Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

รีวิวแบกเป้เที่ยวเมืองกราคูฟ (Krakow) โปแลนด์ เมืองเก่ามรดกโลกติดแม่น้ำวิสตูลา มีที่เที่ยวอะไรบ้าง

แบ่งปันทริปแบกเป้ลุยเดี่ยวไปเที่ยวเมืองกราคูฟ เมืองงามมรดกโลกติดริมแม่น้ำแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ไปเช็คอินถ่ายรูปสวยๆกันบ้าง



สวัสดีเพื่อนคุณผู้อ่านและนักทัศนาจรทุกคนค่ะ คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า ก็ห่างหายไปนานจากการเขียนบล็อกเลยค่ะ เพราะยุ่งอยู่กับงานจนลืมไปว่าต้องมาบอกเล่าเก้าสิบไปกับเรื่องราวการเดินทางไปเที่ยวรอบโลกที่ผ่านมาให้เพื่อนได้อ่านกัน หลังจากที่บทความก่อนหน้าได้พาไปเที่ยวกรุงวอซอร์ เมืองหลวงของประเทศโปแลนด์ ซึ่งเดี๊ยนได้เขียนไว้ในบล็อกก่อนหน้าไว้แล้วตามเว็ปไซต์ลิงค์ : https://khunnaiver.blogspot.com/2025/01/Backpack-Warsaw-city-Poland-travel.html


ได้เวลาเดินทางต่อไปเที่ยวเมืองถัดไปนั้นคือเมืองกราคูฟ หรือบางคนเรียกว่า กราโคฟ หรือ กราคุฟ แล้วแต่ว่าจะออกเสียงหรือเขียนแบบได แต่คนที่โปแลนด์เรียกเมืองนี้ว่า Kraków ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าแก่และเป็นหมุดหมายของนักเดินทางทั่วโลก ต้องแวะมาเยือนเมืองนี้ รองๆจากกรุงวอซอร์ 


การเดินทางทริปนี้นั่งรถไฟออกจากกรุงวอซอร์ เมืองหลวงของประเทศโปแลนด์  มุ่งหน้าลงมาที่เมืองกราคูฟ เป้าหมายเพื่อมาเที่ยวชมค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ คุกที่โหดที่สุดในโลก เลยได้แวะมาเดินเที่ยวเมืองเก่ากราคูฟด้วย


และตัวเดี๊ยนเองรู้จักเมืองกราคูฟ เพราะว่าอยากไปเที่ยวค่ายกักกันเอาชวิท ซึ่งเป็นคุกฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวที่โหดที่สุดในโลก ก็ตั้งอยู่ในเมืองกราคูฟ ด้วยเหตุนี้นักเดินทางส่วนใหญ่ที่จะเดินทางไปเยือนคุกที่โหดที่สุดในโลก ก็ต้องมาเริ่มต้นที่เมืองกราฟคูฟด้วยเช่นด้วยกัน ดังนั้นนอกจากจะไปเที่ยวค่ายกักกันเอาชวิทแล้ว เดี๊ยนก็เลยต้องมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองกราคูฟด้วยว่า เมืองแห่งนี้มีความสำคัญอย่างไร 


ก่อนที่เราจะไปดูภาพรีวิวแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในเมืองกราคูฟ เรามารู้จักประวัติเล็กๆน้อยเกี่ยวกับเมืองกราคูฟก่อนสักเล็กน้อยนะคะ 


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเมืองกราคูฟ ประเทศโปแลนด์ (Krakow city, Poland)


สาระน่ารู้เกี่ยวกับเมืองกราคูฟ ประเทศโปแลนด์ (Krakow city, Poland)


สำหรับเมืองกราคูฟ เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองและเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโปแลน เมืองนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำวิสตูลาในเขตเลสเซอร์โปแลนด์ มีประชากร 804,237 คน (ข้อมูลในช่วงปี พ.ศ. 2566) โดยมีผู้คนอีกประมาณ 8 ล้านคนอาศัยอยู่ในรัศมี 100 กม. (62 ไมล์) โดยคราคูฟเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของโปแลนด์จนถึงปี ค.ศ. 1596 และเคยเป็นศูนย์กลางด้านวิชาการ วัฒนธรรม และศิลปะชั้นนำแห่งหนึ่งของโปแลนด์ เมืองเก่าของเมืองนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดของยุโรป และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆ ของโลกที่ได้รับการเสนอชื่อให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในย่านเมืองเก่าด้วย


