![]() |
รีวิวแบกเป้ไปเที่ยวอิตาลีคนเดียว เก็บตกไปเที่ยวกรุงโรมอีกครั้ง แวะนครรัฐวาติกัน กับทริป 3 วัน 2 คืน มีแหล่งท่องเที่ยวอะไรให้เดินชมบ้าง ตามไปดูกันเลยจ้า |
สวัสดีเพื่อนๆสายเที่ยว และนักทัศนาจร อรชร อ้อนแอ้น สุดสะแนน แสนโสภา ช่ะช่ะช่าหัวใจทุกๆคนค่ะ กลับมาพบปะทักทาย ซำบายดี อีหลีอยู่บ่ กันอีกครั้งกับบทความบล็อกรีวิวท่องเที่ยว ที่จะพาคุณผู้อ่านและเพื่อนที่รักการเดินทางไปเปิดโลกทัศน์ ท่องโลกกว้างกันค่ะ
หลังจากที่บทความตอนที่แล้วได้พาคุณผู้อ่านไปเที่ยวเมืองกราโคฟ เมืองสวยงามติดริมแม่น้ำวิสตูลาประเทศโปแลนด์ ซึ่งได้เขียนไว้แล้วที่เว็ปไซต์ลิงค์ : https://khunnaiver.blogspot.com/2025/02/Travel-krakow-city-poland-old-town-vistula.html
วางแผนเที่ยวยุโรปทริปนี้ ก็เลยปักหมุดไปเก็บตกเที่ยวประเทศอิตาลีอีกครั้ง ย้อนไปเมื่อปี 2018 หลายปีมาแล้วค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นแบกเป้ลุยเดี่ยว นั่งรถไฟไปเที่ยวกรุงโรม แต่เที่ยวได้แค่เฉพาะ โคโลเซียม และวางแผนเที่ยวกรุงโรมน้อยวันไป
การแบกเป้เดินทางไกลมาเที่ยวกรุงโรมครั้งนี้ เดี๊ยนเลยอยากเก็บตกไปเที่ยวชมนครรัฐวาติกัน และแวะเที่ยวชมกรุงโรมอีกครั้ง อยากรู้ว่านอกจากสนามโคโลเซียม ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกแห่งของกรุงโรมแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง
เพื่อไม่ให้เสียเวลาตามดูภาพรีวิวการเดินทางกันเลยจ้า
![]() |
รีวิวทริปนี้ เขียนต่อจากบทความบล็อกก่อนหน้าที่เว็ปไซต์ : https://khunnaiver.blogspot.com/2025/02/Travel-krakow-city-poland-old-town-vistula.html |
เริ่มต้นการเดินทางทริปนี้ เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เดินมาที่สถานีรถไฟเมืองกราโคฟ เพื่อดูเที่ยวรถไฟเวลา 14.03 น. |
นั่งรถไฟออกจากเมืองกราโคฟ ประเทศโปแลนด์ เพื่อไปนอนพักค้างที่กรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ก่อน 1 คืน |
ใช้เวลานั่งรถไฟออกจากเมืองกราโคฟ ประมาณ 6 โมง กว่าจะถึงกรุงเวียนนาค่ะ ตอนนั่งรถไฟมา คนนั่งเต็มขบวน ส่วนใหญ๋ลงกันที่สาธารณะรัฐเช็ก |
ในที่สุดก็มาถึงกรุงเวียนนาแล้วค่ะ ออกจากเมืองกราโคฟ บ่าย 2 โมง กว่าจะถึงกรุงเวียนนาก็ 3 ทุ่มกว่าแล้วค่ะ |
ส่วนโรงแรมที่จองไว้เพื่อพักค้างชั่วคราวในกรุงเวียนนา ก็เป็นโรงแรมA&O ซึ่งเป็นโรงแรมที่เคยพักเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่มาเที่ยวประเทศออสเตรียค่ะ |
เป็นโรงแแรมแนวโฮสเทล ห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม ราคาตกคืนละ 1000 บาท/คน/คืน เน้นแค่นอนค้างชั่วคราวพอค่ะ เพราะพรุ่งนี้ต้องเช็คเอาท์เพื่อเดินทางประเทศอิตาลีต่อค่ะ |
วันใหม่ของการเดินทางสุดทรหด..... เดี๊ยนเช็คเอาท์จากโรงแรมA&O แต่เช้าตรู่เลยค่ะ เพื่อเดินเท้าแบกเป้มาที่สถานีรถไฟในกรุงเวียนนา |
ซึ่งในตั๋วโดยสารจะระบุหมายเลขที่นั่งให้พร้อม เวลาขึ้นรถไฟก็แค่แสดงตั๋วรถไฟผ่านมือถือให้เจ้าหน้าที่ดูค่ะ |
พอเวลา 6.18 น. ล้อรถไฟก็เริ่มหมุนออกจากกรุงเวียนนา มุ่งสู่ปลายทางที่เมืองเวนิช ประเทศอิตาลีค่ะ แต่เดี๊ยนต้องไปต่อรถไฟที่เมืองเวนิช อีกครั้ง เพื่อเดินทางไปกรุงโรมค่ะ |
วันนี้ต้องนั่งรถไฟทั้งวันเลยค่ะ เพื่อเดินทางไปกรุงโรม สิ่งที่ทำได้ในการนั่งรถไฟ คือการนั่งชมวิวทิวทัศน์ระหว่างทางฆ่าเวลาไปค่ะ |
ซึ่งเส้นทางรถไฟวิ่งผ่านเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นชนบท มีทัศนียภาพสวยงามทีเดียวค่ะ |
