอดใจไม่ไหว ต้องคว้าทัพพี ตักข้าวต้มอันร้อนเร้า เย้ากระเพาและลำไส้ มาใส่ในชามเพื่อนำไปรับประทานดูว่าจะอร่อยหรือเปล่า


ที่โรงแรมมีที่นั่งกลางแจ้งด้วยค่ะ เดี๊ยนเลยเลือกโต๊ะนั่ง บรรยากาศแบบโปร่งๆหน่อย จะได้นั่งกินลม ชมวิว ทิวทัศน์น้ำรมคลอง ที่จะเหือดแห้งเมื่อใดไม่รู้ค่ะ แต่สภาพอากาศตอนเช้าก็หนาวเย็นสบายดีมากๆนะค่ะ มีลมโกรกพัดโชยลิ้ว กิ่งไม้ทิวเอน อ่อนเอียง เรียงตัวอย่างสวยงาม บรรยากาศช่วงเงียบสงบไม่วุ่นวาย เหมาะสำหรับนั่งพักผ่อน ทานอาหารเช้าให้อิ่มหนำสำราญค่ะ

 แสงพระอาทิตย์เจิดจรัสทอแสงทอง ผ่องอำไพ ทำกลิ่นไอของข้าวต้มและขนมปังปิ้ง ก็ยิ่งจะคละคลุ้ง ไปทั่วอาณาเขตห้องอาหารของโรงแรม.........อาหารเช้ามื้อนี้ เดี๊ยนก็โลภมากเสียเกินค่ะ คุณป้าที่อยู่ในห้องอาหารของโรงแรมบอกว่า ตักทานทั้ง 2 อย่างเลย เดี๊ยนเลยทานทั้งขนมปังและข้าวต้มซ่ะเลย แต่คงจะไม่เบิ้ลแน่ๆค่ะ



อาหารเช้ามื้อนี้ เป็นมื้ออาหารที่นำมาสรรค์สร้างจัดแต่งได้เว่อร์วังอลังการล้านแปด  เดี๊ยนก็สร้างภาพเสียจนอาหารเย็นหมดแล้วค่ะ ตามฉบับคุณนายเว่อร์ค่ะ

-ข้าวต้มร้อนๆ มัวแต่มาจัดแต่งถ่ายรูป ข้าวต้มร้อนก็กลายเป็นข้าวต้มเย็นๆค่ะ
-ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น ทานกับใข่ดาว ขนมปังก็ใกล้จะเย็นจนแข็งกระด้างไปแล้ว มัวแต่จัดแต่งถ่ายรูป
-ชามะลิ เทใส่กาน้อยๆเล็กน่ารัก กุ่งกิ้งมุ้งมิ้งพรุ้งพริ้งปุ้งปิ๋ง ชาเทใส่กาใส่แก้วไว้ ก็เย็นแล้วค่ะ มัวแต่ถ่ายรูป
- ส่วนสตอเบอรี่กับสัปปะรดสด เริ่ดเว่อร์ ช่วยเพิ่มสีสันให้อาหารชุดนี้ไม่น้อย ไม่มีในห้องอาหารให้ทานนะค่ะ เป็นผลไม้ที่เดี๊ยนแวะซื้อริมทางเมื่อวานนี้เอง ที่ซื้อมาจากแม่สายค่ะ สัปปะรดและสตอเบอรี่เย็นเจี๊ยบเชียวค่ะ กัดไปก็เสียวฟันสุโค่ยค่ะ แต่ก็ต้องนำมาทาน เพื่อล้างปากอาหารเช้า และเพื่อความฟิ่นเว่อร์ค่ะ


วันนี้เดี๊ยนใช้สตอเบอรี่เป็นแยมสดเลยค่ะ งดทานแยมสตอเบอรี่ในขวดที่ขายในห้างซุปเปอร์มาเกตเลยนะค่ะ แต่เดี๊ยนเลือกที่จะใช้สตอเบอรี่สดๆ สีแดงเหทือกนี้แหล่ะค่ะ มาบำบัดเป็นอาหารชีวจิตแทน เริ่ดสะแม๊นแต็นมากๆใช่ใหม๊ค่ะ......สามารถนำไปทำทานที่บ้านนะค่ะ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ค่ะ  ซึ่งสตอเบอรี่สดๆพอได้มาทานคู่กับขนมปังที่เริ่มจะเย็นชาจนแข็งกระด้างไปแล้ว มัวแต่จัดแต่งถ่ายรูป..... พอหยิบเข้าปากไปแล้ว โอ้ย...เปรี้ยวจี๊ดเสียเหลือเกิน รสชาติสตอเบอรี่สดๆกับขนมปังช่างไม่เข้ากันเอาซ่ะเลยค่ะ ยิ่งมีใข่ดาวกลิ่นค้าวๆของใข่แดงมาสัมผัสที่โคนลิ้น ก็ยิ่งไปกันใหญ่ แต่เดี๊ยนก็ฝืนทานจดหมดนะค่ะ เพื่อประโยชน์สิ่งเดียวนั้นก็คือ "สุขภาพที่ดีเริ่ดสะแม๊นแต็น"


เดี๊ยนนั่งทานอาหารโลภมาก ทั้งข้าวต้ม+ขนมปังทานกับใข่ดาว เป็นอาหารไทยและฝรั่งที่ทานผสมผสานเข้ากันอย่างได้ลงตัว ทานไปจนอื่มไปถึงกระเพาะเสนาะไปใบหูเลยค่ะ จากนั้นก็ตบท้ายด้วยน้ำชามะลิลา-ขึ้นต้นละเป็นมะลิซ้อน-พอแตกใบอ่อนละเป็มมะลิลา เป็นชามะลิร้อนๆที่กลิ่นนี่้โชยชวนหอมหวนรันย้วนใจ ดื่มไปก็สดชื่นระรื่นอุรา จนอยากออกมาเต้นจังหวะสามช่า ให้เริ่ดเว่อร์ไปเลยค่ะ


พอทานอิ่มก็ไปเดินชมนก ชมไม้ ให้สบายกายและใจค่ะ


มีที่นั่งริมคลองให้ชิวเว่อร์กันด้วยนะค่ะ บรรยากาศตอนเช้าดี๊..ดีค่ะ ชอบตรงที่ไม่วุ่นวายนี้แหล่ค่ะ



พอเดินชมนก ชนไม้ ชมสวน บรรยากาศธรรมชาติโดยรอบเสร็จ ก็ได้เวลาต้องมาเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าเพื่อเช็คเอาท์แล้วค่ะ  เดี๊ยนได้พักห้อง 2 เตียง ใช้งานไปแค่ 1 เตียง แม่บ้านจะได้ทำความสะอาดง่ายค่ะ



ตอนเช็คเอาท์ออกจากที่พัก เดี๊ยนไม่อยากเป็นคุณนายบ้าหอบฟาง เลยฝากกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เอาไว้ที่โรงแรม ก่อนกลับจากเดินทางท่องเที่ยว ค่อยกลับมาเอาค่ะ พนักงานที่โรงแรมก็ใจดี รับฝากกระเป๋าเดี๊ยนค่ะ