เริ่มต้นจากหมู่บ้านเล็กๆ บนเนินเขา Wawel และเคยเป็นศูนย์กลางการค้าที่พลุกพล่านของยุโรปกลางในปี 985 ในปี 1038


ประวัติความเป็นมาของเมืองกราคูฟนั้น  เริ่มต้นจากหมู่บ้านเล็กๆ บนเนินเขา Wawel และเคยเป็นศูนย์กลางการค้าที่พลุกพล่านของยุโรปกลางในปี 985 ในปี 1038 สถานที่แห่งนี้กลายเป็นที่นั่งของกษัตริย์โปแลนด์จากราชวงศ์ปิอาสต์ และต่อมาทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองภายใต้กษัตริย์ยาเกียลลอนและของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ไปจนถึงปลายศตวรรษที่ 16 เมื่อพระเจ้าสมันด์ที่ 3 โอนราชสำนักของพระองค์ไปยังกรุงวอร์ซอเมืองหลวง 

การถือกำเนิดของสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สองในปี ค.ศ.1918 ทำให้เมืองคราคูฟได้ยืนยันบทบาทของตนในฐานะเมืองประเทศราชที่สำคัญอีกแห่งของโปแลนด์


ด้วยการถือกำเนิดของสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สองในปี ค.ศ.1918 ทำให้เมืองคราคูฟได้ยืนยันบทบาทของตนในฐานะเมืองประเทศราชที่สำคัญอีกแห่งของโปแลนด์ หลังจากการรุกรานโปแลนด์ ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง Distrikt Krakau ที่ได้รับการนิยามใหม่กลายเป็นที่ตั้งของรัฐบาลทั่วไปของนาซีเยอรมนี อย่างไรก็ตาม เมืองนี้ก็รอดพ้นจากการทำลายล้าง ในปี 1978 คาโรล วอจตีลา อาร์ชบิชอปแห่งคราคูฟ ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นพระสันตะปาปาในฐานะสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล พระสันตะปาปาองค์แรกที่ไม่ใช่พระสันตะปาปาในรอบ 455 ปี


ที่ตั้งของเมืองคราคูฟนั้น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของโปแลนด์ มีแม่น้ำวิสตูลาไหลผ่านตัวเมือง ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 219 ม. (719 ฟุต) เมืองนี้ตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างภูมิภาคทางกายภาพต่างๆ 


สภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้งของเมืองคราคูฟนั้น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของโปแลนด์ มีแม่น้ำวิสตูลาไหลผ่านตัวเมือง ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 219 ม. (719 ฟุต) เมืองนี้ตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างภูมิภาคทางกายภาพต่างๆ ได้แก่ Kraków-Częstochowa Upland ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง, Małopolska Upland ทางตะวันออกเฉียงเหนือ, Sandomierz Basin (ตะวันออก) และเชิงเขา Beskidian ทางตะวันตกของ คราคูฟมีภูมิอากาศแบบทวีปชื้น ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเคิปเปนเป็น Dfb ค่อนข้างอาศัยอยู่ตามสภาพอากาศในมหาสมุทร Carpathians (ทางใต้)


คราคูฟจัดเป็นเมืองระดับโลกที่ได้รับการจัดอันดับ "ความพอเพียงสูง" 


คราคูฟจัดเป็นเมืองระดับโลกที่ได้รับการจัดอันดับ "ความพอเพียงสูง" โดยเครือข่ายการวิจัยโลกาภิวัตน์และเมืองโลก เมืองนี้ให้บริการโดยสนามบินนานาชาติ John Paul II ซึ่งเป็นสนามบินที่พลุกพล่านเป็นอันดับสองของประเทศและเป็นสนามบินนานาชาติที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวโปแลนด์ตะวันออกเฉียงใต้


เมืองคราคูฟยังเป็นสถานที่จัดแสดงสถาปัตยกรรมรูปแบบประวัติศาสตร์หลายรูปแบบที่พัฒนาขึ้นในช่วงสิบศตวรรษ โดยเฉพาะสไตล์โกธิก เรอเนซองส์ และบาโรก