ซึ่งบรรยากาศในช่วงเช้าก็จะไม่ค่อยสดใสนัก และอากาศข้างนอกแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อน แต่อากาศก็เย็นทีเดียวค่ะ |
ที่สำคัญเดินทางไกลๆ เสบียงอาหารต้องแบกใส่เป้มาพร้อมทานได้ทุกเมื่อ |
ขนมปังบัน ทานคู่กับนมถั่วเหลือง และตามด้วยผลไม้แอปเปิ้ลล้างปาก จบเป็นอาหารมื้อเช้า |
ขนมอะไรก็ไม่รู้ คล้ายขนมผิง อร่อยดีค่ะ ซื้อมาจากโปแลนด์ |
ชมวิวทิวทัศน์ผ่านทุ่งนา ป่าเขา วิวสวยงาม คล้ายๆกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์เลยค่ะ |
ผ่านหมู่บ้านต่างๆ ที่แทรกตัวอยุ่ตามหุบเขา มีทุ่งหญ้าสีเขียว |
การนั่งรถไฟจากกรุงเวียนนา มาอิตาลี น่าจะเป็นอีกหนึ่งเส้นทางยอดฮิต เพราะผ่านเมืองท่องเที่ยวหลายแห่งเช่นกัน |
ยิ่งโดยเฉพาะหากใครที่ชอบเที่ยชมเทือกเขาแอลป์ ที่มีหิมะปกคลุม ก็จะผ่านเมือง Graz เมืองงามอีกแห่งในประเทศออสเตรีย |
บรรยากาศเป็นเมืองชนบทในช่วงฤดูร้อน มีทัศนียภาพ และวิวทิวทัศน์งดงามมาก |
การเพาะปลูกส่วนใหญ่ ก็จะนิยมปลูกกันในหน้าร้อน ผ่านไร่ข้าวโพดขนาดใหญ่ |
พอช่วงบ่าย ท้องหิว ก็ได้เวลาทานอาหารเที่ยงแล้วค่ะ มีขนมปังบาร์เก็ต กับขนมเค้กมัลฟินมาทาน |
ยังดีที่มีแอปเปิ้ลเหลืออยู่ ทานของคาว ก็มีของหวานเป็นผลไม้ช่วยล้างปากได้ |
เวลาช่วงบ่ายโมง รถไฟก็เดินทางเข้าสู่เขตประเทศอิตาลีแล้วค่ะ |
เวลาบ่าย 2 โมงกว่า เดี๊ยนก็ลงที่สถานี Venizia Mestre ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใหญ่อีกแห่งก่อนที่จะไปหยุดปลายทางที่เมืองเวนิช |
ที่เลือกลงสถานีรถไฟ Venezia Mestre เพราะว่าสามารถเลือกชานชลาได้ง่ายกว่าสถานีในเมืองเวนิช |
มาถึงก็ต้องรีบมาเช็คที่ป้ายจอมอนิเตอรก่อนเลยว่า รถไฟที่จะไปกรุงโรมนั้นอยู่ที่ชานชลาหมายเลขอะไร จะได้เลือกช่องถูกค่ะ เนื่องจากที่สถานีแห่งนี้ มีหลายช่องมาก เกรงจะขึ้นผิด งานเข้าแน่ๆ |
พอเข้ามาถึงประเทศอิตาลีแล้ว อากาศร้อนกว่าที่ออสเตรียมาก |
มารถอที่ชานชลารถไฟหมายเลข 8 รถไฟความเร็วสูงมาถึงพอดีค่ะ |
โดยรถไฟความเร็วสูง สามารถจองผ่านทานออนไลน์ล่วงหน้าได้ง่ายๆเลยคะ แนะนำจองผ่านเนิ่นๆ ราคาจะถูกกว่าด้วย |
สภาพบรรยากาศอาคารบ้านเรือน ก็จะเป็นแบบอิตาลี ต่างจากภาพบ้านเรือนในประเทศออสเตรีย และประเทศโปแลนด์ ที่เคยเดินทางผ่านมาก่อนหน้านี้เลยค่ะ |
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึงกรุงโรมแล้วค่ะ |
ทริปนี้นั่งรถไฟออกจากกรุงเวียนนาตั้งแต่ 6.18 น. ถึงกรุงโรมเวลา 18.45 น. ใช้เวลานั่งรถไฟทั้งวันเลยจ้า ถ้ารวมนั่งรถไฟจากเมืองกราโคฟ ประเทศโปแลนด์ด้วย ก็น่าจะ 1 วันเต็มเลยกระมัง |
มาถึงก็ตั้งหลักเปิด GPS ในมือถือช่วยนำทางไปยังโรงแรมทีพักคืนนี้ก่อนเลย |
บรรยากาศช่วงประมาณ 1 ทุ่ม ดูโพล้เพล้ |
ส่วนโรงแรมที่พักคืนนี้ ก็อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก เน้นที่พักราคาถูกไม่แพง เดินไปสถานีรถไฟได้ จะได้ไม่ต้องแบกเป้ให้เมื่อยด้วย |
เดินมาประมาณ 800 เมตรค่ะ ไม่ไกลจากสถานี ก็ถึงด้านหน้าโรงแรม มีหลายโรงแรมอยู่ในตึก ต้องดูว่าใช่โรงแรมที่จองไว้หรือไม่ |
ซึ่งโรงแรมที่เข้าพักคืนนี้ มีชื่อว่า Legend R.G. ลักษณะที่เป็นแบบโฮสเทล ห้องนอนรวม ห้องน้ำรวม |
ห้องพักแบบเตียงนอนรวม ห้องน้ำรวม ในห้องพักมี 4 เตียงค่ะ ขนาดห้องพักไม่ได้ใหญ่มากเกินไป นอนรวมกับลูกค้าคนอื่น มีห้องน้ำในตัวในห้องตัว รอคิวและใช้ร่วมกัน 4 คนค่ะ เพราะว่าไม่มีห้องน้ำแยกจากส่วนอื่นๆแล้ว |
