|
เอาใจสายเที่ยวทัศนาจร พักร้อนปีนี้ ไปเที่ยวจังหวัดปัตตานี แวะไปเที่ยวใหนดี แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในปัตตานี มีชายหาดสวยๆ น้ำทะเลใสๆ ที่ใครก็ต้องตามไปเช็คอินถ่ายรูปสวยๆกันสักครั้ง มีที่ใหนบ้างนั้น ตามไปกันเลยจ้า (Pattani Tourist attractions) |
หากเอ่ยนามถึงเมืองงาม 3 จังหวัดชายแดนภาตใต้ คงต้องยกให้จังหวัดปัตตานี เป็นอีกหนึ่งในเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้ไปเช็คอินถ่ายรูปภาพสวยๆหลายแห่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือเก่าแก่ที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองเก่าแก่ปัตตานีแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพย์ในดิน มีสินในน้ำ มีสายธารให้ไปยลตระการอย่างชื่นบานอุรา และชายหาดทรายสีขาวพราวเสน่ห์ให้ไปชื่นชมกันอย่างน่าภิรมย์ใจอีกด้วย นอกจากนี้ยังอาหารพื้นบ้านท้องถิ่นให้ลิ้มลองทานกันอย่างอร่อยเริ่ดสะแมนแตนทีเดียวค่ะ
และสำหรับเพื่อนๆสายเที่ยวทัศนาจรคนใหน ที่วางแผนปักหมุดจะมาเที่ยวปัตตานีในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันลาพักร้อนปีนี้ แต่ยังไม่รู้ว่าในจังหวัดปัตตานี มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจ ต้องแวะไปเช๋็คอินถ่ายรูปบ้าง เพื่อไม่ให้บทความนี้ร้างไป วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า หลังจากเลิกงานประจำเสร็จ ก็ขอมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดปัตตานีประจำปี 2566 (2023) และชายหาดทะเลสวยๆในอำเภอยะหริ่ง มาให้เพื่อนๆที่กำลังวางแผนไปเที่ยวได้จัดทริปไปเที่ยวชมกัน ส่วนจะมีที่ใหนบ้างนั้น ตามไปเที่ยวกันเลยจ้า
|
พอได้รถมอเตอร์ไซต์แล้ว ก็ขับลุยฝ่าแสงแดด และสายฝนไปเที่ยวปัตตานีกันเลยจ้า |
ได้รถมอเตอร์ไซต์แล้ว ก็ลุยขับไปเที่ยวเมืองปัตตานีก่อนเลยจ้า ตามไปดูสิว่าในเมืองปัตตานี มีจุดเช็คอินถ่ายรูปที่ใหนบ้าง
|
1.ย่านเมืองเก่าปัตตานี ชุมชนกือดาจีนอ หรือ ชุมชนตลาดจีนปัตตานี |
|
1.ย่านเมืองเก่าปัตตานี ชุมชนกือดาจีนอ หรือ ชุมชนตลาดจีนปัตตานี |
|
ย่านเมืองเก่าปัตตานี ชุมชนกือดาจีนอ หรือ ชุมชนตลาดจีนปัตตานี |
|
ย่านเมืองเก่าปัตตานี ชุมชนกือดาจีนอ หรือ ชุมชนตลาดจีนปัตตานี |
|
ย่านเมืองเก่าปัตตานี ชุมชนกือดาจีนอ หรือ ชุมชนตลาดจีนปัตตานี |
|
1.ย่านเมืองเก่าปัตตานี ชุมชนกือดาจีนอ หรือ ชุมชนตลาดจีนปัตตานี |
1.ย่านเมืองเก่าปัตตานี ชุมชนกือดาจีนอ หรือ ชุมชนตลาดจีนปัตตานี
อี่กหนึ่งย่านท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเมืองปัตตานี ที่ใครที่มาเมืองนี้ ก็ต้องแวะไปเช็คอินถ่ายรูปสวยๆกัน โดยชุมชนกือดาจีนอ (ชุมชนตลาดจีน) หรือชุมชนหัวตลาด ตั้งอยู่พื้นที่ถนนอาเนาะรู ถนนปัตตานีภิรมย์ และถนนฤาดี ชุมชนที่นี้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยร่วมกันของชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยเชื้อสายจีน โดยเป็นชุมชนจีนที่ขนาบข้างด้วยชุมชนอาเนาะซูงา และคลองช้างที่มีชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม
โดยกือดาจีนอ เป็นภาษามลายู ซึ่งคำว่า กือดา แปลว่า ตลาด ส่วนคำว่า จีนอ แปลว่า จีน กือดาจีนอประกอบด้วยถนนปัตตานีภิรมย์ซึ่งวิ่งขนานกับแม่น้ำปัตตานีไปบรรจบกันที่ถนนอาเนาะรู ซึ่งมีศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวตั้งอยู่ที่นั่น กือดาจีนอเป็นย่านเมืองเก่าที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการค้าในอดีต แถมปัจจุบันยังคงเหลือสถาปัตยกรรมผสมผสานแบบไทยและจีนหลงเหลืออยู่ให้เห็นอีกหลายหลัง แถมยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของผู้คนในชุมชนให้ทุกคนได้เห็นและสัมผัสกันอีกด้วย