นอกจากนี้แล้ว เมืองคราคูฟยังเป็นสถานที่จัดแสดงสถาปัตยกรรมรูปแบบประวัติศาสตร์หลายรูปแบบที่พัฒนาขึ้นในช่วงสิบศตวรรษ โดยเฉพาะสไตล์โกธิก เรอเนซองส์ และบาโรก ช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงและช่างฝีมือผู้ชำนาญจากอิตาลีและเยอรมนีในปัจจุบันได้รับการอุปถัมภ์และสนับสนุนโดยกษัตริย์หรือขุนนางผู้มีส่วนสนับสนุนความมั่งคั่งและความหลากหลายทางสถาปัตยกรรม ทำให้เมืองคราคูฟ เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของประเทศโปแลนด์ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย 


เริ่มต้นเดินทางไปคราคุฟทริปนี้ เดี๊ยนเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าตรู่เลยคุ่ะ เพื่อเดินทางมาขึ้นรถไฟให้ทันรอบเวลา 06.08 น. ว่ากันว่ารถไฟที่โปแลนด์นั้น ตรงเวลามากๆเช่นกัน 

ด้านในสถานีรถไฟตรงชานชลา มีเทคโนโลยีเครื่องชงน้ำอัติโนมัติ แบบเป็นหุ่นยนต์ให้ดูด้วย โคตรล้ำไปอีกจ้า

บริเวณด้านในชานชลา 

รถไฟมาแล้วค่ะ เป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูง ระทาง 295 กิโลเมตรไปยังเมืองคราคูฟ 

รถไฟออกจากกรุงวอซอร์ 8.00 ไปถึงเมืองกราคูฟเวลา 8.57 น.  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ

น้ำดื่มก็สามารถซื้้อพกติดมาด้วยนะคะ 

นั่งชมวิวบรรยากาศริมทางไปค่ะ

ส่วนอาหารมื้อเช้า ก็ทำใส่กล่องเก็บไว้ในตู้เย็นที่ห้องครัว ตอนที่อยู่โรงแรมในวอซอร์เลยค่ะ จะได้พกมาทานได้สะดวก ช่วยประหยัดไปอีกทาง เพราะต้องเดินทางอีกยาวไกล 

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองกราคูฟแล้วค่ะ

สำหรับเพื่อนๆคนใหนที่ไม่อยากพักค้างคืนที่เมืองนี้  ที่สถานีรถไฟมีบริการตู้ฝากกระเป๋าให้บริการด้วย

ค่าบริการตามรูปเลยค่ะ เริ่มต้นตู้เล็ก 12 ซวอตือโปแลนด์ เช่าได้ 24 ชั่วโมงเลยค่ะ

จ่ายเป็นแบบหยอดเหรียญเอาค่ะ เดี๊ยนเลยถ่ายรูปมาไว้ เผื่อว่าเพื่อนๆคนใหน ที่จะมาเที่ยวที่เมืองนี้ แบบไปเช้าเย็นกลับกรุงวอซอร์ ก็ฝากไว้ได้

เมื่อมาถึง เดี๊ยนก็เดินออกมาตัั้งหลักเปิด GPS เพื่อนำทางไปยังโรงแรมที่พักในเมืองกราคูฟค่ะ 

ซึ่งโรงแรมที่จองไว้ก็อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก เดินมาประมาณ 800 เมตรค่ะ

พอมาถึงก็ต้องกดกรึ่ง รอเจ้าหน้าที่ด้านล่างเปิดประตูให้ก่อนค่ะ รอประมาณ 5 นาที เนื่องจากเดี๊ยนมาถึงตอนเช้า ปกติทางโรงแรมให้เช็คอินตอนบ่าย 

สำหรับโรงแรมที่เดี๊ยนเข้าพักในการเดินทางมาเที่ยวเมืองกราคูฟทริปนี้ นอนพักที่โรงแรม Hostel Centrum Sabot


โดยเป็นโรงแรมเล็กๆ น่ารัก ห้องพักราคาอยู่ในหลักร้อย ไม่ถึงหลักพัน ถือว่าไม่แพงค่ะ 


มีระเบียงห้องพักอยู่ตรงห้องครัวด้วย 

ส่วนเตียงนอน ราคาคืนละ 800 บาทต่อคนต่อคืน ก็เป็นแบบเตียงห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม สภาพตามที่เห็นเลยค่ะ 