เดี๊ยนขับรถออกจากที่พัก ดิ่งตรงมายังในเมืองเชียงรายอีกครั้ง ตอนออกมาก็ปาไปเกือบ 11 โมงแล้วค่ะ โดยที่แรกที่มาคือ ตรงเทศบาลนครเชียงราย จะมีโบว์ชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ด้วยค่ะ เลยหยิบมา 2 แผ่นค่ะ

ในช่วงที่เดี๊ยนไปนั้น มีการประชาสัมพันธ์งานเชียงรายดอกไม้งามด้วยนะค่ะ โดยงานจะจัดช่วงปลายนี้ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายค่ะ


รถราง ท่องเที่ยวรอบเมืองเชียงรายดอกไม้งาม มีป้ายประชาสัมพันธ์ 23 ธ.ค.58 -14 ก.พ.59 ค่ะ เสียดายนะค่ะ ที่เดี๊ยนมาเที่ยวก่อนงานเลยพลาดได้ชมดอกทิวลิปสวยๆค่ะ





แผนการท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกวันนี้คือ วันร่องขุ่น วัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย ด้วยประติมากรรมการสร้างวัดที่มีความวิจิตรงดงาม จนต้องไปเยือนให้เป็นบุญตาสักครั้งสักคราค่ะ



เดี๊ยนขับรถมอเตอร์ไซต์จากตัวเมืองเชียงลงไปทางจังหวัดพะเยา ระยะทางประมาณ 12 กิโล เมื่อถึง สี่แยก วัดร่องขุ่นก็เลี้ยวขวา ก็ได้พบกับความเว่อร์วังอลังการของวัดที่สวยงามวิริรสมาหรา วิริสมาลัยเสียเหลือเกิน ที่สร้างจากปนิธานของนักจิตรกรชื่อดัง อาจารย์เฉลิมชัย เรียกว่าเป็นนักวาดรูปที่มีชื่อเสียงและนักพูดฝีปากกล้า เรียกว่าถ้าได้พูดเมื่อไหร่ คนต้องแลหันมาตั้งใจฟังทันที  เดี๊ยนชอบทักษะการพูดของอาจารย์เฉลิมชัยที่เมื่อพูดแล้วก็มักมีท่าทาง มือไม้ก็ไปตาม และสโลแกนในการวาดรูปที่มีคำว่า "มันคือจิตและวิญญาณ" ถือเป็นจิตกรที่เมื่อนำภาพวาด นั้นมาประมูลทีไร ถือว่าภาพนั้นมีค่ามีราคาหลายแสนล้านอลังการล้านแปด เกินเหลือคณานับค่ะ

แต่ที่อลังการกว่าวัด คงจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เยอะเอาเสียมากๆเลยค่ะ ทั้งไทยและเทศ ลูกเด็ก เล็กแดง ตาสีตาสา ยายมีนางมา กระเตงลูก กระเตงหลานมาชมความงามของวัดได้เป็นบุญตามากเชียวค่ะ ที่ขาดไม่ได้เมื่อได้มาวัดร่องขุน ก็จะได้เสียงภาษาช้งเช้งๆ ก็คงเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน รถคณะทัวร์ชาวจีนนี้แทบจะครองพื้นที่วัดแล้วค่ะ


ประวัติวัดร่องขุนค่ะ

วัดร่องขุ่น เป็นวัดพุทธ ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ออกแบบและก่อสร้างโดย เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉลิมชัยคาดว่างานก่อสร้างวัดร่องขุ่นจะไม่เสร็จลงภายในช่วงชีวิตของเขาวัดร่องขุ่นถอดแบบมาจากวัดมิ่งเมืองจังหวัดน่าน
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 เวลา 18.05 น. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 มีศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย และแผ่นดินไหวตามหลายครั้ง สร้างความเสียหายให้กับวัดร่องขุ่นเป็นอย่างมาก เช่น ผนังโบสถ์ปูนกระเทาะออก กระเบื้องหลุด ยอดพระธาตุหัก ภาพเขียนเสียหายหมด ทำให้ต้องปิดวัดเพื่อซ่อมแซมตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2557 (ขอบพระคุณข้อมูลจาก สารานุกรมเสรีวิกิพีเดียค่ะ)
 


เดี๊ยนเดินเข้ามาในวัดร่องขุน ก็สะดุดกับเสียงเพลงเหนืออันไพเพราะ ของศิลปินนักร้องล้านนา วงเลอเฌอ ซึ่งร้องเพลงได้เพราะพริ้งจับจิตและเย้ายวนใจ ช่วยกลบเสียงโทรโข่งของเจ้าหน้าที่วัด... ที่ประกาศ ป้าว ป้าว ป้าว ถึงกฏกติการการเข้ามาในวัดร่องขุ่นค่ะ จนทำให้เดี๊ยนต้องขวักเงินให้มาช่วยอุดหนุนนักร้องที่ร้องเพลงได้เสนาะเพราะพริ้งถึงทรวงใน กลบเสียงไฟอันเร้าร้อนให้อ่อนนุ่มลงถนัดตาค่ะ ...เดี๊ยนอุดหนุนไป 1 ตลับค่ะ ค่าเสียหาย 150 บาทค่ะ ไทยช่วยศิลปินไทยค่ะ อุดหนุนของแท้ค่ะ

 ได้เวลาเดินเข้าไปไหว้พระด้านในพระอุโบสถแล้วค่ะ ตลอดการเดินทางขึ้นไป ก็ถนัดคับคั่่งด้วยนักท่องเที่ยวค่ะ นี้ขนาดเป็นวันท่องเที่ยวสุดสัปดาห์นะค่ะ ยิ่งถ้าเป็นช่วงเทศกลาววันหยุดยาวๆ เดี๊ยนว่า วัดร่องขุนส้วมแตกแน่ๆเลย เพราะผู้คนคงหลังไหลกันมาจนล้นวัดเป็นแน่แท้ค่ะ



พอได้เดินเข้ามาในวัด ก็ยิ่งรู้สึกถึงความเว่อร์วังอลังการล้านแปด เป็นวัดที่สร้างอย่างวิจิตรบรรจงอย่างสร้างสรรถ สะท้อนให้เห็นภาพได้เป็นรูปธรรม มีทั้งนรถ โลก และสวรรค์  มียักษ์ มีมาร มีเทวดา มีมนุษย์มนา บ่งบอกถึงก้นบึ้งลึกของจิตใจคนเรา ว่าให้กระหนักถึงการกระทำคุณงามความดีค่ะ



ตลอดการเดินเข้ามา มือเดี๊ยนขนับข้างตัวขึ้นมาเรื่อย อีกมือนึงก็ถึงกล้องสัปปะรังเคไว้ค่ะ  เพราะเกรงว่ามือจะเสียท่าพลาดพลั่งไปโดนประติมากรรมปูนปั่นที่เค้าทำไว้จนเสียหายค่ะ... ถ้าพังขึ้นมา อุ้ยตายแน่ๆ คงต้องควักเงินหลายแสนมาจ่าย ไม่คุ้มเป็นแน่นอนค่ะ