|
2.ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
|
2.ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
|
2.ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
|
2.ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
2.ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นศาลเจ้าตามคติจีนหนึ่งในสามแห่งของจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานเดชานุชิตในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดปัตตานีและใกล้เคียง ภายในประดิษฐานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ภาษามลายูปัตตานีว่า โต๊ะแปะกงแมะ หรือโตะกงแมะ) โดยมีตำนานที่ยึดโยงกับสถานที่และโบราณสถานอื่น ๆ ในจังหวัด
เดิมศาลเจ้านี้มีชื่อเรียกว่า "ศาลเจ้าซูก๋ง" ตามหลักฐานที่จารึกอยู่ในศาลเจ้า ตั้งขึ้นในปีปีพุทธศักราช 2117 ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา แม้ศาลเจ้านี้จะตั้งมาเก่าแก่นับได้หลายศตวรรษ แต่ด้วยบุญญาภินิหารของเจ้าแม่หลิมกอเหนี่ยว ศาลเจ้านี้จึงมีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นที่ศรัทธาของสาธุชนเสมอมามิได้ขาด
|
3.มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี หนึ่งในมัสยิดที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของเมืองไทย |
|
3.มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี หนึ่งในมัสยิดที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของเมืองไทย |
|
3.มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี หนึ่งในมัสยิดที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของเมืองไทย |
|
3.มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี หนึ่งในมัสยิดที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของเมืองไทย |
|
3.มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี หนึ่งในมัสยิดที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของเมืองไทย |
3. มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี
เป็นหนึ่งในมัสยิดที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของเมืองไทย เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่ใน ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามมีความโดดเด่น และยังเป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจของผู้นับถือศาสนาอิสลามในภาคใต้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยใช้พื้นที่บริเวณริมถนนหลวงสายปัตตานี-ยะลา ย่านตำบลอาเนาะรู กว้าง 3 ไร่ 55 ตารางวา ตามแนวคิดของรัฐบาลในสมัยนั้นที่ต้องการให้เกิดสันติสุขขึ้นในพื้นที่ห่างไกล โดยพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเดินทางมาวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่6 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 และใช้เวลาก่อสร้างนาน 9 ปี เมื่อแล้วเสร็จจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2506 ให้ชื่อว่า มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี รูปทรงภายนอกของมัสยิดมีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล มียอดโดมสีเขียวขนาดใหญ่กลางอาคาร มีความงามโดดเด่น (เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี )
|
4.มัสยิดกรือเซะและที่ฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
|