สภาพโดยรวมของที่พักถือว่าโอเคเลยนะคะ เหมาะกับราคาห้องพัก 

และในโรงแรมยังมีโซนห้องครัวเล็กๆ มีอุปกรณ์ เครื่องถ้วยชาม ให้สามารถทำอาหารทานเองได้ด้วย



และหลังจากได้รีวิวห้องพักไปแล้ว ต่อไปก็ตามไปดูสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองกราคูฟกันต่อได้เลยค่ะ 


แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเมืองกราคูฟ ประเทศโปแลนด์ ที่ต้องเดินทางไปเที่ยวเช็คอินถ่ายรูปภาพสวยๆกัน มีดังนี้ 


1.ย่านเมืองเก่ากราคูฟ (Kraków Old Town)

1.ย่านเมืองเก่ากราคูฟ (Kraków Old Town)

1.ย่านเมืองเก่ากราคูฟ (Kraków Old Town)

1.ย่านเมืองเก่ากราคูฟ (Kraków Old Town)

1.ย่านเมืองเก่ากราคูฟ (Kraków Old Town)


1.ย่านเมืองเก่ากราคูฟ (Kraków Old Town)

เมืองเก่าคราคูฟเป็นย่านศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ เป็นหนึ่งในย่านเก่าแก่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศโปแลนด์ โดยเป็นศูนย์กลางของชีวิตทางการเมืองของโปแลนด์ตั้งแต่ปี 1038 จนกระทั่งกษัตริย์ Sigismund III Vasa ทรงย้ายราชสำนักไปยังวอร์ซอในปี 1596


ซึ่งในย่านเมืองเก่ากราคุฟนั้นมีมาตั้งแต่ยุคกลาง โดยเมืองเก่ากราคุฟ ที่ได้รับเลือกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกดั้งเดิมของ UNESCO ซึ่งจารึกไว้ว่าเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของ กราคุฟ เมืองเก่ายังเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานประวัติศาสตร์แห่งชาติอย่างเป็นทางการของโปแลนด์ (Pomnik historii) ที่ได้รับเลือกในรอบแรก ตามที่กำหนดเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2537 

แต่เดินทีนั้น เมืองเก่ามีชื่อในภาษาโปแลนด์ว่า Stare Miasto เป็นส่วนหนึ่งของเขตบริหารแห่งแรกของเมืองซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "Stare Miasto" แม้ว่าจะครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าย่านเมืองเก่าก็ตาม ในศตวรรษที่ 19 ป้อมปราการเมืองเก่าส่วนใหญ่พังยับเยิน คูน้ำที่ล้อมรอบกำแพงถูกถมจนเต็มและกลายเป็นแถบสีเขียวที่เรียกว่า Planty Parkv


พื้นที่ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วย Royal Road ซึ่งเป็นเส้นทางพิธีราชาภิเษกที่กษัตริย์แห่งโปแลนด์ตัดผ่าน เส้นทางเริ่มต้นที่โบสถ์ St. Florian นอกปีกด้านเหนือของกำแพงเมืองเก่าในย่านชานเมืองยุคกลางของ Kleparz; ผ่าน Barbican of Kraków (Barbakan) ที่สร้างขึ้นในปี 1499 และเข้าสู่ Stare Miasto ผ่านประตู Florian โดยทอดยาวไปตามถนน Floriańska ผ่านจัตุรัสหลัก และขึ้น Grodzka ไปยัง Wawel ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของราชวงศ์โปแลนด์ที่มองเห็นแม่น้ำ Vistula


2.ปราสาทวาเวล แห่งกราคูฟ (Wawel Castle) 

2.ปราสาทวาเวล แห่งกราคูฟ (Wawel Castle) 

2.ปราสาทวาเวล แห่งกราคูฟ (Wawel Castle) 

2.ปราสาทวาเวล แห่งกราคูฟ (Wawel Castle) 

2.ปราสาทวาเวล แห่งกราคูฟ (Wawel Castle) 

2.ปราสาทวาเวล แห่งกราคูฟ (Wawel Castle) 


2.ปราสาทวาเวล แห่งกราคูฟ (Wawel Castle) 

