|
แบ่งปันทริปแบกเป้คนเดียวไปเที่ยวประเทศลิทัวเนีย ประเทศเล็กในทวีปยุโรปแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ไปถ่ายรูปภาพและเช็คอินกันบ้าง ตามไปดูกันเลยจ้า |
เดินทางไปเที่ยวกันต่อคะ หลังจากที่บทความบล็อกก่อนหน้าได้พาคุณผู้อ่าน แบกเป้คนเดียวไปเที่ยวเยือนชมกรุงริกา เมืองหลวงของประเทศลัตเวียไปแล้ว จากเว็ปไซต์ลิงค์ : https://khunnaiver.blogspot.com/2024/11/Backpack-travel-Riga-Latvia-discover-experince.html
และแล้วก็ได้เวลาต้องเดินทางไปเที่ยวต่อที่ประเทศลิทัวเนีย อีกหนึ่งประเทศเล็กๆในยุโรป ที่มีมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามให้ไปเยี่่ยมชมกัน เนื่องจากมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน อีกทั้ังมีสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ให้ได้ไปชมและศึกษากันด้วย โดยทริปนี้เดี๊ยนปักหมุดเดินทางไปเที่ยวเมืองวิลนีอัส ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศลิทัวเนีย เนื่องจากอยากรู้ว่าในเมืองแห่งนี้นั้น มีที่เที่ยวอะไรให้ไปเดินเช็คอินถ่ายรูปสวยๆที่ใหนบ้าง เพราะหลังจากที่เดินทางออกจากประเทศฟินแลนด์ นั่งเรือข้ามฟากมาเที่ยวประเทศเอสโตเนีย และนั่งรถทัวรมาเที่ยวประเทศลัตเวีย แต่ละประเทศก็มีมนต์เสน่ห์ของเมืองท่องเที่ยวที่แตกต่างกันออกไป
|
ทริปนี้เขียนต่อจากรีวิวก่อนหน้าได้พาไปเที่ยวลัตเวียแล้ว นั่งรถบัสจากริกา ลงไปเที่ยวต่อที่เมืองวิลนีอัส ประเทศลิทัวเนีย ไปดูสิว่าในเมืองมรดกโลกแห่งนี้ มีอะไรน่าสนใจให้ไปเช็คอินกันบ้าง |
ซึ่งจากการเดินทางมาหลายๆประเทศ ก็ทำให้ตัวเดี๊ยนนั้นมีความสนใจกับประวัติศาตร์ของประเทศนั้นๆมากยิ่งขึ้น เพราะว่าแต่ละประเทศจะมีภาษาและประเพณ วัฒนธรรมอาหารการกิน ประเพณีที่แตกต่างกันออกไปด้วย พอเดินทางไปประเทศใหน ก็มักจะต้องไปค้นหาข้อมูลว่าเมืองนั้น มีประวัติศาสตร์และความน่าสนใจอย่างไร เพื่อที่จะนำมาบอกเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง เฉกเช่นเดียวกับทความนี้ ก่อนจะเข้าสู่บทความรีวิวท่องเที่ยวทริปไปเที่ยวประเทศลิทัวเนียครั้งนี้ ก่อนจะเข้าสู่ภาพแหล่งท่องเที่ยว เราก็มารู้จักกับประวัติของเมืองวิลนีอัส เมืองหลวงของลิทัวเนียกันก่อนสักเล็กน้อยพอสังเขปค่ะ
|
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเมืองวิลนีอัส ประเทศลิทัวเนีย (About Vilnius City, Lithuania ) |
สาระน่ารู้เกี่ยวกับเมืองวิลนีอัส ประเทศลิทัวเนีย (About Vilnius City, Lithuania )
วิลนีอัสตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของลิทัวเนีย เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองในบรรดารัฐบอลติก และเป็นที่ตั้งของรัฐบาลลิทัวเนียและเทศบาลเขตวิลนีอัส และเป็นที่รู้จักจากสถาปัตยกรรมในย่านเมืองเก่าซึ่งยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกใน ค.ศ. 1994 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง วิลนีอัสเป็นหนึ่งในศูนย์กลางชาวยิวที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อิทธิพลยิวที่มีต่อเมืองนี้ทำให้เกิดชื่อเล่นว่า "เยรูซาเลมแห่งลิทัวเนีย"
|
นโปเลียนเรียกเมืองนี้ว่า "เยรูซาเลมทางเหนือ" ในขณะที่เดินทัพผ่านลิทัวเนียใน ค.ศ. 1812 |
ทั้งนี้ทางนโปเลียนเรียกเมืองนี้ว่า "เยรูซาเลมทางเหนือ" ในขณะที่เดินทัพผ่านลิทัวเนียใน ค.ศ. 1812 ใน ค.ศ. 2009 วิลนีอัสเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรปร่วมกับลินทซ์ในประเทศออสเตรีย[12] ใน ค.ศ. 2021 นิตยสาร เอฟดีไอ ได้จัดให้วิลนีอัสเป็นหนึ่งในเมืองแห่งอนาคตระดับโลก ซึ่งหมายความว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความคิดก้าวหน้ามากที่สุดและมีศักยภาพสูงที่สุดในโลก
|
วิลนีอุสเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรปในปี พ.ศ. 2552 |
วิลนีอุสเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรปในปี พ.ศ. 2552 โดยมีลินซ์อยู่ในออสเตรีย ในปี 2564 เมืองนี้ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 25 เมืองแห่งอนาคตระดับโลกของ fDi วิลนีอุสถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 76 ของโลกและอันดับที่ 29 ของยุโรปในดัชนีศูนย์การเงินทั่วโลก[24] เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด NATO ปี 2023 วิลนีอุสเป็นสมาชิกของ Eurocities และสหภาพเมืองหลวงแห่งสหภาพยุโรป (UCEU)