ส่วนราคาห้องพักวันที่เดี๊ยนไปนั้น ก็ตกคืนละ 1,100 บาท/คน/คืน ถือว่าราคาไม่แพงเกินไป โรงแรมอยู่ใกล้สถานีรถไฟและใกล้แหล่งท่องเที่ยวต่างๆในเมืองด้วย ตามรูปเตียงนอนแบบส่วนตัว มีลูกค้าคนอื่นเข้าพักได้ |
มีห้องครัวส่วนกลางให้ทำอาหารทานได้ สะดวกมากๆ |
และตอนเช้าๆจะมีขนมปังเรียงใส่ถาดไว้ให้ทานอีกด้วย |
ตรงบริเวณห้องครัว มีระเบียง และเก้าอี้ให้นั่งพักด้วย มองเไปเป็นตึกล้อมรอบ |
ทานอาหารมื้อเช้าอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาออกไปท่องเที่ยวแล้วค่ะ |
แผนที่แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่น่าสนใจในกรุงโรม ฉบับเที่ยวด้วยตัวเอง เดินเที่ยวไม่ได้นั่งรถสาธารณะค่ะ |
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในกรุงโรม เมืองหลวงของประเทศอิตาลี ที่ต้องแวะไปเช็คอินถ่ายรูปภาพกันให้ได้มีดังนี้ เดินเที่ยวได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากที่เที่ยวแต่ละแห่งอยู่ใกล้ๆกันเลย ไม่ไกลกันมาก
1.น้ำพุเตรวี (Trevi Fountain) จุดถ่ายรูปภาพเช็คอินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งในกรุงโรม ที่ต้องไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
1.น้ำพุเตรวี (Trevi Fountain) จุดถ่ายรูปภาพเช็คอินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งในกรุงโรม ที่ต้องไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
1.น้ำพุเตรวี (Trevi Fountain) จุดถ่ายรูปภาพเช็คอินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งในกรุงโรม ที่ต้องไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
1.น้ำพุเตรวี (Trevi Fountain) จุดถ่ายรูปภาพเช็คอินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งในกรุงโรม ที่ต้องไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
1.น้ำพุเตรวี (Trevi Fountain) จุดถ่ายรูปภาพเช็คอินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งในกรุงโรม ที่ต้องไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
1.น้ำพุเตรวี (Trevi Fountain) น้ำพุที่มีสวยงามที่สุดอีกแห่งของโลก อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมและเป็นจุดเช็คอินถ่ายรูปที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งของกรุงโรม นอกจากโคโลเซียมแล้ว น้ำพูเตรวี เป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามพลาดที่ใครก็ต้องเดินทางมาชมกัน
เป็นน้ำพุที่สร้างขึ้นมาตั้ังแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ในเขตเทรวีในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี นิโคลา ซัลวี และสร้างเสร็จโดยจูเซปเป ปานนินี ในปี ค.ศ. 1762 โดยน้ำพุแห่งนี้มีความสูง 26.3 เมตร (86 ฟุต) และกว้าง 49.15 เมตร (161.3 ฟุต)ถือเป็นน้ำพุสไตล์บาร็อคที่ใหญ่ที่สุดในเมืองและเป็นหนึ่งในน้ำพุที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
ที่มาของชื่อน้ำพู Trevi คือโจวานนิ เปาโล ปานนินิ (Giovanni Paolo Pannini) ผู้สร้าง “ทริเวีย” สาวพรหมจารีแทนที่อุปมานิทัศน์ของอกริพพาที่วางไว้แต่เดิม ได้สร้างน้ำพุเตรวีสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1762 ซาลวิเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1751 เมื่อน้ำพุสร้างไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง แต่ก่อนที่จะเสียชีวิตซาลวิก็จงใจที่จะซ่อนป้ายช่างตัดผมที่ไม่ต้องตาโดยการซ่อนอยู่ข้างหลังแจกันใหญ่ที่เรียกว่า “asso di coppe”
