Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

แบกเป้เที่ยวตรัง 3 วัน 2 คืน ช่วงหน้าฝน เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับไปทำทานที่มูลนิธิคนชรา ก่อนไปจะลั๊นลาที่น้ำตกโตนเต๊ะ นั่งกินเค้กรสเป๊ะอร่อยเว่อร์

รีวิวเที่ยวเมืองตรัง เช่ามอเตอร์ไซต์ขับเที่ยวในจังหวัดตรัง 3 วัน 2 คืน สุขจะรื่นรมย์ฤดี ฉิมพลีความงาม ร้าวรานถึงทรวงใน
 เดี๊ยนคุณนายเว่อร์ ขอสวีดั๊ดดัด สวัสดี๊ดีคุณผู้อ่านชาวเน็ตทุกๆท่านที่กำลังเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมืออันไฮโซโก้เก๋ ท่องโลกออนไลน์ ไร้สาย ไร้พรมแดน จนขนแขนสะแตนอัพอยู่ ณ ขณะนี้นะค่ะ..ก่อนอื่นตามธรรมเนียมเลย เดี๊ยนต้องขอต้อนรับท่านเข้าสู่เว็ปบล๊อกแนะนำที่พัก รีวิวเที่ยว เขียนไปเรื่อยเปื่อยค่ะ บ้าๆบอๆ ตามประสาคนบ้าเที่ยวแบบคุณนายเว่อร์ เทอร์เป็นบ้าไปแล้วค๊า.....สำหรับบล๊อกในบทความนี้ ก็ถือเป็นบล๊อกที่เดี๊ยนรถคอยเขียนมานานเป็นเดือนเหมือนกันค่ะ เพราะเป็นบทความรีวิวท่องเที่ยวจริงๆค่ะ ใจจริงเองนะค่ะ เดี๊ยนก็อยากจะมาเขียนรีวิวท่องเที่ยวให้เยอะๆนะค่ะ แต่ด้วยงานการที่ต้องทำ และภาระกิจก็ล้านแปด ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาได้เที่ยวบ่อยมากนัก แต่ยังไงเดือนนึง เดี๊ยนก็ต้องวางแผนไปเที่ยวโน้นนี้นั้นให้ได้ค่ะ ถึงแม้จะมีคนมาอ่านแค่วันละ 1-2 คน หรือไม่มีเลยก็ตาม แต่เดี๊ยนก็ยังคงต้องทำหน้าที่นักเขียนบล๊อกมือสมัครเล่นแบบกากๆต่อไป และอีกอย่าง ถือว่าได้เปิดหูเปิดตา เปิดโลกทัศน์ เปิดสมองได้เห็นอะไรใหม่ๆ ทำให้จิตใจของเดี๊ยนสุขสมรื่นรมย์อุรายิ่งนักแลค๊า

ในช่วงวันที่ 22-24 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา เดี๊ยนได้มีโอกาสแบกเป้ลุยเดี่ยว ตีตั๋วเครื่องบินจากเมืองมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ลาพักร้อนไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋เที่ยวเมืองตรังมาค่ะ หรือที่คนตรังชอบเรียกเมืองนี้ว่า เมืองทับเที่ยง ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เดี๊ยนตั้งใจจะไปเที่ยวตั้งนานแล้วล่ะค่  แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสไปเสียที เพราะด้วยข้ออ้างโน้นนี้นั้น แต่พอมาเดือนนี้ เดี๊ยนขอยื่นคำขาดกับที่ทำงานเลยว่า ยังไงก่อนสิ้นเดือนนี้ เดี๊ยนขอลาร้อนนะค่ะ เพราะว่ายังไม่ได้ลาพักร้อนไปใหนเลย เดี๋ยวเดือนนี้ไม่มีบทความบล๊อกรีวิวท่องเที่ยวลงในเว็ปบล๊อก มันก็จะโหว่ขาดหาดไป 1 เดือนเลยค๊า นี้คือเหตุผลกากๆที่เป็นข้ออ้างช่างไร้สาระสิ้นดีค่ะ แต่ก็ลาพักร้อนจนได้ เดี่ยวเดือนหน้าก็ค่อยหาวันลาพักร้อนและหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ค่ะ ก่อนจะไปก็มีชวนเพื่อนๆนะค่ะ แต่ก็ไม่มีใครว่าง เพราะทุกคนต่างก็ติดทำงานประจำกัน เดี๊ยนเองก็เลยได้เที่ยวลุยฉายเดี่ยวอีกเช่นเคยค่ะ

สำหรับการไปเที่ยวเมืองตรัง ในช่วงหน้าฝน ถือเป็นอะไรที่เดี๊ยนตั้งใจมากค่ะ เพราะอยากไปเที่ยววันธรรมดา ถึงแม้จะเป็นช่วงหน้าฝน หน้ามรสุมก็ตามที แต่เดี๊ยนก็ตั้งใจว่าคงไม่ไปเที่ยวตามหมู่เกาะต่างๆแน่นอน เพราะตามหมู่เกาะต่างๆ อย่างเช่น เกาะกระดาน และเกาะมุกก็ได้ถูกปิดทำการชั่วคราวไปค่ะ ซึ่งมีถ้ำมรกตที่โด่งดังที่ใครๆก็อยากไปเยือน แต่เดี๊ยนเองก็ไม่ได้พิศวาสขนาดนั้นเลยค่ะ จริงๆแล้ว การท่องเที่ยวเมืองตรังในช่วงฤดูฝน เดี๊ยนว่าก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอื่นๆที่สวยสดงดงาม เว่อร์วังอลังการ สะท้านโลกา ไม่แพ้การท่องเที่ยวทางทะเลเลยนะค่ะ โดยทริปนั้น เดี๊ยนเองก็ได้มีโอกาสแวะไปชมความงามของน้ำตกโตนโต๊ะ ราชินีน้ำตกของภาคใต้ ไปดูดดื่มความเย็นซ่าของละอองสายธารธารา ที่น้ำสุดจะเย็นยะเยือกไหลลงจากหน้าผาลงสู่แอ่งน้ำสีเขียวมรกต สะกดจิต สะกดใจเดี๊ยนให้ติดอยู่ในวังเวียนวนผืนป่าเทือกเขาบรรทัดแห่งนี้ อยู่ร่วมชั่วโมง เพราะบรรยากาศนั้นเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงจั๊กกระจั๋นเรไร ปราศจากนักท่องเที่ยว และอีกแห่งที่ตื่นเต้นมากสำหรับเดี๊ยนเลย นั้นก็คือ การนั่งเรือลอดท้องมังกร ที่ถ้ำเลเขากอบ ที่เป็นอันซีนสุดน่าประทับใจไม่รู้ลืมจริงเลยค่ะ  เพราะกว่าจะเล็ดลอด คลอดออกมาจากถ้ำได้ โอ้ยใจแทบลงไปที่ตาตุ่ม เดี๊ยนก็ได้นึกภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโข นึกถึงพ่อแก้ว แม่แก้ว ขอให้รอดจากการลอดท้องมังกรด้วยเถิด เพราะว่าตอนลอดท้องมังกรเนี่ยนะค่ะ ในถ้ำแคบมากๆ จมูกเดี๊ยนแทบจะติดผนังถ้ำอยู่แล้ว มืดก็มืด แถมเดี๊ยนต้องช่วยดันเรือให้เค้าอีก เพราะติดกับโขดหินในถ้ำ ถ้าน้ำป่าหลากเข้าถ้ำมาจะเป็นอย่างไรหนอ คงต้องเด๊ทสมอเล้ กลับคืนสู่บ้านเก่าเป็นแน่แท้ แต่พอออกจากถ้ำมาได้ก็โล่งจิต โล่งใจยิ่งนัก แล้วก็จะจำไว้ว่า เดี๊ยนจะไม่เข้าไปอีกแล้วค๊า ใครเป็นโรคกลัวกลัวความแคบ หรือกลัวความมืด เป็นโรคหัวใจ ไม่แนะนำเลยค่ะ เพราะมันตื่นเต้นมากๆเลยค๊า.....
ทริปนี้เดี๊ยนเลย ตั้งใจเลยว่าอยากจะไปทำบุญ ทำทานตามประสาคนแก่ ขับรถเที่ยวในเมืองตรัง แวะดื่ม แวะกิน ชิวๆไปเรื่อยๆเปื่อย และตื่นเต้นไม่เบาเลยล่ะค่ะ