ปราสาทหลวง Wawel จัดเป็นเป็นหนึ่งในปราสาทหลวงอันเก่าแก่ ตั้งอยู่บนเนินเขา Wawel ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทแห่งนี้ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุดอีกแห่งโปแลนด์ โดยเป็นปราสาทที่มีป้อมปราการติดริมแม่น้ำวิสตูลาในคราคูฟ  ซึ่งปราสาทหลวงวาเวลก่อตั้งขึ้นตามคำสั่งของกษัตริย์คาซิมีร์ที่ 3 มหาราช  และได้แผ่ขยายอาณาไปตลอดหลายศตวรรษจนกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างจำนวนหนึ่งรอบๆ ไม่ว่าจะเป็นลานสไตล์อิตาลี แสดงถึงรูปแบบสถาปัตยกรรมยุโรปเกือบทั้งหมดในยุคกลาง ยุคเรอเนซองส์ และยุคบาโรกอันสวยงาม 


ปราสาทแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสถาปัตยกรรมที่มีป้อมปราการซึ่งสร้างขึ้นบนยอดหินปูนโผล่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำวิสตูลา ที่ระดับความสูง 228 เมตร (748 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล กลุ่มอาคารนี้ประกอบด้วยอาคารจำนวนมากที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และระดับชาติ รวมถึงอาสนวิหารวาเวล ซึ่งเป็นที่ที่กษัตริย์โปแลนด์ได้รับการสวมมงกุฎและฝังศพ อาคารหินที่เก่าแก่ที่สุดบางแห่งของ Wawel มีประวัติย้อนกลับไปถึงปีคริสตศักราช 970 นอกเหนือจากตัวอย่างแรกสุดของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์และกอทิกในโปแลนด์ ปราสาทปัจจุบันสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 และขยายออกไปในหลายร้อยปีถัดมา ในปี 1978 Wawel ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกแห่งแรกโดยเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางประวัติศาสตร์แห่งคราคูฟ


3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)   ประะตูเข้าค่ายเอาช์วิทซ์ซึ่งหมายถึง  "การทำงานนำมาซึ่งอิสรภาพ" (Arbeit macht frei)

รองเท้าจำนวนมากของชาวยิวในค่ายกักกันเอาชวิท

3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)

3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)

3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)

3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)

3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)

3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)

3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)

3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)


3.ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ หนึ่งในคุกที่โหดที่สุดในโลก สถานที่กักกันฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Auschwitz concentration camp)

ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ (เยอรมัน: Konzentrationslager Auschwitz) หรือ ค่ายกักกันเอาช์วิทซ์-เบียร์เคอเนา (เยอรมัน: Konzentrationslager Auschwitz-Birkenau) เป็นค่ายกักกันและค่ายมรณะที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาค่ายกักกันของนาซีเยอรมนีที่ใช้การระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประกอบด้วยค่ายเอาชวิทซ์ที่ 1 ซึ่งเป็นค่ายหลัก (สตัมลาเกอร์) ในออชเวียนชิม; Auschwitz II-Birkenau ค่ายกักกันและขุดรากถอนโคนพร้อมห้องแก๊ส Auschwitz III-Monowitz ค่ายแรงงานของกลุ่มบริษัทเคมี IG Farben; และค่ายย่อยอีกหลายสิบแห่ง ค่ายเหล่านี้กลายเป็นสถานที่สำคัญของการแก้ปัญหาขั้นสุดท้ายของพวกนาซีต่อคำถามชาวยิว

 ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ถูกสังหารเป็นชาวยิวจากเกือบทุกประเทศในยุโรป ผู้ประสบชะตากรรมเกือบทั้งหมดถูกสังหารในห้องรมแก๊สโดยใช้แก๊สซือโคลน เบ การเสียชีวิตอื่นมาจากความอดอยาก การบังคับใช้แรงงาน การขาดการดูแลทางสุขภาพ การถูกประหารชีวิตรายคน และ "การทดลองทางแพทย์"ตลอดระยะเวลามีการฆ่าทดลองชาวยิวเป็นจำนวนมาก


ในปี ค.ศ. 1947 เพื่อเป็นการระลึกถึงผู้เสียชีวิต โปแลนด์ก็ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ ณ ที่ตั้งของค่ายกักกันของสองค่าย วันปลดปล่อยค่ายกักกันเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1945 โดยกองทัพโซเวียต เป็นวันที่ระลึกของวันรำลึกฮอโลคอสต์ระหว่างประเทศ (International Holocaust Remembrance Day) ใน ค.ศ. 1979 ยูเนสโกยกให้เป็นแหล่งมรดกโลก