4.มัสยิดกรือเซะและที่ฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
|
4.มัสยิดกรือเซะและที่ฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
|
4.มัสยิดกรือเซะและที่ฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
|
4.มัสยิดกรือเซะและที่ฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
|
4.มัสยิดกรือเซะและที่ฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว |
4.มัสยิดกรือเซะและที่ฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
หรือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์ เป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปีในจังหวัดปัตตานี สันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัสยิดปิตูกรือบัน ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงของประตูมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบกอทิกของชาวยุโรป และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออกกลาง (คำว่า ปิตู แปลว่า ประตู กรือบัน แปลว่า ช่องประตูที่มีรูปโค้ง)
โดยตัวมัสยิดนี้ ตั้งอยู่ริมถนนสายปัตตานี-นราธิวาสหรือทางหลวงแผ่นดินสาย 42 บริเวณบ้านกรือเซะ ห่างจากตัวเมืองปัตตานีประมาณ 7 กิโลเมตร ลักษณะการก่อสร้างมัสยิดแห่งนี้เป็นแบบเสากลมก่ออิฐถือปูนแบบศิลปะทางตะวันออกกลาง บริเวณใกล้เคียงนั้นมีฮวงซุ้ยหรือที่ฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว มัสยิดแห่งนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2121 – 2136)
|
5.สะพานไม้บานา จุดเช็คอินถ่ายรูปสวยๆไม่ไกลจากเมืองปัตตานี |
|
5.สะพานไม้บานา จุดเช็คอินถ่ายรูปสวยๆไม่ไกลจากเมืองปัตตานี |
|
5.สะพานไม้บานา จุดเช็คอินถ่ายรูปสวยๆไม่ไกลจากเมืองปัตตานี |
|
5.สะพานไม้บานา จุดเช็คอินถ่ายรูปสวยๆไม่ไกลจากเมืองปัตตานี |
|
5.สะพานไม้บานา จุดเช็คอินถ่ายรูปสวยๆไม่ไกลจากเมืองปัตตานี |
|
5.สะพานไม้บานา จุดเช็คอินถ่ายรูปสวยๆไม่ไกลจากเมืองปัตตานี |
5.สะพานไม้บานา จุดเช็คอินถ่ายรูปสวยๆไม่ไกลจากเมืองปัตตานี
สำหรับสะพานไม้บานา เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากเดินรับลมเย็นๆ ชมวิวทะเลสวยๆต้องมาถ่ายรูปภาพเป็นที่ระลึกกัน โดยสะพานไม้บานา” ตั้งอยู่ที่ตำบลบานา อำเภอเมืองจังหวัดปัตตานี สะพานไม้ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือร่วมใจของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ สร้าง สะพานไม้ ทอดยาวลงไปสู่ อ่าวปัตตานี สามารถไปเดินเล่นชมบรรยากาศท้องทะเล และป่าชายเลน มีศาลาสำหรับนั่งเล่น และยังมีกิจกรรมล่องเรือชมวิวให้นักท่องเที่ยวด้วย
|
ขับรถมาเที่ยวปัตตานี ก็แวะซื้อของฝากริมทางสักหน่อยค่ะ มีลูกตาลอ่อนและผลิตภัณฑ์ของฝากให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับไปด้วย |
แวะซื้อของฝากริมทางของจังหวัดปัตตานี หลังจากขับออกมาจากมัสยิดได้ไม่ไกล
โดยของฝากของกินที่นี่ ก็เป็นลูกตาลและน้ำตาลสด หรือคนที่นี่เรียกว่า ตูเวาะ ส่วนที่เห็นนั้นคือขนมที่ทำจากน้ำตาลโตนด รสชาติหอมหวานอร่อยดีค่ะ ถุงล่ะ 15 บาท
โดยบริเวณดังกล่าว มีต้นตาลอยู่มาก ชาวบ้านก็นำลูกตาลอ่อนมาขายให้กับนักท่องเที่ยว และผู้ที่สัญจรไปมาก็ต้องแวะซื้อกัน โดยเฉพาะ น้ำตูเวาะ
และของฝากขึ้นชื่ออีกอย่างที่ขึ้นชื่อก็คือ เกลือทะเล ว่ากันว่าเป็นเกลือสำหรับเอาไปหมักปลา หรือทำปลาเค็มได้อร่อยยิ่งนักแล
|
น้ำตูเวาะสดๆ รสชาติหอมหวาน อร่อยดีนะคะ มาถึงปัตตานี ต้องดื่มน้ำตูเวาะ |
จัดไปสัก 1 ถุงกับ น้ำตูเวาะสด ใครมาเที่ยวปัตตานี แวะผ่านก็ลิ้มลองทานน้ำตูเวาะ หอมหวานได้นะคะ
|
ขนมอาเกาะ หรือขนมไข่อบเตาถ่าน