หากจะเอ่ยถึงเมืองตรัง ต้องยกให้เป็นเมืองนี้เป็นเมืองแห่งของกินเลยค่ะ เพราะหากใครมาตรังก็ต้องไม่พลาดต้องมาทาน หมูย่างเมืองตรัง ทั้งกลิ่นและรสนี้หอมหวานแสนซาบซ่านชื่นจิตใจ นอกจากนี้ยังมีขนมเค้กรสชาติดีเลิศ อร่อยสุดจะบรรเจิดจนต้องตะเลิดซื้อกลับบ้านเป็นของฝาก เพราะเนื้อเค้กนี้นุ่มนวล ดุจดั่งฟองน้ำ มีหลากหลายรสชาติให้เลือก ทานคู่กับน้ำชา สุดแสนจะซาบซ่าถึงทรวงในค่ะ และในช่วงเช้านะค่ะ ก็ต้องแวะหาติ่มซำอร่อยๆ ทานคู่กับปาท่องโก่ก็อร่อยโก้เก๋ เทห์ซ่ะไม่เบาเลยล่ะค๊า

และก่อนเข้าเนื้อหาภาพรีวิวกากๆ ในเว็ปบล๊อกนี้นะค่ะ 
เดี๊ยนเองขอมาสรุปทริปรีวิวการเดินทางท่องเที่ยวเมืองตรัง 3 วัน 2 คืน ที่เดี๊ยนได้เดินทางไปมาก่อนนะค่ะ ว่าเดี๊ยนไปที่ใดบ้าง เผื่อว่าจะได้เป็นแนวให้สำหรับท่านที่ยังไม่เคยเดินทางไปเมืองตรัง อยากจะเช่ามอเตอร์ไซต์เที่ยวแบบเดี๊ยนบ้าง เดี๊ยนเองไม่สงวนสิทธิ์ จะก๊อปปี้ เที่ยวแบบเดี๊ยน หรือเที่ยวแบบหลุดโลก โหด มันฮา กว่านี้ก็จัดไปเลยค่ะ

สรุปทริปช่วงวันที่ 22-24 มิถุนายน 2559

วันพุธ ที่ 22 มิถุนายน 2559 
- 7.55 น.นั่งเครื่องบินโดยสารออกจากสนามบินดอนเมือง มุ่งหน้าสู่สนามบินตรัง ค่าโดยสาร 790 บาทค่ะ
- 9.20 น. ใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆก็เดินทางถึงสนามบินตรัง นั่งรถตู้จากสบามบินตรัง 90 บาท บอกคนขับไปส่งที่โรงแรมที่พักค่ะ จองที่พักไว้ ชื่อโรงแรม ไมตรีเฮ้าส์ ที่พักอยู่แถวสถานีรถไฟตรังค่ะ
- 10.00 น. เข้าเช็คอินน์ที่พัก ที่โรงแรมไมตรีเฮ้าส์ คืนละ 750 บาท เดี๊ยนจองไว้ 2 คืน รวมแล้วก็ 1500 บาทค่ะ 
- 11.00 น. ทานข้าวมื้อเที่ยงเป็นข้าวราดแกงปักใต้ รสชาติอาหารอร่อยแซ่บเว่อร์มากๆค่ะ
- 12.00 น. เดี๊ยนตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซต์ขับ วันละ 250 บาท ร้านเช่ามอเตอร์ไซต์อยู่ติดกับที่พักใกล้ๆโรงแรมเลยค่ะ เดี๊ยนเช่า 3 วันคนขับลดให้เหลือ 500 บาทค่ะ
- 12.10 น. เดินทางไปทำบุญบริจาคโลงศพ ที่มูลนิธิบ้วนเต๊กกุศลสถาน ตั้งอยู่พัทลุงซอย 5 ค่ะ ใกล้ศาลากลางจังหวัดตรังค่ะ
- 13.00 น. เดินทางออกจากเมืองตรังระยะทางประมาณ 30 กิโล มุ่งหน้าไปทำทานที่มูลนิธิคนชราศรีตรัง
- 14.00 น. เดินทางไปเที่ยว นั่งเรือฉายเดี่ยวเลยค่ะ ลอดถ้ำมังกร ที่ถ้ำเลเขากอบ อำเภอห้วยยอด เป็นการลอดถ้ำที่ระทึกและหน้าตื่นเต้นมากๆค่ะ
- 16.00 น. เดินทางกลับเข้าเมืองตรังอีกครั้ง ขับมอเตอร์ไซต์มุ่งหน้าต่อไปยัง สวนพฤษศาสตร์ทุ่งค่าย จังหวัดตรัง ไปเดินชมธรรมชาติบนเรือนยอดไม้ ที่หากใครมาเที่ยวช่วงหน้าฝนนี้ ก็ต้องไปแวะไปชมและศึกษาธรรมชาติ
17.30 น. เดินทางกลับที่พัก แวะไปทานอาหารเย็นอร่อยๆ ที่ร้านข้าวต้มปริญญา ซึ่งอยู่ใกล้ๆที่พัก และขับมอเตอร์

วันพฤหัสบดี ที่ 23 มิถุนายน 2559 
- 9.00 น. เดี๊ยนตื่นสายมากค่ะ เลยต้องรีบทำภารกิจให้เสร็จ และรีบไปทานอาหารเช้า ก่อนร้านอาหารของโรงแรมจะปิดทำการไปค่ะ 
- 10.30 น. ขับมอเตอร์ไซต์ออกจากที่พักระยะทาง 35 มุ่งหน้าสู่ น้ำตกโตนเต๊ะ น้ำตกสวยงามจนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นราชินี
- 11.40.น. ถึงน้ำตกโตนเต๊ะ เดินชมธรรมชาติที่น้ำตกโตนเต๊ะ นั่งพักผ่อน ท่ามกลางธรรมชาติและอากาศที่บริสุทธิ์ พร้อมบรรยากาศที่เงียบสงบ ไร้ซึ่งนักท่องเที่ยว
- 13.00 น. แวะทานอาหารเที่ยง และขับรถจากน้ำตกโตนเต๊ะ มุ่งหน้าสู่อำเภอกันตัง ระยะทางอีก 50 กิโลเมตร ระหว่างทาง เมื่อย เดี๊ยนก็แวะทานขนมเค้กอร่อยๆ ที่ร้านริชชี่อีกครึ่งชั่วโมง ก็จะเดินทางต่อค่ะ
- 14.30 น. แวะชมสถานีรถไฟกันตัง แวะชมพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าพระยารัษฏา แวะชมวิวเมืองตรังที่สวนสาธารณะควนตำหนักจันทร์ แวะไปชมแม่น้ำริมท่าเรือกันตัง
- 17.00 น. เดินทางกลับ ระหว่างทางฝนตกหนัก รอฝนหยุดตกเกือบ 1 ชั่วโมงเลยค่ะ
- 18.00 น. เดินทางถึงที่พัก แวะไปทานอาหารเย็น ที่ร้านก๋วยเตี่ยวเย็นตาโฟ ตรงแยก หอนาฬิกาค่ะ

วันศุกร์ ที่ 24 มิถุนายน 2559
- 6.00 น. เดี๊ยนตื่นแต่เช้าเลยค่ะ ไม่ได้ทานอาหารที่โรงแรม แต่เลือกออกมาทานข้างนอกแทน ไปทานร้านพงษ์โอชา ร้านติ่มซำและร้านหมูย่าง ที่ต่างคนก็ต้องบอกว่าอร่อย เลยขอไปลิ้มลองความอร่อยสักหน่อยค่ะ
- 8.00 น.มุ่งหน้าเข้าที่พัก รีบเก็บสัมภาระใส่กระเป๋าเป้ และฝากไว้ที่โรงแรม
- 9.00 น.เดี๊ยนขับรถมอเตอร์ไซต์จากเมืองตรังมุ่งหน้าไปหาดปากเมง ระยะทาง 37 กิโลเมตร เพื่อไปชมความงามของหาดปากเมงในช่วงฤดูฝน ที่คลื่นลมแรง
- 10.00 น. ขับมอเตอร์ไซต์ ถึงหาดปากเมง ชายหาดที่ไร้ซึ่งนักท่องเที่ยว และเงียบสงบ เหมาะสำหรับนักพักผ่อนยิ่งนัก
- 10.30 น. ขับมอเตอร์ไซต์แวะไปที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำราชมงคล ที่ ม.เทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตตรัง ไปดูพิพิธภัณฑ์ปลาที่น่าสนใจอีกแห่งนึงค่ะ
- 11.30 น. เดินทางออกจาก พิพิณภัณฑ์สัตว์น้ำ หาดราชมงคล  แว็นมอเตอร์ไซต์รีบกลับที่พัก
- 12.15 น. เดินทางที่พัก นั่งพักเหนื่อย แวะไปทานอาหารเที่ยง ร้านข้าวแกงปักใต้ร้านเดิม อร่อยเผ็ดเว่อร์ค่ะ แวะซื้อของฝาก ขนมเค้กเมืองตรัง ขนมเปี๊ยรสเด็ดหลากรส เพื่อไปซื้อฝากที่บ้านและที่ทำงานค่ะ
- 13.30 น. เช็คเอาท์ออกจากที่พัก นั่งรถตู้จากที่พักเดินทาง มุ่งหน้าไปสนามบินตรัง
- 14.55 น. นั่งเครื่องบินออกจากสนามบินตรัง มุ่งหน้ากลับสู่สนามบินดอนเมืองเวลา 16.20 น.โดยสวัสดิภาพ