พอไปถึงในโบร์ถก็ห้ามถ่ายรูปอีกค่ะ ต้องทำตามกฏของวัดค่ะ คือห้ามถ่ายรูปค่ะ




ที่ห้องสุขาวลัย หรือห้องน้ำ หรือภาษาอังกกฤษ ท๊อยเลท ก็สร้างขึ้นได้สวยงามเว่อร์วังอลังการ เริ่ดสะแม๊นแต๊นมากๆนะค่ะ  ห้องน้ำนี้กระมังที่เมื่อช่วงกลางปี มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ท่านหนึ่ง เป็นผู้ไม่ประสงค์ดี มาขี้เรี่ย ขี้ราด ขี้ไม่ลงหลุม หกเลอะเทอะไปทั่ว ทำกลิ่นนี้โชยหอมหวนรันยวนใจค่ะ คนที่ไม่รู้ ก็มาเหยียบขี้ซ้ำอีก ขี้ก็ยิ่งเลอะติดรองเท้า หอมติดไปที่พัก กลิ่นก็ยิ่งหอมมาก ลบก็ยากยิ่งอยู่ด้วย...อุ้ยทำไปได้นะค่ะ จนกระฉ่อนไปถึงหูอาจารย์เฉลิมชัย ต้องประกาศ ป้าว ป้าว ป้าว ทางทีวี พูดด่าทีแทบสะบั้นหันแหลก พร้อมตั้งกฏขึ้นมา ติดป้ายเบ้อเร่อเฮ้อไว้ ให้ช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยค่ะ.... แต่เดี๊ยนมาวัดนี้ ก็ไม่ได้เข้าไปในทำฉิ่งช่องเลยค่ะ เพราะเกรงจะไปฉี่ราดไม่ลงหลุม เดี่ยวคราวนี้สกปรกเลอะเทอะไปใหญ่ โดนนำชื่อมาประจาน ต้องเอาปี๊บมาคลุมหัว อายไปทั่วโลกล้าพนาไพรค่ะ

ป้ายนี้ จะเห็นอยู่เกือบทั่ววัดร่องขุ่น ต้องช่วยกันทำตามกฏกติกาของวัดค่ะ

ก่อนกลับเดี๊ยนได้ไปเดินชมในพิพิธภัณฑ์ของ อ.เฉลิมชัยด้วย เข้าไปด้านในมีประวัติและภาพสวยๆทั้งเลยค่ะ ใครมีเวลานอกจากจะไปถ่ายรูปที่วัดร่องขุ่นแล้ว ต้องไม่พลาดแวะเข้าไปชมภาพด้านใน สวยงามเริ่ดสะแม๊นแต๊นที่สุดค่ะ ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์ ได้ร่วมประทับตราเขียนชื่อไว้ด้านหลังบัตรด้วยค่ะ พร้อยหยอดเงินบริจาคช่วยเหลือการบำรุงวัดร่องขุ่นด้วยค่ะ

หลังจากแวะไหว้พระและชมความวิจิตรงดงามตระการตาสุดจะพรรณนาเหนือใดวัดอื่นใดในโลกล้าที่วัดร่องขุ่นไปแล้ว เดี๊ยนก็ขับรถมาไม่ไกลนักจากวัดร่องขุ่น ไปชมไร่บุญรอดบริวเวอรี่ ไร่ที่มีชื่อเสียงที่ใครๆก็มาถ่ายรูปเซลฟง เซลฟี่กับเจ้าสิงห์ โลโก้เครื่องดื่มแอลกฮอล์ยี่ห้อดัง มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปร่วมไม่ขาดสายค่ะ มีการจัดดิสเพลสสถานที่ให้น่าสนใจ ต้อนรับปีใหม่ด้วยค่ะ  ถือเป็นจุดแวะพักริมทางพักผ่อนกาย ยืดแข้ง ยืดขาไปค่ะ

http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post_6.html
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post.html

เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ ตรงเข้ามาในเมืองเชียงรายอีกครั้ง เพื่อมาหาร้านอร่อยทาน คราวนี้ขอจัดเต็ม เป็นร้านดีๆหรูหราไฮโซ สมเป็นคุณนายเว่อร์ หน่อยนะค่ะ เดี๊ยนเลยขับมอเตอร์ไซต์หาร้านคอฟฟี่ช็อป ริมแม่น้ำกก วิวดีๆ นั่งชิวกินลม ไปเจอร้านนึงเค้าค่ะ ชื่อร้าน อีสสะลีฟ  ออกแนวเป็นที่ร้านตกแต่งสไตล์ผู้ดีอังกฤษเว่อร์ค่ะ บรรยากาศน่าไปนั่งทานมากๆ เป็นทั้งร้านขายเครื่องดื่มและมีที่พักให้บริการด้วยนะค่ะ เห็นจากการตกแต่งภายนอกแล้ว น่าจะพรุ้งพริ้ง เลิ่ดเลอเพอเฟ๊ค ถูกสเป๊คเดี๊ยนแน่ๆค่ะ  เดี๊ยนเลยขอเข้าไปอุดหนุนสักหน่อยค่ะ (มารีวิวร้านให้เค้าฟรี โดยไม่มีค่าจ้างค่ะ ร้านใหนถูกใจคุณนายเว่อร์ เดี๊ยนจัดให้ค่ะ)



ทางเข้าร้านด้านหน้าค่ะ เป็นกระจกใสๆ เหมือนร้านขายเครื่องดื่มและขนมเบอรี่ที่อังกฤษเด๊ะๆเลยค่ะ ไม้สีน้ำตาลอ่อน ดูแล้วอบอุ่นจังค่ะ



สวนย่อมภายในร้านและที่พักตกแต่งสไตล์อังกฤษ เข้ามานี้เหมือนได้ไปเมืองผู้ดีอังกฤษเลยค่ะ มีหมา


ภายในร้านเป็นส่วนหย่อมเล็กให้ลูกค้าไดันั่งทาน ริมแม่น้ำ หรือถ้าใครร้อน ก็ไปนั่งทานตากแอร์ด้านในได้ค่ะ แต่ช่วงนั้นอากาศหนาวเย็น มีลมพัดโชย ทางร้านเลยไม่ได้เปิดแอร์ค่ะ


มีที่นั่งหลายจุดให้เลือกค่ะ ดูสบายตา น่านั่งนอน ลมโพยโชย เย็นๆ ถ้ามีเสื่อมาปูนอนเล่นด้วยคงจะดี อ้าว....ไม่พอค่ะ เอาครก และเครื่องเคียงมะละกอ มาทำส้มตำด้วย คงเริ่ดสะแม๊นแต๊นมากค่ะ แค่จินตนาการ ก็บ้าไปแล้ว เสียลุ๊คหมดค่ะ
ด้านในก็มีนะค่ะ เป็นที่นั่งเก้าและโต๊ะน่ารัก กุ่งกิ้งมุ้งมุิ้งพรุ้งพรุิ้งน่ารักเว่อร์ค่ะ ตกแต่งได้เรียบสะอาดตา และบรรยากาศเมื่อเข้ามาแล้วก็อบอุ่นมากค่ะ

แต่ละจุดเห็นแล้ว ก็ต้องหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา ถ่ายสักแช๊ะ สองแช๊ะค่ะ

 มีมุมโน้นนี้นั้นให้ได้เลือกชม และถ่ายรูปกันค่ะ น่ารัก ฟิ่นเว่อร์ บรรยากาศโดยรอบก็สดชื่น และให้ความรู้สึกอบอุ่นค่ะ

