ตะลอนเมืองไทยไปให้รู้ในวันนี้ คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า ขอนำเสนอสาระน่ารู้เกี่ยวกับ วัดมัชฌิมาวาส วัดเก่าแก่กลางเมืองอุดร ที่ใครก็ต้องมาไหว้ขอพร มาให้อ่านกันจ้า |
ขอทักทายสวัสดี สวีดัดคุณผู้อ่านและเพื่อนเหล่าผู้รักการทัศนาจร อรชร อ้อนแอ้น สุดสะแนน แสนโสภาช่ะช่ะช่าหัวใจทุกๆคนค่ะ ก็กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ กับบทความสาระน่ารู้โน้นนี้นั้นเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทั่วแดนไทย ที่จะสรรหามาให้อ่านฆ่าเวลากัน หลังจากที่บทความบล็อกก่อนหน้าได้พาไปรู้จักประวัติของวัดพระธาตุที่จมอยู่ใต้แม่น้ำโขงกว่า 254 ปีกันไปแล้ว วันนี้คุณนายเว่อร์ เธอเป็นคนบ้า ขอพาคุณผู้อ่านไปเที่ยวชมและรู้จัก วัดมัชฌิมาวาส อีกหนึ่งวัดเก่าแก่สำคัญอยู่ในตัวเมืองอุดรธานี ซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อนาค พระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอุดร ที่ใครมาออนซอนเที่ยวเมืองนี้แล้ว ก็ต้องมาไหว้พระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลกันสักครั้งครา
ข้อมูลเล็กน้อยๆน่ารู้เกี่ยวกับ วัดมัชฌิมาวาส เมืองอุดรธานี (Matchimawat Temple, Udon Thani City) |
สาระน่ารู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ วัดมัชฌิมาวาส เมืองอุดรธานี (Matchimawat Temple, Udon Thani City)
สำหรับวัดมัชฌิมาวาส เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญของจังหวัดอุดรธานี ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า วัดเดิม หรือ วัดเก่า ก่อนจะมาเป็นวัดมัชฌิมาวาส ก็เคยเป็นวัดร้างมาก่อน ชื่อว่าวัดโนนหมากแข้งแต่หลักฐานที่พอให้ทราบได้ว่าเป็นวัดร้างนั้น ก็มีอยู่ 2 อย่าง คือเจดีย์ศิลาแลงตั้งอยู่ที่โนน (เนิน) ประชาชนเล่าสืบกันมา ว่าเจดีย์นั้นได้ครอบ หรือ คร่อมตอหมากแข้งขนาดใหญ่ และมีพระพุทธรูปหินขาว ปางนาคปรก หรือหลวงพ่อนาค (ปัจจุบัน คือ หลวงปู่นาค) อยู่ภายในเจดีย์ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวเมืองอุดรมาอย่างยาวนาน
ต่อมาในรัชกาลที่ 5 พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ก่อตั้งเมืองอุดรได้สร้างวัดขึ้น ณ บริเวณนี้ ซึ่งอยู่ในเขตตำบลโนนหมากแข้ง |
ต่อมาในรัชกาลที่ 5 พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม สมัยดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงใหญ่ ผู้สำเร็จราชการหัวเมืองลาวพวน ข้าหลวงมณฑลผู้ก่อตั้งเมืองอุดรได้สร้างวัดขึ้น ณ บริเวณนี้ ซึ่งอยู่ในเขตตำบลโนนหมากแข้ง (ซึ่งเคยเป็นวัดร้าง) แล้วมีภิกษุจำพรรษาอีกครั้ง เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น วัดมัชฌิมาวาส เมื่อราว พ.ศ. 2436 พร้อมกับการสร้าง เมืองอุดรธานีขึ้น วัดมัชฌิมาวาสจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นวัดที่เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองอุดรฯจนตราบเท่าทุกวันนี้
ปัจจุบัน พระพุทธรูปหินขาว ปางนาคปรกหรือ "หลวงพ่อนาคปรก" ก็ได้นำมาประดิษฐานไว้ที่หน้าพระอุโบสถ |
ปัจจุบันพระพุทธรูปหินขาว ปางนาคปรก หรือ "หลวงพ่อนาคปรก" ก็ได้นำมาประดิษฐานไว้ที่หน้าพระอุโบสถ ให้ชาวอุดรฯและจังหวัดใกล้เคียงได้สักการบูชา กันมาจนถึงทุกวันนี้ และกลายเป็นพระพุทธรูปที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์คู่วัดมัชฌิมาวาสตลอดมา
วัดมัชฌิมาวาส หรือชื่อเดิมว่า วัดโนนหมากแข้ง ได้รับพระราชทานบรมราชานุญาตสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 |
ทั้งนี้วัดมัชฌิมาวาส หรือชื่อเดิมว่า วัดโนนหมากแข้ง ได้รับพระราชทานบรมราชานุญาตสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2507
นอกจากประดิษฐานหลวงพ่อนาคแล้ว ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปแล้ว ยังเป็นวัดที่สำคัญตั้งแต่แรกเริ่มการสร้างเมืองอุดรธานี |