2.บันไดสเปน (Spanish Steps) |
2.บันไดสเปน (Spanish Steps) |
2.บันไดสเปน (Spanish Steps) |
2.บันไดสเปน (Spanish Steps) |
2.บันไดสเปน (Spanish Steps) |
2.บันไดสเปน (Spanish Steps) |
2.บันไดสเปน (Spanish Steps)
เดินเท้ามาไม่ไกลจากน้ำพุเตรวี จะเป็นที่ตั้งของบันไดสเปน อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวและจุดเช็คอินถ่ายรูปสวยงามในกรุงโรม บันไดสเปน (อิตาลี: Scalinata di Trinità dei Monti) ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ไต่ขึ้นไปบนทางลาดชันระหว่าง Piazza di Spagna ที่ฐานและ Piazza Trinità dei Monti ซึ่งมีโบสถ์ Trinità dei Monti โดดเด่นอยู่ด้านบน บันไดขนาดใหญ่ 135 ขั้น เชื่อมกับโบสถ์ Trinità dei Monti ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์ราชวงศ์บูร์บงของฝรั่งเศสที่ด้านบนสุดของบันได และสถานทูตสเปนประจำนครรัฐวาติกันใน Palazzo Monaldeschi ที่ด้านล่างสุดของบันได บันไดนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Francesco de Sanctis และ Alessandro Specchi
ด้านบน มีบันไดขึ้นไปยัง Pincio ซึ่งเป็นเนินเขา Pincian นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยัง Villa Medici ได้จากด้านบนของบันได และในช่วงคริสต์มาส จะมีการจัดแสดง Criba Manor ไว้ที่บริเวณพักบันไดขั้นแรก และในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก่อนถึงวันครบรอบการสถาปนากรุงโรมในวันที่ 21 เมษายน บันไดบางส่วนจะถูกปกคลุมด้วยกระถางดอกกุหลาบพันปีจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ในยุคปัจจุบัน บันไดสเปนมีตลาดขายดอกไม้ตัดดอกขนาดเล็ก บันไดไม่ใช่สถานที่สำหรับรับประทานอาหารกลางวัน เนื่องจากถูกห้ามตามกฎระเบียบของเมืองโรมัน แต่โดยปกติแล้วจะมีผู้คนพลุกพล่าน
3.วิหารแพนธีอัน (Pantheon) |
3.วิหารแพนธีอัน (Pantheon) |
3.วิหารแพนธีอัน (Pantheon) |
3.วิหารแพนธีอัน (Pantheon) |
3.วิหารแพนธีอัน (Pantheon) |
3.วิหารแพนธีอัน (Pantheon) |
3.วิหารแพนธีอัน (Pantheon)
วิหารแห่งนี้ มีความหมายว่า ที่แปลว่า “พระเจ้าทั้งหมด”) เป็นสิ่งก่อสร้างที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม เดิมสร้างโดยมาร์คัส วิพซานิอัส อกริพพา (Marcus Vipsanius Agrippa) สำหรับเป็นเทวสถาน (Roman temple) สำหรับเทพต่างๆ ของโรมันโบราณ โรมันโบราณ ต่อมาก็ได้รับการสร้างใหม่ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2
วิหารแพนธีออนสร้างขึ้นบนที่ตั้งของวิหารเก่าซึ่งได้รับมอบหมายจากมาร์คัส วิปซานิอุส อากริปปาในรัชสมัยของออกัสตัส (27 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 14) หลังจากที่วิหารเดิมถูกไฟไหม้ จักรพรรดิฮาเดรียนจึงสั่งให้สร้างวิหารหลังนี้ขึ้น และน่าจะสร้างเสร็จราวปีค.ศ. 126 ไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างเมื่อใด เนื่องจากฮาเดรียนเลือกที่จะจารึกวันที่ของวิหารใหม่ตามคำจารึกเดิมของอากริปปาจากวิหารหลังเดิม
ปัจจุบันนั้น วิหารแพนธีอัน หมายถึงอนุสาวรีย์ที่เป็นที่เก็บศพของคนสำคัญ แพนธีอันเป็นสิ่งก่อสร้างจากสมัยโรมันที่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดสิ่งหนึ่ง และได้รับการใช้สอยตลอดมาในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ก็ใช้เป็นคริสต์ศาสนสถานของโรมันคาทอลิก ที่อุทิศให้ “พระแม่มารีและผู้พลีชีพเพื่อศาสนา” ตัวตึกเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีโดมขนาดใหญ่ที่เก่าที่สุดในกรุงโรม ความสูงของช่องตา (oculus) บนเพดานและเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องวัดจากด้านในเท่ากับ 43.3 เมตรเท่ากัน