 ที่ร้านแห่งนี้มีตุ๊กตา ตุ๊กตุ่น ของกิ๊ปช็อปน่ารัก เป็นของนำเข้ามาจากอังกฤษและต่างประเทศ จำหน่ายด้วยคะ ใครที่ชอบก็มาเลือกซื้อ เลือกหากันได้ค่ะ


มีมุมน่ารักให้ชม ไม่ขาดสายเลยค่ะ อยากซื้อตุ๊กตาน้องหมีคู่ 2 ตัว พร้อมทั้งตุ๊กตาคู่แต่งงานนั้่นจังเลยค่ะ น่ารักเสียจริงเลยค่ะ เป็นตุ๊กตาเซรามิกที่น่าจะราคาแพงโข่อยู่กระมัง

เดี๊ยนเลือกที่นั่งริมสวน ตรงศาลาริมแม่น้ำเลยค่ะ น่านั่งนอน ลมโพยโชย เย็นๆ ถ้ามีเสื่อมาปูนอนเล่นด้วยคงจะดี อ้าว....ไม่พอค่ะ เอาครก และเครื่องเคียงมะละกอ มาทำส้มตำด้วย คงเริ่ดสะแม๊นแต๊นมากค่ะ แค่จินตนาการ ก็บ้าไปแล้ว เสียลุ๊คหมดค่ะ


 บรรยากาศริมแม่น้ำกก ดีเริ่ดเลอเพอเฟ๊คสุดๆค่ะ น่าจะกระโดดลงไปเล่นมากๆเลยค่ะ


เดี๊ยนเลือกนั่งตรงศาลาริมแม่น้ำ พอดีว่ายังไม่มีลูกค้าในร้านเยอะมากนัก เดี๊ยนเลยนิสัยไม่ดี โลภมาก มาคนเดียว แต่เลือกที่นั่งโต๊ะหมู่เชียวค่ะ หากมีคนมาเยอะ ก็คงต้องรีบย้ายโต๊ะเลยนะค่ะ และต้องเสียสละให้คนที่มาเป็นหมู่คณะได้นั่งไปค่ะ   ตรงศาลาก็ทำให้นึกถึงราวกับว่า เดี๊ยนไปเจ้าหญิงเหมือนในเรื่องวนิดา จะมีท่านชายมานัดเดทกันสองต่อสอง เริ่ดและฟิ่นเว่อร์สุโค่ยค่ะ ....เดี๊ยนก็จินตนาการบ้าไปแล้วค่ะ


อ้อ..ลืมบอกไป ร้านนี้ ตอนเดี๊ยนไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาว์เตอร์ ทางเจ้าหน้าที่ในร้านก็จะมีป้ายมาให้เราด้วยค่ะ โดยต้องถือมาวางไว้ที่โต๊ะด้วยนะค่ะ จะได้รู้ว่าอยู่โต๊ะใหนไงล่ะ กิ๊บเก๋ยูเรก้าที่สุ้ดเลยค่ะ

เครื่องดื่มชุดแรกเดี๊ยนสั่ง เป็นชาเขียวลาเต้ค่ะ
ตามมาด้วยชุดต่อไปค่ะ อาหารหนัก เพิ่มความอ้วนเลยค่ะ

ชุดนี้ชื่อว่า วาฟเฟิลราดน้ำผึังทานกับไอศกรีมวนิลา พร้อมเครื่องเคียงเป็นผลไม้หลากชนิด หรูหราเริ่ดเว่อร์ค่ะ
เครื่องเคียงเป็นผลไม้ มีส้ม องุ่น กีวี แอปเปิ้ล สตอเบอรี่ กล้วย แล้วก็ครีมค้นๆข้างๆค่ะ รสชาติจะเป็นยังไงหนอ....
น่าตาของว่างน่าทานที่สุ้ดเลยค่ะ คนทำคงตั้งใจทำมากเลยค่ะ ประดิษฐ์ประดอยใส่ใจเริ่ดเว่อร์เลยเชียว เพราะเดี๊ยนเองก็รอนานพอสมควรกว่า่จะได้ทาน ดีนะค่ะ ที่ร้านมีโน้นมีนี้ให้ถ่ายเล่น บรรยากาศก็ดี ไม่งั้นหงูดหงิด องค์ลงโวยวาย ตีโพยตะพาย เป็นใยแก่โมโหหิวแน่ค่ะ


พอได้ตักเข้าปากแล้ว กลิ่นของแป้งวาฟเฟิล กลิ่นนี้หอมโชย ถ้าคนไทยคงเรียกขนมรังผึ้งค่ะ  เนื้อแป้งนิ่ม หวานกำลังดีค่ะ ทานคู่กับไอศกรีมที่ช่วยละลายแป้งให้กลืนลงคอได้ง่ายๆ มีกล้วยหอมราดช็อคโกแลต ทานเข้ากันดีๆค่ะ  พอทานเนื้อแป้งเสร็จ ก็ล้างปากด้วยผลไม้ช่วยเพิ่มเอ็มไซน์ในปากให้หลั่งและอยากทานต่ออีกจังค่ะ
เดี๊ยนใช้เวลานั่งทานในร้านและนั่งกินลมชมวิวในร้าน อีสสะลีฟ นี้อยู่ร่วมชั่วโมง จนได้เวลาไปคิดค่าเสียหายมื้อนี้ค่ะ  รวมราคา 245 บาท ค่ะ ราคาพอๆกับร้านขนมและเครื่องดื่มในกรุงเทพเลยค่ะ แต่ก็ถือว่าอร่อยคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป เพราะทั้งบรรยากาศในร้าน พนักงานเสริฟ และรสชาติของเครื่องดื่มและของว่างที่นำมาให้เดี๊ยนทาน ก็ถูกปากเดี๊ยนมากๆค่ะ .....ตกลงเดี๊ยนทานเครื่องดื่มและของว่างในร้านนี้ให้แล้ว ให้ผ่านระดับ 5 ล้านดาวค่ะ!!!!

สถานที่ท่องเที่ยวต่อไปที่เดี๊ยน แว็นต่อ นั้นก็คือ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ค่ะ

http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post_6.html
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post.html

ค่ะหลังจากที่เดี๊ยนได้ดื่มของว่างและทานขนมวาฟเฟิลอร่อยจากร้าน อีสสะลีฟไปเรียบร้อยแล้ว เดี๊ยนก็แว็นมอไซต์ต่อมาที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติค่ะ ที่ท่านเป็นนักจิตกร และนักประติมากรรม สร้างผลงานไว้มากมาย มีชื่อเสียงโดดเด่น ภาพสะดุดตา หากมาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จะเห็นเขาควายแทรกอยู่ผลงานประติมากรรมหรือตกแต่งในงานชิ้นนั้น จนสวยแปกตา พร้อมกับการสร้างงานสถาปัตยกรรมต่างๆสวยโดดเด่น มองเห็นแล้วต้องจินตนาการตามค่ะ...ตอนแรกเดี๊ยนก็ งงๆ นะค่ะ ทำไม ถึงเรียกบ้านดำ พอมาถึงก็ร้อง อ๋อ...เพราะในพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ก็มีแต่สีดำ มืดๆหน่อยค่ะ แต่สวยงามเว่อร์วังลังการ เจิดจรัสแจ่มจ้า วิรสมาหรา วิริสมาลัยมากค่ะ