|
และอีกหนึ่งขนมก็ต้องลิ้มลองทานก็คือ ขนมอาเกาะ คล้ายขนมหม้อแกงไข่ กลิ่นหอม หวาน รสชาติอร่อยมากค่ะ มาเที่ยวปัตตานีก็ต้องลองค่ะ เพราะมีขายเฉพาะในพื้นถิ่นแถบนี้เท่านั้น ฃ
|
6.วังเจ้าเมืองยะหริ่ง |
|
6.วังเจ้าเมืองยะหริ่ง |
|
6.วังเจ้าเมืองยะหริ่ง |
|
6.วังเจ้าเมืองยะหริ่ง |
6.วังเจ้าเมืองยะหริ่ง
อีกหนึ่งวังเก่าแก่ ตั้งอยู่ในอำเภอยะหริ่ง ตัววังตั้งอยู่ในซอยพิพิธราษฎร์บำรุง มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่สวยงาม แต่วันที่ไปเที่ยว ทางวังปิดปรับปรุงชั่วคราว เลยไม่ได้เข้าไปด้านในค่ะ
ถูกจัดให้เป็นวังที่มีประวัติศาสตร์เป็นมายาวนาน การเข้าชมสามารถติดต่อขออนุญาตได้ที่ทายาทเจ้าของวัง โดยตัวอาคารมีสถาปัตยกรรมผสมผสานกันระหว่างไทยมุสลิม จีน และยุโรป สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2438 ปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ผู้สร้าง คือ พระยาพิพิธเสนา อมาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม ตัวอาคาร 2 ชั้น มีลักษณะครึ่งตึกครึ่งไม้ ชั้นล่างเป็นลานโล่ง ใต้ถุนตึกสูงชั้นบนแบ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีห้องพักของเจ้าเมืองและบุตรธิดา ช่องรับแสงประดับด้วยกระจกสีสด ช่องระบายอากาศ หน้าจั่วทำด้วยไม้ฉลุลวดลายงดงามจุดเด่น คือ บันไดโค้งแบบยุโรปทอดขึ้นสู่ระเบียงทั้งสองด้าน บริเวณโดยรอบแวดล้อมด้วยพันธุ์ไม้ร่มรื่นอายุกว่า 100 ปี เหมาะกับการไปทัศนศึกษา
|
7.ชายหาดตะโละกาโปร์ |
|
7.ชายหาดตะโละกาโปร์ |
|
7.ชายหาดตะโละกาโปร์ |
|
7.ชายหาดตะโละกาโปร์ |
|
7.ชายหาดตะโละกาโปร์ |
7.ชายหาดตะโละกาโปร์
จัดเป็นหนึ่งในชายหาดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ในอำเภอยะหริ่ง ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีตามทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) ตั้งอยู่ใน ตำบลตะโล๊ะกาโปร์ เขตอำเภอยะหริ่ง ห่างจากที่ว่าการอำเภอยะหริ่ง ประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นหาดทรายขาวสะอาดขนานกับชายฝั่งทะเล มีเรือกอและของชาวประมงจอดอยู่เป็นจำนวนมาก หาดทรายแห่งนี้งอกยาวออกไปเรื่อย ๆ เพราะเกิดจากกระแสน้ำพัดเอาตะกอนทรายมาทับถมพอกพูน เหมาะแก่การไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ภายในบริเวณมีร้านค้าและร้านอาหารให้รับประทาน และช่วงวันหยุดจะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่พาครอบครัวมาเที่ยวพักผ่อนกันมากมาย
|
8.แหลมตาซี หรือแหลมโพธิ์ |
|
8.แหลมตาซี หรือแหลมโพธิ์ |
|
8.แหลมตาซี หรือแหลมโพธิ์ |
|
8.แหลมตาซี หรือแหลมโพธิ์ |
|
8.แหลมตาซี หรือแหลมโพธิ์ |
|
8.แหลมตาซี หรือแหลมโพธิ์ |
|
8.แหลมตาซี หรือแหลมโพธิ์ |
8.แหลมตาซี หรือแหลมโพธิ์
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจต้องไปเช็คอินถ่ายรูปภาพกัน เนื่องจากเป็นแหลมที่กั้นอ่าวปัตตานี (ทะเลใน) และอ่าวไทย (ทะเลนอก) เกิดจากการก่อตัวของสันทรายที่ยื่นออกไปในทะเลในลักษณะสันดอนจะงอย โดยปลายแหลมจะงอกเพิ่มขึ้นทุกปี บริเวณด้านในของแหลมฝั่งที่หันหน้าเข้าหาแผ่นดินใหญ่ เป็นที่ตั้งของชุมชนมากมาย เช่น บ้านดาโต๊ะ บ้านตะโละสะมิแล บ้านบูดี ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก และมีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เช่น ปลากะพง หอยแครง หอยแมลงภู่ เป็นต้น และบริเวณด้านนอกของแหลมฝั่งที่หันหน้าออกทะเลกว้าง โดยตัวชายหาดแหลมตาซี บรรยากาศโดยรอบนั้นร่มเย็น และเงียบสงบ มีเรือกอและของชาวประมง และมีแพะออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย ระยะทางจากตัวเมืองปัตตานีมาที่แหลมตาซี ประมาณ 43 กิโลเมตร ใช้เส้นทางเดียวกับไปชายหาดตะโละกาโปร์
