เที่ยวเมืองไทยไปให้รู้ ดูตำนาน ปราสาทเมืองสิงห์ มีประวัติความเป็นมาและความสำคัญอย่างไร นำมาให้อ่านกันค่ะ |
สวีดัด สวัสดีคุณผู้อ่าน รวมทั้งเพื่อนๆเหล่าผู้รักการทัศนาจร อรชร อ้อนแอ้น สุดสะแนน แสนโสภา ช่ะช่ะช่าหัวใจ งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนกันทุกๆคน กลับมาพบปะทักทาย ซำบายดีบ่กันอีกครั้งนะคะ กับบทความบล็อกแนะนำแหล่งท่องเที่ยวทั่วไทย หลังจากห่างหายไปนานเป็นแรมเดือน เนื่องจากเดี๊ยนก็มัวแต่สาระวน บ้างานประจำอยู่ พอเลิกงานวันนี้ ก็เลยขอมาแบ่งปันข้อมูลดีๆกับสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในประเทศไทย ให้ได้อ่านฆ่าเวลากัน
ซึ่งหลายเดือนก่อน ก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี และหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งที่ใครมาเที่ยวกาญจนบุรี นอกจากไปสะพานข้ามแม่น้ำแควแล้ว แน่นอนว่าต้องไม่พลาดขับรถตะลอนมาเที่ยวโบราณสถาน ที่อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์อย่างแน่นอน เพราะเป็นปราสาทขอม ที่บ่งบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ในพื้นที่ได้อย่างน่าสนใจ วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า เลยขอนำประวัติสาระสำคัญเล็กๆเกี่ยวกับ ปราสาทเมืองสิงห์ มาให้ได้อ่านกันดังนี้ค่ะ
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ปราสาทเมืองสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี (Mueang Sing Historical Park, Saiyok district, Kanchanaburi) |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ปราสาทเมืองสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี (Mueang Sing Historical Park, Saiyok district, Kanchanaburi)
สำหรับปราสาทเมืองสิงห์ เป็นปราสาทขอมเก่าแก่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือในเขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดยรายล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ ลักษณะผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง กว้างประมาณ 800 เมตร หมายถึงส่วนกว้างของเมือง ยาวประมาณ 850 เมตร และกำแพงสูง 7 เมตร มีประตูเข้าออก 4 ด้าน มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ภายในเมืองมีสระน้ำ 6 สระ
เรื่องราวประวัติของเมืองสิงห์มีปรากฎเป็นตำนาน จากคำบอกเล่าของชาวพื้นเมืองที่เกี่ยวข้องกับชื่อเมืองสิงห์ |
โดยเรื่องราวประวัติของเมืองสิงห์มีปรากฎเป็นตำนาน จากคำบอกเล่าของชาวพื้นเมืองที่เกี่ยวข้องกับชื่อเมืองสิงห์ และสถานที่คือ ปราสาทเมืองสิงห์ โดยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท้าวอู่ทอง ซึ่งหนีภัยจากท้าวเวชสุวรรณโณ ไปเที่ยวสร้างเมืองหลบซ่อนตามสถานที่ต่างๆ แถบนั้น และการกล่าวถึงเมืองสิงห์และเมืองครุฑด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องเล่าเกี่ยวกับท้าวอู่ทอง มีอยู่ในนิทานพื้นเมือง หรือตำนานท้องถิ่นอีกหลายเรื่องของเมืองไทย
ปราสาทเมืองสิงห์ มีจุดมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา |
โดยปราสาทเมืองสิงห์ มีจุดมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายาน จากการขุดตกแต่งของกรมศิลปากรที่ค่อยทำค่อยไปตั้งแต่ พ.ศ. 2478 แต่มาเริ่มบุกเบิกกันจริงจังเมื่อ พ.ศ. 2517 แล้วเสร็จเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2530 จึงสวยงามดังที่เห็นอยู่ในวันนี้
ความโดดเด่นของปราสาทเมืองสิงห์นี้ กล่าวว่าสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1720 - 1780) |
และความโดดเด่นของปราสาทเมืองสิงห์นี้ กล่าวว่าสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1720 - 1780) กษัตริย์นักสร้างปราสาทแห่งขอม
การขุดแต่งของกรมศิลปากร พบศิลปกรรมที่สำคัญยิ่งคือพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร |
จากการขุดแต่งของกรมศิลปากร พบศิลปกรรมที่สำคัญยิ่งคือพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร โดยเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ ที่ประดิษฐานอยู่ในปราสาทเมืองสิงห์
พบเจอรูปปั้น นางปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง |
นอกจากนี้ ยังมีรูปปั้น นางปรัชญาปารมิตา เป็นพระสูตรสำคัญชุดหนึ่งในนิกายมหายาน มีฐานะเป็นมารดาของพระพุทธเจ้า หรือเป็นภาคสำแดงของพระอักโษภยพุทธะ เป็นสัญลักษณ์ของสุญญตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้
สันนิษฐานว่าสาเหตุที่ปราสาทเมืองสิงห์มาสร้างอยู่บริเวณแถบนี้ ก็เพื่อคอยควบคุมและดูแลเส้นทางการค้าที่เชื่อมระหว่างอินเดียกับสุวรรณภูมิ |
และสันนิษฐานว่าสาเหตุที่ปราสาทเมืองสิงห์มาสร้างอยู่บริเวณแถบนี้ ก็เพื่อคอยควบคุมและดูแลเส้นทางการค้าที่เชื่อมระหว่างอินเดียกับสุวรรณภูมิ หลังจากที่อาณาจักรขอมล่มสลายไปในศตวรรษที่ 19 ที่นี่ก็ถูกทิ้งร้างผุผังไปตามกาลเวลา
ในสมัยรัชกาลที่ 1 เมืองสิงห์ได้มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน |
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 เมืองสิงห์ได้มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน ในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดให้เจ้าเมืองสิงห์เป็น พระสมิงสิงห์บุรินทร์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ดังนั้นจึงยุบเมืองสิงห์ให้เหลือเป็นฐานะเพียงตำบลหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี
จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร มีเมืองชื่อ ศรีชัยสิงห์บุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าคือเมือง ปราสาทเมืองสิงห์ นี่เอง |
จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ซึ่งจารึกโดย พระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จารึกชื่อเมือง 23 เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างไว้ มีเมืองชื่อ ศรีชัยสิงห์บุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าคือเมือง ปราสาทเมืองสิงห์ นี่เอง และยังมีชื่อของเมือง ละโวธยปุระ หรือ ละโว้ หรือลพบุรี ที่มีพระปรางค์สามยอด เป็นโบราณวัตถุร่วมสมัย
แต่ก็มีนักวิชาการบางท่านเห็นต่างออกไป เนื่องจากยังพบความแตกต่างในรูปแบบของกลุ่มปราสาทขอม ระหว่างพื้นที่แถบภาคตะวันออก และภาคอีสานของไทยกับกลุ่มปราสาทขอมในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แต่หลักฐานทั้งหมด ก็มิได้ปฏิเสธความสัมพันธ์ทั้งสังคมและวัฒนธรรมระหว่างละโว้กับเมืองพระนครในกัมพูชา