4.จัตุรัสนาโวนา กรุงโรม (Piazza Navona) |
4.จัตุรัสนาโวนา กรุงโรม (Piazza Navona) |
4.จัตุรัสนาโวนา กรุงโรม (Piazza Navona) |
|
4.จัตุรัสนาโวนา (Piazza Navona) |
4.จัตุรัสนาโวนา (Piazza Navona)
เป็นจตุรัสมีพื้นที่ขนาดใหญ่อีกแห่งในกรุงโรม ประเทศอิตาลี สร้างขึ้นบนที่ตั้งของสนามกีฬาโดมิเชียนในศตวรรษที่ 1 และมีลักษณะเป็นพื้นที่เปิดโล่งของสนามกีฬาเป็นรูปวงรียา ชาวโรมันโบราณไปที่นั่นเพื่อชมการแข่งขัน และด้วยเหตุนี้จึงรู้จักกันในชื่อ "เซอร์คัส อาโกนาลิส" ("สนามแข่งขัน") ในศตวรรษที่ 17 ได้กลายเป็นที่จัดแสดงงานออกแบบสไตล์บาโรก โดยมีผลงานของเบอร์นินีและบอร์โรมีนีเป็นต้นแบบ น้ำพุแห่งแม่น้ำทั้งสี่ตั้งอยู่หน้าโบสถ์ซานต์อักเนเซในอาโกเน โดยจุดน่าสนใจคือเคยเป็นสนามกีฬาโรมันโบราณในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ที่ชื่อว่า Stadium of Domitian ซึ่งชาวโรมันจะเดินทางมาที่นี่เพื่อชม agones ("กีฬา")
พื้นที่ปัจจุบันที่ Piazza Navona ครอบครองนั้นเดิมทีเป็นสนามกีฬาของโดมิเชียน สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิไททัส ฟลาเวียส โดมิเชียนัสในปีค.ศ. 80 หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย สนามกีฬาก็ทรุดโทรมลงและถูกขุดเพื่อนำวัสดุก่อสร้างมาใช้ ปัจจุบันเหลือเพียงซากของสนามกีฬานี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
5.ปราสาทซันตันเจโล (Castel Sant'Angelo) |
5.ปราสาทซันตันเจโล (Castel Sant'Angelo) |
5.ปราสาทซันตันเจโล (Castel Sant'Angelo) |
5.ปราสาทซันตันเจโล (Castel Sant'Angelo) |
5.ปราสาทซันตันเจโล (Castel Sant'Angelo) |
5.ปราสาทซันตันเจโล (Castel Sant'Angelo) |
5.ปราสาทซันตันเจโล (Castel Sant'Angelo)
สำหรับปราสาทแห่งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปราสาทโดดเด่นที่อยู่ก่อนถึงนครรัฐวาติกัน เป็นอาคารทรงกระบอกในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของนครรัฐวาติกันราว 700 เมตร ก่อสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิฮาดริอานุสแห่งโรมัน ราว ค.ศ. 134 ถึง 139 เพื่อใช้เป็นสุสานของพระองค์และพระราชวงศ์ ต่อมาอาคารนี้ได้ถูกใช้งานเป็นปราสาทและป้อมปราการ อาคารนี้เคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในกรุงโรมอยู่ช่วงหนึ่ง ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ชื่อว่า "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราสาทซันตันเจโล" (Museo Nazionale di Castel Sant'Angelo)
อาคารแห่งนี้เดิมถูกเรียกว่า สุสานฮาดริอานุส อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำอาคารนี้ไปใช้งานเป็นป้อมปราการทางทหารในค.ศ. 401 เครื่องสุสานต่างๆก็ได้สูญหายไป ตั้งแต่นั้นมาก็มีการต่อเติมปรับปรุงอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อกรุงโรมเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในค.ศ. 590 มีตำนานว่าอัครทูตสวรรค์มีคาเอลได้ปรากฎองค์เหนือปราสาทแห่งนี้ และชักดาบขึ้นเพื่อยุติโรคระบาด กลายเป็นที่มาของชื่อปราสาทตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (เครดิต : https://th.wikipedia.org/wiki/ปราสาทซันตันเจโล)