เอ้าล่ะค่ะสรุปทริปการเดินทางคราวๆ ไปแล้ว ต่อไปเดี๊ยนก็ขอมารีวิวภาพการเดินทางเลยแล้วกันค่ะ จะได้ดูไม่เบื่อนะค่ะ ถ้าภาพไม่สวยประการใดต้องขออภัย เพราะกล้องถ่ายรูปเดี๊ยนเองก็เก่ามากๆ มีวิญญาณฟ่าสีดำๆติดอยู่เกือบทุกรูปเลยค่ะ สงสัยได้เวลาเปลี่ยนกล้องถ่ายรูปเสียแล้วกระมังค่ะ
เช้าตรู่วันที่ 22 มิ.ย.เดี๊ยนตื่นแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ รีบเดินทางไปสนามบินดอนเมือง เพื่อไปรอเช็คอินน์ เที่ยวเที่ยวไฟล์ทเช้า มุ่งหน้าจากดอนเมือง มุ่งสู่ เมืองทับเที่ยง หรือเมืองตรัง จุดมุ่งหมายของการเดินทางท่องเที่ยวในทริปนี้ค่ะ
นั่งเครื่องบินของแอร์เอเชียใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ ก็ถึงเมืองตรังแล้วค่ะ  วันที่เดี๊ยนเดินทางมาอากาศที่เมืองตรัง ท้องฟ้าโปร่งแจ่ม อากาศร้อนกำลังดีเลยค่ะ ทอแสงอุตตราไวโอเลตดียิ่งนักเชียว
เดี๊ยนมาถึงก็ไปติดต่อที่เคาว์เตอร์รถตู้เข้าเมือง ราคาค่าโดยสาร 90 บาท โดยเดี๊ยนบอกคนขับรถตู้ว่าให้ไปส่งที่สถานีรถไฟ ซึ่งโรงแรมที่เดี๊ยนจองเพื่อค้างคืนก็อยู่แถวสถานีรถไฟค่ะ
นั่งรถตู้เข้าเมือง ผู้โดยสารไม่เต็ม คนขับรถตู้ก็มาส่งให้ค่ะ แต่วันที่เดี๊ยนมาถึง ผู้โดยสารบนรถก็มีอยู่ประมาณ 9 คนได้กระมังค่ะ ถ้าจำไม่ผิดค่ะ
 รถตู้มาส่งเดี๊ยนที่หน้าโรงแรมที่พักพอดีเลยค่ะ โดยโรงแรมที่เดี๊ยนจองไว้มีชื่อว่า โรงแรมไมตรีเฮ้าส์ค่ะ เป็นโรงแรมเล็กๆ คล้ายเกสต์เฮ้าค่ะ มีแค่ 9 ห้อง ไม่หรูหรา ไม่ไฮโซ แต่ก็กิบเก๋ยูเรก้าไมเบาเลยค่ะ ที่เดี๊ยนตัดสินใจจองเพราะราคาไม่แพงมาก แถมโรงแรมอยู่ในตัวเมือง สะดวกสบาย อยู่ใกล้เซเว่น ใกล้ถนนคนเดิน และร้านอาหารมากมายค่ะ

และอีกอย่างที่เลือกก็คือ เห็นรีวิวในอะโกด้าได้คะแนนรีวิวดีเยี่ยม ก็เลยเลือกลองเลือกใช้บริการดูค่ะ..พอได้มาใช้บริการพักค้างคืน 2 คืนแล้ว ถือว่าดีมากเลยค่ะ ไม่วุ่นวาย ไม่เสียงดัง ถูกใจเดี๊ยนมากค่ะ เหมาะกับนักท่องเที่ยวแบบแบกเป้มานะค่ะ ใครที่ขับรถยนต์มาคงจะลำบากเพราะคงไม่สะดวกที่จอดค่ะ เอาเป็นว่าเหมาะกับคนที่แบกเป้มาเที่ยว แบบไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เหมาะที่สุดค่ะ
ดูโรงแรมแล้ว ยังดูใหม่อยู่เลยนะค่ะ
พอเข้าไปถึง เดี๊ยนก็เข้าไปติดต่อขอเข้าเช็คอินน์เลย โดยเดี๊ยนขอฝากกระเป๋าไว้ก่อนค่ะ เพราะเห็นว่าคุแม่บ้านโรงแรมกำลังทำความห้องอยู่ แต่เจ้าหน้าที่โรงแรมก็ใจดี ให้เข้าเช็คอินน์ได้เลยค่ะ โดยให้เดี๊ยนรถประมาณ 10 นาที เพราะแม่บ้านใกล้ทำความสะอาดเสร็จแล้ว
ระหว่างรอเช็คอินน์ เดี๊ยนได้ถ่ายรูปโน้นนี้นั้นไปเรื่อย ดูเป็นโรงแรมเล็ก แต่ตกแต่งได้เก๋ๆดีค่ะ
มีที่เก็บจักรยานด้วยนะค่ะ และก็มีจักรยานให้เช่าด้วย เห็นติดป้ายไว้ เช่าวันละ 150 บาทเลยเชียว
เข้ามาในโรงแรมมีหนังสือให้อ่านด้วย ดีจังเลยค่ะ
เข้าไปในห้องพักก็เป็นห้องธรรมดาค่ะ ห้องอาจจะทึบไปหน่อยค่ะ แต่ก็มีแอร์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้
 ในห้องพักมีตู้เย็น แอร์ ทีวี ถังขยะ แก้วน้ำ ที่ชอบเลยก็คือจัดห้องได้กระทัดรัดดี มีมุมให้นั่งเขียนหนังสือด้วยค่ะ
 ห้องน้ำก็สะอาดดีค่ะ เดี๊ยนให้ผ่านนะค่ะ
สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก มีสบู่ และก็หมวกคลุมผมให้ค่ะ แต่ถ้าจะให้ดี หากมีไดร์เป่าผมด้วยจะยิ่งดีมากๆเลยค่ะ

 ประตูห้องพัก  

 บนชั้นบนห้องพักก็มีที่นั่งล๊อบบี้ให้นั่งเล่นด้วย

หลังจากที่เดี๊ยนเข้าเช็คอินนท์และเก็บสัมภาระในห้องพักเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกไปลั๊นลาแล้วค่ะ
ติดๆกับที่พักมีร้านอาหารข้าวแกง ขนมจีน ปักษ์ใต้ขายอยู่ ชื่อเดียวกับที่โรงแรมเลยค่ะ เดี๊ยนว่าน่าจะเป็นเจ้าของคนเดียวกัน หรือญาติกันกระมังค่ะ
อาหารเที่ยงมื้อนี้ค่ะ ห่อหมกกับแกงเผ็ดหมู รสชาติอร่อยมากๆ เผ็ดจี๊ดอร่อยซี๊ดซาดมากๆเลยค่ะ
หลังจากทานอาหารอิ่ม เดี๊ยนก็ขอแวะไปถ่ายรูป รถตุ๊กๆกบน่ารัก ที่สถานีรถไฟตรัง ถือเป็นรถตุ๊กๆที่เห็นได้เฉพาะถิ่นในเมืองตรังนี้เท่านั้นค่ะ
เดินเข้าไปดูสถานีรถไฟตรัง
สถานีรถไฟตรัง เดี๊ยนเดินเข้ามาด้านใน เงียบมากๆเลยค่ะ

ได้เวลาที่เดี๊ยนต้องออกเดินทางท่องเที่ยวแล้วค่ะ เดี๊ยนเข้าไปติดต่อสอบถามเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองตรังกับเจ้าหน้าที่โรงแรม เจ้าหน้าที่ก็ให้คำแนะนำดีมากๆนะค่ะ โดยเดี๊ยนกะว่าอยากจะเช่ารถตุ๊กๆกบนั่งเที่ยวรอบเมืองตรัง แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้ามาคนเดียวแนะนำให้เช่ามอเตอร์ไซต์จะดีกว่า

เดี๊ยนเลยตัดสินใจเลือกเช่ามอเตอร์ไซต์ ตามคำแนะของทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่ได้แนะนำมาค่ะ เพราะว่าราคาถูกกว่าเยอะ  โดยร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ในเมืองตรังก็อยู่ติดๆกับโรงแรมที่เดี๊ยนพักเลยค่ะ ค่าเช่ามอเตอร์ไซต์วันละ 250 บาท ไม่มีค่ามัดจำรถด้วยนะค่ะ ดีตรงนี้แหละค่ะ เดี๊ยนเช่าประมาณ 3 วัน  ไม่ถึง 3 วันสิค่ะ ประมาณ 2.5 วัน เพราะวันสุดท้ายต้องคืนรถตอนเที่ยง ค่าเช่าทั้งหมดรวม 500 บาทค่ะ ร้านเช่าบอกลดให้เหลือวันละ 200 บาท เพราะวันที่เดี๊ยนไปเที่ยวเป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวน้อยมากๆค่ะ
ได้รถมอเตอร์ไซต์แล้ว เตรียมแว๊นๆอีกแล้วค่ะ...ก่อนขับก็ต้องตรวจสภาพยางรถให้ดีก่อนเลย เดี๊ยนกลัวมาก เพราะน้ำหนักตัวของเดี๊ยนก็ไม่ใช้น้อย ถ้าเผลอไม่เช็คสภาพยางรถ เกิดไปยางแตกขึ้นมา งานยุ่งหนักกว่าเดิมแน่ๆเลยค่ะ...