4 โบสถ์เซนต์แมรี กราคูฟ (St. Mary's Basilica Krakow) 

4 โบสถ์เซนต์แมรี กราคูฟ (St. Mary's Basilica Krakow) 

4 โบสถ์เซนต์แมรี กราคูฟ (St. Mary's Basilica Krakow) 

4 โบสถ์เซนต์แมรี กราคูฟ (St. Mary's Basilica Krakow) 

4 โบสถ์เซนต์แมรี กราคูฟ (St. Mary's Basilica Krakow) 

4 โบสถ์เซนต์แมรี กราคูฟ (St. Mary's Basilica Krakow) 


4 โบสถ์เซนต์แมรี กราคูฟ (St. Mary's Basilica Krakow) 


โบสถ์อัสสัมชัญของพระแม่มารีย์ มีชื่อเรียกขานว่า โบสถ์เซนต์แมรีเป็นโบสถ์อิฐกอทิกที่อยู่ติดกับจัตุรัสตลาดหลักในคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 โดยมีรากฐานตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 13 และถือเป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมโกธิกของโปแลนด์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ด้วยความสูง 80 เมตร (262 ฟุต) มีชื่อเสียงเป็นพิเศษจากแท่นบูชาไม้ที่แกะสลักโดย Veit Stoss (Wit Stwosz) ภาพฝาผนังโพลีโครมขนาดใหญ่บางภาพได้รับการออกแบบโดย Jan Matejko จิตรกรประวัติศาสตร์ชั้นนำของโปแลนด์ (1838–1893) ในปี 1978 ที่นี่ได้กลายเป็นมรดกโลกของ UNESCO ควบคู่ไปกับศูนย์ประวัติศาสตร์คราคูฟ

ความน่า่สนใจของโบสถ์แห่งนี้คือ ทุก ๆ ชั่วโมง ตลอด 24 ชั่วโมง 365 วันต่อปี จะมีการเล่นสัญญาณทรัมเป็ตที่เรียกว่า Hejnał mariacki จากยอดหอคอยสูงสองแห่งของ Saint Mary บทเพลงเศร้าโศกดังขึ้นกลางกระแสน้ำเพื่อรำลึกถึงนักเป่าแตรผู้โด่งดังในศตวรรษที่ 13 ที่ถูกยิงที่คอขณะส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยก่อนที่ชาวมองโกลจะโจมตีเมือง Hejnał ในตอนเที่ยงจะได้ยินทั่วทั้งโปแลนด์และต่างประเทศ ถ่ายทอดสดโดย Polish Radio Jedynka

ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและโบสถ์สำคัญประจำเมืองเก่ากราคุุฟ ที่มีนักท่องเที่ยวและคริสศาสนิกชนเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย 


5.โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ แอนด์ พอล คราคูฟ (Saints Peter and Paul Church, Krakow city

5.โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ แอนด์ พอล คราคูฟ (Saints Peter and Paul Church, Krakow city

5.โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ แอนด์ พอล คราคูฟ (Saints Peter and Paul Church, Krakow city

5.โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ แอนด์ พอล คราคูฟ (Saints Peter and Paul Church, Krakow city


5.โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ แอนด์ พอล คราคูฟ (Saints Peter and Paul Church, Krakow city)


โบสถ์นักบุญอัครสาวกเปโตรและพอล เป็นโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกในโปแลนด์สไตล์บาโรก ตั้งอยู่ที่ 52a Grodzka Street ในย่านเมืองเก่าของคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1597–1619 โดย Giovanni Maria Bernardoni ซึ่งเป็นผู้ปรับปรุงและออกแบบตึกดั้งเดิมของ Józef Britius ให้สมบูรณ์แบบ เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาโบสถ์เก่าแก่แห่งคราคูฟ  นับตั้งแต่ปี 1842 เป็นต้นมา ได้ให้บริการกับอาคารในหมู่คาทอลิกออลเซนต์ส  มาแล้วหลายแห่ง 


ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1842 เป็นต้นมา โบสถ์แห่งนี้อยู่ในเขตตำบลนิกายโรมันคาธอลิกออลเซนต์ส ในปี 1960 โบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกขึ้นเป็นโบสถ์ขนาดเล็กประจำเมือง โดยจุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้คือ มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและโดดเด่น

6.หอคอยกลางเมืองเก่าคราคูฟ  (Krakow Town Hall Tower) 

6.หอคอยกลางเมืองเก่าคราคูฟ  (Krakow Town Hall Tower) 

6.หอคอยกลางเมืองเก่าคราคูฟ  (Krakow Town Hall Tower) 


6.หอคอยกลางเมืองเก่าคราคูฟ  (Krakow Town Hall Tower) 

หอศาลากลางในเมืองคราคูฟ ประเทศโปแลน เป็นหนึ่งในจุดสนใจหลักของจัตุรัสตลาดหลักในย่านเมืองเก่าของคราคูฟ

หอคอยแห่งนี้เป็นส่วนที่เหลือเพียงแห่งเดียวของศาลาว่าการคราคูฟเก่า (Ratusz ดูภาพวาดด้านล่าง) ซึ่งพังยับเยินในปี 1820 โดยเป็นส่วนหนึ่งของผังเมืองเพื่อเปิดจัตุรัสหลัก ห้องใต้ดินเคยเป็นที่ตั้งของคุกในเมืองซึ่งมีห้องทรมานในยุคกลาง

ในปี 1967 หลังจากการอนุรักษ์ที่ซับซ้อนซึ่งเน้นย้ำถึงบรรพบุรุษแบบโกธิก หอคอยแห่งนี้ก็ได้รับการดูแลโดยพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์คราคูฟ


7. อาคารกลางเมืองเก่ากราคูฟโคลสฮอล ( Kraków Cloth Hall

7. อาคารกลางเมืองเก่ากราคูฟโคลสฮอล ( Kraków Cloth Hall

7. อาคารกลางเมืองเก่ากราคูฟโคลสฮอล ( Kraków Cloth Hall

7. อาคารกลางเมืองเก่ากราคูฟโคลสฮอล ( Kraków Cloth Hall

7. อาคารกลางเมืองเก่ากราคูฟโคลสฮอล ( Kraków Cloth Hall

7. อาคารกลางเมืองเก่ากราคูฟโคลสฮอล ( Kraków Cloth Hall

7. อาคารกลางเมืองเก่ากราคูฟโคลสฮอล ( Kraków Cloth Hall


7. อาคารกลางเมืองเก่ากราคูฟโคลสฮอล ( Kraków Cloth Hall

Kraków Cloth Hall  สร้างขึ้นในสมัยเรอเนซองส์ และเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของเมือง เป็นจุดเด่นของจัตุรัสตลาดหลักในย่านเมืองเก่าคราคูฟ (ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของคราคูฟ) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี 1978

เคยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ พ่อค้าที่เดินทางมาพบกันที่นั่นเพื่อหารือเกี่ยวกับธุรกิจและการแลกเปลี่ยน ในช่วงยุคทองของศตวรรษที่ 15 ห้องโถงแห่งนี้เป็นแหล่งที่มาของการนำเข้าที่แปลกใหม่หลากหลายจากตะวันออก เช่น เครื่องเทศ ผ้าไหม หนัง และขี้ผึ้ง ในขณะที่คราคูฟเองก็ส่งออกสิ่งทอ ตะกั่ว และเกลือจากเหมืองเกลือ Wieliczka


8. ประตูเซนต์ฟลอเรียน หรือว่าประตูฟลอเรียน St. Florian's Gate Krakow



8. ประตูเซนต์ฟลอเรียน หรือว่าประตูฟลอเรียน St. Florian's Gate Krakow

8. ประตูเซนต์ฟลอเรียน หรือว่าประตูฟลอเรียน St. Florian's Gate Krakow

8. ประตูเซนต์ฟลอเรียน หรือว่าประตูฟลอเรียน St. Florian's Gate Krakow

8. ประตูเซนต์ฟลอเรียน หรือว่าประตูฟลอเรียน St. Florian's Gate Krakow


8. ประตูเซนต์ฟลอเรียน หรือว่าประตูฟลอเรียน St. Florian's Gate Krakow

ประตูเซนต์ฟลอเรียน หรือประตูฟลอเรียน  ในคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ เป็นหนึ่งในอาคารสไตล์โกธิกของโปแลนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุด และเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองเก่าคราคูฟ สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 14 โดยเป็นหอคอยสไตล์โกธิกทรงสี่เหลี่ยมที่ทำด้วย "หินป่า" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการในเมืองเพื่อต่อต้านการโจมตีของชาวมองโกล