|
สถาปัตยกรรมที่เรียกว่า วิลเนียน บาโรก ตั้งชื่อตามเมืองซึ่งอยู่ทางตะวันออกไกลที่สุดในบรรดาเมืองบาโรก และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ |
รูปแบบสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า วิลเนียน บาโรก ตั้งชื่อตามเมืองซึ่งอยู่ทางตะวันออกไกลที่สุดในบรรดาเมืองบาโรก และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์
|
ลำคลองเล็กๆในเมืองวิลนีอุสจะไหลไปบรรจบแม่น้ำขนาดใหญ่ในตัวเมือง |
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ.1990 หรือช่วงปี พ.ศ. 2533 สภาสูงสุดของ SSR ลิทัวเนียได้ประกาศแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตและมีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูลิทัวเนียที่เป็นอิสระ เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2534 สหภาพโซเวียตได้ส่งทหารเข้ามา เรื่องนี้สิ้นสุดลงด้วยการโจมตีอาคารวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐและหอส่งสัญญาณโทรทัศน์วิลนีอุสเมื่อวันที่ 13 มกราคม ซึ่งคร่าชีวิตพลเรือนไป 14 ราย สหภาพโซเวียตยอมรับเอกราชของลิทัวเนียในเดือนกันยายน พ.ศ. 2534 ตามรัฐธรรมนูญแห่งลิทัวเนีย "เมืองหลวงของรัฐลิทัวเนียจะเป็นเมืองวิลนีอุส ซึ่งเป็นเมืองหลวงทางประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศลิทัวเนีย"
|
หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และได้ประกาศแยกตัวออกมา วิลนีอัส เมืองหลวงแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองยุโรปสมัยใหม่ |
หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และได้ประกาศแยกตัวออกมา วิลนีอัส เมืองหลวงแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองยุโรปสมัยใหม่ อาณาเขตของตนได้รับการขยายด้วยการกระทำสามประการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 โดยผสมผสานพื้นที่เมือง หมู่บ้าน หมู่บ้านเล็ก ๆ และเมือง Grigiškės อาคารเก่าแก่ส่วนใหญ่ได้รับการปรับปรุงใหม่ และพื้นที่ธุรกิจและการค้าได้กลายมาเป็นใจกลางเมืองใหม่ ซึ่งเป็นเขตการปกครองและธุรกิจหลักทางด้านเหนือของแม่น้ำเนริส
|
บริเวณพื้นที่ในเมืองวิลนีอัสนั้น ประกอบด้วยพื้นที่พักอาศัยและพื้นที่ค้าปลีกที่ทันสมัย โดยมีอาคารเทศบาลและอาคาร Europa Tower สูง 148.3 เมตร |
บริเวณพื้นที่ในเมืองวิลนีอัสนั้น ประกอบด้วยพื้นที่พักอาศัยและพื้นที่ค้าปลีกที่ทันสมัย โดยมีอาคารเทศบาลและอาคาร Europa Tower สูง 148.3 เมตร (487 ฟุต) เป็นอาคารที่โดดเด่นที่สุด การก่อสร้างสำนักงานใหญ่ของ Swedbank บ่งบอกถึงความสำคัญของธนาคารสแกนดิเนเวียในวิลนีอุส อาคารท่าเรือธุรกิจวิลนีอุสถูกสร้างและขยาย มีแฟลตมากกว่า 75,000 ห้องที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2018 ทำให้เมืองนี้เป็นผู้นำการก่อสร้างในทะเลบอลติก
|
เมืองวิลนีอัส อยู่ห่างจากทะเลบอลติกและไคลเพดาซึ่งเป็นเมืองท่าหลักของลิทัวเนียประมาณ 312 กม. (194 ไมล์) เชื่อมต่อกันด้วยถนนไปยังเมืองสำคัญอื่นๆ ของลิทัวเนีย |
ส่วนลักษณะภูมิศาสตร์ของเมืองวิลนีอัสนั้น เป็นเมืองที่อยู่ห่างจากทะเลบอลติกและไคลเพดาซึ่งเป็นเมืองท่าหลักของลิทัวเนียประมาณ 312 กม. (194 ไมล์) เชื่อมต่อกันด้วยถนนไปยังเมืองสำคัญอื่นๆ ของลิทัวเนีย เช่น เคานาส (ห่างออกไป 102 กม. หรือ 63 ไมล์) Šiauliai (ห่างออกไป 214 กม. หรือ 133 ไมล์) และปาเนเวชิส (ห่างออกไป 135 กม. หรือ 84 ไมล์)
|
เมืองวิลนีอุสมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลิทัวเนียในพระราชวังของแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย หอคอย Gediminas |
และในเมืองวิลนีอุสมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง พิพิธภัณฑ์แห่งชาติลิทัวเนียในพระราชวังของแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย หอคอย Gediminas และคลังแสงของปราสาทวิลนีอุส มีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของลิทัวเนียและวัฒนธรรมลิทัวเนีย พิพิธภัณฑ์ประยุกต์ ศิลปะและการออกแบบจัดแสดงศิลปะพื้นบ้านและศาสนาของชาวลิทัวเนีย วัตถุจากวังของแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย และศตวรรษที่ 18 ถึง เสื้อผ้าในศตวรรษที่ 20 ก็ถูกจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดให้ไปชมอย่างน่าสนใจอีกแห่งด้วย