ลักษณะเด่นปราสาทเมืองสิงห์ตั้งอยู่บริเวณที่ราบริมฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำแควน้อย |
ซึ่งลักษณะเด่นปราสาทเมืองสิงห์ตั้งอยู่บริเวณที่ราบริมฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำแควน้อย พื้นที่โดยรอบโอบรอบด้วยภูเขาขนาดไม่สูงมากนัก บริเวณโบราณสถานจะมีกำแพงและคูคันดินเป็นชั้นๆ แนวกำแพงดังกล่าวมีลักษณะเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยม คือแม่น้ำแควน้อยไหลผ่านด้านทิศใต้ ด้งนั้นพื้นที่ด้านนี้จึงขยายออกไปตามแนวแม่น้ำ
ด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือ แนวกำแพงต่อกันเป็นรูปสีเหลี่ยม |
สำหรับด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือ แนวกำแพงต่อกันเป็นรูปสีเหลี่ยม รอบนอกกำแพงจะเป็นคูคันดินล้อมรอบอยู่ โดยเฉพาะด้านตะวันตกปรากฏซากคันดินอยู่ถึง 7 ชั้น กำแพงและคูดินนี้จะล้อมรอบกลุ่มโบราณสถานสำคัญ ซึ่งประกอบด้วยโบราณสถานหมายเลข 1 - 4 กำแพงและประตู คูคันดิน สระน้ำ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ
ลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดในโบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ สามารถแบ่งได้เป็นเช่นนี้
1.โบราณสถานหมายเลข 1 โบราณสถานหมายเลข 1 |
1.โบราณสถานหมายเลข 1 โบราณสถานหมายเลข 1 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางกลุ่มโบราณสถาน องค์โบราณสถานหันหน้าไปทางทิศตะวันออกและประกอบด้วยสิงห์สำคัญคือ ปรางค์ประธาน ระเบียงคด โคปุระ บรรณศาลาหรือบรรณาลัย และกำแพงแก้ว
ปรางค์ประธานเป็นศูนย์กลางของโบราณสถานมีลักษณะเป็นปรางค์องค์เดียวทรงหอสูงคล้ายฝักข้าวโพด |
ซึ่งปรางค์ประธานเป็นศูนย์กลางของโบราณสถานมีลักษณะเป็นปรางค์องค์เดียวทรงหอสูงคล้ายฝักข้าวโพด องค์ประธานตั้งอยู่บนฐานย่อมุมไม้ 20 ขนาดกว้างและยาวด้านละ 13.20 เมตร มีมุขยื่นออกไปรับกับมุขด้านในของโคปุระทั้งสี่ทิศ โดยมุขด้านตะวันออกยาวกว่าด้านอื่นๆ และระหว่างปรางค์ประธานกับโคปุระด้านตะวันออกมีลานศิลาแลงเชื่อมเป็นลานกว้าง ระเบียนคดเป็นอาคารที่ล้อมรอบองค์ปรางค์ประธาน ด้านเหนือและด้านใต้ยาวด้านละ 42.50 เมตร ด้านตะวันออกและด้านตะวันตกยาวด้านละ 36.40เมตร ตามมุมของระเบียนคดจะมีซุ้มทิศอยู่สี่มุม
โคปุระหรือซุ้มประตูเข้าเป็นอาคารอยู่ระหว่างระเบียงคดทั้ง 4 ด้าน ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับซุ้มขององค์ปรางค์ และมีทางเข้าเฉพาะซุ้มด้านทิศตะวันออกเท่านั้น
.โบราณสถานหมายเลข 2 ยังมีปรางค์ประธาน โคปุระ 4 ด้าน แต่พังลงมามาก บูรณะได้น้อย |
2.โบราณสถานหมายเลข 2 ยังมีปรางค์ประธาน โคปุระ 4 ด้าน แต่พังลงมามาก บูรณะได้น้อย โบราณสถานหมายเลข 2 โบราณสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโบราณสถานหมายเลข1 และมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
เป็นศาสนสถานที่สำคัญ มีองค์ปรางค์ประธานตั้งอยู่กลางอาคารและเป็นที่ตั้งของรูปเคารพที่สำคัญอีกด้วย |