หอคอยแห่งนี้ได้รับการกล่าวถึงครั้งแรกในปี 1307 ถูกสร้างขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงป้องกันรอบคราคูฟ หลังจากการโจมตีของพวกตาตาร์ในปี 1241  ประตูเสริมกำลัง และคูน้ำ ออกโดยเจ้าชายเลสเซคที่ 2  ประตูที่ตั้งชื่อตามนักบุญฟลอเรียนกลายเป็นทางเข้าหลักสู่เมืองเก่า มีสะพานเชื่อมถึงกันด้วยสะพานยาวไปยังบาร์บิกันทรงกลม (บาร์บาคาน) ซึ่งสร้างด้วยอิฐอีกด้านหนึ่งของคูเมือง ประตูนี้ดูแลโดยสมาคม Kraków Furriers ตามบันทึกภายในปี 1473 มีหอคอย 17 แห่งที่ปกป้องเมือง หนึ่งศตวรรษต่อมา มี 33 แห่ง เมื่อถึงจุดสูงสุด กำแพงมีหอสังเกตการณ์ 47 แห่ง และประตูแปดบาน นอกจากนี้ในปี 1565–66 โดยเป็นคลังแสงของเทศบาลก็ถูกสร้างขึ้นถัดจากประตูเซนต์ฟลอเรียนด้วยเช่นกัน 



9.ป้อมปราการ กรากุฟ บาบิกัน (Kraków Barbican)

9.ป้อมปราการ กรากุฟ บาบิกัน (Kraków Barbican)

9.ป้อมปราการ กรากุฟ บาบิกัน (Kraków Barbican)

9.ป้อมปราการ กรากุฟ บาบิกัน (Kraków Barbican)

9.ป้อมปราการ กรากุฟ บาบิกัน (Kraków Barbican)


9.ป้อมปราการ กรากุฟ บาบิกัน (Kraków Barbican)

กรากุฟ บาบิกัน (Kraków Barbican)  เป็นหนึ่งในป้อมปราการเก่าแก่ เป็นด่านหน้าที่มีป้อมปราการซึ่งครั้งหนึ่งเคยเชื่อมต่อกับกำแพงเมือง เป็นประตูประวัติศาสตร์ที่นำไปสู่เมืองเก่าของคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ บาร์บิกันเป็นหนึ่งในโบราณวัตถุไม่กี่ชิ้นที่หลงเหลืออยู่ของเครือข่ายป้อมปราการและแนวป้องกันที่ซับซ้อนซึ่งครั้งหนึ่งเคยล้อมรอบเมืองหลวงคราคูฟทางตอนใต้ของโปแลนด์ ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่จัดนิทรรศการต่างๆ

ปัจจุบัน Barbican อยู่ภายใต้เขตอำนาจของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งเมืองคราคูฟ นักท่องเที่ยวอาจเที่ยวชมภายในโดยมีการจัดแสดงโดยสรุปการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของป้อมปราการในคราคูฟ


และที่ขาดไม่ได้หากมาเที่ยวเมืองกราคูฟ หากเดินขึ้นมายังปราสาทวาเวล ต้องไม่พลาดแวะชมวิวแม่น้ำวิสตูลา

สามารถมองเห็นทิวทัศน์ ของ แม่น้ำวิสตูลา  ป็นแม่น้ำสายที่ยาวและมีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศโปแลนด์ โดยมีความยาว 1,047 กิโลเมตร แม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชาวเมืองกราคูฟมานาน


สำหรับทริปบทความสั้นๆไปเที่ยวเมืองกราคูฟ ที่ได้นำเสนอมาให้เพื่อนได้อ่านกันนี้ น่าจะมีประโยชน์สาระอยู่บ้างไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ดิฉันต้องขออภัยด้วยนะคะ ขอบพระคุณผู้อ่านทุกคน ที่แวะเวียนเข้ามาคลิ๊กเปิดสไลด์เลื่อนอ่านกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในบทความถัดไป...จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น