หลังจากที่ได้อ่านข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับเมืองวิลนีอัส ประเทศลิทัยเนียกันไปแล้วต่อไปก็ตามดูภาพรีวิวท่องเที่ยวเดินทางจากประเทศลัตเวีย มุ่งหน้าไปยังกรุงวิลนีอัสกันต่อเลย่ะ
|
เริ่มต้นทริปนี้ เขียนต่อจากบทความตอนที่แล้ว มารอขึ้นรถบัสที่ สถานขนส่งกรุงริกา เพื่อเดินทางข้ามประเทศไปยังลิทัวเนีย |
เริ่มต้นการเดินทางทริปนี้ เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมในประเทศลัตเวีย จากนั้นเดินเท้ามาที่สถานีขนส่ง บขส.กรุงริกา เพื่อมารอขึ้นรถบัสจากลัตเวีย เดินทางต่อไปเมืองวิลนีอัส เมืองหลวงของประเทศลิทัวเนียต่อค่ะ
|
ในการเดินทางครั้งนี้้ เดีียนเลือกใช้บริการ รถบัสโดยสารของ Ecoline เหมือนเดิมค่ะ รถเจ้าเดียวกับที่นั่งรถจากประเทศเอสโตเนีย มายังลัตเวีย และทริปนี้ก็นั่งจากลัตเวีย มายังประเทศลิทัวเนีย ก็ใช้เจ้าเดิม |
|
เหตุผลที่เลือกใช้บริการรถคันเดิม เนืองจากเป็นรถบัสโดยสาร ที่ราคาถูกที่สุดแล้ว |
|
ระยะทางออกจากกรุงริกา ประเทศลัตเวีย มายังเมืองวิลนีอัส เมืองหลวงของลิทัวเนีย ระยะทางประมาณ 295 กิโลเมตร |
|
นั่งรถบัสโดยสารชมวิวระหว่างทางไป ดูบ้านม่านชานเรือนตามชนบทเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่ค่อยเห็นโรงงานอุตสาหกรรมเท่าใดนัก |
|
หากใครที่เดินทางไกลๆ แนะนำว่าพกอาหารใส่กล่องมาทานระหว่างทางด้วยก็ดีค่ะ |
|
ลืมบอกไปว่า....ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง จากประเทศลัตเวีย มายังเมืองหลวงของประเทศลิทัวเนีย |
|
ในที่สุดก็ถึงสถานีขนส่งกรุงวิลนีอัส เมืองหลวงของประเทศลิทัวเนียแล้วล่ะค่ะ สถานีขนส่งเหมือนกับต่างจังหวัดของไทยเราเลยค่ะ เป็นลักษณะตัวยยู รถจะจอดตามชานชลา แต่เสียดาย ที่นั่งตรงชานชลาน้อยไปหน่อย เพราะอากาศด้านนอก ค่อนข้างเย็น ส่วนใหญ่ไปนั่งด้านในอาคารผู้โดยสารขายตั๋ว |
|
เมื่อมาถึงเดี๊ยนก็เดินแบกเป้มาตั้งหลักเปิด GPS เพื่อหาวิธีการเดินทางไปยังโรงแรมที่พัก ซึ่งโรงแรมที่จองไว้ ห่างจากสถานีขนส่งประมาณ 2.5 กิโลเมตรค่ะ |
|
เนื่องจากไม่อยากแบกเป้ให้เหนื่อย เลยตัดสินใจลองนั่งรถบัสโดยสารดูดีกว่า เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆกับสถานที่ใหม่ๆ และไม่ต้องเดินแบกเป้ให้ปวดหลังด้วย เพราะจากสถานีขนส่งรถบัสโดยสารไปโรงแรม ก็ไกลอยู่นะคะ |
|
ราคาตั๋วรถโดยสารจากกับคนขับ ราคาอยู่ที่ 1 ยูโรค่ะ ใช้บัตรเดบิต Travel Card ที่ทำมาจากเมืองไทย จ่ายกับคนขับรถได้เลยค่ะ ไม่ต้องใช้เงินสดให้ยุ่งยาก |
|
บริเวณด้านในรถเมล์โดยสารที่ให้บริการวิ่งในตัวเมือง ก็เป็นรถเมล์คันยาวๆ |
|
ตอนยืนอยู่บนรถเมลล์โดยสาร ก็ต้องเปิดมือถือและให้ GPS นำทางไปด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าต้องลงป้า่ยรถเมลล์ที่ใกล้โรงแรมที่สุดค่ะ จะได้ไม่ต้องนั่งเลยป้ายไปไกล |
|
พอลงจากป้ายรถเมลล์เสร็จ ก็ต้องเดินแบกเป้พร้อมเปิด GPS ให้นำทางไปยังโรงแรมอีกค่ะ ซึ่งโรงแรมก็ค่อนข้างอยู่ในซอยลึกพอสมควร เพราะเป็นโรงแรมเล็กๆที่ราคาถูกที่สุดแล้ว |
|
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงโรงแรมที่จองไว้แล้วค่ะ ที่พักในเมืองวิลนีอุสทริปนี้ เดี๊ยนเลือกนอนพักที่โรงแรม Mikalo House |
|
โดยโรงแรม Mikalo House เป็นที่พักเล็กๆสไตล์เกสต์เฮ้าส์ มีห้องพักไม่มากนัก ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า แม้โรงแรมก็อยูในตรอกซอกซอยและไกลจากป้ายรถเมลล์พอสมควร แต่ราคาห้องพักก็ถูก และบรรยากาศที่พักก็ถือว่าดีมาก เพราะดูไม่วุ่นวายจอแจ เหมือนที่พักอื่นๆที่พักก่อนหน้านี้ |
รวมสถานที่ท่องเที่ยวเบื้องต้นในกรุงวิลนีอุส (Vilnius tourist attraction places) เมืองหลวงของประเทศลิทัวเนียแห่งนี้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง สามารถเดินเที่ยวได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ตามไปดูกันเลยจ้า
|
1.ย่านเมืองเก่าวิลนีอัส (Vilnius Old Town) |
|
1.ย่านเมืองเก่าวิลนีอัส (Vilnius Old Town) |
|
1.ย่านเมืองเก่าวิลนีอัส (Vilnius Old Town) |
|
1.ย่านเมืองเก่าวิลนีอัส (Vilnius Old Town) |
|
1.ย่านเมืองเก่าวิลนีอัส (Vilnius Old Town) |
|
1.ย่านเมืองเก่าวิลนีอัส (Vilnius Old Town) |
1.ย่านเมืองเก่าวิลนีอัส (Vilnius Old Town)