ที่วัดมัชฌิมาวาส นอกจากประดิษฐานหลวงพ่อนาคแล้ว ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปแล้ว ยังเป็นวัดที่สำคัญตั้งแต่แรกเริ่มการสร้างเมืองอุดรธานี ดังนั้นจึงมีสิ่งก่อสร้างสมัยรัชกาลที่ 5 ปรากฎอยู่หลายอย่าง เช่น พระอุโบสถ พระวิหารและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่ได้รับการปฏิสังขรณ์เป็นอย่างดีมาแล้ว จึงเหมาะสำหรับผู้สนใจศึกษาด้านสถาปัตยกรรม ยิ่งกว่านัั้นยังร่มรื่น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมาปฏิบัติธรรมอีกด้วย
ทำเลที่ตั้งของวัดมัชฌิมาวาส วัดมัชฌิมาวาส ตั้งอยู่บนเนื้อที่ทั้งหมด 15 ไร่ 1 งาน มีถนนล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านทิศตะวันออก ติดกับถนนหมากแข้ง |
ส่วนทำเลที่ตั้งของวัดมัชฌิมาวาส วัดมัชฌิมาวาส ตั้งอยู่บนเนื้อที่ทั้งหมด 15 ไร่ 1 งาน มีถนนล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านทิศตะวันออก ติดกับถนนหมากแข้ง และถนนดุษฎี ด้านทิศใต้ ติดกับถนนวัฒนา ด้านทิศเหนือ ติดกับถนนโพนพิไสย อยู่ใกล้กับสถานที่ราชการหลายแห่ง คือ ใกล้ศาลจังหวัดอุดรธานี โดยห่างจากศาลจังหวัดอุดรธานทีเพียง 40 เมตรเท่านั้น ใกล้กับสถานีกาชาดที่ ๙ และสาธารณสุขจังหวัด ประมาณ 30 เมตร ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 120 เมตร ด้านหลังติดกับโรงเรียนเทคนิคอุดรธานี โดยห่างกันเพียง 30 เมตร ห่างจากสำนักงานเทศบาลเมืองอุดรธานี ประมาณ 250 เมตร และตั้งอยู่ในย่านกลางของคุ้มต่าง ๆ คือ คุ้มบ้านห้วย คุ้มบ้านโนน คุ้มหมากแข้ง คุ้มทุ่งสว่าง และคุ้มบ้านคอกวัว
เครดิตข้อมูลดีๆจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/วัดมัชฌิมาวาส_(จังหวัดอุดรธานี)
---------------------------------------------------------------------------------------------
บทความบล็อกอื่นๆ มีดังนี้
![]() |
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองสตูลสุดน่าสนใจ มีที่ใหนบ้าง คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
รวมเด่นแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจอยู่ในตัวเมืองสตูล ที่ต้องไปเช็กอินถ่ายรูปภาพกระชากใจเว่อร์กัน มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดที่เที่ยวค่ะ>>>
![]() |
สถานที่ท่องเที่ยวในเกาะหลีเป๊ะและจุดเช็กอินถ่ายรูปวิวสวยๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเกาะหลีเป๊ะ และจุดเช็กอินถ่ายรูปวิวสวยๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปเที่ยวชมกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดที่เที่ยวค่ะ>>>
![]() |
รวมเด่นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเชียงราย ใครก็ต้องไปกัน คลิ๊กดูที่เที่ยวจ้า>> |
จัดไปกับ 15 ที่เที่ยวจุดเช็กอินยอดนิยมในเชียงราย ที่ใครก็ต้องปักหมุดไปถ่ายรูปกันสักครั้ง มีที่ใหนบ้างนั้น ตามไปเที่ยวชมกันได้เลย คลิ๊กดูรายละเอียดที่เที่ยวค่ะ>>>
![]() |
แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองตาก แวะไปเช็ออินถ่ายภาพกันสักครั้ง คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>> |
![]() |
รวมเด็ด 17 ที่เที่ยวกำแพงเพชรยอดนิยมที่คนไปเช็กอินกันสักครั้ง>> |
![]() |
แนะนำสถานทีท่องเที่ยวในเมืองมหาชัย สมุทรสาคร แวะไปออนซอนได้ชิลๆ>>> |
1 ความคิดเห็น
I’ve always been fascinated by how travel can go beyond just sightseeing and actually become a journey of self-discovery. Recently, I came across a unique cultural retreat in China that combines Tai Chi, Kung Fu, and traditional calligraphy into a 3-day, 2-night experience. What really stood out to me was how it blends meditation, philosophy, and physical practice in historic locations like Mochou Village and the Mingxian Mausoleum. Participants don’t just learn the movements of Tai Chi—they also explore Taoist wisdom, write calligraphy on bamboo slips, and even share cultural exchanges around a bonfire with tea and Zen rituals. It feels like such a meaningful way to connect body, mind, and culture, especially for travelers looking for more than the usual tourist activities. If anyone is curious to explore this kind of journey, you can check out the full details here: wuhan.video.
ตอบลบ