การเดินทางมาก็ไม่ยากนะค่ะ เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ข้ามสะพานแม่น้ำกก ตรงดิ่งถนนสาย เชียงราย-แม่สาย มาเลยค่ะ ขับเลยผ่าน ม.ราชภัฎเชียงราย และเลยโรงเรียนนางแล มาหน่อยนะค่ะ จะเจอป้ายน้ำอัดลมเสริมสุข ให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเล็กๆนั้นได้เลยค่ะ




ประวัติ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ อ.ถวัลย์ ดัชนี 


บ้านดำ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ตั้งอยู่ที่ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย สร้างขึ้นโดย อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ที่มีฝีมือทางด้าน จิตรกรรม ปฏิมากรรม ได้สร้างงานด้านศิลปะไว้มากมาย ทั้งทางด้านภาพเขียน และ ด้านปฏิมากรรม หลายชิ้น ลักษณะ ของ บ้านดำจะเป็นกลุ่มบ้าน ศิลปะแบบล้านนา ทุกหลังทาด้วยสีดำ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า บ้านดำและยังเป็นสีที่ อ. ถวัลย์โปรดปราน อีกด้วย ในบ้านแต่ละหลังจะประดับด้วยไม้แกะสลักที่มีลวดลายงดงาม นอกจากไม้แกะสลักแล้วยังประดับด้วยเขาสัตว์ เช่น เขาควาย เขากวาง และยังมีกระดูกสัตว์ เช่น กระดูกช้าง เป็นต้น

ภายในบริเวณบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ บรรยากาศร่มเย็นสบาย โดยในบริเวณบ้านประกอบไปด้วยบ้านทั้งหมด 36 หลัง ที่มีลักษณะ แตกต่างกันไป ซึ่งบ้านเหล่านี้ไม่ได้สร้างไว้สำหรับอยู่อาศัยแต่สร้างไว้สำหรับเก็บสิ่ง ของสะสมต่าง ๆ ของอาจารย์ถวัลย์ นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งหลังที่ยังสร้างไม่เสร็จ คือพิพิธภัณฑ์ที่ใช้แสดงผลงานของอ.ถวัลย์ สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง มีลวดลายแกะสลักที่ สวยงามอย่างยิ่งนับว่าเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์และศิลปะแบบ ล้านนาที่ทรงคุณค่าและ ควรอนุรักษ์ ในจังหวัด เชียงรายจะมีวัดร่องขุ่นของอาจารย์เฉลิมชัย ซึ่งมีสีขาวเหมือนสวงสวรรค์ ทำให้มีผู้เปรียบเทียบบ้านดำของอาจารย์ อาจารย์ถวัลย์ จะเป็นแนวออกทางนรก ซึ่งอาจารย์ติบว่า นั่นคือเป็นข้อเปรียบเทียบ คือ อ.เฉลิมชัยทำวัดร่องขุ่นจะค่อนข้างเหมือนกับสรวงสวรรค์ อาจารย์ถวัลย์จะเน้นโทนดำๆ ถ้าจะเปรียบก็เฉลิมสวรรค์ ถวัลย์นรก เป็นแค่การเปรียบเทียบแต่ไม่ใช่ออกในแนวนรกConcept ที่นี่ไม่ใช่นรกแต่เป็นบ้านดำ ที่นี่เค้าเรียกบ้านดำนางแล ลักษณะจะเป็นสีดำ คนก็เลยเปรียบเปรยกันอย่างนี้เฉยๆ ” 

บ้านดำ เปิดให้เข้าชมเข้าชมฟรี ทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. ปิดเข้าชมช่วงเวลา 12.00-13.00 น.

การเดินทาง : สามารถเดินทางได้โดยใช้ถนนเส้น ซุปเปอร์ไฮเวย์ตรงไปทางแม่สาย ผ่านมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายไปประมาณ 3 กิโลเมตร ถึงหมู่บ้านนางแล เลยโรงเรียนนางแลไปหน่อยให้สังเกตด้านซ้ายมือจะเป็นบริษัทเสริมสุข หรือบริษัทเป๊ปซี่นะคะ จากนั้นจะเห็นซอยทางด้านซ้ายมือ ให้เลี้ยวไปตามเส้นจะมีป้ายสีฟ้าบอกทางเป็นระยะ จากปากซอยถึงบ้านดำ ก็ประมาณ 300 เมตร

(ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจากเว็ปไซต์เชียงรายโฟกัส http://www.chiangraifocus.com/)







 เดี๊ยนเดินมาในอาคาร มหาวิหาร หรือ อาคารพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ก็จะแสดงถาวรทัศนศิลป์ทุกสาขาของ อ.ถวัลย์ ค่ะ มีบทกลอนให้อ่านด้วยค่ะ 

 

พอได้เดินเข้ามาด้านในบ้าน อ.ดำ ก็จะสถาปัตยกรรมมากมายให้ดูค่ะ อันนี้เป็นวิหารรามค่ะ  
ที่มาและแรงบันดาลใจในการออกแบบ  ความงามบริสุทธิ์ของไม้ขนาดใหญ่ ตั้งแต่เสา ฝา เครื่องบน ม้าต่างไหม กวีของไม้ เนื้อหาหรือความหมายโดยรวมของบ้าน ความสงบ ความสะอาด ความสว่าง เป้าหมายตรงแห่ง พุทธธรรม สะท้อนสภาวะศิลป์ (ขอขอบพระคุณข้อมูล www.thawan-duchanee.com)



บ้านนี้มีชื่อว่า บ้านดำกาแลเกี่ยวฟ้าที่มาและแรงบันดาลใจในการออกแบบ บ้านเก่าเรือนไม้สามหลังแฝดของคฤหบดีเชียงรายบ้านป่าก่อดำ รื้อมาก่อสร้างใหม่ ยกจั่ว เพิ่มชาน หน้าหลัง ตกแต่งปรับปรุงทรวดทรง ผังใหม่หมด เจ้าของเดิมของบ้านเกิด 27 กันยายน วันเดียวกับถวัลย์  ดัชนี  พระเทวาภินิมิต วอลแตร  ตินโตเรทโต้ คนทั้งหมดเป็นศิลปินระดับ ปรมาจารย์ ตำนานโลก (ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก www.thawan-duchanee.com)

 
อันนี้เป็นหอคำค่ะ จุดประสงค์ในการใช้ ประโยชน์ใช้สอยเบื้องต้น ที่พักสำหรับครอบครัว มิตรสหาย
เลียนชื่อและเสียงจากคุ้มหอคำของเจ้านายฝ่ายเหนือ 
วัตถุจัดแสดงภายในบ้าน ระเบียง ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น รับแขก เตียง ฝา ใน นอก แกะสลัก ดิน น้ำ ลม ไฟ ครุฒยุดนาค บายศรีมอญโบราณ ผ้าปักและเตียงเก่าคลาสสิค ตัวอย่างหอย กระบะใส่ข้าวเหนียว โคมไฟโบราณ เปลือกหอยชนิดต่าง ๆ