สำหรับย่านเมืองเก่าวิลนีอัส หนึ่งในเมืองเก่ายุคกลางที่ใหญ่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในยุโรปเหนือ ตามที่จารึกไว้ในแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก มีพื้นที่ 3.59 ตารางกิโลเมตร (887 เอเคอร์) ครอบคลุม 74 ไตรมาส โดยมีถนน 70 ถนนและเลนจำนวน 1,487 อาคาร มีพื้นที่รวม 1,497,000 ตารางเมตร ฝ่ายบริหารของเมืองเก่า (senamiesčio seniūnija) เป็นอาณาเขตที่ใหญ่กว่าและประกอบด้วยพื้นที่มากกว่า 4.5 ตารางกิโลเมตร
ก่อตั้งโดยแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนียและกษัตริย์ Jogaila แห่งโปแลนด์ในปี 1387 บนมักเดบูร์กซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองหลวงลิทัวเนียแห่งวิลนีอุส ได้รับการพัฒนามาตลอดหลายศตวรรษ และได้รับการหล่อหลอมจากประวัติศาสตร์ของเมืองรวมทั้งได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
โดยย่านเมืองเก่าของเมืองนั้น ถูกจัดว่าเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปหลายแห่ง ได้แก่ กอทิก เรอเนซองส์ บาโรก และนีโอคลาสสิก ยืนเคียงข้างกันและส่งเสริมซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังมีโบสถ์คาทอลิก, ลูเธอรันและออร์โธดอกซ์, บ้านพักอาศัย, อนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม, พิพิธภัณฑ์หลายแห่งในย่านเมืองเก่า
ถนน Pilies เป็นถนนสายหลักของเมืองเก่าและเป็นศูนย์กลางของร้านกาแฟและตลาดริมถนน ถนนสายหลักของวิลนีอุส Gediminas Avenue ตั้งอยู่ในเมืองเก่าบางส่วน จัตุรัสกลางในย่านเมืองเก่า ได้แก่ จัตุรัส Cathedral และจัตุรัส Town Hall
|
2.มหาวิหารวิลนีอัส (Vilnius Cathedral ) |
|
2.มหาวิหารวิลนีอัส (Vilnius Cathedral ) |
|
2.มหาวิหารวิลนีอัส (Vilnius Cathedral ) |
|
2.มหาวิหารวิลนีอัส (Vilnius Cathedral ) |
|
2.มหาวิหารวิลนีอัส (Vilnius Cathedral ) |
|
2.มหาวิหารวิลนีอัส (Vilnius Cathedral ) |
2.มหาวิหารวิลนีอัส (Vilnius Cathedral )
อาสนวิหารเซนต์สตานิสลอสและเซนต์ลาดิสลอสแห่งวิลนีอัส (หรือที่รู้จักกันในชื่ออาสนวิหารวิลนีอุส; ลิทัวเนีย) เป็นอาสนวิหารคาทอลิกหลักในประเทศลิทัวเนีย ตั้งอยู่ในเมืองเก่าวิลนีอุส ไม่ไกลจาก Cathedral Square โบสถ์แห่งนี้อุทิศให้กับนักบุญคริสเตียน Stanislaus และ Ladislaus โดยเป็นหัวใจสำคัญของชีวิตจิตวิญญาณคาทอลิกในลิทัวเนีย
ก่อนหน้านี้อาสนวิหารแห่งนี้เคยใช้สำหรับพิธีเปิดของกษัตริย์ลิทัวเนียกับหมวกเกดิมินัส ในขณะที่ในปัจจุบันเป็นสถานที่สำหรับมวลชนที่อุทิศให้กับประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งของลิทัวเนียหลังจากพิธีเปิดและกล่าวคำสาบานต่อประเทศชาติในพระราชวังเซมาส
สิ่งที่น่าสนใจคือภายในมีผลงานศิลปะมากกว่าสี่สิบชิ้นที่มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ถึง 19 รวมถึงจิตรกรรมฝาผนังและภาพวาดขนาดต่างๆ ในระหว่างการบูรณะอาสนวิหาร แท่นบูชาของวิหารนอกรีตที่สันนิษฐานไว้และพื้นเดิมซึ่งวางในสมัยกษัตริย์มินโดกาสก็ถูกค้นพบ นอกจากนี้ยังพบซากของอาสนวิหารที่สร้างขึ้นในปี 1387 อีกด้วย ภาพปูนเปียกที่มีอายุตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นภาพปูนเปียกที่เก่าแก่ที่สุดในลิทัวเนีย ถูกพบอยู่บนผนังของโบสถ์ใต้ดินแห่งหนึ่งของอาสนวิหาร
|
3.หอคอยปราสาทเกดิมินาส (Gediminas Castle Tower) |
|
3.หอคอยปราสาทเกดิมินาส (Gediminas Castle Tower) |
|
3.หอคอยปราสาทเกดิมินาส (Gediminas Castle Tower) |
|
บันไดทางขึ้นไปชมยังตัวหอคอยด้านบน |
|
3.หอคอยปราสาทเกดิมินาส (Gediminas Castle Tower) |
|
จุดชมวิวบริเวณหอคอยปราสาทเกดิมินาส (Gediminas Castle Tower) |
|
3.หอคอยปราสาทเกดิมินาส (Gediminas Castle Tower) |
|
3.หอคอยปราสาทเกดิมินาส (Gediminas Castle Tower) |
3.หอคอยปราสาทเกดิมินาส (Gediminas Castle Tower)
เป็นส่วนที่เหลือของปราสาทตอนบนบนยอดเขา Gediminas ในเมืองวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย มีจุดชมวิวที่ให้ทัศนียภาพอันงดงามของเมืองเก่าวิลนีอุสและย่านศูนย์กลางธุรกิจวิลนีอัส
จัดเป็นเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ว ซึ่งมีผู้เยี่ยมชมบ่อยที่สุดของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติลิทัวเนีย นิทรรศการเชิญชวนให้ผู้มาเยี่ยมชมเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของวิลนีอุสซึ่งเป็นศูนย์กลางของราชรัฐลิทัวเนียและยังได้ชมทัศนียภาพอันงดงามของเมืองอีกด้วย