6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน (St. Peter's Basilica) |
6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน (St. Peter's Basilica) |
6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน (St. Peter's Basilica) |
6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน (St. Peter's Basilica) |
6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน (St. Peter's Basilica) |
6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน (St. Peter's Basilica) |
6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน (St. Peter's Basilica) |
6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน (St. Peter's Basilica) |
6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน (St. Peter's Basilica)
มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า มหาวิหารนักบุญเปโตร เป็นมหาวิหารเอกหนึ่งในสี่แห่งในกรุงโรม นครรัฐวาติกัน (อีกสามมหาวิหาร คือ มหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน มหาวิหารซันตามาเรียมัจโจเร และมหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง)
มหาวิหารนักบุญเปโตรเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกันสร้างทับวิหารเดิมที่ชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารสูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม โบสถ์นี้ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ สามารถจุคนได้กว่า 60,000 คนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งในคริสตจักรโรมันคาทอลิก ที่ตั้งโบสถ์เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของนักบุญซีโมนเปโตรซึ่งเป็นหนึ่งในอัครทูตของพระเยซู คริสตจักรถือว่านักบุญเปโตรเป็นบิชอปองค์แรกของแอนติออก ต่อมาก็ได้สถาปนาขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของโรม เพราะนิกายโรมันคาทอลิกเชื่อกันว่าร่างของนักบุญเปโตรถูกฝังไว้ที่นี่ จึงเป็นประเพณีกันต่อมาว่าพระสันตะปาปาหลายองค์ก็ฝังไว้ที่นี้ (เครดิตข้อมูล : https://en.wikipedia.org/wiki/St._Peter%27s_Basilica)
7.สวนวิลล่าบอร์เกเซ (Villa Borghese gardens) สวนสาธารณะใจกลางกรุงโรม และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งด้วย |
7.สวนวิลล่าบอร์เกเซ (Villa Borghese gardens) สวนสาธารณะใจกลางกรุงโรม และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งด้วย |
7.สวนวิลล่าบอร์เกเซ (Villa Borghese gardens) สวนสาธารณะใจกลางกรุงโรม และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งด้วย |
7.สวนวิลล่าบอร์เกเซ (Villa Borghese gardens) สวนสาธารณะะใจกลางกรุงโรม และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งด้วย |
7.สวนวิลล่าบอร์เกเซ (Villa Borghese gardens) สวนสาธารณะใจกลางกรุงโรม และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งด้วย |
7.สวนวิลล่าบอร์เกเซ (Villa Borghese gardens) สวนสาธารณะใจกลางกรุงโรม และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งด้วย |
7.สวนวิลล่าบอร์เกเซ (Villa Borghese gardens) สวนสาธารณะใจกลางกรุงโรม และเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งด้วย