เอ้าได้เวลาลุยแล้วค่ะ สถานที่แรกของทริปวันแรกนี้ นั้นก็คือการไปทำบุญทำทานก่อนค่ะ เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล และลดความตระหนี่ให้ตัวเองค่ะ

เดี๊ยนเปิดโทรศัพท์มือถือ เปิด GPS ขอให้ช่วยบอกเส้นทางที่ถูกต้องด้วยเถิด โดยเดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ออกจากที่พักตรงสถานีรถไฟ มุ่งหน้าไปสี่แยกหอนาฬิกา เลี้ยวซ้าย พอเจอแยกอีกทีก็เลี้ยวขวาไปที่พัทลุงซอย 5 เพื่อไปบริจาคโลงศพที่มูลนิธิบ้วนกุศลสถาน
ขับมอเตอร์ไซต์เข้ามาถึงก็จะเป็นเนินเหมือนลงเขาค่ะ ก็จะเจอป้ายมูลนิธิเลยค่ะ 
เห็นป้ายบริจาคโลงศพไร้ญาติ ก็เข้าไปร่วมบริจาคด้านในเลยค่ะ โดยมีเจ้าหน้าที่รับเงินบริจาคด้านใน
สำหรับใครที่เคยทำบุญบริจาคโลงศพที่วัดหัวลำโพงในกรุงเทพจะคล้ายกันค่ะ แต่ที่นี้ไม่มีเอาชื่อไปติดที่โลงเท่านั้นเองค่ะ แต่มีให้จุดเทียน 2 เล่ม และจุดธูปกับเทพเจ้าหลายองค์เลยค่ะ
 แต่ละจุดก็จะมีป้าย หมายเลขบอกนะค่ะว่า จุดอันใหนก่อนหลัง มีบอก 1 2 3 ตามลำดับค่ะ
พอได้ไหว้พระ ไหว้เทพองค์ต่างๆแล้ว ก็รู้สึกสบายจิต สบายใจ พร้อมเดินหน้าก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็งค่ะ
สำหรับทริปสถานที่ต่อไปนั้นก็คือ สถานสงเคราะห์คนชราบ้านศรีตรัง ซึ่งตั้งอยู่อำเภอห้วยยอดระยะทางประมาณเกือบ 30 กิโลเมตร เดี๊ยนต้องขับรถมอเตอร์ไซต์ออกจากเมืองตรังมุ่งหน้าสู่อำเภอห้วยยอดค่ะ เพื่อไปยังสถานสงเคราะห์ตามที่ได้ตั้งอกตั้งใจไว้ค่ะ
เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ตาม google map เพื่อเดินทางไปยังสถานสงเคราะห์ ปรากฎว่าพอขับมาได้สัก 20 กิโล ไม่เจอสถานสงเคราะห์ค่ะ ตอนนี้เกิดการหลงทางแล้วค่ะ  เดี๊ยนเลยต้องถามชาวบ้านแถวนั้นๆ โดยชาวบ้านบอกว่าให้ขับรถไปอีก 7 กิโล ให้เลี้ยวขวาก็จะเจอป้ายอยู่ติดถนนใหญ่...เดี๊ยนเลยต้องขับรถไปตามคำแนะนำของชาวบ้านแถวนั้นค่ะ
ว้าว..ในที่สุดก็ถึงแล้วค่ะ สถานสงเคราะห์คนชราบ้านศรีตรัง โอ้ยหลงทางอยู่ตั้งนานเลยค่ะ เดี๊ยนไม่รีรอรีบแว๊นขับเข้าไปด้านในเพื่อไปติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อร่วมบริจาคเงินสมทบค่าใช้จ่ายของมูลนิธิ
สำหรับสถานสงเคราะห์แห่งนี้นะค่ะ เดี๊ยนได้สอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่า มีคนชราอยู่ประมาณ 80 กว่าคนได้ค่ะ ซึ่งคนชราส่วนใหญ่จะถูกลูกหลานทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว บางคนก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทางสถานสงเคราะห์เลยต้องรับไว้เพื่อดูแลค่ะ....พอได้ยินจากเจ้าหน้าที่เอยแบบนี้ ทำให้เดี๊ยนต้องกลับบ้านไปดูแลเจ้าคุณแม่ กับเจ้าคุณพ่อเดี๊ยน ที่เริ่มจะแกตัวลงไปเป็นผู้สูงอายุขึ้นเรื่อยๆเลยค่ะ
หลังจากที่เดี๊ยนได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือสถานสงเคราะห์คนชราเสร็จ เดี๊ยนก็ขับมอเตอร์มุ่งหน้าเข้ามาในอำเภอห้วยยอด เพื่อมายังสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand นั้นก็คือ ถ้ำเลเขากอบค่ะ ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอีกแห่งที่เดี๊ยนเข้าไปอ่านในบล๊อกของฝรั่งมังข้าที่มาเที่ยวเมืองตรัง ไม่พลาดเลยค่ะ กับการมาลอดท้องมังกร ณ ถ้ำแห่งนี้ค่ะ ในเมื่อตั้งใจมาแล้วเดี๊ยนเลยไม่พลาดต้องขอไปลอดท้องมังกรสักครั้งนึงค่ะ และอีกอย่างคือ มาเที่ยวที่นี้ ได้มากระจายรายได้ให้ท้องถิ่นชาวบ้านละแวกนี้มีรายได้อีกด้วยค่ะ

ถ้ำเลเขากอบ หรือ ถ้ำทะเล หรือ ถ้ำเขากอบ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอห้วยยอด ถ้ำเลเขากอบ เป็นชื่อที่ชาวบ้านในบริเวณตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เรียกกันตามภาษาพื้นบ้าน การที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ถ้ำเล หรือ ถ้ำทะเล นั้น ไม่ได้หมายถึง โพรงหรือถ้ำที่เกิดจากการผุกร่อนของหน้าผาชายฝั่งทะเล จากการถูกคลื่นกัดเซาะ ทั้งนี้เพราะบริเวณที่ตั้งของตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด อยู่ห่างจากทะเลกว่า 40 กิโลเมตร

จุดเด่นของการเที่ยวถ้ำเลเขากอบ เนื่องจากโถงถ้ำมีระดับเพดานถ้ำต่ำมากเกือบติดหน้าและลำตัว การเดินทางผ่านถ้าลอดต้องอาศัย การนอนราบไปบนเรือ ตลอดระยะทางประมาณ 350 เมตร เปรียบเสมือนการนอนลอดผ่านท้องมังกร ซึ่งมีความเชื่อว่า หากใครก็แล้วแต่ที่ได้ ลอดผ่านท้องมังกรถ้ำแห่งนี้ เปรียบเหมือนเป็นการสะเดาะห์ไปในตัว กลับไปก็จะพบแต่ความโชคดีมีชัย 

คำว่า "ถ้ำเล" นี้ ตามภาษาท้องถิ่นทางภาคใต้หมายถึง สิ่งที่เป็นน้ำ มีบริเวณกว้างใหญ่ เพราะถ้ำเลเป็นถ้ำใหญ่ที่มีน้ำไหลผ่านตลอดถ้ำ ถ้ำเลประกอบด้วย ถ้ำต่าง ๆ หลายถ้ำ อยู่ภายใต้ภูเขากอบ ได้แก่ ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำรากไทร ถ้ำท้องพระโรง ถ้ำพระสวรรค์ ถ้ำตะพาบน้ำ ถ้ำเพชร ถ้ำพลอย และถ้ำแป้ง เป็นต้น นอกจากนี้ สภาพภายในถ้ำเขากอบมีหินย้อยที่แตกต่างไปจากถ้ำอื่น ๆ คือ มีหินย้อยประเภทที่เรียกว่า หลอดหินย้อย (Soda straw) อยู่เป็นจำนวนมาก แสดงถึงช่วงของการเกิดเป็นหินย้อยในระยะต้น