หอคอยปราสาท Gediminas เป็นป้อมปราการที่เหลืออยู่ของปราสาทตอนบน ตำนานเล่าว่า Grand Duke Gediminas ฝันถึงหมาป่าเหล็กหอนบนยอดเขาแห่งนี้ ซึ่งเขาถือเป็นคำทำนายเกี่ยวกับเมืองอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ซึ่งสักวันหนึ่งจะต้องมายืนอยู่บนสถานที่แห่งนี้ เนินเขาเป็นที่ที่เขาสร้างปราสาทไม้ในที่สุด
โดย Grand Duke Vytautas ได้สร้างปราสาทอิฐแห่งแรกของเมืองเสร็จในปี 1409 หอคอย Gediminas ได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์นับแต่นั้นมา รวมถึงการใช้เป็นอาคารโทรเลขแห่งแรกของเมืองในปี 1838 ธงลิทัวเนียถูกชักครั้งแรกบนยอดหอคอยเมื่อหนึ่งศตวรรษก่อน พิพิธภัณฑ์ปราสาทวิลนีอุสเปิดในปี 1960 และในปี 1968 ได้กลายเป็นแผนกย่อยของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติลิทัวเนีย
|
4.อนุสาวรีย์ไม้กางเขาสามอันบนยอดเขาแห่งประเทศลิทัวเนีย ในเมืองวิลนีอัส (Three Crosses Monument, Lihuania) |
|
4.อนุสาวรีย์ไม้กางเขาสามอันบนยอดเขาแห่งประเทศลิทัวเนีย ในเมืองวิลนีอัส (Three Crosses Monument, Lihuania) |
|
4.อนุสาวรีย์ไม้กางเขาสามอันบนยอดเขาแห่งประเทศลิทัวเนีย ในเมืองวิลนีอัส (Three Crosses Monument, Lihuania) |
|
4.อนุสาวรีย์ไม้กางเขาสามอันบนยอดเขาแห่งประเทศลิทัวเนีย ในเมืองวิลนีอัส (Three Crosses Monument, Lihuania) |
|
4.อนุสาวรีย์ไม้กางเขาสามอันบนยอดเขาแห่งประเทศลิทัวเนีย ในเมืองวิลนีอุส (Three Crosses Monument, Lihuania) |
|
4.อนุสาวรีย์ไม้กางเขาสามอันบนยอดเขาแห่งประเทศลิทัวเนีย ในเมืองวิลนีอุส (Three Crosses Monument, Lihuania) |
4.อนุสาวรีย์ไม้กางเขาสามอันบนยอดเขาแห่งประเทศลิทัวเนีย ในเมืองวิลนีอุส (Three Crosses Monument, Lihuania)
เป็นอนุสาวรีย์ที่โดดเด่นในเมืองวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย บนเนินเขาสามไม้กางเขน (lt: Kreivasis Kalnas) แต่เดิมรู้จักกันในชื่อเนินเขาหัวล้าน (ลิทัวเนีย: Plikasis kalnas) โดยอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ในอุทยาน Kalnai ใกล้กับหอคอย Gediminas ตามตำนานซึ่งพบแหล่งที่มาในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์บางเรื่อง พบว่านักบวชฟรานซิสกันเจ็ดคนถูกตัดศีรษะบนเนินเขานี้ ไม้กางเขนไม้ตั้งอยู่ในสถานที่ดังกล่าวตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเป็นส่วนสำคัญของเส้นขอบฟ้าของเมือง
จนกระทั้งเมื่อไม้กางเกงที่ทำขึ้นจากไม้นั้นเกิดการผุผัง จำเป็นต้องเปลี่ยนไม้กางเขนเป็นระยะ และแล้วในปี 1916 อนุสาวรีย์คอนกรีตได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกและประติมากรชาวโปแลนด์-ลิทัวเนีย Antoni Wiwulski หรือ Antanas Vivulskis ในภาษาลิทัวเนีย มันถูกรื้อลงในปี 1950 ตามคำสั่งของทางการโซเวียต อนุสาวรีย์ใหม่ที่สร้างขึ้นโดย Stanislovas Kuzma หลังจากการออกแบบโดย Henrikas Šilgalis ได้ถูกสร้างขึ้นแทนที่ในปี 1989 อนุสาวรีย์นี้ปรากฎบนธนบัตร 50 ลีตัส คุณสามารถชมทัศนียภาพอันงดงามของเมืองเก่าวิลนีอุสได้จากจุดชมวิวเล็กๆ ที่ฐานของไม้กางเขน
|
5.พระราชวังแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย (Palace of the Grand Dukes of Lithuania) |
|
5.พระราชวังแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย (Palace of the Grand Dukes of Lithuania) |
|
5.พระราชวังแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย (Palace of the Grand Dukes of Lithuania) |
|
5.พระราชวังแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย (Palace of the Grand Dukes of Lithuania) |
|
5.พระราชวังแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย (Palace of the Grand Dukes of Lithuania) |
|
5.พระราชวังแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย (Palace of the Grand Dukes of Lithuania) |
|
5.พระราชวังแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย (Palace of the Grand Dukes of Lithuania) |
5.พระราชวังแกรนด์ดุ๊กแห่งลิทัวเนีย (Palace of the Grand Dukes of Lithuania)
เป็นพระราชวังในเมืองวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย เดิมสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 สำหรับผู้ปกครองราชรัฐลิทัวเนียและกษัตริย์แห่งโปแลนด์ในอนาคต พระราชวังซึ่งตั้งอยู่ในปราสาทตอนล่างของวิลนีอุส ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีและเจริญรุ่งเรืองในช่วงศตวรรษที่ 16 และกลางศตวรรษที่ 17 เป็นเวลาสี่ศตวรรษที่พระราชวังเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การบริหาร และวัฒนธรรมของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย มันถูกรื้อถอนในปี 1801
การก่อสร้างและปรับปรุงพระราชวังหลังใหม่นี้ เริ่มต้นในปี 2002 (พ.ศ.2545) บนที่ตั้งของอาคารเดิม และใช้เวลา 16 ปีจึงจะแล้วเสร็จในปี 2018 (พ.ศ.2561) พระราชวังได้รับการสร้างขึ้นใหม่สไตล์เรอเนซองส์ ตามคำให้การของหนึ่งในผู้ให้บริการขนส่งของ Bona Sforza การบูรณะครั้งแรกระหว่างปี 1520 ถึง 1530 ต้องใช้ทองคำ 100,000 ducats และได้รับคำสั่งจาก Sigismund I the Old เชื่อกันว่าการบูรณะสร้างขึ้นใหม่สำหรับพิธีประกาศของพระเจ้าสซิกสมุนด์ที่ 2 ออกัสตัส พระราชโอรสองค์เดียวของพระเจ้าสมันด์ที่ 1 ในฐานะแกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนีย
หลังจากที่ลิทัวเนียได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1918 บ้านของชลอสแบร์กก็กลายเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของกองทัพ ในไม่ช้ามันก็ถูกกองทหารโปแลนด์ยึดได้หลังจากการผนวกวิลนีอุสของโปแลนด์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่เคยเป็นที่ทำการของกองทัพแวร์มัคท์ของเยอรมัน และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ถูกใช้โดยโครงสร้างความมั่นคงของโซเวียต และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพระราชวังผู้บุกเบิก Respublican องค์กรผู้บุกเบิกย้ายอาคารหลังนี้ออกในปี พ.ศ. 2530 การขุดค้นทางโบราณคดีเริ่มต้นที่บริเวณดังกล่าว เนื่องจากบ้านของชลอสแบร์กได้รับการเสนอให้เป็นพิพิธภัณฑ์มิตรภาพของประชาชน และจำเป็นต้องมีการสอบสวนทางสถาปัตยกรรมในการเปลี่ยนแปลงนี้
|
6.ประตูแห่งรุ่งอรุณ (Gate of Dawn,Vilnius) |
|
6.ประตูแห่งรุ่งอรุณ (Gate of Dawn,Vilnius) |
|
6.ประตูแห่งรุ่งอรุณ (Gate of Dawn,Vilnius) |
|
6.ประตูแห่งรุ่งอรุณ (Gate of Dawn,Vilnius) |
|
6.ประตูแห่งรุ่งอรุณ (Gate of Dawn,Vilnius) |
|
6.ประตูแห่งรุ่งอรุณ (Gate of Dawn,Vilnius) |
6.ประตูแห่งรุ่งอรุณ (Gate of Dawn,Vilnius)
จัดเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินและถ่ายรูปที่มีชื่อเสียงของเมืองวิลนีอุส เนื่องจากเป็นประตูเมืองในวิลนีอุส เมืองหลวงของลิทัวเนีย และเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุด เป็นสถานที่แสวงบุญของชาวคาทอลิกในลิทัวเนีย
ประตูแห่งรุ่งอรุณ หรือ Gate of Dawn แห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปี 1503 ถึง 1522 โดยเป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการป้องกันสำหรับเมืองวิลนีอุส เมืองหลวงของราชรัฐลิทัวเนีย ฟังก์ชั่นการป้องกันจะระบุได้จากช่องเปิดการยิงที่ยังมองเห็นได้ที่ด้านนอกประตู
นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้จักในชื่อประตู Medininkai เนื่องจากประตูนี้นำไปสู่หมู่บ้าน Medininkai ทางตอนใต้ของวิลนีอุส และ Aštra broma ในบรรดาประตูเมืองเหล่านั้น มีเพียงประตูแห่งรุ่งอรุณเท่านั้นที่ยังคงอยู่ ในขณะที่ประตูอื่นๆ ถูกทำลายตามคำสั่งของรัฐบาลเมื่อปลายศตวรรษที่ 18
|
7. โบสถ์เซนต์ แอนน์, วิลนีอุส (Church of St. Anne, Vilnius) |
|
7. โบสถ์เซนต์ แอนน์, วิลนีอุส (Church of St. Anne, Vilnius) |
|
7. โบสถ์เซนต์ แอนน์, วิลนีอุส (Church of St. Anne, Vilnius) |
|
7. โบสถ์เซนต์ แอนน์, วิลนีอุส (Church of St. Anne, Vilnius) |
|
7. โบสถ์เซนต์ แอนน์, วิลนีอุส (Church of St. Anne, Vilnius) |
7. โบสถ์เซนต์ แอนน์, วิลนีอุส (Church of St. Anne, Vilnius)
เป็นโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกในย่านเมืองเก่าของวิลนีอุส ทางฝั่งขวาของแม่น้ำวิลเนีย ก่อตั้งประมาณปี ค.ศ. 1495–1500 เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสไตล์กอธิคทั้งแบบหรูหราและแบบอิฐ เซนต์. แอนน์สเป็นสถานที่สำคัญที่โดดเด่นในเมืองเก่าวิลนีอุส ซึ่งทำให้ย่านนี้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และเป็นหนึ่งในตัวอย่างสถาปัตยกรรมกอทิกที่น่าสนใจที่สุดในลิทัวเนีย