วิลล่าบอร์เกเซเป็นสวนภูมิทัศน์ในกรุงโรม ประกอบด้วยอาคาร พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของกรุงโรม โดยมีขนาด 80 เฮกตาร์หรือ 197.7 เอเคอร์) รองจากวิลล่าโดเรีย ปัมฟิลิ และวิลล่าอาดา
จุดเด่นที่น่าสนใจของสวนแห่งนี้สร้างขึ้นสำหรับวิลล่าบอร์เกเซพินเซียนา ("วิลล่าบอร์เกเซบนเนินเขาพินเซียน") ซึ่งสร้างโดยสถาปนิก ฟลามินิโอ ปอนซีโอ โดยออกแบบโดยสคิปิโอเน บอร์เกเซ ซึ่งใช้สวนแห่งนี้เป็นวิลล่าชานเมืองหรือวิลล่าสำหรับจัดงานปาร์ตี้ที่ขอบกรุงโรม และใช้เป็นที่เก็บสะสมงานศิลปะของเขา สวนในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงใหม่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และยังมีจุดชมวิวทิวทัศน์กรุงโรมที่สวยงามอีกแห่งของเมืองด้วย
8.จตุรัสเดลโปโปโล (Piazza del Popolo) |
8.จตุรัสเดลโปโปโล (Piazza del Popolo) |
8.จตุรัสเดลโปโปโล (Piazza del Popolo) |
8.จตุรัสเดลโปโปโล (Piazza del Popolo) |
8.จตุรัสเดลโปโปโล (Piazza del Popolo) |
8.จตุรัสเดลโปโปโล (Piazza del Popolo)
เป็นจัตุรัสแห่งหนึ่งในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ตามภาษาอิตาลีสมัยใหม่แล้ว ชื่อจัตุรัสมีความหมายว่า "จัตุรัสแห่งประชาชน" แต่ในทางประวัติศาสตร์ กล่าวกันว่าชื่อนี้มีที่มาจากต้นสน (Poplar) เช่นเดียวกับชื่อของโบสถ์ซานตามาเรียเดลโปโปโลที่ตั้งอยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของจัตุรัส
โดยจัตุรัสแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในประตูทิศเหนือของกำแพงเอาเรเลียน (Aurelian) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเรียกว่า "ปอร์ตาฟลามีนา" (Porta Flamina) แห่งโรมโบราณ ปัจจุบันมีชื่อว่าเรียกว่า "ปอร์ตาเดลโปโปโล" ที่นี่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของถนนฟลามีนา (Via Flamina) ซึ่งเป็นเส้นทางสู่ "อารีมีนุม" (Ariminum) และเส้นทางสู่ทิศเหนือที่สำคัญที่สุด ในยุคสมัยก่อนที่จะมีการก่อสร้างทางรถไฟในโรมนั้น จัตุรัสแห่งนี้คือทิวทัศน์แห่งแรกที่ผู้เดินทางเข้าสู่โรมจะได้พบเห็น บริเวณนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับประหารชีวิตนักโทษต่อหน้าสาธารณชนเป็นเวลาหลายศตวรรษ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2369 (เครดิต : https://en.wikipedia.org/wiki/Piazza_del_Popolo)
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome) |
9.พิพิธภัณฑ์เลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุงโรม (Museum of Ideale Leonardo da Vinci in Rome)
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ที่น่าสนใจของเลโอนาโด ดาวินชี ตั้งอยู่ใกล้กับนครรัฐวาติกัน ทำการที่ Via della Conciliazione ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงนิทรรศการตามห้องต่างอย่างน่าสนใจโดยภายในพิพิธภัณฑ์ 2 ชั้น แต่ละโซนจะนำเสนอผลงานวิจัย การค้นคว้าเชิงปรัชญาภาษาศาสตร์ และความคิดสร้างสรรค์ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการของพิพิธภัณฑ์ ได้แก่
1. การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเลโอนาร์โดที่แท้จริง โดยไม่ยึดติดกับแบบแผน คำพูด หรือตำนาน
2.รายงานผลการศึกษาวิจัยและการตีความใหม่ๆ เกี่ยวกับเลโอนาร์โด ตลอดจนโรงเรียนและอิทธิพลของเขา
3.จัดแสดงข้อมูลการตีความใหม่ของผลงานของลีโอนาโด โดยคำนึงถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica) |