โบราณสถานหมายเลข 1 และโบราณสถานหมายเลข 2 เป็นอาคารที่สันนิษฐานว่า เป็นศาสนสถานที่สำคัญ มีองค์ปรางค์ประธานตั้งอยู่กลางอาคารและเป็นที่ตั้งของรูปเคารพที่สำคัญอีกด้วย การก่อสร้างใช้ศิลาแลงเป็นส่วนวัสดุสำคัญ วัสดุอืนๆที่ใช่ ประกอบอาคารคือ กระเบื้องดินเผา ไม้ ศิลาทราย เหล็ก และอิฐ เป็นต้น การตกแต่งตัวอาคารใช้ปูนฉาบและประดับด้วยลายปูนปั้นตามปรางค์ประธานและซุ้มทิศ ปูนปั้นใช้หินปูนและเปลือกหอยเผาบดแล้วผสมด้วยกาวหนังสัตว์หรือส่วนผสมที่มีความข้นเหนียวและคลุกเคล้ากับน้ำอ้อยเพื่อให้ปูนแข็งตัวช้าทำให้ง่ายต่อการปั้นแต่งเป็นลวดลาย เทคนิคในการก่อสร้าง การก่อสร้างปรางค์ประธาน ซุ้มทิศ ระเบียง ล้วนใช้สิลาแลงและเรียงซ้อนขึ้นไปโดยมิได้ใช้ปูนสอ แต่บางแห่งก็ใช้เหล็กรูป ตัวไอ หรือ ตัวที ช่วยยึดระหว่างก้อนศิลา
3.โบราณสถานหมายเลข 3 ตั้งอยู่นอกกำแพงแก้ว เป็นโบราณสถานขนาดเล็ก ก่อด้วยศิลาแลง โบราณสถานหมายเลข3 โบราณสถานแห่งนี้อยู่บริเวณนอกกำแพงแก้วทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโบราณสถานหมายเลข 1 องค์โบราณสถานมีลักษณะเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กสร้างด้วยอิฐและศิลาแลง ซึ่งอาจจะเป็นฐานของเจดี ดังที่กรมศิลปากรสันนิษฐานว่า สิ่งก่อสร้างสันนิษฐานว่าเป็นเจดี 2 องค์ ฐานแรกมีขนาด 5.20 คูณ 5.20 เมตร เป็นฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูง 1.43 เมตร ลักษณะเป็นฐานเขียงสี่เหลี่ยม ก่อขึ้นไปเป็นฐานปัทม์(บัวคว่ำหงาย) ทั้งหมดนี้ก่อสร้างด้วยอิฐโดยใช้เทคนิคการเรียงอิฐแบบ Header Bond คือใช้ด้านสันของอิฐโผล่ออกมาด้านนอก ชั้นบนของฐานปัทม์ขึ้นไปใช้ศิลาแลงก่อเป็นฐานเขียงอีกชั้นหนึ่ง...ฐานเจดีอีกองค์หนึ่งทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือใช้แลงก่อเป็นฐาน...ฐานเจดีอีกองค์นี้สภาพชำรุดมากจึงไม่สามารถบอกขนนาดและลักษณะที่แน่นอนได้
4.โบราณสถานหมายเลข 4 อยู่ใกล้หมายเลข 3 ยังบูรณะอยู่ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าโบราณสถานหมายเลข4โบราณสถานแห่งนี้เป็นอาคารรูปสี่เหลียมผืนผ้าแบ่งเป็นส่วนเรียงเป็นแถวแนวเหนือใต้ แต่ละส่วนมีขนาดกว้าง 3.90 เมตร และยาว 6.65 เมตร โดยเว้นระยะห่าง กัน 0.50 เมตรในแต่ล่ะส่วนทำเป็นขอบสูงขึ้นมาประมาณ 40 เซนติเมตร บนฐานส่วนที่สองจากทิศของประติมากรรมตั้งอยู่ การก่อสร้างอาคารใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุสำคัญ
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์ ไว้ให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ ในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 |
ทั้งนี้ ทางสำนักกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์ ไว้ให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ ในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนชื่อเป็นโครงการอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ แล้วทําการขุดและบูรณะจนแล้วเสร็จ จนเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2530 ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดําเนินมาเป็นประธานในพิธีเปิด ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางโบราณสถานเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี และยังมีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างไม่ขาดสายอีกด้วย
เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทความบล็อกแนะนำที่เที่ยวเมืองอื่นๆ มีดังนี้
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดพังงา ไม่พลาดไปลั๊ลลาถ่ายรูปกัน คลิ๊กดูที่เที่ยว>> |
รวมเด่นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในจังหวัดพังงา ที่ห้ามพลาดไปลั๊ลลาถ่ายรูปภาพสวยๆกันสักครา ไม่งั้นไม่มาถึงเลยนะ มีที่ใหนบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดแหล่งท่องเที่ยวค่ะ>>>
ต้องไปเช็กอินกับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในอำเภอไทรโยค คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
สรุปสถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองกาญจนบุรี ต้องหนีไปถ่ายรูปกัน ดูบทความค่ะ>> |
ต้องไปให้ได้กับ 13 ที่เที่ยวในตัวเมืองกาญจนบุรี ที่ต้องจรลีหนีมาเช็กอินถ่ายรูปภาพกัน มีที่ใหนบ้างนั้น ตามไปเที่ยวกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดแหล่งท่องเที่ยวค่ะ>>>
รวมเด่นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเกาะล้าน ต้องไปสุขสราญถ่ายรูปภาพกัน>> |
ไปล่าสุดกับ 6 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเกาะล้าน ต้องไปเริงสำราญถ่ายรูปภาพกันสักครั้ง มีที่ใหนบ้าง ตามไปเที่ยวกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดแหล่งท่องเที่ยวค่ะ>>>
น่ารู้กับตำนานประเพณีแห่ผ้าขึ้นพระธาตุ มีที่มาอย่างไร นำมาให้อ่านกัน>>> |
ท่องทั่วไทยไปให้รู้ แวะดูตำนานประเพณีแห่ผ้าขึ้นพระธาตุ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร จัดมาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
ประเพณีกวนข้าวทิพย์มธุปายาสยาคู มีประวัติเป็นมาอย่างไร นำมาให้อ่านกัน>> |
เที่ยวเมืองไทยไปต้องรู้ กับประเพณีกวนข้าวทิพย์มธุปายาสยาคู มีที่มาอย่างไร นำมาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับรูป ฝ่าพระบาทที่เท้าพระนอนวัดโพธิ์ มีความหมายว่าอะไร>> |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ฝ่าพระบาทที่เท้าของพระนอนวัดโพธิ์ รูปสัญลักษณ์ที่หลายคนสงสัย มีความหมายว่าอะไร นำมาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
ตำนานบอกเล่าอันเก่าแก่ของบ่อน้ำพุร้อนพระร่วงในเมืองชากังราว คลิ๊กดูบทความ>>> |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับตำนานบอกเล่าอันเก่าแก่ของบ่อน้ำพุร้อนพระร่วง ในเมืองชากังราวสุดน่าสนใจ มาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดบึงกาฬ ต้องไปเริงสำราญให้ได้ คลิ๊กดูที่เที่ยว>> |
รวมเด่นสถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดตาในจังหวัดบึงกาฬ ต้องไปเช็กอินให้สำราญกันสักครา มีที่ใหนบ้างหนา ตามไปช่ะช่ะช่ากันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดแหล่งท่องเที่ยวค่ะ>>>
รวมเด่นแหล่งท่องเที่ยวดึงดูดตาและตราตรึงใจในสกลนคร คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นจังหวัดสกลนคร ที่ใครก็ต้องมาออนซอนเช็กอินถ่ายรูปกันสักครา ไม่งั้นมาไม่ถึงนะ มีที่ใหนบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดที่เที่ยวค่ะ>>>
0 ความคิดเห็น