|
9.ชายหาดตะโล๊ะสะมิแล หนึ่งในชายหาดสวย น้ำทะเลใส ที่ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินกัน |
|
9.ชายหาดตะโล๊ะสะมิแล หนึ่งในชายหาดสวย น้ำทะเลใส ที่ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินกัน |
|
9.ชายหาดตะโล๊ะสะมิแล หนึ่งในชายหาดสวย น้ำทะเลใส ที่ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินกัน |
|
9.ชายหาดตะโล๊ะสะมิแล หนึ่งในชายหาดสวย น้ำทะเลใส ที่ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินกัน |
|
9.ชายหาดตะโล๊ะสะมิแล หนึ่งในชายหาดสวย น้ำทะเลใส ที่ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินกัน บ้านไม้ริมทะเล |
|
9.ชายหาดตะโล๊ะสะมิแล หนึ่งในชายหาดสวย น้ำทะเลใส ที่ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินกัน ที่บ้านไม้ริมทะเล |
|
9.ชายหาดตะโล๊ะสะมิแล หนึ่งในชายหาดสวย น้ำทะเลใส ที่ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินกัน ที่บ้านไม้ริมทะเล |
|
9.ชายหาดตะโล๊ะสะมิแล หนึ่งในชายหาดสวย น้ำทะเลใส ที่ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินกัน |
9.ชายหาดตะโล๊ะสะมิแล หนึ่งในชายหาดสวย น้ำทะเลใส ที่ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินกัน
จัดเป็นชายหาดสวย น้ำทะเลใส และมีชื่อเสียงอีกแห่ง ที่นักเดินทางไม่ควรพลาด เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งของร้าน Coffe Hut และร้านอาหารบ้านไม้ริมทะเล ร้านคาเฟ่น่ารักติดริมชายหาด บรรยากาศดี วิวทิวทัศน์สวยงาม ไม่วุ่นวาย กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวมาเลเซียนิยมกันมาเป็นอย่างมาก
|
10.ล่องเรือบางปู ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ชมนกและพระอาทิตย์ตกดิน |
|
10.ล่องเรือบางปู ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ชมนกและพระอาทิตย์ตกดิน |
|
10.ล่องเรือบางปู ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ชมนกและพระอาทิตย์ตกดิน |
|
10.ล่องเรือบางปู ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ชมนกและพระอาทิตย์ตกดิน |
|
10.ล่องเรือบางปู ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ชมนกและพระอาทิตย์ตกดิน |
|
10.ล่องเรือบางปู ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ชมนกและพระอาทิตย์ตกดิน |
|
10.ล่องเรือบางปู ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ชมนกและพระอาทิตย์ตกดิน |
|
10.ล่องเรือบางปู ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ชมนกและพระอาทิตย์ตกดิน |
10.ล่องเรือบางปู ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ชมนกและพระอาทิตย์ตกดิน
หากใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูป ต้องไม่พลาดมาล่องเรือบางปู หนึ่งในกิจกรรมยอดนิยมสำหรับคนที่มาท่องเที่ยวปัตตานี นอกจากไปชมชายหาดแล้ว ก็ต้องไม่พลาดมาล่องเรือ หรือการล่องเรือบางปู อยู่ที่บ้านลาดูวอ ในอำเภอยะหริ่ง โดยไฮไลท์ของการล่องเรือคือ จะได้ลอดอุโมงค์ป่าโกงกาง ชมธรรมชาติความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน และหากมาล่องเรือยามเย็น จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินด้วย โดยเรือที่ล่องให้บริการเหมาลำละ 500 บาท ใช้เวลาการล่องเรือประมาณ 2 ชั่วโมง ถือว่าคุ้มค่ามากๆ หากใครที่มาเที่ยวคนเดียว สามารถร่วมแชร์กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆได้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถติดต่อได้ที่ท่าเรือบริเวณชุมชนท่องเที่ยวบางปู