การออกแบบอาคารโบสถ์นี้เกิดจาก Michael Enkinger สถาปนิกของโบสถ์ชื่อเดียวกันในกรุงวอร์ซอ หรือของ Benedikt Rejt อย่างไรก็ตาม แหล่งที่มาที่เป็นลายลักษณ์อักษรไม่ได้ให้การรับรองแหล่งที่มาใดเลย เซนต์. โบสถ์เซนต์แอนน์เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีที่ประกอบด้วยโบสถ์กอทิกแห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ฟรานซิสและเบอร์นาดีนตลอดจนอาราม
|
8.ย่านถนนพิลีส์ (Pilies Street) |
|
8.ย่านถนนพิลีส์ (Pilies Street) |
|
8.ย่านถนนพิลีส์ (Pilies Street) |
|
8.ย่านถนนพิลีส์ (Pilies Street) |
|
8.ย่านถนนพิลีส์ (Pilies Street) |
|
8.ย่านถนนพิลีส์ (Pilies Street) |
|
8.ย่านถนนพิลีส์ (Pilies Street) |
8.ย่านถนนพิลีส์ (Pilies Street)
เป็นหนึ่งในถนนสายหลักในย่านเมืองเก่าวิลนีอุส เมืองหลวงของลิทัวเนีย เป็นถนนที่ค่อนข้างสั้น วิ่งจากจัตุรัส Cathedral Square ไปยังจัตุรัส Town Hall Square
โดยถนน Pilies เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับพ่อค้าในตลาดในการขายสินค้าของศิลปินพื้นบ้าน มีข้อได้เปรียบเหนือจัตุรัสศาลากลางโดยธรรมชาติ เนื่องจากถนนโดยทั่วไปมีผู้คนพลุกพล่านและมีโอกาสน้อยที่จะถูกรบกวนจากกิจกรรมทางการเมืองหรือวัฒนธรรมที่มักจัดขึ้นที่ศาลาว่าการ ร้านขายของที่ระลึกจำหน่ายเครื่องอำพันและเครื่องประดับอำพัน รวมถึงชุดผ้าลินิน ถนนสายนี้ยังเป็นที่รู้จักจากงาน Kaziukas Fair ซึ่งศิลปินพื้นบ้านจากทั่วลิทัวเนียมารวมตัวกันที่นี่เพื่อแสดงและขายสินค้าใหม่ล่าสุด
เทศกาลในวิลนีอุสมักจัดขึ้นที่ถนน Pilies ขบวนแห่ส่วนใหญ่จะเดินผ่านที่นี่ในบางจุด ไม่ว่าเทศกาลจะเป็นเช่นไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นวันคริสต์มาส อีสเตอร์ วันแห่งการฟื้นฟูอิสรภาพ หรือเพียงการเฉลิมฉลองที่เกิดขึ้นเองหลังจากชัยชนะครั้งใหญ่ของทีมบาสเกตบอลลิทัวเนีย
อีกทั้งบริเวณย่านถนนดังกล่าว ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของมหาวิทยาลัยวิลนีอุสตั้งอยู่ระหว่างถนน Pilies และถนน University Street (ลิทัวเนีย: Universiteto gatvė) สภาผู้ลงนามซึ่งลงนามในคำประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2461 ตั้งอยู่บนถนนสายนี้เช่นกัน
|
9.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลิทัวเนีย (National Museum of Lithuania) |
|
9.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลิทัวเนีย (National Museum of Lithuania) |
|
9.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลิทัวเนีย (National Museum of Lithuania) |
|
9.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลิทัวเนีย (National Museum of Lithuania) |
|
9.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลิทัวเนีย (National Museum of Lithuania) |
|
9.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลิทัวเนีย (National Museum of Lithuania) |
9.พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติลิทัวเนีย (National Museum of Lithuania)
ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2495 เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งครอบคลุมโครงสร้างที่สำคัญหลายแห่ง ตลอดจนเอกสารและสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรมากมาย นอกจากนี้ยังจัดให้มีการขุดค้นทางโบราณคดีในลิทัวเนีย พิพิธภัณฑ์มีแผนกหลัก 5 แผนก ได้แก่ ประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ล่าสุด โบราณคดี ชาติพันธุ์วิทยา วิชาว่าด้วยเหรียญ และการยึดถือ ซึ่งมีสิ่งของทั้งหมด 800,000 ชิ้น
พิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุในวิลนีอุส ก่อตั้งโดย Eustachy Tyszkiewicz ในปี 1855 เป็นผู้บุกเบิกของพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน ในช่วงก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์มุ่งเน้นไปที่วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของราชรัฐลิทัวเนีย สร้างขึ้นจากคอลเลกชันส่วนตัวของโปแลนด์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งค่อนข้างได้รับความนิยมและมีผู้เข้าชมจำนวนมาก หลังจากการจลาจลในเดือนมกราคม พ.ศ. 2406 จักรวรรดิรัสเซียได้ย้ายทรัพย์สินส่วนใหญ่ไปที่มอสโก คอลเลกชันที่เหลือได้รับการจัดระเบียบใหม่และรวมเข้ากับห้องสมุดสาธารณะวิลนีอุส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2409 ถึง พ.ศ. 2457 พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดได้ดำเนินการร่วมกัน ในปี 1915 เมื่อแนวรบด้านตะวันออกของสงครามโลกครั้งที่ 1 เข้าใกล้วิลนีอุส สิ่งของจัดแสดงส่วนใหญ่ถูกนำไปยังรัสเซีย
โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เคยเป็นเจ้าภาพจัดนิทรรศการสำคัญในปี ค.ศ.1968 จนถึงในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 มีการรวบรวมวัสดุประวัติศาสตร์จากทั่วประเทศ ในปี 1992 หลังจากที่ลิทัวเนียสถาปนาเอกราชอีกครั้ง ก็เปลี่ยนชื่อเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลิทัวเนีย ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงวัฒนธรรม
|
10.หอระฆังอาสนวิหารวิลนีอุส (Vilnius Cathedral Bell Tower) |
|
10.หอระฆังอาสนวิหารวิลนีอุส (Vilnius Cathedral Bell Tower) |
|
10.หอระฆังอาสนวิหารวิลนีอุส (Vilnius Cathedral Bell Tower) |
|
10.หอระฆังอาสนวิหารวิลนีอุส (Vilnius Cathedral Bell Tower) |
|
10.หอระฆังอาสนวิหารวิลนีอุส (Vilnius Cathedral Bell Tower) |
10.หอระฆังอาสนวิหารวิลนีอุส (Vilnius Cathedral Bell Tower)
เมื่อหกร้อยปีก่อน อาคารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในวิลนีอุสทำหน้าที่เป็นป้อมปราการ และเมื่อเมืองขยายตัว ก็มีการสร้างกหอระฆัง (องค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งของมหาวิหารวิลนีอุส ปราสาทตอนล่างและตอนบน กลายเป็นสัญลักษณ์ของ เมือง).
ในศตวรรษที่ 17 เป็นหอคอยระฆังที่มีนาฬิกาอยู่ โดยมี 2 ใบถูกวางไว้บนหอคอยที่เก่าแก่และอยู่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในย่านเมืองเก่าแหง่งนี้ โดยระฆังที่ใหญ่กว่าจะส่งสัญญาณบอกชั่วโมง ในขณะที่ระฆังที่เล็กกว่าจะดังทุก ๆ สี่ชั่วโมงจนถึงทุกวันนี้
เนื่องจากหอระฆังถูกน้ำท่วมซ้ำแล้วซ้ำเล่าในยุคโซเวียต อาสนวิหารจึงไม่ได้ทำหน้าที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หอระฆังจึงเป็นเหมือนแกลเลอรี่รูปภาพ และเกี่ยวข้องกับนาฬิกาเท่านั้น
หอระฆังมหาวิหารแห่งวิลนีอุสนั้นมีรูปลักษณ์แบบดั้งเดิมมาจนถึงปัจจุบัน หอระฆังมีความสูง 52 เมตร (57 เมตรรวมไม้กางเขน) และเป็นสัญลักษณ์ทางมรดกของวิลนีอุส ทัศนียภาพอันงดงามตระการตาจากด้านบนของหอคอยประกอบด้วยประติมากรรมสามชิ้นที่ตกแต่งหลังคาของอาสนวิหาร โดยหนึ่งในนั้นเป็นรูปนักบุญคาซิเมียร์
จากหอระฆัง นักท่องเที่ยวสามารถชมนิทรรศการระฆัง นาฬิกาเมืองเก่า และสำรวจหอระฆังและมหาวิหารที่ได้รับการบูรณะใหม่ทางประวัติศาสตร์
ปัจจุบันนี้ไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมจากทัศนียภาพอันงดงามแบบพาโนรามาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนิทรรศการระฆังและโอกาสในการทำความรู้จักกับนาฬิกาเมืองเก่าอีกด้วย เกมการศึกษา ทัศนศึกษาต่างๆ และการประชุมเที่ยวชมสถานที่จัดขึ้นในหอระฆังวิหารวิลนีอุส
|
หลังจากเดินท่องเที่ยวเสร็จ ก็แวะร้านซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆที่พัก เพื่อซื่ออาหารกลับมาทำกินที่โรงแรม |
|
โดยอาหารทีทำทานก็เน้นไปทานผักและผลไม้ ทานคู่กับขนมปัง |
|
ภาพศิลปะฝาผนังในเมืองวิลนีอัส |
|
ส่วนตอนเช้าก็มีชา กาแฟแบบต่างๆ เครื่องดื่มแบบต่างๆให้ชงกินเองได้ฟรีด้วยนะคะ |
|
มื้อเช้าก็ทำอาหารง่ายๆทาน เป็นขนมปังทานคู่กับสลัดผักและไข่ต้ม |
|
โดยขนมปังสามารถทำใส่กระปุก และนำไปทานระหว่างเดินไปท่องเที่ยวได้ด้วย จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะทีเดียวค่ะ |
|
บรรยากาศในเมืองวิลนีอุส เมืองท่องเที่ยวที่ไม่ได้วุ่นวายเหมือนเมืองอื่นๆ ถือว่าเป็นเมืองน่าเที่ยวทีเดียวค่ะ |
และสำหรับบทความบล็อกรีวิวท่องเที่ยวประเทศลิทัวเนีย แวะมาเดินคลอเคลีย เที่ยวในกรุงวิลนีอุส หรือเมืองวิลนีอัส ที่ได้นำเสนอในบทความนี้ น่าจะมีแหล่งท่องเที่ยวให้กับเพื่อนๆที่กำลังวางแผนไปเที่ยวกันอยู่ไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ดิฉันต้องขออภัยด้วยนะคะ ขอบพระคุณที่เข้ามาคลิ๊กและสไลด์เปิดอ่านกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในบทความถัดไป....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
----------------------------------------------------------------------
0 ความคิดเห็น