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica) |
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica) |
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica) |
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica) |
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica) |
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica) |
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica) |
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica) |
10.พิพิธภัณฑ์ภาพศิลปะแห่งชาติกรุงโรม (แกลเลอเรีย นาซิโอนาเล ดาร์เต อันติกา) (Galleria Nazionale d'Arte Antica)
หอศิลป์แห่งชาติ เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นแหล่งรวบรวมภาพวาดเก่าแก่ที่สำคัญของกรุงโรม โดยส่วนใหญ่วาดก่อนปี ค.ศ. 1800 และไม่มีโบราณวัตถุใดๆ จัดแสดง หอศิลป์แห่งนี้มีสถานที่สองแห่ง ได้แก่ Palazzo Barberini และ Palazzo Corsini
อาคาร Palazzo Barberini ได้รับการออกแบบสำหรับสมเด็จพระสันตปาปา Urban VIII ซึ่งเป็นสมาชิกของตระกูล Barberini สร้างโดยสถาปนิกในศตวรรษที่ 16 ชื่อ Carlo Maderno บนที่ตั้งเดิมของ Villa Sforza ลักษณะของเพดานห้องโถงกลางได้รับการตกแต่งโดย Pietro da Cortona ด้วยภาพสัญลักษณ์ของอุปมานิทัศน์แห่งพระเจ้าและอำนาจของ Barberini พิพิธภัณฑ์ขยายตัวผ่านการซื้อและการบริจาค เช่น การซื้อคอลเลกชัน Torlonia และ Monte di Pietà ในปี 1892 การบริจาคของ Henriette Hertz ในปี 1915 และการซื้อคอลเลกชัน Chigi ในปี 1918
11.สนามโคลอสเซียม (Colosseum) แลนด์มาร์คที่เที่ยวยอดนิยมในกรุงโรม ที่ไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
11.สนามโคลอสเซียม (Colosseum) แลนด์มาร์คที่เที่ยวยอดนิยมในกรุงโรม ที่ไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
11.สนามโคลอสเซียม (Colosseum) แลนด์มาร์คที่เที่ยวยอดนิยมในกรุงโรม ที่ไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
11.สนามโคลอสเซียม (Colosseum) แลนด์มาร์คที่เที่ยวยอดนิยมในกรุงโรม ที่ไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
11.สนามโคลอสเซียม (Colosseum) แลนด์มาร์คที่เที่ยวยอดนิยมในกรุงโรม ที่ไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
11.สนามโคลอสเซียม (Colosseum) แลนด์มาร์คที่เที่ยวยอดนิยมในกรุงโรม ที่ไม่พลาดมาถ่ายภาพกัน |
11.สนามโคลอสเซียม (Colosseum)
จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงมากที่สุดของอิตาลี เนื่องจากเป็นจุดแลนด์มาร์คสำคัญที่ใครเดินทางมาเที่ยวกรุงโรม ก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่กันสักครั้ง เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิแว็สปาซิอานุสแห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตุสในคริสต์ศตวรรษที่ 1 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่าง ๆ ในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี (เครดิตข้อมูล : https://th.wikipedia.org/wiki/โคลอสเซียม )
เดินเที่ยวจนเหนื่อย เมื่อยขา ก็แวะหาอะไรทาน ดูพิซซ่าหน้าตา หน้าทานดีมากค่ะ |
บรรยากาศทิวทัศน์การเดินทางด้วยเท้าในกรุงโรม ของมีค่าและกระเป๋าสะพายพกไว้ด้านหน้าตัวเอง จะดีที่สุดค่ะ ปลอดภัยไว้ก่อนจะได้เดินเที่ยวได้อย่างสบายใจค่ะ |
0 ความคิดเห็น