ขอบขอบพระคุณข้อมูลเครดิตดีๆจากสารานุกรมเสรี wikipedia (https://th.wikipedia.org/wiki/ถ้ำเลเขากอบ)

พอเข้ามาถึงก็จะมีป้ายบอกจุดที่เรือแวะจอดและเข้าไปชมถ้ำหินงอกหินย้อยค่ะ 
เดี๊ยนเองขอติดต่อนั่งเรือเข้าไปด้านใน ค่าเรือเข้าไปในถ้ำ 300 บาท โดยวันที่เดี๊ยนไปนั้นเป็นวันธรรมดา
มีนักท่องเที่ยวมาน้อยมาก เดี๊ยนเป็นผู้โดยสารนักท่องเที่ยวคนเดียวที่ได้นั่งเรือเข้าไปในถ้ำเลเขากอบ ซึ่งปกติแล้ว เรือต้องนั่ง 5 คน แต่วันนั้น คนพายเรือใจดี บอกว่าถ้ามาคนเดียวต้องช่วยกันดันเรือให้ลอดออกจากท้องมังกรอันคับแคบให้ได้...เอ่อ ใหนๆก็มาถึงแล้ว ต้องลอดออกมาจากถ้ำให้ได้ค่ะ
ได้เวลาอันระทึกใจแล้วค่ะ คนพายเรือมี 2 คน มีเดี๊ยนอีก 1 คน รวมเป็น 3 คน เดี๊ยนก็หวังว่าน้ำหนักตัวของเดี๊ยนที่เต็มไปด้วยไขมันจะช่วยให้เรือมีน้ำหนักลอดท้องมังกรออกมาได้ค่ะ
โดยระหว่างนั่งเรือเข้าไปในถ้ำ ทางเจ้าหน้าที่คนพายเรือ ก็พาเดี๊ยนแวะไปชมถ้ำต่างๆภายในค่ะ ได้แก่ ถ้ำท้องพระโรง ถ้ำคนธรรพ์  ถ้ำรากไทร ถ้ำเจ้าสาว ซึ่งจะเป็นหินงอกหินย้อยรูปทรงต่างๆสวยงามค่ะ
พอเข้าไปในถ้ำ ก็มีไฟนีออนสีขาวบ้าง เขียวบ้าง พอเห็นหินงอกหินย้อย รูปทรงต่างๆก็นึกจินตนาการรูปภาพไปต่างๆนานาค่ะ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่มาด้วย ก็จะอธิบายภาพนั้น ภาพนี้ ประวัติโน้นนี้นั้น เดี๊ยนก็ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
ในที่สุด วินาทีระทึกใจก็มาถึงนะค่ะ ได้เวลาลอดท้องมังกร หรือถ้ำลอดแล้วค่ะ ระยะทางประมาณ 350 เมตร ถึงแม้จะเป็นระยะทางสั้นๆนะค่ะ แต่ไม่สั้นเลย ใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากโถงถ้ำมีระดับเพดานต่ำมากเกือบติดหน้าและลำตัว เดี๊ยนได้มีโอกาสเข้าไปลอดถ้ำนี้แล้ว ใจเดี๊ยนลงไปที่ตาตุ่มเลย เพราะต้องนอนราบไปบนเรือ หัวเดี๊ยนมุดเข้าไปที่ท้องเรือได้กระมัง เงยหน้าไม่ได้เลยนะค่ะ ถ้าเงยนี้หัวไปชนกับเพดานถ้ำ จมูกเดี๊ยนแทบจะไปติดชิดกับผนังหินเลยค่ะ
โอ้ย....กว่าจะออกจากถ้ำอันแสนแคนนั้นได้ ใจเต้นตุบๆตับๆ แทบจะเป็นลม จะหยิบกล้องมาถ่ายก็ไม่ได้ค่ะ  ต้องขอบอกเลยว่าใครจะไม่ถึง เป็นคนกลัวความแคบ กลัวความมืด และเป็นโรคหัวใจ ไม่อยากแนะนำเลยค่ะ สำหรับเดี๊ยน รอบนี้รอบเดียวคงพอแล้วค่ะ...สมแล้วค่ะ ที่เป็น Unseen Thailand จำไปอีกนานเลยค๊า
หลังจากที่่ได้ระทึกใจกับการลอดท้องมังกร ที่ถ้ำเลเขากอบไปแล้ว เดี๊ยนก็ขับมอเตอร์ไซต์ออกจากถ้ำเลมุ่งหน้าลงมาที่ตัวเมืองตรังอีกครั้งระยะทางประมาณ 36 กิโลเมตร จากนั้นมุ่งหน้าลงไปยังเส้นทางอำเภอย่านตาขาว เพื่อมุ่งหน้าที่สวนพฤษศาตร์ทุ่งค่าย  ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวช่วงหน้าฝน สำหรับคนรักป่า รักธรรมชาติ และชอบอากาศอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง และแมกไม้ป่าสีเขียวขจี ดูแล้วรื่นรมย์ฤดียิ่งนักแล

จุดเด่นของสวนพฤษศาสตร์แห่งนี้คือ เรือนยอดไม้ ซึ่งเป็นสะพานเรือนยอดไม้แห่งแรกของประเทศไทย ที่สามารถเดินชมลัดเลาะข้ามเป็นแนวสะพานระโยงระเยงเป็นหอคอยให้เดินชมป่าดงพงไพร และได้เรียนรู้ต้นไม้หลากพรรณไปอย่างเพลิดเพลิน
 ทางเข้าชมสวนพฤษศาสตร์ค่ะ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมค่ะ เข้าชมฟรี
วันที่เดี๊ยนไป เป็นช่วงเวลาจะตกเย็นแล้วค่ะ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว บรรยากาศจึงดูเงียบสงบยิ่งนักค่ะ 
สวนรุกขชาติทุ่งค่าย เริ่มจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2529 โดยกรมป่าไม้ ตามนโยบายของนายชวน หลีกภัย (ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 และเป็นสถานที่อนุรักษ์พันธุ์ไม้ - สัตว์ป่า และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชนทั่วไป

ภายในสวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) มี สะพานศึกษาเรือนยอดไม้ (Canopy walkway) ความยาว 175 เมตร มีความสูง 10-18 เมตร มีจำนวนหอคอย 6 หอ รองรับน้ำหนักได้ 200 กิโลกรัม/ตารางเมตร ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าทุ่งค่าย มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ผ่านป่าดิบชื้นและป่าพรุ สร้างเสร็จเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 ด้วยงบประมาณส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
พอถึงเรือนยอดไม้ ก็จะมีป้ายอธิบายถึงข้อปฏิบัติและการขึ้นไปดูบนเรือนยอดไม้ค่ะ  ระหว่างที่เดินไป บรรยากาศ 2 ข้างทาง ได้ยินเสียงจั๊กจั่น ส่งเสียงร้องเรไร สลับกับเสียงนกร้องเจื้อแจ้ว ที่เวลาก็ไกล้จะพลบค่ำแล้ว
พอได้เดินขี้นบนเรือนยอดไม้ บรรยากาศช่วงเย็นๆนี้ก็สวยงามและสดชื่นมากๆค่ะ ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ เหมาะอย่างยิ่งค่ะ ที่จะมาเดินชื่นชม กินลม ธรรมชาติ อันสุดแสนสะอาดและบริสุทธิ์ อากาศก็เย็นสบาย ลมพัดโบก โชยลมโชย นักท่องเที่ยวก็มีแต่เดี๊ยนเพียงคนเดียว หาได้มีคนอื่นมาเดินเที่ยวไม่ ใครที่ชอบการท่องเที่ยวแบบสันโดษ กับธรรมชาติอันแสนสงบ ลองมาเดินชมธรรมชาติ ปลีกวิเวกดูสักครั้ง รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ
ระหว่างทางที่เดินข้ามสะพาน ได้ยินเสียงแผ่นเหล็ก ดังเอื้ยดแอ้ด ปึงปั้ง เกรงเหมือนกันว่าจะตกลงไป ถ้าแผ่นเหล็กของสะพานข้ามไปอีกฝั่งของเรือนยอดไม้เกิดไม่ดีขึ้นมา
เดี๊ยนใช้เวลาเดินชมธรรมชาติ และป่าอันเขียนขจีของสวนพฤษศาสตร์แห่งนี้ สุดแสนจะรื่นรมย์ฤดี จนเกือบถึงเวลาพลบค่ำ ก็ได้เวลาต้องเดินทางกลับเข้าเมืองแล้วค่ะ
เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ออกจากสวนพฤษศาตร์ทุ่งค่าย มุ่งหน้าสู่เมืองตรัง
อาหารเย็นมื้อนี้ เดี๊ยนได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของโรงแรม แนะนำให้มาทานอาหารเย็นที่นี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก เดี๊ยนเลยขอมาประเดิมลิ้มลองความอร่อยที่ร้านนี้สักครั้งค่ะ เป็นร้านข้าวต้มชื่อว่า ร้านกิมข้าวต้มปริญญา เป็นร้านที่มีชื่อเสียงอีกแห่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย
เดี๊ยนสั่งออเดิฟอันแรก เป็นหมูทอด ลองมาลิ้มลองทานก่อนอาหารอื่น  รสชาติหมูอร่อยดีค่ะ เต็มติดที่มันเยอะไปหน่อย ตอนทานก็แท๊ะเอาแต่เนื้อมาทาน สวนหนังหมูเดี๊ยนไม่ทานค่ะ
ผัดเผ็ดหมูสตอพริกแกงใต้ รสชาติก็อร่อยแซ่บซี๊ด จี๊ดไปถึงทรวงเลยค่ะ 
พอเข้ามาในร้าน เดี๊ยนเลยขอจัดหนักเลยค่ะ สั่งอาหารหลายอย่างมาทานเลย แต่ที่ชอบสุดซึ่งได้ลิ้มลองรสชาติแล้ว ต้องยกให้ซุปกระดูกหมูต้มยาจีน หอมเครื่องยาและเนื้อหมูที่เปื่อยแทบละลายในปาก อร่อยจริงๆค่ะ เดี๊ยนชอบ เอาไปเลยค่ะ คะแนนความอร่อย 5 ล้านดาวค่ะ  
หลังจากที่เดี๊ยนทานอาหารมื้อหนักเสร็จ เดี๊ยนก็ออกมาหาของหวานทานต่อค่ะ โดยขับรถมอเตอร์ไซต์แวะมาที่ร้านริชชี่ ร้านขนมเค้กชื่อดังรสอร่อยอีกแห่งของเมืองตรัง ที่ได้รับคำแนะนำมา เดี๊ยนเลยขอแวะเข้าไปจิบชา นั่งกินขนมสักหน่อยค่ะ 
เดี๊ยนสั่งสมูทมิกฟรุกตี้มา 1 ชุด เห็นเหลืออยู่ชิ้นเดียวค่ะ 
 สั่งมาทานคู่กับชาเขียวร้อนๆ
ชาเขียวที่ร้านก็เสริฟมาเป็นเหยือกใหญ่เชียวค่ะ เดี๊ยนนั่งทานขนมและจิบชาอยู่ที่ร้านแห่งนี้ร่วมชั่วโมง จนได้เพลาที่ต้องกลับไปที่พัก เพื่อจะได้บรรทบหลับเอาแรง เดินทางในวันต่อไปค่ะ 
หลังจากทานขนมเสร็จ เดี๊ยนก็กลับเข้าที่พัก อาบน้ำ เข้านอนอย่างเหน็ดเหนื่อย และรู้สึกปวดหลังและเมื่อยล้าจากการเดินทางยิ่งนักค่ะ

วันที่ 23 พฤษภาคม 2559
 
เดี๊ยนตื่นเวลา 9.00 น. เป็นการนอนตื่นที่สายมากๆค่ะ อาจเป็นเพราะเมื่อวานนี้ เดี๊ยนเมื่อยล้าจากการขับมอเตอร์ไซต์ และการไปลอดถ้ำเลเขากอบกระมังค่ะ เดี๊ยนเลยต้องรีบไปทำภารกิจอาบน้ำ และแต่งตัวให้เสร็จ ก่อนรีบออกไปทานอาหารเช้าของโรงแรม
อาหารเช้าของโรงแรมนี้ เดี๊ยนสั่งเป็นไข่กระทะค่ะ  ส่วนเครื่องดื่มที่นี้ก็มี ชา กาแฟ โอวัลตินให้ค่ะ

อาหารเช้าเดี๊ยนสั่งเป็นไข่กระทะ ทานคู่กับขนมปังค่ะ พอได้ตักเข้าปากลิ้มลองรสชาติแล้ว..อือ อร่อยดีค่ะ
ที่เมืองตรังแห่งนี้ ก็มีตึกสถาปัตยกรรมแนวชิโนโปตุกีสสวยงามไม่แพ้เมืองภูเก็ต หรือพังงาเลยค่ะ
สำหรับทริปท่องเที่ยวในวันนี้ เดี๊ยนวางแผนเดินทางไปเที่ยวน้ำตกโตนเต๊ะค่ะ
โดยระยะทางจากเมืองตรังไปน้ำตกโตนเต๊ะก็ไกลพอสมควรค่ะ ประมาณ 47 กิโลเมตรได้ค่ะ
เดี๊ยนบีดคันเร่งมอเตอร์ไซต์มุ่งหน้าสู่น้ำตกโตนเต๊ะ ซึ่งอยู่ในอำเภอปะเหลียน กับสภาพอากาศที่ดูไม่ค่อยจะโปร่งใสนักค่ะ
เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์มาเกือบ 1 ชั่วโมง ตามแผนที่ใน google map เดี๊ยนก็สังเกตุเห็นน้ำตกโตนเต๊ะแล้วค่ะ แต่สภาพถนนทางเข้าไปยังน้ำตกโตนเต๊ะแห่งนี้ ไม่ค่อยดีเอาเสียเลยค่ะ เพราะถนนหนทางกำลังปรับปรุงค่ะ
ด้วยถนนที่กำลังปรับปรุง เป็นก้อนรวด ทำให้เวลาขับมอเตอร์ไซต์แล้ว ลื่นเป็นพิเศษ ต้องระมัดระวังมากๆค่ะ
ในที่สุดก็ถึงน้ำตกโตนเต๊ะแล้วค่ะ พอมาถึงเดี๊ยนก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งอยู่ที่ป้อมด้านหน้า โดยทางเจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถเข้าไปชมน้ำตกได้เลย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆค่ะ
เดินเข้าไปในน้ำตก บรรยากาศร่มรื่น และเงียบสงบยิ่งนักค่ะ
เดี๊ยนมาถึงด้านในก็ต้องเดินไปชมแอ่งของน้ำตกที่อยู่ด้านบน โดยต้องเดินไปตามทางเท้าอีกประมาณ 200 เมตรค่ะ
โดยตลอดทางเดินขึ้นไปชมน้ำตก ก็เต็มไปด้วยแมกไม้เบญจพรรณนานาชนิดของเทือกเขาบรรทัด บรรยากาศเงียบสงบ ได้ยินเสียงน้ำไหลเชี่ยว กับเสียงนกและจั๊กกระจั๋นร้องร่ำเรไร ทำให้บรรยากาศตลอดการเดินทางดูไม่เหงาเลยค่ะ
ระหว่างเดินทางมารู้สึกว่าจะเผาพลาญพลังงานได้มากทีเดียวค่ะ เพราะต้องใช้แรงขาเดินขึ้นมาเรื่อยๆค่ะ แต่ก็เดินมาถึงแอ่งน้ำตกด้านบนจนได้ค่ะ
บรรยากาศตรงบริเวณน้ำตก ช่างแสนร่มรืนย์ และมีน้ำไหลลงจากเทือกเขาสูงลงมาไหลโรยระรินตามโขดหินลงสู่แอ่งน้ำ พอได้สัมผัสแล้วก็เย็นยะเยือกยิ่งนักค่ะ พอเห็นแอ่งน้ำแล้ว ก็อยากไปจะไปโดดแหวกว่ายในแอ่งน้ำอันสะอาด หากเอาเสื้อผ้าสำรองมา เดี๊ยนก็กะว่าอยากจะแปลงร่างไปเป็นนางเงือกดำผุดดำว่ายในท้องธารธาราในน้ำตกแห่งนี้ แต่ก็อายฟ้า อายเทพไท้เทวาที่ปกปักรักษาเทือกเขาบรรทัดแห่งนี้ เลยได้แต่งนั่งเป็นนางบังอร ถ่ายรูปตีผมโป่ง ให้เว้าวอน นั่งสลอนกินลม ธรรมชาติเรื่อยไป
น้ำตกแห่งนี้มีน้ำไหลตลอดทั้งปีค่ะ วันที่เดี๊ยนไปก็ไม่มีนักท่องเที่ยวมาแต่อย่างใดค่ะ อาจเป็นเพราะวันธรรมดากระมังค่ะ ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ก็น่าจะพอมีนักท่องเที่ยวบ้างค่ะ
พอได้สัมผัสแล้วก็เย็นยะเยือกยิ่งนักค่ะ