|
11.วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม |
|
11.วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม ที่ประดิษฐานสถูปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด |
|
11.วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม ที่ประดิษฐานสถูปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด |
|
11.วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม |
|
11.วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม |
|
11.วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม |
|
11.วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม ที่ประดิษฐานสถูปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด |
|
11.วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม ที่ประดิษฐานสถูปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด |
11.วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม ที่ประดิษฐานสถูปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
สำหรับใครที่เป็นพุทธศาสนิกชน และศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวดเหยีบน้ำทะเลจืด หากได้มาเยือนปัตตานี แน่นอนว่าต้องไม่พลาดไปกราบสักการะเจดีย์อัฐิขององค์หลวงปู่ทวดสักครั้ง โดยวัดช้างให้ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี โดยวัดช้างให้ ห่างจากตัวเมืองปัตตานี ประมาณ 31 กิโลเมตร ภายในประดิษฐานวิหารสมเด็จหลวงพ่อทวด เป็นวิหารที่ประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงพ่อทอง ซึ่งมีขนาดเท่าองค์จริง พระธาตุเจดีย์วัดช้างให้ รูปแบบ เป็นเจดีย์ 5 ยอด โดยมีองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง ด้านล่างเป็นห้องโถง มีระเบียงเป็นวิหารคตรอบองค์พระเจดีย์ ฉัตรทองคำหนัก 100 บาท เป็นฉัตร 7 ชั้น ประดับทับทิมประดิษฐานอยู่บนยอดเจดีย์ ภายในองค์พระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ความสูง 59.09 เมตร และเจดีย์อัฐิของหลวงปูทวด ที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพมากราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล
ความเป็นมาของวัดช้างให้ สร้างโดยพระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี สร้างเมืองใหม่ได้อธิษฐานปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมืองและไพร่พลเดินติดตามไป เมื่อช้างหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องขึ้นสามครั้ง จึงสร้างเมืองใหม่ ณ ที่ตรงนั้นสมัยโบราณกาล คนมลายูซึ่งยังนับถือพุทธศาสนา พระยาแก้มดำจึงได้สร้างวัดช้างให้เพื่อให้เป็นยึดเหนี่ยวและสักการะบูชาของคนในพื้นนที่
และสำหรับบทความแนะนำแหล่งท่องเที่ยวสวยๆในจังหวัดปัตตานีในปี 2023 หรือปี 2566 ที่ได้นำมาเสนอแนะนำไว้ในบทความบล็อกนี้ น่าจะมีเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้กับเพื่อนๆที่กำลังวางแผนเดินทางมาถ่ายรูปสวยๆตามที่เที่ยวเปิดใหม่ และร้านคาเฟ่แนวๆน่ารักเก๋ๆในเมืองปัตตานีแห่งนี้อยู่ไม่มากก็น้อย หากข้อมูลดังกล่าวที่ได้นำเสนอไป มีข้อผิดพลาดประการใด ดิฉันต้องขออภัยด้วยนะคะ ขอบพระคุณที่เข้ามาคลิ๊กสไลด์เลื่อนเปิดอ่านกัน หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งในบทความถัดไปค่ะ....จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน
---------------------------------------------------------------------
0 ความคิดเห็น