 ขาดไม่ได้เลย นั้นก็คือ เขาควายเยอะมากๆค่ะ 

หอนี้มีชื่อว่า ศาลาพระทองไสยาสน์ ความหมายของชื่อ ซุ้มประตูแกะไม้ ลงรัก ล่องชาด  ปิดทอง ฝีมือช่างราชสำนักพม่า  
ที่มาและแรงบันดาลใจในการออกแบบ : ที่เก็บง้วนดินอดีตของทาสเชลย อยุธยา ที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองสยามในสมัยปีพุทธศักราช 2310 ความงามที่เป็นเพียงธุลี เศษเสี้ยว ของสิงห์หาสน์ พระแท่น โตกตะลุ่ม น้ำค้างหยดเดียวของกาลเวลา ที่ชะลอซ้อนมาไว้ให้แก่แผ่นดินสุดท้าย 
เนื้อหาหรือความหมายโดยรวมของบ้าน : เก็บเกี่ยวลมหายใจ จิตวิญญาณ เลือดหยดสุดท้าย ของอายุกาลเวลา ให้อดีตเล่าอนาคตให้ปัจจุบันสดับตรับฟัง  (ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก www.thawan-duchanee.com)


หอนี้มีชื่อเริ่ดมากค่ะ ชื่อว่า หอวงแหวนหว่านล้อมดาวพระเสาร์ ชื่อไพเราะเพราะเริ่ดหรูหราวิริสมาหรามากค่ะ 
ความหมายของชื่อ : ความงาม รัศมีภาพ ของวงรุ้งหัวแหวนคืนวันในวงกตกาลเวลา  
ที่มาและแรงบันดาลใจในการออกแบบ : โยนกนาคพันธุ์ นพบุรีศรีเชียงแสน รัตนะปุระอังวะ มิ่งมัณทะเลย์ ในอู่อารยธรรมร่วมสมัย ความโปร่งบางเบาลอย ในม่านหมอก และจินตนาการของเช้าวันหนึ่ง ของคืนวานพรุ่งนี้ เนื้อหาหรือความหมายโดยรวมของบ้าน ที่นอนพักภายใต้ซากปรักหักพังของอดีต ที่กาลเวลารินผ่านกระแสธารวัฒนธรรม ตกผลึกมาเป็นต้นไม้ร้อยอ้อมบานหอม ให้แก่ปัจจุบันสมัย






เดินมาต่อชมหอนี้ ชื่อก็เริ่ดไม่เบา ชื่อว่า หอกิ่งกาลเวลาในกลีบผกา เป็นชื่อที่ฟังแล้วก็เริ่ดสะแม๊นแต๊น
ความหมายของชื่อ : บันทึกชองไม้ร้อยอ้อม ฆ้อง สังข์ กังสดาล วิญญาณพรายเสียง
ที่มาและแรงบันดาลใจในการออกแบบ : ซุงสัก ปีก กิ่ง ก้าน ราก เปลือก ขนาดใหญ่ของไม้ บทกวีป่าในรูปพงไพรพฤกษ์ ความถนุถนอมความทรงจำของป่า โดยคมเลื่อย ช้างลาก และโลภจริตแห่งละโมภ  
เนื้อหาหรือความหมายโดยรวมของบ้าน : จัดเก็บผลงาน แห่งอดีต ความทรงจำแสนหวานของวันวาน ซึ่งวันนี้เสียงไฟ เป่าหิ่งห้อยให้วันพรุ่งนี้




หอนี้เป็นหอที่รูปทรงแปลกตามากค่ะ มีชื่อว่า อูปปรภพ(ห้องจิตวิญญาณ) ชื่อน่ากลัวหน่อยค่ะ 
แต่ควมหมายก็ดีเริ่ดสุดนะค่ะ ความหมายของชื่อ : อูปปรจิต นำคนไปสู่ปรภพ ผุดขึ้นจากขอบดินเหมือนดอกเห็ด 
ที่มาและแรงบันดาลใจในการออกแบบ : อูบมุงอุโมงค์ เตาเผาถ่าน สถูปเจดีย์ ประติมากรรมในศาสนพลีหลายรูปแบบ ศิลปินปั้นบ้านเพื่อสถิตวิญญาณมากกว่าเอา ประโยชน์ใช้สอย ให้ปริมาตรที่ปรินูนอิ่มเต็ม สงบระงับ  
เนื้อหาหรือความหมายโดยรวมของบ้าน : เทวทูตทั้ง 4 เกิดแก่เจ็บตาย จระเข้ หอย ตัวอย่างรูปทรงการไม่เปลี่ยนแปลงของอวิชชา เก้าอี้ทั้งสิบคือทศชาติ เตชะสุเนมะภูจะนาวิเวอ รูปรภพปูแผ่สัจธรรมสากลของสังสารวัฏ  (ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก www.thawan-duchanee.com)


 ยังมีหอประติมากรรม อีกมากมายให้ได้เดินชม เดี๊ยนก็ถ่ายมาเยอะพอสมควร แต่ภาพก็เบลอไปเยอะค่ะ ข้อมุลชื่อและความหมายที่ได้มา ต้องขอขอบพระคุณเว็ปไซต์ของ อ.ถวัลย์ ที่บอกเล่าทั้งชือ และความหมาย ถ้าไม่เข้ามาอ่านก็ไม่รู้เลยนะค่ะว่า ศิลปะถาวรวัตถุรวมทั้งสถาปัตยกรรมที่อ.ถวัลย์ สร้างขึ้น มีความหมายว่าอย่างไร พอได้เข้ามาอ่านในเว็ปไซต์ ก็มีความรู้ลึกซึ้งคะนึงนัยโยงใยไปใกลถึงจิตและวิญญาณจริงๆค่ะ เริ่ดมากๆค่ะ 

ที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำ มีร้านจำหน่ายของที่ระลึกของ อ.ถวัลย์ ดัชนีย์ ด้วยนะค่ะ สินค้าก็มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจ กระเป๋า เสื้อผ้า และรูปภาพสวยๆค่ะ



เดี๊ยนใช้เวลาชมความงดงาม ความแปลกตาของศิลปะและสถาปัตยกรรมในพิพิธภัณฑ์บ้านดำประมาณรวมชั่วโมง ก็ได้เวลาที่จะต้องเตรียมตัวเดินทางกลับแล้วค่ะ เดี๊ยนเลยต้องขับรถมอเตอร์ไซต์กลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม ที่ได้ฝากไว้ เพื่อเดินทางไปต่อยังในตัวเมืองเชียงรายค่ะ 




http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post_6.html
http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post.html
ไหว้พระที่เชียงราย

ยังมีเวลาเหลือพออีกประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆค่ะ เดี๊ยนไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม จากนั้นก็แว๊นๆขับมอไซต์มาในเมืองเชียงราย เพื่อไปกราบไหว้พระก่อนจะเดินทางกลับค่ะ วัดแรกนั้นก็คือ วัดพระสิงห์ค่ะ  เคยไปไหว้พระที่วัดพระสิงห์ในเชียงใหม่แล้ว เลยมาไหว้พระวัดพระสิงห์ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์มาก่อนค่ะ ซึ่งปัจจุบันพระพุทธสิหิงค์องค์จริงถูกไปประดิษฐานไว้ที่ วิหารลายคำ จ.เชียงใหม่ วัดนี้ถือว่าเป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองเชียงรายมานานพอสมควรค่ะ