พอเห็นแอ่งน้ำแล้ว ก็อยากไปจะไปโดดแหวกว่ายในแอ่งน้ำอันสะอาด หากเอาเสื้อผ้าสำรองมา เดี๊ยนก็กะว่าอยากจะแปลงร่างไปเป็นนางเงือกดำผุดดำว่ายในท้องธารธาราในน้ำตก แห่งนี้ แต่ก็อายฟ้า อายเทพไท้เทวาที่ปกปักรักษาเทือกเขาบรรทัดแห่งนี้ เลยได้แต่งนั่งเป็นนางบังอร ถ่ายรูปตีผมโป่ง ให้เว้าวอน นั่งสลอนกินลม ธรรมชาติเรื่อยไป 
 เดี๊ยนใช้เวลานั่งที่โขดหิน สูดอากาศอันบริสุทธิ์นั่งพร่ำเพรอ นึกพรรณาโวหาร อันโอฬารตระการตาไปเรื่อยเปื่อย ตามประสาคนบ้าเที่ยวได้ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆได้ ก็ได้เวลาที่ต้องอำลาน้ำตกแห่งนี้ เพื่อเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปค่ะ
 เดี๊ยนขับรถออกจากน้ำตก เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปนั้นก็คือ อำเภอกันตังค่ะ
ระหว่างทางขับรถมอเตอร์ไซต์ เมื่อยล้า เดี๊ยนก็ขอแวะพักดื่มน้ำเย็น ทานขนมอร่อยสักหน่อยค่ะ ก็เลยแวะพักร้านริมทางสักหน่อยค่ะ
 เดี๊ยนแวะเข้าไปในร้าน มีขนมเค้กอร่อยให้สั่งทานด้วย เดี๊ยนเลยขอสั่งมาประเดิมทานเป็นอาหารเที่ยงเสียเลย
 ขนมเค้กมีรู ถือเป็นขนมเค้กยอดฮิตยอดฝากจากเมืองตรังที่ใครๆก็ต้องแวะชิมลิ้มลองและซื้อเป็นของฝากค่ะ
เดี๊ยนเลยขอซื้อขนมเค้กมาทานคู่กับน้ำผลไม้ปั่น เป็นอาหารมื้อเที่ยงไปเลยค่ะ
ภายในร้านค๊อฟฟี่ช๊อป ริมทาง
ภายในร้านตกแต่งดูดี น่านั่งพัก ดูอบอุ่นดีค่ะ
เดี๊ยนขับรถออกจากอำเภอย่านตาขาว มุ่งหน้าสู่อำเภอกันตัง ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมง ก็เดินทางถึงสถานีรถไฟที่สวยที่เก่าแก่อายุ 100 กว่าปี นั้นก็คือสถานีรถไฟกันตังค่ะ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ใครมาเที่ยวเมืองตรัง ก็ต้องแวะมาชื่นชมความงามของสถานีรถไฟแห่งนี้ค่ะ
ปรวัติสถานีรถไฟกันตัง
สถานีรถไฟกันตัง ตั้งอยู่บนถนนหน้าค่าย ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นสถานีรถไฟสุดทางของทางรถไฟสายใต้ ฝั่งทะเลอันดามัน
สถานีรถไฟกันตัง เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 ในอดีตใช้เป็นที่รับส่งสินค้ากับต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย มีรางรถไฟต่อไปเป็นระยะทางประมาณ 500 เมตร ถึงท่าเทียบเรือกันตัง ซึ่งเป็นท่าเรือเก่าแก่ตั้งแต่โบราณ ปัจจุบันทางรถไฟส่วนนี้ถูกชาวบ้านรุกล้ำที่ และไม่มีรางรถไฟส่วนนี้แล้ว
ตัวสถานีรถไฟกันตัง เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวรูปทรงยังไม่แน่ชัดทาสี เหลืองมัสตาร์ดสลับน้ำตาล ตัวอาคารแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ด้านหน้ามีมุขยื่นประดับมุมเสาด้วยลวดลายไม้ฉลุ ประตูบานเฟี้ยมแบบเก่า คงเอกลักษณ์เดิมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรแล้ว
ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆ จากสารานุกรมเสรีวิกีพีเดีย (https://th.wikipedia.org/wiki/สถานีรถไฟกันตัง)

 สถานีรถไฟกันตังแห่งนี้ ก็สวยงามสมกับเป็นสถานีรถไฟที่สวยงามที่สุดอีกแห่งของเมืองไทยเลยค่ะ

หลังจากไปชื่นชมความงามของสถานีรถไฟกันตังแล้ว หลังจากนั้นเดี๊ยนก็ขับมอเตอร์มาดูต้นยางพาราต้นแรกของประเทศไทย ตอนแรกเดี๊ยนก็คิดว่าคงอยู่ในสวนยางพารา เอ้าที่ใหนดี อยู่ติดอยู่ถนนใหญ่ ทางหลวงเลยค่ะ ดูยังไงก็ไม่เหมือนต้นยางพาราเลยค่ะ เดี๊ยนมองเป็นต้นประดู่ไปค่ะ
หลังจากนั้นเดี๊ยนก็แวะมาที่พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอดีตเจ้าเมืองตรังไว้อย่างดี ภายในมีหุ่นขี้ผึ้งของเจ้าพระยารัษฎาจัดแสดงไว้ รวมถึงเครื่องใช้ และรูปภาพต่างๆ ให้ผู้ที่เข้ามาเที่ยวเมืองตรัง ได้แวะเข้าเยี่ยมชมค่ะ
หุ่นขึ้ผึ้งพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี นั่งตระหง่านต้อนรับนักท่องเที่ยวให้มาเยือนบ้านแห่งนี้ไม่ขาดสายค่ะ
 ภายในก็มีภาพบอกเล่าประวัติความเป็นมาของท่านด้วยค่ะ
อุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ ตู้ โต๊ะ เตียง และที่นอน ก็จัดแสดงไว้ให้ชม
รวมถึงภาพถ่ายเก่าที่หาดูได้ยาก ก็นำมาจัดแสดงไว้ เอาใจคนรักภาพเก่าๆเล่าถึงความหลัง ให้ได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน คู่ควรแก่การอนุรักษ์ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ศึกษาหาความรู้กันตลอดไปค่ะ
เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ออกจากพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎา ก็แวะไปชมวิวทิวทัศน์ของเมืองกันตัง ที่สวนสาธารณะควนตำหนักจันทร์ค่ะ 
เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์ออกจากพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎา ก็แวะไปชมวิวทิวทัศน์ของเมืองกันตัง ที่สวนสาธารณะควนตำหนักจันทร์ค่ะ
ระหว่างทางจะเดินทางกลับตัวเมืองตรัง เดี๊ยนขับมาได้สัก 7 กิโลได้กระมังค่ะ... ในที่สุดก็ต้องพบพายุฤดูฝน ที่กระหน่ำลงมาอย่างแรง ทำให้เดี๊ยนต้องขับรถแวะหาที่หลบฝนค่ะ เพราะเดี๊ยนคงไม่สามารถขับรถตากฝนและฝ่าลมพายุกระหน่ำนี้ไปได้แน่นอนค่ะ เนื่องจากลมพายุกระหน่ำกับสายฝนหนักเอาการ เดี๊ยนเลยแวะหยุดพัก รอให้ฝนซา หรือหยุดตกไปเสียก่อนค่ะ
ฝนกระตกกระหน่ำพร้อมลมพายุกันโชกแรงพอสมควร เดี๊ยนเองก็ใจหวั่นๆ เกรงว่าฝนจะตกนานและเดินทางต่อไม่ได้ และแล้วไม่นานฝนก็หยุดตกค่ะ  ทำให้เดี๊ยนได้สตาร์ทรถมอเตอร์ไซต์ มุ่งหน้าขับเข้าสู่เมืองตรัง โดยสวัสดิภาพและปลอดภัยค่ะ
มาถึงที่พักฝนที่นี้ก็ยังตกโปรยปรายแหม่ะๆค่ะ
 เดี๊ยนเลยขอแวะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกโชกด้วยสายฝน เพื่อออกไปหาอะไรทานตอนเย็นค่ะ 
นั่งพักสักแป๊บค่ะ ก่อนออกไปหาอะไรทาน
เดี๊ยนจอดมอเตอร์ไซต์ไว้ที่โรงแรม แต่เลือกเดินออกมาดีกว่าค่ะ เพราะฝนก็ยังตกโปรยปรายอยู่ เดี๊ยนเลยเดินกางร่มออกมาที่หอนาฬิกา มองไปที่ร้านค้าใกล้หอนาฬิกามีเย็นตาโฟอยู่ 2 ร้านให้เลือกทาน เลยขอไปลิ้มลองสักหน่อยค่ะ 
หอนาฬิกาเมืองตรังในช่วงยามหัวค่ำเช่นนี้ ถือเป็นไฮไลท์อีกแห่งที่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นหลายคน ต่างมาถ่ายรูปกันค่ะ
เดี๊ยนมาที่แยกหอนาฬิกา มีร้านก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟอยู่ ก็เลยแวะมาลิ้มลองสักครั้งค่ะ ..พอได้ลิ้มลองแล้วรสชาติอร่อยดีค่ะ แต่ยังไม่แซ่บเท่าควร อยากให้ซี๊ดปี๊ดป้าดกว่าจะเริ่ดมากๆค่ะ
หลังจากทานอาหารมื้อค่ำนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เดี๊ยนก็กลับเข้าที่พัก เพื่อมาอาบน้ำและพักผ่อนนอนหลับบรรทมไปโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเมื่อยล้าจากการเดินทางอันแสนทรหดนี้มากๆค่ะ

