![]() |
แบ่งปัน 5 วิธีง่ายๆในการป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง |
สวัสดีเพื่อนๆนักอ่านบนโลกออนไลน์ทุกคน กลับมาทักทายซำบายดี อีหลีอยู่บ่ กันอีกครั้ง หลังจากที่บทความก่อนหน้าได้มาแบ่งปันสาระดีๆเกี่ยวกับ วิธีเริ่มต้นสุขภาพดีทั้งกายและใจง่ายๆใน 1 วันกันไปแล้ว วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า ขอมาแบ่งปันสาระน่ารู้เกี่ยวกับ 5 ข้อง่ายๆในการป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม มาให้ได้อ่านกันค่ะ
ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร?
ออฟฟิศซินโดรม คือ อาการปวดเมื่อยเรื้อรัง ที่เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ หลัง แขน หรือข้อมือ ซ้ำ ๆ และนานเกินไป โดยมักสัมพันธ์กับ ท่านั่งไม่ถูกต้อง ขาดการขยับตัว และความเครียด สรุปง่ายๆก็คือ ออฟฟิศซินโดรม คือ ภาวะกล้ามเนื้อและกระดูกถูกใช้งานผิดวิธี จนเกิดการปวดเรื้อรัง พบมากในคนทำงานนั่งโต๊ะ
สาเหตุหลักของเกิดออฟฟิศซินโดรม
1.นั่งท่าเดิมนานเกินไป โดยเฉพาะนั่งก้ม ๆ หลังงอ
2.โต๊ะ–เก้าอี้ไม่เหมาะสม จอคอมไม่อยู่ในระดับสายตา
3.ใช้เมาส์/คีย์บอร์ดต่อเนื่อง โดยไม่พัก
4.ขาดการยืดเหยียดหรือออกกำลังกาย
5.ความเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตลอดเวลา
อาการที่พบบ่อยสำหรับคนที่เป็นออฟฟิศซินโดรม
1.ปวดตึง คอ บ่า ไหล่
2.ปวดหลังส่วนล่าง หรือหลังช่วงบน
3.ปวดศีรษะ ไมเกรน
4.ชา หรือปวดร้าวลงแขน–มือ
5.ปวดตา ตาล้า จากการจ้องหน้าจอนาน
6.ในบางรายอาจมีอาการ นิ้วล็อก, เอ็นอักเสบ, กระดูกสันหลังเสื่อม หากปล่อยนาน ๆ
และนี่คือ 5 ข้อวิธีป้องกันออฟฟิศซินโดรมง่ายๆ มีดังนี้
1.ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง
- หลังพิงพนักเก้าอี้เต็ม ๆ
- เท้าวางราบกับพื้นหรือมีที่วางเท้า
- หน้าจอคอมอยู่ระดับสายตา ห่างจากตาประมาณ 50–70 ซม.
- ข้อมือวางบนโต๊ะหรือตัวรอง ไม่งอขึ้นหรือลงมากเกินไป
2.พักและขยับทุก 30–60 นาที
- ลุกขึ้นยืดเหยียด หันซ้าย–ขวา หมุนไหล่
- เดินไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ หรือขยับเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ร่างกายอยู่ท่าเดิมนานเกินไป
3.ออกกำลังกายเสริมความแข็งแรง
- โยคะ / พิลาทิส เน้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
- บริหารกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core) เพื่อพยุงหลัง
- คาร์ดิโอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด
4.ใช้โต๊ะ–เก้าอี้ที่เหมาะสม
- เก้าอี้ปรับระดับได้ รองรับสรีระ
- ถ้ามีงานนาน ๆ ใช้โต๊ะแบบยืนสลับนั่งได้ (Standing Desk) จะช่วยลดอาการปวดหลัง
5.ดูแลสุขภาพทั่วไปของร่างกายให้ดี
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำบ่อย ๆ ลดคาเฟอีนและของหวาน
- จัดการความเครียด เพราะความเครียดจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากขึ้น
หากปฎิบัติและทำตามแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือปวดมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน ควรพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อรับการตรวจและทำกายภาพอย่างเหมาะสม
เครดิตภาพ: https://www.freepik.com/
0 ความคิดเห็น