วัดพระสิงห์ มีเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา ทิศเหนือติดถนนสิงหไคล ทิศใต้ติดถนนพระสิงห์ ทิศตะวันออกติดถนนท่าหลวง ทิศตะวันตกติดถนนภักดีณรงค์ สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามหาพรหม ซึ่งเป็นพระอนุชาของพญากือนา ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ราวปีพ.ศ. 1928 (พระเจ้ามหาพรหมเสวยราชย์ ณ เมืองเชียงราย ระหว่าง พ.ศ. 1888-พ.ศ. 1943)  (ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจากสารานุกรมเสรีวิกิพีเดียค่ะ)




มีภาพเก่าๆให้ชมด้วยค่ะ ภาพนี้เดี๊ยนถ่ายมา ค่อนข้างสะท้อนแสงจากประตูในอุโบสถหน่อยค่ะ เป็นภาพขบวนช้างเดินทางไปเชียงราย ถึงวัดพระสิงห์ใช้เวลาเดินทาง 10 ถ่ายเมื่อ พ.ศ 2446  เมื่อประมาณ 112 ปีมาแล้ว มีคำว่า OK บนที่นั่งช้างด้วยนะค่ะ เริ่ดมาก



 ภาพในหลวงและพระราชินี เสด็จมาเยี่ยมพสกนิกรในอ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อปี 2501 เป็นภาพที่น่าประทับใจมากๆค่ะ

อยู่ติดกับวัดพระสิงห์ เป็นศาลากลางเก่าเมืองเชียงราย ตอนนี้ถูกจัดให้เป็นอาคารเทิดพระเกียรติ 90 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์และอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ค่ะ เป็นอาคารสีสีมอ่อนที่ดูคลาสิคโก้โมสิฟายเอ้อ มากๆนะค่ะ 

 วัดนี้เป็นวัดสุดท้ายและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายที่เดี๊ยนได้มาค่ะ ก่อนหน้านี้ก็เคยมาแล้ว แต่ก็มาอีกรอบค่ะ ชือว่า วัดพระแก้ว เป็นวัดที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตมาก่อนค่ะ  ตอนขับมอเตอร์ไซต์เข้ามาในวัด ก็ตกใจไม่น้อยว่าที่วัดมีงานใหญ่อะไรหรือเปล่าเห็นมีพระสงฆ์องค์เณร เดินกันให้ขวักไขว้ เดี๊ยนต้องรอให้ท่านลงมาจากวิหารพระแก้วก่อน ถึงจะได้ขึ้นไป
เดี๊ยนขึ้นมาที่วิหารเพื่อมาไหว้พระแก้ว ก็ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและฝรั่งมาสักการะพระแก้วมรกตกันไม่ขาดสายค่ะ 
ประวัติวัดพระแก้ว
วัดพระแก้วตั้งอยู่ที่ถนนไตรรัตน์ อ.เมือง เป็นวัดเก่าแก่ชื่อเดิมว่า "ญรุกขวนาราม" ซึ่งแปลว่าวัดป่าญะ หรือป่าเยี่ยะ เป็นผ่าไผ่ชนิดหนึ่ง ต่อมาในปี พ.ศ.1977 ฟ้าได้ผ่าองค์พระเจดีย์พังทลายลง จึงค้นพบพระแก้วมรกต  (ปัจจุบันประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง) วัดนี้จึงได้ชื่อใหม่ว่า วัดพระแก้ว 


ได้เวลาที่เดี๊ยนจะต้องเดินทางกลับแล้วค่ะ เดี๊ยนเลยขับมอเตอร์ไซต์ไปที่ร้านเช่า เพื่อคืนรถมอเตอร์ไซต์และรับมัดจำคืน จากนั้นก็เดินทางไปที่สถานีขนส่งสายเก่า เพื่อเดินทางกลับค่ะ 

นั่งรถสามล้อจากสถานีขนส่งเชียงราย


พอเดี๊ยนเดินไปที่สถานีขนส่งสายเก่า ก็ปรากฏว่ารถสองแถวที่จะไปขนส่งสายใหม่ ออกไปเมื่อสักครู่ ต้องรถให้คนเต็มรถถึงจะออก เดี๊ยนแหงนดูนาฬิกาในข้อมือ เวลาก็ 4 โมง 25 นาทีแล้ว เดี๊ยนจองตั๋วไว้รถกลับกรุงเทพ เวลา 5 โมงเย็น ถ้ารถ 2 แถว เพื่อรถให้คนเต็มรถ เดี๊ยนก็คงจะไม่ทันรถเป็นแน่แท้ เดี๊ยนเลยต้องยอมเสียค่าแพงกว่าเดิม นั่งตุ๊กๆสามล้อไปที่สถานีขนส่งเชียงรายสายใหม่แทนเลยค่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา จะได้ไปทันเวลารถโดยสารกลับกรุงเทพ ไม่งั้นตกรถแน่ๆค่ะ

ตอนนั่งรถก็ลุ้นอยู่ว่าจะมาทันหรือเปล่า แต่คุณพี่ขับรถตุ๊กๆ ก็ขับดิ่งลำซิ่ง แหกโค้งเสียเหลือเกิน เดี๊ยนล่ะหัวใจจะวายค่ะ


แต่คุณพี่ขับรถตุ๊กๆสามล้อแกก็พาเดี๊ยนมาถึงยังสถานขนส่งเชียงรายอย่างรอดปลอดภัยค่ะ มาถึงก่อนเวลารถออก 10 นาทีเลยนะค่ะ ต้องปรบมือให้ค่ะ


เดี๊ยนมาถึงก็รีบวิ่งกุลีกุจอไปที่ จุดขายตั๋วของ บขส.เพื่อสอบถามชานชลารถจอด เพื่อไปขึ้นให้ทันรถค่ะ 
พร้อมแสดงตั๋วขึ้นรถโดยสาร บขส. นอนหลับปุ๋ย กลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพค่ะ ถึงกรุงเทพตอนตี 5.30 น.นั่งแท๊กซี่กลับบ้านไป ก็ไปทำงานต่อเลยค่ะ มาถึงบ้าน ไปชั่งน้ำหนักดู  ว้าย...น้ำหนักไม่ลงเลยค่ะ เสียใจสุ๊ดๆ เดี๊ยนกินเยอะไปแน่เลยค่ะ ว้า..แย่จัง.............จบทริปการเดินทางไปเชียงราย เริ่ดสะแม๊นแต๊นค่ะ


http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post.html


สรุปทริปค่าใช้จ่าย เสียหาย ทลายกระเป๋าตัง พังยวบเยี้ยบ ว่ามีอะไรบ้าง

17 ธ.ค.58 - เดินทางออกจากรุงเทพ-เชียงราย ที่สถานีขนส่งหมอชิต 21.30 น. ค่าตั๋ว 558 บาท

18 ธ.ค.58  - เช่ามอเตอร์ไซต์ วันละ 200 บาท 3 วัน (200 x 3 = 600 บาท) มัดจำ 3000 บาท
                - ทานข้าวขาหมู  50 บาท 
                - ขับมอไซต์ไปสักการะพระยาเม็งราย ก่อนเดินทางไกล ค่าดอกไม้ไหว้พระ 20 บาท 
                - สถานที่แรกไป หมู่บ้านเด็กโสสะ เพื่อทำบุญ ไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายค่ะ
                - ขับมอเตอร์ไซต์ไปไร่ชาฉุยฟง ฟรี!!ไม่มีค่าใช้จ่า
                - เติมน้ำมันให้เต็มถัง 50 บาท 
                - ไปพระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง สวนรุกขชาติ ค่าธรรมเนียมเข้าชมรวม 220 บาท
                - ซื้อชาร้อนดอยตุง+ขนมเค้กทาน 95 บาท 
                - ซื้อข้าวต้มมัด+มันเทศต้ม+ น้ำดื่ม 55 บาท
                - นอนค้างคืนที่จุดกางเต็นท์ ฐานปฎิบัติการดอยช้างมูบ ฟรี!!
 