วันที่ 24 มิถุนายน 2559 ทริปวันสุดท้าย
สำหรับทริปวันสุดท้ายนี้ เดี๊ยนตื่นแต่เช้าตรู่เลยค่ะ โดยงดทานอาหารเช้าที่โรงแรม เลือกออกมาทานร้านข้างนอกแทนค่ะ เนื่องจากว่าหากมาเที่ยวเมืองตรัง ก็ต้องไปลิ้มลองชิมความอร่อยของติ่มซำ และหมูย่างเมืองตรังที่ขึ้นชื่อนักหนาว่าต้องไปทานหรือซื้อเป็นของฝากให้จงได้
เดี๊ยนตื่นแต่เช้า สตาร์ทมอเตอร์ไซต์ มุ่งหน้าไปถนนห้วยยอด เพื่อไปลิ้มลองความอร่อยของติ่มซำและหมูย่างที่ร้านพงษ์โอชา
ถึงแล้วค่ะ ร้านพงษ์โอชา หมูย่าง ติมซำ เดี๊ยนเลยขอแวะไปลิ้มลองความอร่อยสักครั้งค่ะ
เข้ามานั่งภายในร้าน ก็มีลูกค้าเข้ามารับประทานอาหารเช้าในร้านอยู่มากพอสมควรค่ะ
มื้อเช้าเที่ยวันสุดท้ายที่เมืองตรังนี้ เดี๊ยนจัดเต็มมากค่ะ กับการสั่งติ่มซำ และหมูย่างมาทานดูค่ะ 
มีปาท่องโกทานคู่กับสังขยา รสชาติหวานเข้มข้นอร่อยดีค่ะ  ส่วนติมซำก็ไปเลือกและสั่งกับพนักงาน เดียวพนักงานนำไปนึ่งและมาเสริฟให้ค่ะ
ส่วนหมูย่างนั้น เดี๊ยนสั่งเป็นชุดเล็ก ลองมาทานดู รสชาติหวานๆ หอมยาจีน อร่อยดีค่ะ ใครชอบทานหวานต้องชอบแน่ๆเลย
หลังจากทานอาหารมื้อเช้าอิ่มมากๆเสร็จแล้ว ยังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเดินทางกลับ ใหนๆก็มาเมืองตรังทั้งที อยากเห็นทะเลตรังสักครั้ง เดี๊ยนเลยขับรถมอเตอร์ไซต์จากเมืองตรัง มุ่งหน้าสู่หาดปากเมงอำเภอสิเกา ระยะทางประมาณ 36 กิโลได้ค่ะ เพื่อไปชมความงามของชายหาดปากเมง ที่มีภูเขาหินปูนตระหง่านตาอยู่ 
ในช่วงหน้ามรสุมเช่นนี้ มาถึงหาดปากเปง ก็ช่างเงียบกริ๊บ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวหาดแห่งนี้บางตามากๆค่ะ มองเห็นร้านค้าร้านอาหารก็แทบจะไม่ค่อยมีลูกค้าเลย

เดี๊ยนขับมอเตอร์ไซต์มาจอดที่ริมชายหาด นั่งพักอยู่สักแป๊บ ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำราชมงคลค่ะ
ไม่ไกลจากหาดปากเมง เดี๊ยนก็ขับมอเตอร์ไซต์เข้าไปในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตตรัง เพื่อแวะไปชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำค่ะ
ค่าธรรมเนียมเข้าพิธภัณฑ์สัตว์น้ำราชมงคล 50 บาทค่ะ
เมื่อเข้าในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็จะมีการจัดแสดงถึงสัตว์น้ำทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มให้ได้ศึกษาและเรียนรู้กันค่ะ ซึงภายในก็จะมีป้ายบอกชื่อปลาแต่ละชนิดด้วยค่ะ บางชนิดเป็นปลาหายากหรือที่ไม่เคยพบเห็นก็ได้เห็นกันด้วยค่ะ 
 เมื่อเข้าในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็จะมีการจัดแสดงถึงสัตว์น้ำทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มให้ได้ศึกษาและเรียนรู้กัน ค่ะ ซึงภายในก็จะมีป้ายบอกชื่อปลาแต่ละชนิดด้วยค่ะ บางชนิดเป็นปลาหายากหรือที่ไม่เคยพบเห็นก็ได้เห็นกันด้วยค่ะ
เดี๊ยนใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ไม่นานนัก แหงนดูนาฬิกาก็ได้เวลาต้องเดินทางกลับเมืองตรังแล้วค่ะ เพราะเที่ยวบินกลับกรุงเทพ ออกจากสนามบินตรังเวลา 14.55 น.ค่ะ เดี๊ยนเลยต้องรีบกลับไปเก็บกระเป๋าและเช็คเอาท์ออกจากที่พักค่ะ
เวลาบ่ายโมงกว่าๆนะค่ะ เดี๊ยนก็นั่งรถตู้โดยสารราคา 90 บาท ซึ่งทางโรงแรมที่พักติดต่อไว้ให้ เพื่อให้มารับที่โรงแรม ซึ่งรถตู้มารับประมาณบ่ายโมงครึ่งเพื่อมาส่งเดี๊ยนและผู้โดยสารท่านอื่นมายังสนามบินเมืองตรัง เพื่อจะได้ทำการเช็คอินน์ นั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพค่ะ

เครื่องบินออกจากสนาบินตรังเวลา 14.55 ถึงสนามบินดอนเมือง 16.20 น. โดยสวัสดิภาพ จบทริปเที่ยวเมืองตรังค่ะ

เดี๊ยนต้องขอขอบพระคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกๆท่านนะค่ะ ที่ท่านเสียสละเวลาเข้ามาอ่าน มาดูภาพอันไม่สวย และเนื้อหาที่ไม่ค่อยจะดีมากนัก ถึงแม้จะมีคนมาดูมาอ่านกันแค่วันละ 1-2 คนหรือไม่มีคนมาอ่านเลยก็ตาม หากข้อมูลรีวิวของเดี๊ยนนั้นมีข้อผิดพลาด อักขระตกๆหล่นๆ เนื้อหาไม่ดี รูปภาพถ่ายไม่สวย กากไป ยังไงเดี๊ยนต้องกราบขออภัยคุณผู้อ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณท่านที่เข้ามาติดตามค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอนค่ะ
นักเขียนบล็อกเกอร์มือสมัครเล่น
----------------------------------------------------
บทความอื่นๆ มีดังนี้ 
รีวิวเที่ยวเมืองตรัง มาอีกครั้ง ก็ยังปังเสมอ อาหารรสเลิศเลอ คลิ๊กดูรีวิวเลยจ้า>>
รีวิวเที่ยวเมืองตรังอีกครั้ง(รอบที่ 2)ก็ยังปังเสมอ มีอาหารรสเลิศเลอ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยจ้า คลิ๊กดูรีวิวและที่เที่ยวค่ะ>>
รวมเด็ด 11 ที่เที่ยวและร้านอาหารอร่อยในเมืองตรัง ตามไปกันเลย>>
รวมเด็ดกับ 11 ที่เที่ยว+ที่กินในจังหวัดตรัง แวะไปนั่งถ่ายรูปให้สวยปังสักครั้งสิ มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลย คลิ๊กดูข้อมูลที่เที่ยวเลยจ้า>>>

แสดงความคิดเห็น

2 ความคิดเห็น

  1. ในฐานะที่เป็นชาวตรังโดยกำเนิด ขอชมว่าคุณถ่ายทอดข้อมูลได้ค่อนข้างดี และมีแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ดี. แต่ละจังหวัดถ้าเรารู้จักมองหาสิ่งดีก้อย่อมพบสิ่งดีๆ มองโลกในแง่ดี ชีวิมีสุข ..โอกาสหน้ามาเยือนอีกนะ ชาวตรังใจกว้าง สร้างแต่คงามดี

    ตอบลบ
  2. ขอบพระคุณมากๆค่ะสำหรับคำชื่นชม ทางดิฉันเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้กลับไปเมืองตรังอีกครั้งค่ะ

    ตอบลบ