19 ธ.ค. 58 - ขับมอเตอร์ไซต์ไปไหว้พระธาตุดอยช้างมูบ
                - ขับมอเตอร์ไซต์ไปไหว้พระตำหนักดอยตุง 
                - หิวหนักซื้อปลาส้ม+หมูยอ+ ข้าวเหนียว ทานที่หน้าพระธาตุ ค่าเสียหาย 50 บาท 
                - ขับมอไซต์ลงจากดอยตุง มาร้าน Mocafe นั่งดื่มโก้ร้อน+ทานขนมปังโทษเธอ ค่าเสีย หาย 135 บาท
                - ขับมอไซต์ไปอำเภอแม่สาย แวะซื้อสตอเบอรี่ริมทานกับพ่อค้าหน้าหวาน ค่าเสียหาย 50 บาท 
                - เติมน้ำมันให้เต็มถังอีก 60 บาท
                - ขับมอไซต์จากแม่สาย กลับเชียงราย แวะซื้อสัปปะรดภูแลริมทาน ค่าเสียหาย 30 บาท
                - ถึงโรงแรมที่พัก บ้านสุขถาวรี รีสอร์ท ค่าเสียหายพัก 1 คืน  คืนละ 800 บาท 
                - จากนั้นไปขับมอไซต์ไปสักการะพระยาเม็งรายมหาราช ค่าดอกไม้ไหว้พระ 20 บาท 
                - เดินทางไปตลาดถนนคนเดินเชียงราย คืนวันเสาร์ ซื้อกับข้าว+ของจุ๊กจิ๊กหมดไป 145 บาท 

20 ธ.ค. 58 - ทานอาหารเช้าที่โรงแรม ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย
                - เติมน้ำมันรถมอไซต์ 40 บาท 
                - ขับมอไซต์ไปวัดร่องขุน ค่าเสียหายอุดหนุนซีดีนักร้อง วงเลอเฌอ 155 บาท
                - เดินทางต่อขับมอไซต์ไปเที่ยวถ่ายรูปที่ ไร่บุญรอดบริเวอรี่
                - ขับมอไซต์กลับเชียงรายหาร้านอร่อยริมน้ำนั่งชิวเว่อร์ ที่ร้าน อีสสะลิฟ ค่าเสียหายรวม 235 บาท 
                - ขับมอไซต์ไปพิพิธภัณฑ์บ้านดำ
                - เดินทางต่อมาไหว้พระที่วัดพระสิงห์
                - ต่อด้วยวัดพระแก้ว 
                - เติมน้ำมันคืนให้เต็มคืนถังอีก 30 บาท 
                - ไปคืนรถมอเตอร์ไซต์ ได้เงินมัดจำรถคืน 3000 บาท 
                - ค่ารถตุ๊กๆ สามล้อไปจากขนส่งสายเก่า ไปขนส่งสายใหม่ 80 บาท 
                - แสดงตั๋วโดยสารรถกลับกรุงเทพ 558 บาท 
                - เวลา 17.00 น.เดินทางจากเชียงราย - กลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพค่ะ 

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2960 บาท ตีไป 3000 บาทค่ะ

               
รีวิวในบทความบล๊อกนี้ ภาพทั้งหมดไม่ได้ตกแต่งแต่ด้วยโปรแกรมอันทันสมัยแต่อย่างใด ใจจริงอยากแต่งภาพให้เริ่ดสะแม๊นแต๊นมากๆค่ะ แต่ไม่มีเวลาเลยค่ะ


ยังไงก็แล้วแต่ค่ะ เดี๊ยนคุณนายเว่อร์ ขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่เข้ามาติดตามอ่านรีวิวการเดินทางในครั้งนี้ ถึงแม้จะมีผู้มาอ่านน้อยนิดส์ก็ตามค่ะ  อีกอย่างหากมีข้อผิดพลาดประการใด พิมพ์อักขระตกหล่น เวิ้นเว้อ เยิ้นเย่อ คำฟุ่มเฟือยจนเกินไป  เดี๊ยนต้องขออภัยกับคุณผู้อ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เดี๊ยนหวังว่ารีวิวการเดินทางลุยๆขับมอไซต์ฉายเดียวในครั้งนี้ คงจะเบิกทางให้ท่านผู้ที่หลงไหลในการท่องเที่ยวเมืองไทยไม่มากก็น้อยนะค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ
จาก คุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่่ยวกินนอน
นักเขียนบล๊อกเกอร์มือสมัครเล่น



http://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post_6.html
http://khunnaiver.blogspot.com/2015/09/blog-post_13.htmlhttp://khunnaiver.blogspot.com/2016/06/blog-post.html

http://khunnaiver.blogspot.com/2015/12/5.html


http://khunnaiver.blogspot.com/2015/11/blog-post_13.htmlhttp://khunnaiver.blogspot.com/2015/11/blog-post_18.html


http://khunnaiver.blogspot.com/2015/12/blog-post.htmlhttp://khunnaiver.blogspot.com/2015/12/blog-post_3.html

แสดงความคิดเห็น

5 ความคิดเห็น

  1. น่าชื่นชม ขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาผ่าหมอก คุณเก่งมากค่ะ ดิฉันกำลังวางแผนจะไปเดือนกุมภา ไปสามวัน ได้ข้อมูลจากคุณเยอะเลย ขอบคุณนะคะคุณนายเวอร์

    ตอบลบ
  2. ด้วยความยินดีค่ะ ขอบพระคุณมากๆค่ะที่ร่วมติดตามรีวิวและเข้ามาแสดงความเห็นในบล๊อกรีวิวของเดี๊ยนค่ะ

    ตอบลบ
  3. เพิ่งเจอบล็อคนี้ กำลังจะไปเที่ยวเชียงรายพอดี น่าสนใจมากครับ รีวิวละเอียดดี เเถมบรรยายด้วยภาษายังฮาๆ อีก
    *น่าจะเขียนรีวิวในพันทิปนะครับ จะได้มีคนดูเยอะๆ รีวิวข้อมูลแน่นแบบนี้มีประโยชน์มากๆ
    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบพระคุณค่ะสำหรับคำชื่นชม และขอบพระคุณ คุณ Nat มากนะค่ะที่เข้ามาติดตามอ่านบล็อกของดิฉันค่ะ ยังไงจะทำหน้าที่นักเขียนบล็อคต่อไห้ดีที่สุดค่ะ

      ลบ
  4. เยี่ยมมากเลยค่ะ อยากท่องเที่ยวแบบนี้บ้างแต่ก็กล้าๆกลัวๆ

    ตอบลบ